ชีวประวัติหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป ๏
วันนี้วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๖ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพ ครบรอบ ๗ ปี ของพระเดชพระคุณฯ พระอุดมญาณโมลี หรือ หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี "พระรัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน สมณะผู้เป็นดั่งแสงสว่างเจิดจร้า ดั่งดวงจันทร์เพ็ญ"
“..เราลองตั้งสติหวนระลึกนึกถึง ตั้งแต่เราคลอดออกมาจากท้องของแม่ มาจนกระทั้งถึงบัดนี้ อายุบางท่านก็อยู่ระหว่างกลางคน บางท่านก็อยู่ปัจฉิมวัย คือสี่สิบ ห้าสิบขึ้นไป สังขารร่างกายนั้น เวลาจะเดินจะเหินนั้น แข็งแรงเหมือนอย่างที่เป็นหนุ่มเป็นสาวหรือไม่ ความแข็งแรงนั้นมันลดลงไปๆ เรามาพิจารณาได้อย่างนี้ ก็เป็นชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้ที่สามารถที่จะทำตนของตนให้เข้าถึง คำสอนของพระพุทธเจ้า..”
โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
๏ อัตโนประวัติ
“หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป” หรือ “พระอุดมญาณโมลี” เป็นพระมหาเถระสายพระป่ากรรมฐานศิษย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ แม่ทัพธรรมแห่งอีสานฝ่ายวิปัสสนาธุระ, เป็นพระผู้มากด้วยเมตตาที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธา และเป็นแบบอย่างอันงดงามของพระภิกษุสงฆ์ สามเณร และประชาชนชาวอีสานมาอย่างยาวนาน ด้วยยึดหลักธรรมแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง มีพลังเกื้อหนุนจากธรรมะของครูบาอาจารย์ที่คอยสนับสนุนตลอดมา ปฏิปทาอันงดงามของหลวงปู่จึงเป็นครูของชีวิตที่คณะศิษยานุศิษย์ภาคภูมิใจยิ่ง
หลวงปู่จันทร์ศรี มีนามเดิมว่า จันทร์ศรี แสนมงคล เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๔ ตรงกับวันอังคาร แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีกุน ณ บ้านโนนทัน ต.โนนทัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายบุญสาร และนางหลุน แสนมงคล ก่อนที่โยมมารดาจะตั้งครรภ์ ในคืนวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ นั้น ฝันเห็นพระ ๙ รูป มายืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน พอรุ่งขึ้นตรงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา ได้เห็นพระกัมมัฏฐาน ๙ รูปมาบิณฑบาตยืนอยู่หน้าบ้าน จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงรีบจัดภัตตาหารใส่ภาชนะ ไปนั่งคุกเข่าประนมมือตรงหน้าพระเถระผู้เป็นหัวหน้า ยกมือไหว้ แล้วใส่บาตรจนครบทั้ง ๙ รูป แล้วนั่งพับเพียบประนมมือกล่าวขอพรว่า
“ดิฉันปรารถนาอยากได้ลูกชายสัก ๑ คน จะให้บวชเหมือนพระคุณเจ้าเจ้าค่ะ”
พระเถระก็กล่าวอนุโมทนา หลังจากนั้นอีก ๑ เดือน นางหลุน แสนมงคล ก็ได้ตั้งครรภ์ และต่อมาก็คลอดบุตรชายรูปงามในวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔
๏ การบรรพชาและอุปสมบท
ด.ช.จันทร์ศรี แสนมงคล มีแววบวชเรียนตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย ด้วยโยมบิดา-โยมมารดาได้พาไปใส่บาตรพระทุกวัน จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ในบางครั้ง ด.ช.จันทร์ศรี จะนำเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งชายและหญิง ๗-๘คน ออกไปเล่นหน้าบ้าน โดยตนเองจะเล่นรับบทเป็นพระภิกษุเป็นประจำ
อายุได้ ๘ ขวบ โยมบิดาเสียชีวิตลง จนอายุได้ ๑๐ ปี โยมมารดาจึงนำไปฝากไว้กับเจ้าอธิการเป๊ะ ธัมมเมตติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี, เจ้าคณะตำบลโนนทัน และเป็นครูสอนนักเรียนโรงเรียนประชาบาล โดยรับไว้เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด อยู่รับใช้ได้เพียง ๑ เดือน เจ้าอธิการเป๊ะนำเด็กชายเข้าเรียนภาษาไทย ตั้งแต่ชั้น ประถม ก.กา จนจบชั้นประถมบริบูรณ์ เจ้าอธิการเป๊ะเห็นว่ามีความสนใจในทางสมณเพศ จึงได้ให้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ณ วัดโพธิ์ศรี บ้านศิลา ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๖๘-๒๔๗๐ สามเณรจันทร์ศรี หมั่นท่องทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ สวดมนต์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน และพระสูตรต่างๆ จนชำนาญ อีกทั้งได้ศึกษาอักษรธรรม อักษรขอม อักษรเขมร จนอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว แล้วมาฝึกหัดเทศน์มหาชาติชาดกทำนองภาษาพื้นเมืองของภาคอีสาน แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมถึง ๓ ปี
จากนั้นได้ร่วมเดินทางกับ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ และพระอาจารย์ลี สิรินฺธโร ออกไปแสวงหาความสงัดวิเวกตามป่าเขา และพักตามป่าช้าในหมู่บ้านต่างๆ เพื่อเข้ากรรมฐานและศึกษาอสุภสัญญา ปฏิบัติธุดงควัตร ๑๓ ตามแบบพระบูรพาจารย์สายพระป่ากรรมฐานอย่างเคร่งครัด
ครั้นต่อมาได้ขึ้นไปแสวงหาวิโมกขธรรมบนภูเก้า อ.โนนสัง จ.หนองบัวลำภู เลยขึ้นไปที่ถ้ำผาปู่ จ.เลย วัดป่าอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พักที่วัดหินหมากเป้ง และได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว พักที่โบสถ์วัดจันทน์ ๗ วัน แล้วกลับมาหนองคายแล้วเข้าอุดรธานี
ครั้นเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (วัดศรีจันทราวาส) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยมี พระครูพิศาลอรัญญเขต (จันทร์ เขมิโย ป.ธ. ๓) เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดขอนแก่น และเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ (วัดศรีจันทราวาส) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญญาพโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีพระอาจารย์กรรมฐานจำนวน ๒๕ รูปนั่งเป็นพระอันดับ ท่านได้รับนามฉายาว่า “จนฺททีโป” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า “ผู้มีแสงสว่างเจิดจ้าดั่งจันทร์เพ็ญ”
อุปสมบทได้เพียง ๗ วัน ท่านก็ได้ติดตาม พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี พระกรรมฐานผู้เคร่งวัตรปฏิบัติแห่งวัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย และ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ศิษย์สายกรรมฐานท่านพระอาจารย์มั่น เจ้าสำนักวัดป่านิโครธาราม ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เดินรุกขมูลคืออยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร ซึ่งเป็นหนึ่งในธุดงควัตร ๑๓ ตั้งแต่เดือนมกราคมไปจนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ก่อนกราบลาหลวงปู่เทสก์เพื่อขอไปศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรมต่อในกรุงเทพฯ
๏ การศึกษาพระปริยัติธรรมและงานด้านการศึกษา
พ.ศ.๒๔๗๔-๒๔๗๗ ได้เข้าศึกษาปริยัติธรรม และเข้าสอบเปรียญธรรมอยู่ที่ จ.ขอนแก่น
พ.ศ.๒๔๗๗-๒๔๘๒ ได้เข้าศึกษาปริยัติธรรม และเข้าสอบเปรียญธรรม ณ สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ
พ.ศ.๒๔๘๒-๒๔๘๓ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(หลวงปู่พิมพ์ ธัมมธโร) ขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระเทพโมลีฯ ได้ขอพระเปรียญจากกรุงเทพฯ คือ จากวัดบวรนิเวศวิหาร ๔ รูป จากวัดนรนาถสุนทริการาม ๒ รูป ขึ้นไปช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่ออยู่ที่วัดเจดีย์หลวงได้ซักระยะนึงแล้วจากนั้น พระเทพโมลีฯ จึงให้หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป ได้ย้ายไปสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม และบาลีไวยกรณ์ อยู่ที่วัดหนองดู่ ต.บ้านเรือน อ.ปากบ่อง(ปัจจุบันคือ อ.ป่าซาง) จ.ลำพูน ตรงกับพรรษาที่ ๙-๑๐ ซึ่งอายุขณะนั้นอายุได้ ๒๙ ย่าง ๓๐ ปีแล้ว หลวงปู่จันทร์ศรี ท่านได้ประสบแห่งภัยพรหมจรรย์ แต่ก็ได้หลบหลีกจนพ้นภัยมาอย่างดี ดังตามที่ท่านเล่าไว้...
๏ ประสบแห่งภัยพรหมจรรย์
“..มีหญิงม่ายผัวตายมา ๑ ปีแล้ว อายุ ๓๖ ปี มีลูกสาวคนเดียว อายุ ๑๖ ปี มีฐานะดี มีบ้าน ๓ หลัง มีนา ๓ แปลง ตั้งบ้านเรือนอยู่หนองสลิด ห่างจากวัดหนองดู่ครึ่งกิโลเมตร หลวงปู่เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านทุกวัน เธอใส่บาตรทุกวัน อยู่มา ๓ วัน เธอกับลูกสาวนำปิ่นโตข้าวมาถวายเพลทุกวัน กาลเวลาล่วงเลยไปความเคารพนับถือก็มากขึ้นทุกวันจนกลายเป็นความรัก
หลวงปู่มองเห็นกิริยาอาการผิดปกติ คิดในใจว่าแม่ม่ายคนนี้จะมาหลอกให้เราตายจากเพศพรหมจรรย์แน่นอน จึงพยายามทำความเพียรให้มากขึ้น บางวันเดินจงกรมนั่งภาวนาพิจารณาขึ้นในใจ แก้จิตใจตนว่า เรามาทำศาสนกิจให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตเช่นนี้ จะมาลาสิกขาลาเพศ ณ ที่เช่นนี้เป็นการมิสมควร จึงหวนระลึกพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า..
“อิตฺถี มลํ พรฺหฺมจริย ผู้หญิงเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์”
เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ เราควรจะหนีไปให้ห่างไกล ไปให้พ้นจากเขตอันตราย อยู่มาวันหนึ่งก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ เธอมาชวนหลวงปู่ลาสิกขา นำเงินมาด้วย ๓๐,๐๐๐ บาท(ในสมัยปี พ.ศ.๒๔๘๓) พอสอบธรรมสนามหลวงเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็กราบลาพระเทพโมลีฯ วัดเจดีย์หลวง กลับกรุงเทพฯ เล่าความจริงทุกประการให้ทราบ ท่านก็อนุโมทนาบุญด้วยคิดว่าถูกต้องดีแล้ว หลวงปู่ก็ลากลับมาก่อน ด้วยความมีชัยชนะได้ด้วยมีจิตใจอันผ่องใส..”
พ.ศ.๒๔๘๔ เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) สมเด็จพระสังฆราชเจ้าวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ทรงมีบัญชาให้ไปเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและบาลี ณ สำนักเรียนวัดป่าสุทธาวาส ต.พระธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.๒๔๘๔ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ ได้ไปพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร เป็นเวลา ๑๕ วัน ทำให้หลวงปู่จันทร์ศรีได้มีโอกาสใกล้ชิดกับท่านพระอาจารย์มั่นชั่วระยะเวลา หนึ่ง ถือเป็นกำไรแห่งชีวิตอันล้ำค่า
๏ หลวงปู่จันทร์ศรี อบรมภาวนากรรมฐานกับหลวงปู่มั่น
หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป (พระอุดมญาณโมลี) ได้กล่าวถึงท่านพระอาจารย์มั่นว่า
“เมื่อออกพรรษาแล้ว ต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๔ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ไปพักที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ได้ตั้งให้หลวงปู่จันทร์ศรี อยู่ปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่นประจำทุกวัน เวลาบิณฑบาตก็สะพายบาตรให้ท่าน เมื่อมาถึงหอฉันแล้วก็จัดอาหารลงในบาตรถวายท่าน โดยก่อนหน้านี้ได้สังเกตข้อปฏิบัติเกี่ยวกับท่านอยู่ ๓ วัน จำได้ว่าท่านเอาอะไรบ้าง เอากับข้าวอะไร เอาข้าวมากเท่าไหร่ อะไรต่ออะไร ก็ตักถวายท่านให้พอดี เหลือก็นิดหน่อย”
ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้ขยันขันแข็งในการทำความเพียร ตามปกติท่านนั่งสมาธิภาวนา นอนประมาณ ๔ ทุ่ม ตี ๔ ท่านก็ตื่น แล้วก็เดินจงกรม ส่วนมากคนเข้าใจว่าท่านดุ แต่ความจริงท่านเมตตามาก คือท่านทักเพราะจะให้จิตใจของเรานั้นสนใจมาฟังธรรม ตามปกติบางคนไปถามท่านอย่างโน้นอย่างนี้แบบไม่มีสาระ ท่านก็ดุเอา
ตอนนั้นก็มีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านที่ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น เช่น ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แล้วตอนหลังที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) อำเภอพรรณานิคม โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นผู้ปฏิบัติใกล้ชิดท่านพระอาจารย์มั่นที่สุดจนกระทั่งท่านมรณภาพ ตอนนั้นหลวงปู่จันทร์ศรี ยังปฏิบัติงานทำหน้าที่ฝ่ายปกครองอยู่ ไม่ค่อยมีเวลาไปกราบท่าน ก็ได้รับโอวาทท่านแต่นั้นก็ไปพิจารณาเอาเอง
หลวงปู่จันทร์ศรี อยู่กับหลวงปู่มั่น ๑๕ วัน รู้สึกว่าได้ความอัศจรรย์ พูดอย่างชัดๆ ก็เรียกว่า “ท่านคุมจิตของเราอยู่” ถ้าพูดตามหลักปริยัติก็พูดว่า “เจโตปริยญาณ” ท่านมีญาณรู้จักใจของบุคคลอื่น ในขณะที่ได้รับโอวาทจากท่านพระอาจารย์มั่นนั้น หลวงปู่ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติภาวนา พิจารณาเห็นร่างกายของหลวงปู่เองเป็นอสุภะได้ คือมีแต่ร่างกระดูก คือพิจารณาจนกระทั่งเป็นร่างกระดูก ขณะที่อยู่กับท่านทำได้ดีท่านพระอาจารย์มั่นท่านเมตตา หลวงปู่ได้กราบเรียนถามปัญหาธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านก็ตอบให้เฉพาะจิตที่เรารู้ ส่วนที่สูงขึ้นไปละเอียดไปนั้น ท่านพูดไปแล้วจิตเรามันไม่ถึง ท่านก็บอก “ให้มีฉันทะ มีความพอใจ วิริยะ ให้พากเพียรเดินจงกรมนั่งภาวนา จิตตะ ให้เอาใจฝักใฝ่อยู่เสมอ วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาในร่างกายของตนอยู่เสมอๆ” ท่านก็สอนเท่านี้แหละ
ส่วนเรื่องอื่นหลวงปู่จันทร์ศรี ก็ได้ถามท่านเหมือนกัน แต่จิตเรายังรู้ไม่ถึง ท่านอธิบายให้เราฟังเราก็ปฏิบัติตาม แต่จิตเรายังไม่เป็นโสดา ไม่เป็นสกิทา ไม่เป็นอนาคา ยังเป็นปุถุชนอยู่ บทสุดท้ายท่านได้ให้กำหนดเอาผู้รู้อย่างเดียว นี้เราก็พยายามทำไป หลวงปู่อยู่มาได้ในเพศพรหมจรรย์นี้ก็เพราะได้อาศัยโอวาทของท่านพระอาจารย์มั่น ก็อยู่มาจนกระทั่งบัดนี้ เพราะตอนแรกตั้งใจจะสึกแล้ว ตอนนั้นช่วงอายุ ๒๙-๓๐ ปี หลวงปู่ถือว่าได้กำไรแห่งชีวิต ทำศาสนกิจอยู่ในเพศพรหมจรรย์ ทั้งนี้ก็เพราะได้รับฟังโอวาทธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น
ต่อแต่นั้นมาหลวงปู่ก็ได้หลักการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิปัสนาจารย์ เป็นบูรพาจารย์ของพระกรรมฐาน ท่านพระอาจารย์มั่นได้อบรมสั่งสอนศิษย์เป็นจำนวนมากที่เป็นครูบาอาจารย์พระผู้หลักผู้ใหญ่ที่สำคัญในภาคอีสาน
การที่หลวงปู่ ได้รับการศึกษาอบรมจิตภาวนากับท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ผลที่ได้รับคือจิตสงบเยือกเย็นจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มากระทบทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้รับแสงสว่างอันเกิดจากภาวนาตามสมควรแก่ฐานะ นับว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ต่อจากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นได้เดินทางไปบ้านนามน วัดดอยธรรมเจดีย์ (อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร) เมื่อท่านไปแล้ว หลวงปู่ก็แยกกับท่านไป อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เพื่อจะไปกราบไหว้พระธาตุพนม ก็เป็นอันว่าจากนั้นไป หลวงปู่ก็ไม่ได้พบท่านพระอาจารย์มั่นอีก รู้สึกเสียดายเป็นอันมาก
พ.ศ.๒๔๘๕ ท่านได้กลับมาอยู่จำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อศึกษาเปรียญธรรม ๕ ประโยค
พ.ศ.๒๔๘๖ เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) ทรงมีบัญชาให้ไปเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและบาลี เปรียญธรรม ๓-๔ ประโยค ณ สำนักเรียนวัดธรรมนิมิตร ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เป็นเวลานานถึง ๑๐ ปี
๏ ปฏิปทาและข้อวัตร
แม้จะมีพรรษายุกาลมากแล้วก็ตาม แต่ยังคงปฏิบัติกิจของสงฆ์และปฏิบัติธรรมอย่างคร่ำเคร่ง บิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์อย่างต่อเนื่อง จนศิษยานุศิษย์ขอร้องให้หยุดบิณฑบาต เนื่องจากเคยโดนวัยรุ่นซิ่งรถจักรยานยนต์ชนมาแล้ว ข้อวัตรนี้ชาวอุดรธานีทราบชัดดี และที่สำคัญท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรชาวอุดรธานีอย่างแท้จริง ไม่เคยขาดงานนิมนต์ ไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ ไม่เคยทอดธุระ ซึ่งท่านยึดเป็นหลักในการปฏิบัติเสมอที่ว่า
“กยิรา เจ กยิราเถนํ” แปลว่า “ถ้าจะทำการใด ให้ทำการนั้นจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้ามีความขยันหมั่นเพียร สิ่งนั้นต้องสำเร็จตามความตั้งใจจริง”
นับได้ว่าหลวงปู่เป็นพระมหาเถระที่ประชาชนชาวจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดใกล้ เคียง ให้ความเคารพศรัทธามาก ไม่น้อยกว่าพระบูรพาจารย์สายพระป่ากรรมฐานแต่เก่าก่อน ทุกวันนี้หลวงปู่จันทร์ศรีท่านยังมีความจำเป็นเลิศ แม้อายุย่างเข้าวัยชรา แต่ยังจำเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง หลวงปู่จะบอกชื่อคน วันเวลา ได้อย่างละเอียดเป็นที่น่าอัศจรรย์
สิ่งสำคัญในชีวิตหลวงปู่ คือการมีโอกาสได้ปฏิบัติใกล้ชิดกับพระเถระผู้ใหญ่ อาทิ เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ, สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน กรุงเทพฯ, ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺตมหาเถระ, พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นต้น
หลวงปู่จันทร์ศรี มีความคุ้นเคยกับหลวงตามหาบัว เป็นพิเศษ แม้วาระสุดท้ายขององค์หลวงตามหาบัวก็ตาม ดังเรื่องที่หลวงปู่จันทร์ศรีเล่าเอาไว้ดังนี้
...ความฝันของหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป ในคืนวันที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ละสังขาร
ปลายปีที่แล้วในระยะหลวงตาอาพาธ อาตมาได้แวะไปเยี่ยมหลายครั้ง ในวันที่หลวงตามหาบัวจะละสังขาร อาตมภาพ ขณะพักจำวัดหลับเคลิ้มไป ก็
ปรากฏว่าหลวงตามหาบัวแวะมาหากราบ ๓ ครั้ง ก็พูดว่า “เจ้าคุณฯ ผมมาลานะ” อาตมภาพก็ถามว่า “จะลาไปไหน ?” ท่านบอกว่า “ไปที่ไม่เกิดอีก เพราะชาติสุดท้ายของผม ให้เจ้าคุณอยู่ต่อไป ให้ลูกหลานได้กราบไหว้” แล้วหายไป
ตื่นขึ้นก็จำความฝันได้ชัดเจน เวลาประมาณตี ๔ นาฬิกา ก็ยังนึกอยู่ว่า หลวงตามหาบัว คงไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ตอนเช้าก็รับทราบว่ามรณภาพ รู้สึกใจหายและรู้สึกอาลัยในการจากไปของหลวงตาเป็นที่สุด ซึ่งอาตมภาพมั่นใจว่า “ท่านไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว” ท่านได้วางแบบอย่างอันงดงาม ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดำเนินรอยตาม ขอให้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนได้สืบแนวปฏิปทาต่อไป
(ที่มา คัดลอกมาจากหนังสือ"ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์")
หลวงปู่จันทร์ศรี มีความรอบรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งในเมือง ในราชสำนัก ในสำนักพระกรรมฐาน และธรรมเนียมชาวบ้านเป็นอย่างดี หลวงปู่จันทร์ศรีเป็นหลวงปู่ใจดีของลูกหลานญาติโยม โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ยึดติดลาภสักการะ และไม่ยึดติดในบริวาร ชีวิตของหลวงปู่สมถะเรียบง่าย เป็นอยู่อย่างสามัญ แม้ท่านจะได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการปกครองคณะสงฆ์ แต่หลวงปู่ก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติกัมมัฏฐาน
เมื่อมีเวลาว่าง หลวงปู่จะไปพักผ่อนเยี่ยมเยียนวัดวาอารามต่างๆ แม้อยู่ลึกในหุบเขา เพื่อให้กำลังใจพระกรรมฐาน พระเล็กเณรน้อย อย่างไม่ลดละ ความสุขของหลวงปู่จึงอยู่ที่การได้ทำนุบำรุงบวรพระพุทธศาสนา เยี่ยมเยียนพระภิกษุสงฆ์สามเณร ให้กำลังใจสอนธรรมะแก่คณะศรัทธาญาติโยมประชาชน ให้รู้จักดีชั่ว บาปบุญคุณโทษ ปฏิปทาของหลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป จึงเป็นดั่งดวงประทีป ดวงชีวิต เป็นหลักชัยและหลักใจของลูกหลานชาวเมืองอุดรธานี และผองชาวพุทธตลอดไปตราบนานเท่านาน
พระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป) "พระรัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน สมณะผู้เป็นดั่งแสงสว่างเจิดจร้า ดั่งดวงจันทร์เพ็ญ" ท่านละสังขารด้วยอาการสงบเมื่อเวลา ๒๐.๐๐ น. ในวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑ ตรงกับวันพุธที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๙ ณ หออภิบาล ตึกภูมิพโล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาติไทย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร สิริอายุ ๑๐๕ ปี ๒ เดือน ๔ วัน ๘๕ พรรษา
----------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณที่มา FB พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น