ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่พิชิต ชิตมาโร วัดป่ากุงศรีเจริญธรรม อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์



ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่พิชิต ชิตมาโร  
     วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑ ปี การละสังขาร หลวงปู่พิชิต​ ชิตมาโร​ วัดป่ากุงศรีเจริญธรรม อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ท่านเป็นศิษย์​ในองค์​หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และ​เคยไปศึกษา​ธรรมกับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่พิชิตเป็นพระสุปฏิปันโนที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม ตามแนวทางพระกรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้รับความไว้วางใจให้เป็นเจ้าอาวสวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ต่อจากองค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

• #อัตโนประวัติหลวงปู่พิชิต_ชิตมาโร
ตัวเราเป็นบุตรคนที่ ๔ เราเกิดเมื่อวันที่ ๑๒ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ตรงกับวันอังคาร เดือนยี่ ปีมะแม สำหรับวันเกิด สืบเนื่องจากแม่มีลูกหลายคน แม่กำชับว่าวันเกิดของพวกเจ้าก็ให้ช่วยกันจำเอา ของใครของมัน เพราะมีกันหลายคนแม่ก็จำยาก ยิ่งหากต่อไปแม่แก่เฒ่าลงก็ต้องหลงลืมมากยิ่งขึ้น จะมาจดจำวันเกิดของลูกทุกคนไม่ไหวดอก พวกเราก็ได้จดจำเอาวันเดือนปีเกิดของใครของมันเอาไว้เองกันทุกคน เราเลยจำของเรามาอย่างนี้ สถานที่เราเกิดนั้น เดิมบ้านของพวกเราอยู่ในเขตตัวจังหวัดกาฬสินธุ์ ในคุ้มที่เรียกว่าย่านเมืองเก่า เมื่อเกิดมาจำความได้ เราก็เห็นว่าตนเองอยู่ที่ตรงนั้น บ้านอยู่แถวหน้าวัดศรีบุญเรือง (วัดเหนือ) นั่นเอง ซึ่งปัจจุบัน บริเวณนั้นก็ยังมีสภาพเป็นบริเวณเมืองเก่า เคยเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่เจริญ เป็นตลาดเก่าก็ว่าได้ เมื่อเรารู้ความขึ้นมาตอนนั้น ก็รู้จักว่า โยมพ่อได้ไปทำบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่แถวชายขอบนอกเมืองออกไปริม ๆ ชานเมือง ซึ่งตอนนั้นเป็นป่าโคก ป่าโปร่ง

โยมบิดาเราชื่อ "พ่อพลอย มหาแสน" โยมมารดาชื่อ "แม่กิม มหาแสน" (ฆารไสว) สรุปแล้ว เรามีเชื้อสายจีนอยู่นิดหน่อย ส่วนโยมพ่อเราเป็นไทยแท้ มีลูก ๑๒ คน ตอนเรายังเล็ก จำได้ว่าไม่นานนักพวกเราได้ย้ายออกมาอยู่บ้านใหม่พร้อมหน้า พร้อมตากันทั้งครอบครัว เมื่อออกมาอยู่บ้านใหม่นอกชานเมือง ซึ่งในความรู้สึกตอนนั้นเป็นที่เปลี่ยวเอามาก ๆ ธรรมดาโยมแม่เป็นคน ใจบุญสุนทาน มักชอบทำบุญใส่บาตรเสมอไม่เว้น ชอบไปวัด เรายังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งโยมแม่พาไปวัด น้องของเรา (ชุมพล) ยังนอนอยู่ในเปล โยมแม่บอกฝากญาติข้างบ้านให้ไกวเปลน้องไว้ให้ ส่วนโยมแม่กับเราไปถวายอาหารพระที่วัด วัดนั้นเป็นวัดใกล้บ้านที่สุด ชื่อว่า​ "วัดสว่างคงคา" เรากับโยมแม่เดินไปไม่ไกลก็ถึงวัด สักหนึ่งกิโลเมตร เห็นจะได้ โยมแม่เป็นถาดอาหารต่าง ๆ ไว้บนบ่า ส่วนเรา โยมแม่ ก็ให้ถือหม้ออวยใบหนึ่งซึ่งเราไม่รู้หรอกว่ามีอะไรในนั้น มือหนึ่งของ โยมแม่จูงแขนเราเดิน ต่องแต่ง ต่องแต่ง พากันเดินไปวัด เราสังเกต เห็นว่าหลวงตาที่อยู่วัด องค์แก่ๆ ใจดี ทักทายปราศรัยแล้ว เรียกเรา เข้าไป เจ้าหนูมาน ๆ (ภาษาอีสานว่า “บักหล่า มา ๆ ๆ หลวงตาให้ ขนม) หลวงตาสีให้ขนม เราก็คลานเข้าไปหา ท่านก็ให้กล้วยสุก (กล้วยน้ำว้า) ใส่มือให้เราลูกหนึ่ง เราดีใจมาก เรากำแน่นแล้วกลับออกมา ท่านให้พรเสร็จแล้ว ท่านลงมือฉัน พวกเราก็พากันกลับบ้าน ภายหลังเราได้มากินกล้วยใบนั้น รู้สึกมันอร่อยมาก จะเป็นเพราะว่าเรายังเด็กหรือว่าเป็นเพราะความดีใจยังไงไม่ทราบ แต่มันอร่อยเหลือเกินเราจึงติดใจ และก็รู้สึกรักหลวงตา รักพระ รู้สึกว่า ท่านงดงาม นั่งอยู่ก็งาม สีผ้าที่ท่านห่ม สีเหลืองงามทีเดียว ซึ่งตามธรรมดาที่บ้านนอกสีฉูดฉาดมันไม่มีหรอกสมัยก่อนนะ พระนี่แหละ ดูแล้วงามเหลือเกินเราชอบพระ ชอบเณร บางทีไปเห็น พระตัวเล็ก ๆ เรามารู้ทีหลังว่า พระเล็กเขาเรียกว่าเณร นี่แหละ เป็นเบื้องต้นของเรา

ที่บ้านของพวกเรามีกิจวัตรใส่บาตรทุกเช้า สิ่งของที่ใส่บาตรนั้น ไม่มีอะไรมากดอก อาหารก็มีตามประสาบ้านนอก ที่ยืนพื้นคือ ข้าวเหนียว กาฬสินธุ์แต่ก่อนนั้นเป็นจังหวัดเล็ก ๆ พระไปบิณฑบาตก็ได้ข้าวเหนียวนี่แหละเป็นหลัก บ้านเรามีแต่ข้าวเหนียว ส่วนกับข้าว นั้นแทบจะไม่มีเลย นาน ๆ จึงมีปลาแห้งปิ้ง หรือแจ่วบอง มีผักที่เก็บมาจากที่ทั่วไปเท่านั้น ระยะนั้นเรายังเล็กอยู่ ยังไม่ได้ไปโรงเรียน เหมือนพี่ ๆ โยมแม่จึงจัดให้เรามีหน้าที่ไปรอดูที่หน้าบ้าน พอเห็นพระเลี้ยวโค้งออกมาตรงสี่แยกซึ่งอยู่ไกลออกไปสักสองสามช่วงเสาโทรเลข (แต่ก่อนยังไม่มีไฟฟ้าตามข้างถนนยังไม่มีเสาไฟฟ้าดอก)

เราต้องรีบตะโกนบอกโยมแม่ว่า “แม่..........พระมาแล้ว" อันนี้เป็นคำที่เราร้องบอกโยมแม่ และเราจำได้ติดอยู่ในใจมาจนบัดนี้ไม่เคยลืม แล้วโยมแม่ก็เตรียมข้าวของมาใส่บาตรพระ เป็นอย่างนี้ทุกวัน นับว่าเป็น กิจวัตรอันเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์องค์เจ้า ที่เราได้ทำในตอนเด็ก และเรารู้สึกว่าชอบดูพระ ชอบที่ท่านมาแล้วก็ไม่เห็นพูดอะไรนะ โยมแม่ ใส่บาตร บางทียังให้เราใส่บาตรด้วยก็มี เราสังเกตเห็นว่าพระท่าน มีสองวัด วัดหนึ่งคือวัดสว่างคงคา (ที่เราไปพบหลวงตานั่นแหละ) อีก วัดหนึ่งเป็นวัดป่า อยู่ที่ป่าช้า ไกลเลยออกไปนอกเขตชานเมือง (มาทราบทีหลังว่าชื่อวัดป่าประชานิยม) พระชุดนี้ท่านห่มสีค่อนข้างคล้ำ เป็นสีเหลืองคล้ำจนออกไปเกือบน้ำตาล ท่านเดินมาเป็นแถวเป็นแนวต่อกัน บางวันก็น้อย บางวันก็มากองค์ โยมแม่ใส่บาตร ท่านรับบาตรแล้ว ค่อยเดินไปยืนรอ องค์ที่หนึ่ง สอง สาม สี่... ใส่หมดทุกองค์แล้ว ท่านจึงเดินเป็นแถวเป็นแนวต่อไปอีก เราได้สังเกตเห็นว่า โอ....ท่านอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย เราเป็นเด็กดูก็รู้สึกว่าท่านงดงาม ก็ชอบใจ นึกนิยมอยู่ในใจ เพราะฉะนั้นตอนเด็กเราก็มีหน้าที่ และมีความชอบใจพอใจในธุระที่โยมแม่มอบให้นยิ่งนัก เมื่อเป็นเด็กยังไม่เข้าเกณฑ์ เป็นนักเรียน เราจึงมีกิจกรรมหน้าที่อยู่เหมือนกันอย่างนี้

• #อุปสมบทเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์
หลังจากได้ใช้ชีวิตทำงานทางโลก จึงเตรียมตัวบวช เมื่อตอนอายุ ๓๕ ปี ได้กำหนดวันเดือนปีที่จะบวช บอกไปทางโยมพ่อโยมแม่ บอกไปทางญาติพี่น้อง และบอกไปทางเพื่อนฝูงที่เขารอฟังข่าวอยู่ทางกรุงเทพฯ ส่วนเครื่องบวช อัฐบริขาร ต่าง ๆ เราเตรียมไว้เองบ้างแล้ว โยมพ่อโยมแม่ช่วยเตรียมไว้ให้บ้าง แม้จะได้หาเพิ่มเติมในสิ่งที่ยังขาดตกบกพร่องก็ไม่ได้มากมายจนเดือดร้อนอะไรเลย ส่วนเรื่องมหรสพฉลองสมโภชอะไรต่าง ๆ ไม่มีอยู่แล้ว ทางบ้านของเราที่กาฬสินธุ์ไม่นิยมมหรสพคบงัน ตั้งใจบวชแล้วก็บวชกันเลย

ได้บวชเป็นผ้าขาวศึกษาข้อวัตรและธรรมวินัยอยู่จนเป็นที่หน้าพอใจ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จึงอนุญาต​ให้อุปสมบท ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่​ จ.หนองคาย โดยมี หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ พระครูญาณปรีชา (วัดอรัญญบรรพต) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส พระครูปัญญาวิสุทธิ์ (วัดป่าพระสถิต​ย์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูปลัดคำหล้า โสภา (วัดสมานโสภาราม) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๑

เราบวชแล้วไม่นานก็เข้าพรรษาในปีนั้น เพราะฉะนั้น พ.ศ. ๒๕๒๑ เราก็นับได้หนึ่งพรรษา จากนั้นเราอยู่ประจำที่วัดหินหมากเป้ง ดำรงสภาวะเป็นพระในพระพุทธศาสนา ประจำวัดหินหมากเป้ง เราได้ยินคำหนึ่งที่พระอุปัชฌาย์ คือ หลวงปู่เหรียญ ท่านกล่าวไว้ในตอนท้ายของอนุศาสน์ ๔ อันเป็นคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ว่า “บัดนี้ พวกเจ้าก็เป็นพระแล้ว พวกเจ้านี้ ขอมอบให้อยู่ในการดูแลของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ขอให้องค์ท่านช่วยเอาเป็นธุระดูแล อบรมสั่งสอน หลวงปู่เหรียญท่านพูดอย่างนั้น ซึ่งเรามาทราบทีหลัง เมื่อได้ศึกษาในพระวินัยในขั้นละเอียดต่อมาจึงได้รู้ว่า พระอุปัชฌาย์นั้น เมื่อนั่งเป็นอุปัชฌาย์แก่กุลบุตรแล้ว ก็มีหน้าที่จะต้องคอยอบรมสั่งสอนกุลบุตรนั้น ส่วนพระใหม่เมื่อเป็นภิกษุแล้ว ต้องอยู่ในความดูแลปกครองของพระอุปัชฌาย์นั้น จนกระทั่งมีความรู้จักในเรื่องพระธรรมวินัย พอจะปกครองตนเอง รักษาตนเองให้อยู่ในพระธรรมวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างตลอดรอบคอบสมบูรณ์แล้วเสียก่อนนั่นเอง ระหว่างนั้นถือว่าเป็นระยะนิสัยมุตตกะ คือ ต้องอยู่ในภาวะที่ต้องถือนิสัย ต้องอยู่ในความดูแลของครูบาอาจารย์ ก็คือ พระอุปัชฌาย์นั่นเอง เพราะฉะนั้น พระอุปัชฌาย์จึงต้องมีหน้าที่ดูแลพร่ำสอนพระองค์นั้น ๆ จนกระทั่งจะมีวุฒิภาวะ ที่พอจะสามารถดูแลรักษาตนเองได้ เป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มตัว เต็มภูมิธรรม และในพระวินัยท่านกล่าวไว้ว่า ต้องมีพรรษาเกิน ๕ พรรษา และต้องรู้ธรรม รู้วินัย

     หลวงปู่พิชิต​ ชิตมาโร​ ละสังขารด้วยอาการอันสงบ ณ​ โรงพยาบาลศรีนครินทร์​ จังหวัดขอนแก่น ตรงกับวันจันทร์ที่​ ๒๕ ธันวาคม​ ๒๕๖๖ เวลา ​๑๕.๒๘ น. สิริอายุ​ ๘๑ ปี ๑๑ เดือน ๑๓ วัน ๔๖ พรรษา 

 " การที่ลูกหลานบอกว่าขอพึ่งบุญของพ่อแม่ หรือครูบาอาจารย์ปกปักษ์รักษา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานด้วย ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องบุญมันเป็นเรื่องของใครของมัน แบ่งให้กันไม่ได้ ใครทำตนั้นก็ได้ ฉะนั้น ใครอยากได้บุญก็ให้ทำเอา เรื่องความทุกข์มีทางที่ดีที่สุดในการแก้ คือ ทางของพระพุทธเจ้า“

"ให้ทุกคนมีความพากเพียรในการทำความดี รักษาศีล เจริญภาวนา การมากราบครูบาอาจารย์ฟังธรรมตามกาลนี้ก็ถือว่าดีแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาท"
โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่พิชิต ชิตมาโร


ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco