ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ผาง โกสโล วัดภูหินปูน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร




ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ผาง โกสโล 
     วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๙ ปี การละสังขาร หลวงปู่ผาง โกสโล วัดภูหินปูน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นศิษย์หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ และหลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม ถึงแม้องค์ท่านจะบวชเมื่อมีอายุมากแล้ว คือบวชเมื่ออายุ ๕๓ ปี แต่ท่านก็ปฏิบัติจริงจังเข้มงวดกับตัวเอง ทำความเพียรไม่ย่นย่อถ้อถอย อยู่ในเพศสมณะ ๕๖ พรรษา จิตใจท่านเด็ดเดี่ยวชอบออกรุกขมูลตามป่าเขาทั้งฝั่งไทย ภูทอก ภูสิงห์ ภูกิ่ว ภูวัว ภูลังกา และฝั่งลาวฝั่งแม่น้ำโขงและภูเขาควาย เป็นต้น ขอน้อมนำชีวประวัติและปฏิปทาของหลวงปู่ผาง โกสโล มาเผยแผ่เพื่อเป็นมรณานุสติแะสังฆานุสติครับ

"เฮ็ดหน่อย ได้หน่อย เฮ็ดหลาย ได้หลาย บ่เฮ็ด บ่ได้" โอวาทธรรมหลวงปู่ผาง โกสโล

• ชีวประวัติปฏิปทาหลวงปู่ผาง โกสโล

หลวงปู่ผาง โกสโล ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๔๔๙ (ตามทะเบียนบ้านฝั่งลาว) จากใบสุทธิ หลวงปู่เมตตาเล่าว่า ท่านจําวันเกิด ไม่ได้ ท่านเกิดปีฉลู ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๕๖ บ้านนาแก (นาท่อน) เมืองอาจสะพังทอง (ปัจจุบัน คือ เมืองพลาญไชย) แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บิดาชื่อ สิง มารดาชื่อ อ่อน นามสกุลนี้เอาชื่อพ่อ กับชื่อแม่ มารวมกัน รวมเป็น สิ่งอ่อน มีพี่น้องด้วยกัน ๗ คน หลวงปู่เป็นคนที่ ๔
๑. จารย์บุญ สิ่งอ่อน (เสียชีวิต)
๒. นายมืด สิ่งอ่อน (เสียชีวิต)
๓. นางนาง สิ่งอ่อน (เสียชีวิต)
๔. หลวงปู่ผาง โกสโล (มรณภาพ)
๕. นายผุย สิ่งอ่อน (เสียชีวิต)
๖. นายผอง สิ่งอ่อน (เสียชีวิต)
๗. นายหล่า สิ่งอ่อน (เสียชีวิต)
 
ฝ่ายมารดาของหลวงปู่เป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อท่านอายุได้ราวๆ ๑๓-๑๔ ปี บิดาท่านเห็นว่า ท่านมีอุปนิสัยไม่เหมือนกับพี่น้องคนอื่น ๆ จึงให้ท่านออกบวช ด้วยจิตเดิมของท่านมีอุปนิสัยน้อมไปทางธรรมอยู่แล้ว เมื่อบิดาพูดเช่นนั้น องค์ท่านดีใจมาก ท่านได้เดินเท้าจากเมืองพลาญไชย ข้ามแม่น้ำโขงมาบวชเป็นเณรอยู่กับพี่ชาย ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่บ้านโคกเลาะ ต.ข้าวปุ้น อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี การบวชในครั้งนั้น ท่านได้พบกับหลวงปู่ด่อน อินทสาโร (พ่อแม่ด่อน) อ.ปากคาด เราบวชเป็นเณร อยู่บ้านเพิ่นนั้นละ โอ้ย สมชื่อว่า ญาคู ด่อน กะด่อน สมชื่อ ตัวใหญ่ ขาวจนพูน ช่วงที่หลวงปู่ด่อน จะออกธุดงค์ ท่านได้ชวนหลวงปู่ผางไปด้วย แต่พระพี่ชายไม่อนุญาต จึงไม่ได้ไป
 
• มูลเหตุก่อนการออกบวช

เดิมท่านก็ประกอบอาชีพเป็นหมอยาหาสมุนไพรตามป่าอยู่แล้ว ท่านจึงเชี่ยวชาญเรื่องการใช้ชีวิตรอนแรมอยู่ตามป่าเขา เมื่อหลวงปู่อายุราวๆ ๓๐ กว่าปีท่านได้พบกับ ท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร (ภูลังกา) ซึ่งได้มาพักโปรดญาติโยม เพื่อให้เลิกนับถือผีที่หอปู่ตา ปัจจุบันคือ วัดป่าสว่างอารมณ์ ต.ดอนหญ้านาง อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ ท่านพระอาจารย์วัง ได้ให้อุบายหลวงปู่ โดยให้นึกคําบริกรรม “พุทโธ” ท่านจึงได้นําไปปฏิบัติ นึกบริกรรมอยู่ ๓ ปี ถึงได้ “พุท” เข้า “โท” ออก
 
ต่อมาท่านจึงคิดอยากจะออกบวช จึงได้ลาภรรยา เพื่อจะออกบวช แต่ภรรยาได้ขอให้หลวงปู่ช่วยปลูกบ้านให้ใหม่ก่อน ค่อยออกบวช ท่านจึงได้ไปติดต่อช่างมาปลูกบ้าน แต่ด้วยเหตุแห่งทุกข์มาเยือนโดยไม่ได้เตือนล่วงหน้า ภรรยาท่านจึงได้ป่วยและได้มาสิ้นใจลง
ท่านมีบุตร-ธิดา รวมกัน ๔ คน
๑. นางวาง วันดี (เสียชีวิต)
๒. นายเวียง เกษบึงกาฬ
๓. นางเลียง รักเพื่อน
๔. นายสําเนียง เกษบึงกาฬ
ภาระการดูแลลูกๆ จึงตกเป็นของหลวงปู่ เมื่อลูกท่านเติบใหญ่ดูแลตนเองได้แล้ว อีกทั้งบุตรสาวคนโตได้แต่งงานมีครอบครัวที่มั่นคงแล้ว ท่านจึงได้มอบภาระให้ช่วยดูแลน้องๆ

หลวงปู่ผางจึงได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้บวชเป็นตาผ้าขาวที่ถ้ำจันทร์ อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย(ปัจจุบัน คือ จ.บึงกาฬ) สมัยก่อนท่านเคยไปอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล และท่านพระอาจารย์จวน ที่ดงหม้อทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ต่อมาท่านพระอาจารย์จวน ได้มอบหมายให้หลวงปู่ มาช่วยสร้างวัดภูกระแต อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย (ปัจจุบันเป็น จ.บึงกาฬ) โดยได้เขียนหนังสือให้หลวงปู่มามอบให้หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม เพื่อร่วมสร้างวัด ช่วงท่านเป็นผ้าขาว ยังไม่อยากจะบวชเป็นพระ เป็นผ้าขาว รักษาศีลไม่มาก แต่ครูบาอาจารย์บอกว่าเป็นผ้าขาวรักษาศีล ๘ ได้บุญน้อยกว่าบวชเป็นพระรักษาศีล ๒๒๗ ตัวท่านจึงได้บวช หลวงปู่ผาง ท่านเคยเล่าให้แอดมิน(เอ ท่องถิ่นธรรม) ฟังว่า ท่านเองตอนเป็นตาปะขาวเคยนั่งจิตรวม เข้าออกสมาธิได้ง่าย แต่พอบวชแล้ว คงด้วยเพราะความกังวลในข้อวินัยหรืออย่างไร ทำให้ท่านจิตเสื่อม กว่าจะรวมเข้าสมาธิก็ใช้เวลาบวชมาอีก ๑-๒ ปี จิตจึงรวมได้ง่าย อีกเรื่องนึง หลวงปู่ผางเล่าว่า.. "ท่านเคยไปกราบหลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ชอบบอกว่า เรามีพระดีอยู่รูปนึง พรรษา ๑๐ พระองค์นี้จะอยู่เหนือโลก ท่านชื่อจันทร์เรียน พอหลวงปู่ผาง กลับมา ได้นั่งสมาธิตามเข้าไปดู ท่านเล่าว่า ฮู้ ท่านองค์นี้ ภาวนาดีจริงๆ จริงอย่างที่หลวงปู่ชอบท่านชม"

• ตายเพราะศีลธรรมยังดีกว่า 

ตอนที่หลวงปู่ยังบวชเป็น ผ้าขาว หลวงปู่จวน (ภูทอก) ถามว่า ผ้าขาว คอมมิวนิสต์มาจะทํายังไง เขาจะฆ่า เขาจะบังคับให้สึก ถ้าไม่สึก ปืนเขาจะจี้สมอง แล้วจะทํายังไง ฮึฮึ.. หลวงปู่ก็บอกว่า ขอโอกาส ครูจารย์ เขาจะฆ่าก็สึกนะสิ เขาจะฆ่า ครูจารย์จวนก็หัวเราะ ที่นี้ครูจารย์จวนก็เล่าแล้วทีนี้ จะสึกไปทําไม จะฆ่าก็ให้เขาฆ่า เขาฆ่าเขา ก็ตกนรก เราถือศีลบริสุทธิ์แล้วได้สวรรค์แล้ว ขั้นสวรรค์นี้ไม่เอาก็ได้ ไม่ต้องสึกให้เขาฆ่าเลย เขาฆ่าเขาก็ตกนรก เขาก็ยังจะกล้าฆ่าพระ ฆ่าเณร ฆ่าผ้าขาว เขาก็ยังกล้าตกนรก เรากล้าเอาบุญ เอากุศล สละชีวิตไม่ได้หรือ ป๊าดโธ่ ! ครูบาอาจารย์ วิเศษวิโสแล้ว เราก็กลับใจได้แล้ว ทํายังไงก็ไม่สึกแล้วทีนี้ ได้แล้วธรรมะครูบาอาจารย์ท่านให้แล้ว ตายเป็นตาย เขาอยากฆ่าให้เขาฆ่าเลย ปืนมายิงก็จะให้ยิง เอามีดมาปาดคอก็จะให้ปาด เขาอยากจะปาดออกทีละชิ้นก็ให้เขาปาดให้มัน หมดเลย เหลือแต่กระดูก สละตายเลย แล้วตอนที่ไปอยู่ภู เขาก็จะเอาปืนมายิงทุกวัน เอ้า..ตายวันนี้ละ กลางคืนมานั่งภาวนา เห็นเขาเดินแบกปืนมาก็เลยลงจากกุฏิมานั่งที่พื้นดิน ถ้าตายในกุฏิเลือดมันจะถูกเสื่อสาด หมอน แป้น ของสงฆ์ มันจะเป็นบาป นั่งหลับตาภาวนาอยู่ พอเขามาหัวบันไดจะขึ้นภูเขาก็หันหลังกลับ หลวงปู่ก็ว่านั้น ไม่เห็นมันจะมาฆ่าเลย 

รัฐบาลก็จี้เลยว่านี่ตัวการคอมมิวนิสต์ (ตัวการ) หลวงปู่ก็บอกว่านี่ ตัวการคอมมิวนิสต์ ฆ่าเลย ยอมตายถ้าหลวงปู่เป็นคอมมิวนิสต์ พระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้าก็เป็น ถือศีล เดินจงกรม ภาวนาตลอดวัน ตลอดคืน สัตว์ตัวเล็กๆ ลิ้น ยุง มากินก็ยังไม่ได้ฆ่า ก็ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนพวกที่ ฆ่าสัตว์ กินเหล้า อยู่ทุกจังหวัดเป็นคนดี พระที่ไม่ปฏิบัตินะ ทําหมดทุกอย่างเสพหมดทุกอย่างทั้งแม่ออก แม่ชี แล้วเป็นผู้ที่ประเสริฐนะ เอาเลย หลวงปู่ว่าอย่างนี้เลยนะ

• ธรรมอยู่กับตัวเรานี้
 
จะเอาแพ้หรือชนะก็ขึ้นอยู่กับเรา อย่าไปกลัวตายนะ กลัวเจ็บ กลัวปวด กลัวเป็นโรคเป็นภัยไม่ต้องกลัว จะเป็นใครก็ตาม ก็มีโรคอยู่ด้วยกันทุกคน แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสธรรมะเป็นภาษาบาลีว่า นัตถิ ตัณหัง สัมมา นที แม่น้ำ มหาสมุทร ทะเล ในโลกนี้ที่ว่าใหญ่ที่สุด ก็ยังไม่เท่า น้ำกิเลสตัณหาของคนแต่ละคนนะ จริงมั้ย จริง ให้ดูหัวใจของเรานี้ ความอยากนี้ เอาหมดทั้งโลกนี้มาให้ก็ยังอยากได้อีกอยู่ ยังไม่พอ นี่แหละที่เรียกว่า ตัณหา ความอยาก ที่ทําให้คนเป็นทุกข์เป็นโทษ ก็ยังจะไปอยู่ใต้อํานาจของมัน พระพุทธเจ้าท่านชนะแล้ว

• เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ (ฝ่ายธรรมยุต)

ท่านได้บรรพชาอุปสมบท เมื่ออายุ ๔๐ ปีในวันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ที่ วัดกุดเรือคํา ต.คูสะคาม อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
โดยมีพระครูอดุลสังฆกิจ (มหาเถื่อน อุชุกโร) เป็นพระอุปัชฌายาจารย์
พระอาจารย์คําฟอง เขมจาโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ฉายาว่า “โกสโล”
 
• ปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ

ตอนอยู่กับท่านพระอาจารย์จวน ภูทอก ท่านไม่ให้หลวงปู่ท่องหนังสือให้ตั้งใจภาวนาอย่างเดียว มีพระองค์ หนึ่งมาบอก ญาพ่อท่องปาฏิโมกนี้ หลวงปู่ก็คิดอยากจะท่อง ท่านพระอาจารย์จวนท่านรู้จัก อย่าไปท่องนะ ตั้งใจภาวนานะ ถ้าท่องจิตมันก็ไปสิ แล้วมันเอาได้ยาก เอาให้มันชิน มันเคยกับการภาวนา การนั่ง การเดิน ให้จิตสงบ จิตรวม ให้มันได้เป็นแถวไปเลย ทุกวัน ทุกคืน จะได้พ้นทุกข์ ชนะกิเลส ท่านว่า ท่านห้ามอยู่อย่างนั้นละ หลวงปู่ก็เลยทําตาม เอาจริงเลยไม่ต้องท่องไม่ต้องยุ่งละ ไปกุสลาคนตายก็ไม่ไป ไปทําบุญขึ้นบ้าน บุญเฮือน แจกข้าวก็ไม่ไป ทําเพียร เดินจงกรม นั่งภาวนา ตลอดวัน ตลอดคืน ไม่มีหลับ ไม่มีนอน ไม่มีพักผ่อน ถ้าจะตาย ให้มันตาย ตายแล้วก็แล้วไป ตัดสินใจเลย ถ้าไม่ตายก็คงจะได้ดี นี่แหละ เร่งความเพียร จนออกพรรษาแล้วพระก็มารวมกันเยอะ แล้วอาจารย์จวน ก็ถาม ถามพระ ญาพ่อ ญาตา พระหนุ่มถาม ถามใครก็ตอบไม่ได้ ถามก็ไม่มีใครตอบ เลยมาถามหลวงปู่ ที่นี้ ญาพ่อ ย่าน (กลัว) อะไร ทุกวันนี้ ฮึฮึ ตอบให้ถูกนะ ถ้าไม่ถูกไล่หนีเดี๋ยวนี้ ไม่ให้อยู่ อ้าว..ตายละ ทีนี้ ทํายังไง ของบวชใหม่ เพิ่งจะได้พรรษาเดียว จําเป็นต้องตอบไป ตามความเห็นยกมือขึ้น ขอโอกาสครูบาอาจารย์ ย่าน (กลัว) คน กลัว ตนเอง อาจารย์จวนก็ เอ้อ นี่ใช่แล้ว ถ้าใครกลัวเสือ กลัวเปรต กลัวผี กลัวเจ็บไข้ได้ป่วย อันนั้นไม่ใช่ทาง กลัวตัวเองนี่แหละ กลัวกิเลส กลัวตัณหา กลัวอวิชชา มันพาทุกข์ เอาชนะมันเลย ไม่ต้องนอน ไม่ต้องกิน ไม่ต้องพูด เอาเลย ๆ นี้ถูกแล้ว 

แล้วอาจารย์จวนก็เทศน์ คนนี่ละที่ฆ่ากัน คนนี้ละมันเกลียดชังกัน คนนี้ละอิจฉา พยาบาท เบียดเบียนกัน คนนี้ละมันตัดรอนกัน คนนี้ละมันโกหกกัน มันหลอก มันลวงให้หลงผิด แย่งเอาไร่เอานา กินฝิ่น กินชา กินเหล้า ไม่ใช่หรือ มันต้องแก้สิ ถึงจะใช่ พระก็ฟังเงียบ ไม่รู้ว่าบุญวาสนาบารมีอะไร หลวงปู่ก็พึ่งจะภาวนา ไม่ทันไร อาจารย์จวนก็ถามอีก ญาพ่อ พระก็เต็ม ญาพ่อ จิตกับใจ เป็นยังไง ใจกับกายเป็นยังไง ตอบให้ได้นะ ตอบให้เป็นนะ ตอบให้ถูกนะ 

หลวงปู่ก็แทบจะร้องให้ ไม่รู้ว่าเป็นยังไง จําเป็นท่านไล่หนี ก็จําเป็นล่ะ ทีนี้ก็เลยตอบ จิตกับใจก็อันเดียวกันครับ ใจกับกายก็อันเดียวกันครับ ไม่มีสองหรอก ถ้าโลกุตระบุคลาทิฏฐาน ธรรมาทิฏฐาน จิตก็ ๑๐๘ ดวง ตัณหา ๑๐๘ อาจารย์จวนก็ตอบว่า ใช่แล้ว ญาพ่อ จิตมีดวงเดียวนี้ละ กายกับจิต อันเดียวกัน ถ้ามีกายก็มีจิต มีจิตก็มี กาย ไม่มีจิตกายก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีกายจิตก็อยู่ไม่ได้ นี่ละมันใช่ ญาพ่อ หลวงปู่ก็เลยชื่นใจ กลัวว่าอาจารย์จวนจะด่า ว่าถ้าตอบไม่ถูกก็ด่าว่า แสตก (กิน) ข้าวโยมเฉยๆ โง่เหมือนหมาไปกินขี้อยู่ในส้วมนู่น มันค่อยสมกัน อาจารย์จวนท่านด่า หลวงปู่จริง ๆนะ ไม่ใช่ของเล่นนะ แต่หลวงปู่ก็อดเอา ท่านว่าก็ช่าง ท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ ท่านอยากให้เราได้ดี ท่านชังท่านก็ไม่มองหน้าสิ ท่านไม่พูดด้วยแม้แต่คําเดียว เสียคำพูด เสียศีล เสียธรรม อันนี้ท่านอยากให้ได้ดี 

• ติดตามหลวงปู่จวน มาตั้งหลายภพหลายชาติ

โอ้ บุญวาสนานา คือว่า อาจารย์จวนนี้ เราเคยเป็นเณร ปฏิบัติท่านตอนอยู่เวียงจันทร์ บวชตั้งแต่เจ้าอนุ เวียงจันทร์ ตั้งแต่พระเจ้าไชยเชษฐา เคยปฏิบัติท่านมา เป็นฤาษี พระอาจารย์จวนท่านอยู่ที่ภูวัว ส่วนหลวงปู่อยู่ที่ภจ้อง ตอนเป็นเณร เป็นฤาษี ตอนอายุ ๑๘-๑๙-๒๐ เป็นฤาษี เคยปฏิบัติมาหลายร้อยหลายพัน หลายหมื่นปีแล้ว กับอาจารย์จวนนี่นะ ที่นี้ท่านไปแล้ว ท่านหมดแล้ว ท่านไม่ได้กลับมาเกิดอีกแล้ว ไม่ทุกข์แล้ว ถ้าเหลือกะเหลือแต่หลวงปู่นิละ โอ๊ย เจ้าเฮือนนี่ละ 

ครั้งที่เจ้าอนุ เป็นเจ้าแผ่นดิน อาจารย์จวนบวช หลวงปู่ก็บวชเป็นเณร ท่านปฏิบัติภาวนา ได้หลายปี แล้วก็ได้สูตร มาทําปรอท สามกษัตริย์ ไม่มีเงิน ไปยืมเงินรัฐบาลกับพระเจ้าแผ่นดิน รัฐบาลก็เลยว่า ถ้าไม่มีตังค์ให้จะทํายังไง จะเอาอะไรมาใช้คืน เอาอะไรมาประกัน อาจารย์จวนก็เลยว่า เอาตานี่ ถ้าไม่ได้เงินก็ให้มาเจาะตานี้ทั้งสองข้าง ก็เลยเซ็นสัญญา รัฐบาลก็เลยเอาเงินให้ไปซื้อมาแล้วก็มาทําเตา ปั้นเตาทําสูบ หลวงปู่ก็อายุ ๑๘-๑๙ ปีแล้ว ได้หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน สี่เดือน ไม่ได้หยุดเลย ฉันข้าว แล้วก็สูบ อาจารย์จวนก็สูบช่วยเปลี่ยนกัน พอมันเปื่อยเป็นน้ำแล้วก็ เททําเป็นปรอท เสร็จหมดแล้ว เป็นปรอทแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอภินิหาร ก็เลยเก็บไว้ในกุฏิท่าน 

ทีนี้รัฐบาลก็เรียกถึงกําหนดเซ็นสัญญาแล้ว เรียกไปก็ไม่มีเงินให้ เขาก็เลยเจาะตาทั้งสองข้าง ร้องให้ เจ็บ แล้วก็บอกเณรเอาปรอทไปทิ้งลงส้วมหมดเลย พอถึงตอนกลางคืน มันเป็นแล้ว มันก็สว่างเหมือนไฟนีออน ก็เลยไปบอกท่าน อาจารย์จวนก็บอกว่ามันเป็นแล้วก็เลยบอกให้ไปเอามา หลวงปู่ก็เลยบอกว่า ไปเอายังไง มันมีแต่ขี้ ขี้ก็ช่าง หลวงปู่ก็เลยนุ่งผ้าอาบน้ำลงไปเอาได้ ครึ่งนึง เอาไปล้างน้ำแล้วเอาไปให้อาจารย์จวน แล้วหลวงปู่ก็ไปซักผ้าอาบน้ำ ได้เดือนหนึ่งกลิ่นก็ยังไม่หมด กินข้าวก็ไม่อร่อย ก็เลยได้จ่ายของ แล้วก็ได้ตังค์ซื้อเรือ แต่งของแล้วก็ไหลไปตามแม่น้ำโขง มาอยู่กับ ปากห้วยวังบาตร อยู่ถ้ำผาอีด่าง อยู่ริมโขง หลวงปู่ก็ไปลัดดักเอาสัตว์ที่ตายใหม่ ๆ ถ้าคนตายใหม่ๆ เขาก็ทิ้งลงน้ำ มันก็ไหลไปฝั่งนั้น ประเทศพระเจ้าแผ่นดินเจาะตา โกรธให้ ก็เลยไปอยู่ฝั่งนู้น ไม่อยู่แล้วฝั่งนี้ พระเจ้าแผ่นดินไม่มีศีล ไม่มีธรรม ไม่มีเมตตา เจาะตาเราเป็นทุกข์ ท่านว่า 

หลวงปู่ว่าท่านอยู่ได้เดือนหนึ่ง ๒ เดือน ๓ เดือน พอดีวันนั้น เขาทิ้งวัวน้อยตายใหม่ๆ ไหลมา หลวงปู่ก็เลยเอาไม้เกาะเอา แล้วก็เจาะเอาตาล้างน้ำแล้วก็เอาขึ้นไปให้อาจารย์จวน บอกท่านว่าได้แล้ว ลูกตาวัวน้อย อาจารย์จวนก็ว่า ตาวัวน้อยก็เอา ท่านก็เลยถ่างตา หลวงปู่ก็เลยเอาตาวัวน้อยใส่เข้าไปเลยทั้ง ๒ ข้าง แล้วก็เอาปรอททา ก็กลายเป็นตาทิพย์เลย เห็นหมดเลยในโลกนี้ และก็เป็นฤาษีเลย พระอาจารย์จวนนะ ชื่อว่า ฤาษีตาวัว ภูวัว หลวงปู่ก็อายุ ๒๐ ปีแล้ว ก็มาอยู่ภูจ้อง ภาวนาได้ฤาษีแล้ว จนถึงวันตายนั้นสิ ตายแล้วก็ไปพรหมโลกแล้วก็มาเกิดอีก เวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ

• สถานที่ ที่หลวงปู่เคยจําพรรษา

วัดภูกระแต (วัดสามัคคีอุปถัมภ์) จ.บึงกาฬ
วัดถ้ำจันทร์ อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ
จากนั้นท่านจึงธุดงค์ไปในที่ต่างๆทั้งภาคอีสาน และฝั่งลาว
 
พรรษา ๔ วัดเขาชัยยันต์ อ.ปากช่อง นครราชสีมา ตรงกับประวัติ หลวงปู่สมชาย ฐิติวิริโย วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี ท่านธุดงค์มาสร้างวัดนี้ หลวงปู่ผางเล่าว่า อยู่นั่นของกินไม่อดไม่อยาก มีโยมมาจากกรุงเทพ เอาอาหารใส่ท้ายรถ มาส่งให้อยู่ปากช่อง ได้รู้จักพระบวชใหม่ ลางานมาบวช ชื่อคุณชลอ เป็นเชื้อเจ้า เพิ่นได้นิมนต์หลวงปู่ไปฉันอาหารที่บ้าน แล้วก็พาไปเที่ยว หอพระแก้ว เป็นครั้งแรกที่ได้กราบพระแก้วมรกต หลวงปู่ท่านเล่าว่า ตอนอยู่ที่เขาชัยยันต์ ภาวนาจิตรวมแล้วเหาะขึ้นไปอยู่บนฟ้า แล้วช่วงกลางพรรษา กรรมก็มาถึง มีแม่ออกเคยเป็นคู่บารมีมาภพก่อนชาติก่อนมาหา ทุกวันก็เห็นแต่แม่มาใส่บาตร แต่วันนั้นบังเอิญ เธอมาใส่บาตรกับแม่ พอตักข้าวลงถึงบาตร เหมือนแผ่นดินยุบลงถึงหัวเข่า น่าอัศจรรย์ พิจารณายังไงก็ไม่ได้ ทํายังไงถึงเป็นอย่างนี้ เดินจงกรมอยู่ก็ยังเห็น อยู่ตรงหน้า โอ้ย ตายแล้ว ไม่ฉันข้าวอยู่ ๓ วัน
 
พรรษา ๘ วัดป่าสว่างอารมณ์ ต.ดอนหญ้านาง อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ
วัดป่าวิไลพร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ อยู่ร่วมกับหลวงปู่เลิศ กับ หลวงปู่โก้
 
• ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม

ได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม วัดป่าดานศรีสําราญ ต.ศรีสําราญ อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ จําพรรษาอยู่กับหลวงปู่คําตัน ฐิตธัมโม ๕ พรรษา แต่พรรษาไม่ติดต่อกัน จากนั้นจึงได้ออกวิเวกไปในที่ต่างๆ ก่อนไปท่านเล่าว่า หลวงปู่คำตัน ก็ห้าม ไม่อยากให้ไปไหน อยากให้อยู่ภาวนาเสียด้วยกัน ท่านว่าหลวงปู่ผาง เคยเกิดเป็นลูกท่านอยู่ในอดีตชาติ
 
ท่านเล่าว่าสมัยหนึ่งหลวงปู่จวน มาเยี่ยมหลวงปู่คำตัน มาก็ไม่พูดอะไรกัน มองกันนิ่งเงียบ ก่อนจากก็ปรารภธรรมกันเพียงไม่กี่ธรรม ก็เป็นที่รู้กัน หลวงปู่ผาง ท่านสงสัย จึงได้ไตร่ถาม หลวงปู่จวน ได้ยินเข้าจึงดุ “หา..ของอย่างนี้ถามกันได้หรอ อยากได้อยากรู้ก็ปฏิบัติเองซิ ถ้าถามกันแล้วได้ อย่างนี้เขาก็เป็นเศรษฐีกันทั่วโลกแล้วซิ” หลวงปู่ผาง ได้ออกรุขมูลอยู่ตามป่าเขา ทั้งฝั่งไทย และฝั่งลาว ไปอบรมธรรมกับหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ท่านว่าหลวงปู่จวน เป็นพระที่ดุดัน เอาจริงเอาจัง
 
ภูกิ่ว อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ หลวงปู่อยู่จําพรรษา ประมาณ ๑๕ ปี ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ (ภูทอก) ได้พาหลวงปู่มาพักภาวนาที่ ภูกิ่ว แล้วก็ให้หลวงปู่อยู่ที่ ภูกิ่ว
 
พรรษา ๑๐ พ.ศ.๒๕๑๒ วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี จําพรรษาอยู่กับหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล และ หลวงปู่สมหมาย อัตตมโน (สมัยยังเป็นสามเณร)
 
ปี พ.ศ.๒๕๓๘ ท่านมาอยู่ที่ภูหินแตก (ภูหินปูน) ท่านเล่าว่าที่นี่ภาวนาได้ดี สงบสงัด ทำความเพียรได้ดี แต่มีภูมิเจ้าที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ มีรูปร่างเป็นยักษ์ดุร้าย ท่านเล่าว่า เขาพยายามจะมาไล่อยู่บ่อยๆ บางทีก็ถือค้อนใหญ่มาไล่ แต่หลวงปู่ผาง ก็บอกว่า เรามาที่นี่ เราไม่ได้มายึดมาเอาของเธอ เราแค่มาขออาศัยทำความเพียรภาวนาเท่านั้น ไม่ได้คิดจะมาแย่งที่ๆของเธอ แต่อย่างไร เขาจึงเย็นลง เมื่ออยู่ๆไป ตัวเขาเองก็ได้รับพลังเมตตาจากหลวงปู่ผาง เกิดความชุ่มเย็น หลวงปู่ผาง ได้ถามยักษ์ตนนั้นว่า เธอมาอยู่นี่ได้อย่างไร ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดเสีย เขาตอบว่า “เขาเฝ้าไหสมบัติอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว ไม่กล้าไปไหน กลัวจะมีคนมาขุดไป” หลวงปู่ผาง จึงสอนเขาว่า “แล้วจะมาหลงมาไหลอะไรกับทรัพย์สมบัติ ดูซิ ตายแล้วจะไปไหนก็ไม่ได้ มาเฝ้า มาหวงไว้ เอาไปใช้ก็ไม่ได้ ใครจะมาขุดมาเอาก็ปล่อยเขาไปซิ เราตายไปแล้วนี่ จะมายึดมาหวงให้เป็นทุกข์ทำไม” หลวงปู่ผาง เท่าเล่าว่า ที่ภูหินแตกนี้ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นภูหินปูน เพราะชื่อไปซ้ำกับวัดบ้าน) ใครจะมาขออยู่ภาวนา ไม่ว่าพระเณร หรือแม่ชี ถ้าหากย่อหย่อนความเพียร กลางคืนก็มักจะโดนดึงขา ลากขาตกกุฏิไป และสถานที่แห่งนี้เองที่หลวงปู่ผาง โกสโล ท่านได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ บรรลุคุณธรรมขั้นสูงสุด ที่วัดภูหินปูน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
 
พรรษาที่ ๕๒-๕๔ (พ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๕) จําพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์ภูจ้อง บนภูสิงห์ อ.ศรีวิไล จ. บึงกาฬ ซึ่งเป็นที่ๆ ท่านเคยมาปลีกวิเวกเมื่อสมัยก่อน
 
พรรษาที่ ๕๔-๕๖ (พ.ศ.๒๕๕๖-๒๕๕๘) จําพรรษาอยู่ วัดป่าสว่างอารมณ์ บ้านดอนน้อย ต.ดอนหญ้านาง อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ เป็นพรรษาสุดท้าย แล้วท่านก็ได้ละสังขาร ทางคณะศิษย์จึงได้นําสรีระสังขารของหลวงปู่ผาง โกสโล มาบําเพ็ญกุศล ที่สํานักสงฆ์ภูหินปูน และถวายเพลิงสรีระสังขาร ในวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ เมรุชั่วคราว สํานักสงฆ์ภูหินปูน บ้านหินแตก ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
 
หลวงปู่ผางเล่าว่า.. เรานี่ บวชใหม่ ไปหาหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ,หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม , หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่นั้นไป เพิ่นกะเทศน์ให้ เอาเด้อ เฮ็ดให้ได้เด้อ เฮ็ดให้ชนะเด้อ อย่าแพ้กิเลสเด้อ อย่าเอากิเลสเป็นนาย เป็นบุญเด้อ กิเลสเป็นศัตรู เอาศีลเอาธรรมนี้ มันจึงดี เอาให้ได้ ตายทิ้ง ปฏิบัติตาย ทําดีตาย บ่เสียดายดอก ทําบาปตายกะยังเฮ็ด คนหมดโลกหมดแผ่นดินนี้เขายังเอาชีวิตแลก เอาเลือดเนื้อแลก เราเอาเลือดเนื้อแลก เอาบุญ เอากุศล เอาศีลเอาธรรม มันหมดดีจังเซาแหล่ว เพิ่นเทศน์ ใจกะมีกําลังแล้ว เพิ่นกะคน เรากะคน ตายย้อนความเฮ็ดดีนี่ ตายช่างมัน ตายย้อนเฮ็ดไฮ (ไร่) เฮ็ดนา เฮ็ดรั้ว ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ไปกินเหล้า กะยังกล้าตาย มีประโยชน์อีหยัง
 
อันนี้หละ ตายนําถือศีล ภาวนา เอาบุญให้เจ้าของ คั่นบ่กล้าตายกะซั่ว (โง่) ถ่อนั้นแหล่ว หมามันยังดีกว่า นั่น ว่าให้เจ้าของนั้น ขอให้ฟังให้ทําตาม ให้ยึดเอาโลด ยึดธรรมะนี้ เอาไว้ในหัวใจนี่ นั่งภาวนาหลับตา พิจารณาเห็นลมหายใจ เข้าออก แล้วกะเห็น ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความพยศ โหดร้าย ทําลายตัวเอง บาปกรรมมันเต็ม อะยะ (เยอะ) อยู่ คั่นเห็นแล้วกะ โอ้ย สูญใหญ่แหล่ว มึงบังคับกูตาย เป็นหมื่นเป็นแสนร้อยล้านภพชาติแล้ว บาดนี้ กูจะเอามึง มึงกับกู คู่ตาย พูดเต็มปากเลย เอาเลย เอาไปเอามากะชนะยอมแล้วกิเลส โอ้ย อยู่นําบ่ได้แล้วขอลาไปแล้ว เอ้อไป ไปแล้วอย่าคืนมา คั่นคืนมาตาย เอ้ามึงกับกู แล้วกะเฮ็ดเอา ทําเอา เรานี่ (หลวงปู่ผาง) กะบ่ได้อยู่ประจํา เดี๋ยวกะผู้นี่นิมนต์ ผู้นั้นนิมนต์ สมควรไปกะไป บ่สมควรไปกะบ่ไป ไปแล้วกะบ่ได้เขาบ่เอา เขาอยากฟังซื่อ ๆ อยากเห็นซื่อ ๆ (เฉย ๆ) อยากกราบ อยากไหว้ซื่อ ๆ แล้วเขากะบ่เอาจริงแล้ว เราก็บ่ไป ไปแล้ว เขาเอาจริง เอ้อไป สงเคราะห์บ่ได้หน่อยกะได้หลาย ยังมีคนอยู่ มีผล มีประโยชน์อยู่ แบ่งมรดกของพระพุทธเจ้า ที่เฮ็ดเอาได้ยาก เอาชีวิตเลือดเนื้อแลกเอาจั่งได๋ แล้วกะให้เพราะว่าของดี อยากให้ผู้อื่นได้ดี คือกัน เพราะเราได้แล้วมันเป็นจังซี่ เฮ็ดเอา ทําเอา
 
ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละของดี กิเลสมันเป็นมหาอํานาจ มันทําลายมนุษย์ เอาคนไปลงนรกหมด คนในโลกในแผ่นดินนี้ ลงนรกหมด พระพุทธเจ้าเกิดมา หมดในโลก ในแผ่นดินอันนี้ เอาคนไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน และแล้วไผละเอาคนไปนรก เป็นคนกะแม่นเทวทัต เทวทัตล่ะเอาคนลงนรก ไปเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นผี
 
พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า เอาคนไปเป็นพระ เป็นเทพบุตร เทพดา เป็นคนร่ำคนรวย เป็น คนฮังคนมี แต่มันบ่พอใจซะแล้ว อันผู้มันมีกิเลส เขาว่าบุญ มันก็ไม่เกี่ยว เขาว่าบาปเราก็ไม่เกี่ยว เขาว่าดีเราก็ไม่เกี่ยว เขาว่าทุกข์เราก็ไม่เกี่ยว เราจะอยู่สบาย ๆ หามากินใส่ปากใส่ท้องเอา ความสุขแค่นี้ นี่ละมันเสียประโยชน์ เสียตัวเอง มันตัดรอนตัวเอง อัตโนมัติ มันมีอยู่กับทุกคน มันเกิดจากนี่ละเกิดจากใจนี้ละ คั่นเป็น นักภาวนา ให้จิตสงบจิตรวมมีปัญญาแล้วรู้หมด เห็นหมด บ่มีอันได้ ปิดบัง บ่มีอันได้กั้นกลาง บ่มีเลย ผิดกะเป็นผิดอยู่จริงๆ ถูกกะเป็นถูกอยู่จริงๆ บุญกะเป็นบุญ เป็นบาปอยู่จริงๆ เราต้องแก้เอาในส่วนตัวเอง ของไผของมัน ผู้อื่นแก้บ่ได้ดอก
 
แล้วเป็นห่วง อาตมานี่ยุคนี่ศาสนาพุทธอยู่ประเทศไทย มีพระอริยะเจ้า พระอรหันต์นั้นนะมีเราบุญหลาย เราได้มาเกิดร่วมแล้ว ทําไมไม่เอาตัวให้รอด ไปเอาแต่สมบัติของโลก มันมีประโยชน์อันได๋ละ มีประโยชน์แต่เฉพาะเลี้ยงชีพ ทอนั่น จะเป็นส่วนตัวติดตัวไปไม่ได้ ถ้าศีลธรรมละเป็นของเราจริง ติดตัวเลยตายแล้วก็เอาไปด้วย มีชีวิตอยู่กะอยู่กับตัวไปเกิดกะ อาไปด้วย นี่ละ เพราะฉะนั้นต้องภาคภูมิใจปลูกศรัทธาลงให้จริง เลยให้แน่นเลย เอาหัวขาดคาเลย เอาศีล เอาธรรม ผู้มีศีล มีธรรม อันนี้ละจังว่าเป็นห่วงอยากให้ญาติโยมเข้าวัด ฟังธรรม รักษาศีล ยุคนี้เป็นยุคพระอรหันต์ มีบุญมีวาสนาหลาย มีความคิดปัญญา เพิ่นเมตตาช่วย เพิ่นสงเคราะห์อยากให้มีความสุข แต่ญาติโยมนั่นขาดเมตตาเจ้าของ ขาดดูแลเจ้าของ ขาดปัญญาที่จะให้ตัวเอง มีศีล มีธรรม มีบุญ มีกุศล พอแต่หามาเลี้ยงชีพ แล้วกะพอ แข่งกัน เอ้อไผกะมีหน้ามีตา ไผทุกจนกะเสียหน้าเสียตา เป็นทุกข์เป็นโทษ อันนี้เป็นของกิเลส ของตัณหา ของอวิชชา แม่นของพระพุทธเจ้าดอก ถ้าของพระพุทธเจ้าแล้ว อู้ย เป็นผู้เมตตาแล้ว กะเป็นผู้ช่วยเหลือตัวเอง เอ้อ สําหรับคนอื่นกะเป็นเรื่องของเรื่อง แต่คนนะมันไปช่วยคนอื่นซะ ทิ้งตัวซะแล้ว ความทุกข์ มันเกิดขึ้นแล้ว ความลําบาก ความยุ่งยาก ความเดือดร้อย มันขึ้นจากที่ใจของเรา เพราะฉะนั้นแล้วตัดสินใจตื่นมาทําวัตรเช้า เตรียมอาหารใส่บาตร พระอยู่ทุกมื้อทุกวันทุกคืน รักษาอยู่ในบ้านเจ้าของ ได้ศีล ได้ธรรม ภาวนา ทําบุญให้ทานได้ นี่ไม่หัวชาแล้ว
 
เห็นพระกะไม่เกี่ยวข้องไม่ยุ่ง นี่ละกิเลามันบังคับ เราเอากิเลสเป็นนาย เอากิเลสเป็นพระพุทธ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ เอาเป็นศีลเป็นธรรม เป็นบุญเป็นกุศล ไผว่า กิเลสมันดี กิเลสตัณหา อวิชชา เอาคนไปลงนรกหมดในแผ่นดินนี้ เอาคนลงนรกหมด แล้วอาจารย์ครูสอนกะเทวทัต นี่ละเอาเชื่อเทวทัต เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วกะเชื่อตัวเอง บ่ไปเชื่อ บุคคลอื่น เอาให้ได้เอาให้ดี เอาให้รวม มีหยังกะบ่ทอมีศีลมีธรรม มีบุญมีกุศล ประเสริฐแท้ๆ แต่มีเงินกะประเสริฐอยู่ แต่เวลาตายกะบ่ได้เอาไป มีร้อยล้านพันล้านกะทิ้งไว้หั่นละ เราไปแต่มือเปล่า มีศีล มีธรรมละติดใจเราเลย อื้อนี่ละบ่ได้เป็นของไผ บ่ได้ให้ไผ
 
• มรณภาพ

องค์หลวงปู่ผาง โกสโล ละสังขารแล้วด้วยอาการสงบเมื่อเวลาประมาณ ๒๓.๔๐ น. วันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ที่วัดป่าสว่างอารมณ์ อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ สิริอายุรวม ๑๐๙ ปี พรรษา ๕๖ (อายุ ๑๐๙ ปี คือนับจากทะเบียนบ้าน ถ้านับจากใบสทธิ ท่านอายุ ๑๐๒ ปี) โดยองค์หลวงปู่ผางได้มีคำสั่งห้ามเก็บสรีระไว้เกิน ๗ วัน ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์จัดงานถวายเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่ผาง โกสโล ณ วัดภูหินปูน บ.หินแตก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๘

คัดลอกประวัติและธรรมะจากหนังสือ "เทศนาธรรมหลวงปู่ผาง โกสโล ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา นี่แหละของดี" ; จัดทำโดยศิษยานุศิษย์ ; พิมพ์ปี ๒๕๕๘ 



ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco