ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่กิ ธัมมุตตโม วัดป่าสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี

๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่กิ ธัมมุตตโม ๏ 
     วันนี้วันที่ ๒๒ ธันวาคม​ ๒๕๖๖ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพ ครบรอบ ๒๔ ปี ของหลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม "พระอริยสงฆ์ผู้เลิศทางธุดงค์อยู่ป่าเป็นวัตร" แห่งวัดป่าสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ในชีวิตสมณเพศกว่า ๖๖ พรรษาของหลวงปู่กิ ท่านได้เดินตามรอยแห่งพระอริยะอย่างแท้จริง จากป่าเขาลำเนาไพรอันแสนทุรกันดารเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ถวายบูชามอบแด่พระรัตนตรัยเป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม หลวงปู่กิ องค์ท่านเป็นคนลาว เกิดที่แขวงจำปาศักดิ์ ได้ติดตามหลวงปู่บุญมาก ฐิติปัญโญ และหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล เข้าไปศึกษาข้อธรรมและอุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระปรมาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน ไป ๆ มา ๆ นานอยู่ถึง ๗ ปี หลังจากหลวงปู่เสาร์ มรณภาพลง ท่านได้แปรญัตติเป็นพระธรรมยุติกนิกาย โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(หลวงปู่จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และไปศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือนาใน อยู่ ๑ เดือน จากนั้นได้ปลีกวิเวกอยู่ป่าเป็นวัตร

• ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม 
วัดป่าสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี

อุปนิสัยของหลวงปู่กิ ท่านไม่ชอบคุย ไม่ชอบเอิกเกริก ชอบความสงบ ไม่ปล่อยปะละเลยต่อข้อวัตรปฏิบัติ ท่านได้ศึกษาข้อวัตรถือเอาปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์มาปฏิบัติไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เป็นผู้ทรงศีล สมาธิ พรหมจรรยา มีความทรงจำเป็นเลิศ รอบรู้เชี่ยวชาญเรื่องภูมิประเทศทั้งภูเขาและเถื่อนถ้ำในแดนลาว และแถบชายแดนภาคอีสาน องค์ท่านได้ช่วยเผยแพร่พระศาสนาในยุคแรกนั้นถือว่ามีอุปสรรคมาก เพราะชาวบ้านชาวป่าชาวเขานั้น เขานับถือภูติผีปีศาจเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง มีความเชื่อถือบูชาสิ่งผิด ๆ ท่านเองก็มีความเพียรความอดทน สอนให้เขาได้ถือพระไตรสรณคมณ์ คือบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพุทธมามกะอย่างแท้จริง

ท่านเองปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง พระธรรมเทศนาของท่านเป็นธรรมที่ออกจากการปฏิบัติโดยตรง โดยท่านมักสอนว่า สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติเห็นได้ด้วยตนเอง “อย่างอาตมานี้บวชมาหกสิบกว่าปี ก็เห็นว่าการบวชของอาตมามีประโยชน์แก่ตนเอง และพระพุทธศาสนา อาตมาจึงคิดว่าคุ้มค่าที่ได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ถ้าเห็นว่าบวชไม่มีประโยชน์อะไร อาตมาจะอยู่ได้นานอย่างนี้ได้อย่างไร เปรียบเสมือนว่าพ่อค้านักพาณิชย์ทั้งหลายลงทุนค้าขายทำธุรกิจ เขาต้องได้กำไร จึงจะดำเนินค้าขายทำธุรกิจต่อไปได้ ถ้าขาดทนเขาก็ต้องล้มเลิกกิจการไป อาตมาบวชมาก็เช่นเดียวกัน เห็นว่าการปฏิบัติธรรมเอื้ออำนวยประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติ จึงอยู่มาจนถึงป่านนี้”

• การแปรญัตติเป็นพระธรรมยุต
ปี พ.ศ.๒๔๙๑ ใกล้เข้าพรรษา พระอาจารย์กิขึ้นไปแปรญัตติเป็นพระธรรมยุตที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระประสาทคนานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ณ พัทธสีมาวัดทิพยรัตนิมิต มีฉายาว่า “ธมฺมุตฺตโม” ท่านจำพรรษาที่วัดทิพยรัตนิมิต จ.อุดรธานี ในพรรษาท่านระลึกถึงคำพูดของพระอาจารย์คำดีว่าอยากให้พบกับครูบาอาจารย์หลายรูป ที่สำคัญ ซึ่งทราบว่าท่านจำพรรษาที่ภาคใต้ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่หลุย จันทสาโร พระอาจารย์กิจึงได้อธิษฐานจิตถึงครูบาอาจารย์ ที่ต้องการพบเพื่อกราบนมัสการ พอออกพรรษาไม่นาน พระอาจารย์บุญมีพร้อมชีปะขาวที่เป็นนาคจะมาบวชเดินทางมาที่วัดทิพยรัตนิมิต พระอาจารย์ได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์บุญมี ไม่นานท่านก็ได้กราบนมัสการหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เพราะท่านเดินทางมาที่วัดทิพยรัตนิมิต ต่อมาหลวงปู่หลุยก็เดินทางมาที่วัดทิพยรัตนิมิต พระอาจารย์กิได้อุปัฎฐากท่านอยู่ ๑ เดือน และในเวลาต่อมาหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีก็เดินทางมาที่วัดทิพยรัตนิมิต ท่านก็ได้กราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ เรื่องที่พระอาจารย์กิได้พบกับครูบาอาจารย์หลายรูปโดยการอธิษฐานจิตนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง 

เมื่อได้พบกับครูบาอาจารย์ตามความประสงค์แล้ว ท่านก็เตรียมบริขารเพื่อออกเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งทราบข่าวว่าหลวงปู่ท่านอยู่หนองผือนาใน จ.สกลนคร ท่านเดินทางพร้อมด้วยสามเณรพิมพ์ เมื่อเข้าไปกราบหลวงปู่มั่น ได้ฟังธรรมะคำสั่งสอนของท่าน ท่านแนะนำอุบายธรรมะ วิธีเจริญวิปัสสนาอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม พักอยู่กับหลวงปู่เกือบ ๑ เดือน ก็กราบลาหลวงปู่

"หลวงปู่กิ เล่าเรื่องสมัยออกธุดงค์"

• ผีกองก๋อย   
สมัยหนึ่งหลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม ขึ้นไปบำเพ็ญสมณธรรมที่ภูกลางเฮือน อยู่เหนือเมืองปากเซ จำปาศักดิ์ มีโยมอุปัฏฐากชื่อดำ เป็นผู้นำทาง ขณะบำเพ็ญเพียรก็มีการหายาสมุนไพรเพื่อนำมาสงเคราะห์ศรัทธาญาติโยมด้วย อยู่บนยอดเขาภูกลางเฮือนสามวันสามคืน  

หลวงปู่กิ เล่าว่า “ผีกองก๋อยเป็นสัตว์อาถรรพณ์ ที่มีวิบากกรรมเผ่าพันธุ์หนึ่งในป่า ลักษณะคล้ายชะนีหรือลิง ที่อาตมาได้พบมา” “พวกนี้มีอำนาจลึกลับสามารถกำบังตาคนเดินป่าได้ ทำให้เกิดอากาศวิปริตแปรปรวนได้” “ผีกองก๋อยจะถือโอกาสลอบเข้ามากินไส้ มันมีอำนาจลึกลับสามารถเอามือล้วงทวารหนักของคนแล้วลากเอาไส้ออกไปกินได้” “เป็นเรื่องประหลาดอยู่ ที่ว่ามันชอบดูดเลือดหัวแม่ตีนกินนั้น เท่าที่ได้รู้มาไม่เคยปรากฏ มันชอบกินไส้คนมากกว่า” “ผีกองก๋อยนี้ปลายตีนมันหันกลับไปข้างหลังเวลามันเดินรอยของมันจะคล้ายเดินถอยหลัง แต่ความเป็นจริงมันเดินไปข้างหน้า” “มันร้องรบกวนสมาธิอาตมา เสียงร้องดังก๋องก๋อย ๆ อาตมาก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้” “เขาหยุดร้องและปรากฏตัวให้เห็น ลักษณะคล้ายลิงหรือชะนีดีๆ นี่เอง แต่ตัวขนาดเขื่องกว่า เมื่อปรากฏตัวออกมาให้อาตมาเห็นแล้ว ก็จากไปไม่มารบกวนอะไร” “เพราะอำนาจพลังจิตของพระธุดงค์ที่แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้นี้ ทำให้เขาเกิดความอิ่มเอิบใจและสังขาร” “อำนาจผู้ทรงศีลนี้ มันประหลาดอยู่ มันมีอานุภาพเป็นแสงสว่างอันเยือกเย็นชุ่มชื่น” “พวกสัตว์ป่าหรือผีสางเทวดาในป่าเขาสัมผัสได้ เมื่อเขาสัมผัสแล้วเขาก็มีความอิ่มเอมปีติยินดี มีน้ำจิตน้ำใจเป็นมิตรตอบ”

• เผชิญช้างป่า
หลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม พาสามเณรและเด็กวัดเข้าไปพักผ่อนและเจริญสมาธิภาวนาในถ้ำส้วมท้าวส้วมนาง ปรากฏว่าเป็นที่สะอาดสวยงาม อากาศถ่ายเทปลอดโปร่ง แม้อากาศภายนอกจะหนาวเย็น แต่ภายในถ้ำกลับเย็นสบาย ทำให้ทำสมาธิภาวนาสงบได้รวดเร็วแปลกกว่าถ้ำอื่น 

รุ่งเช้าขึ้น เด็กวัดได้ไปตัดไม้ไผ่มาหลามข้าวถวายจังหัน พอสายหน่อยก็ออกเดินธุดงค์ต่อไป เพื่อสงบอารมณ์เผาผลาญกิเลสตัณหาตัวก่อภพ ก่อชาติภายในใจ ธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพรย่อมเป็นรมณียสถาน อันเป็นที่ให้ความสุขสำราญทางจิตภาวนาอย่างดี เดินบุกป่าฝ่าดงตามทางด่านสัตว์บ้าง ทางคนเดินป่าบ้างเลียบชายแดนไทยด้านตะวันตกเรื่อย ๆ ไม่กำหนดว่าจะถึงไหน หากพอใจสถานที่ใด ก็หยุดพักเจริญภาวนาที่นั่น ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัยกังวลสิ่งใด ทำตนประดุจนกที่บินออกจากคอน นกย่อมไม่อาลัยคอน   

วันต่อมาขึ้นภูสูงที่สุดกว่าภูอีด่างเสียอีก พบรอยโขลงช้างกายตามทางด่านสัตว์ขึ้นไปยังยอดเขา ทางด่านสัตว์นี้บางตอนเป็นช่องระหว่างโขดหิน บางแห่งแหวกไปท่ามกลางพงหวายและหนามไหน่ บางตอนไต่ไปตามสันเขาแคบๆ สองข้างเป็นเหวลึกทำให้พวกสามเณรหวาดกลัวร้องว่า ถ้าสวนทางกับโขลงช้างเข้าแล้ว จะไม่มีทางลบหลีกหนีได้เลย ถ้าไม่ทางถูกช้างเหยียบตายก็อาจถูกช้างผลักตกลงจากภูเขาตายโหงแน่ ต่างก็วิงวอนชวนให้หลวงปู่กิพากลับ แต่ท่านก็ได้แต่ปลอบใจไม่ให้กลัว ให้ยึดเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขึ้นไปถึงยอดเขาพบว่าเป็นที่ราบมีพะลานหินเป็นหย่อมๆ สลับกับต้นไม้และดงหญ้าเพ็กซึ่งเป็นหญ้าที่ช้างชอบกินหลวงปู่กล่าวว่า “อาตมาให้พวกสามเณรและศิษย์วัดพักอยู่พะลานหินใกล้แอ่งน้ำ ให้รออาตมาอยู่เงียบๆ อย่าลงอาบน้ำหรือส่งเสียงใดๆ อาตมาจะออกเดินสำรวจสถานที่รอบๆ ดูก่อน” “อาตมาเดินไปได้ประมาณ ๗ เส้น เห็นลิงใหญ่กระโดดนำหน้าไปที่ก้อนหิน” “อาตมาก็ตามไปดู มันกระโดดลงจากก้อนหินไปตรงแอ่งลึกประมาณสามเมตร มันเหลียวกลับมาดู อาตมาต้องตะลึง” “มันไม่ใช่ลิงใหญ่ หากแต่เป็นเสือสีเทาลายเมฆ ซึ่งเป็นเสือที่ดุร้ายยิ่งกว่าเสือโคร่งเสียอีก เป็นพันธุ์เสือหายาก” “มันมองดูอาตมาเฉยๆ สักครู่แล้วกระโดดขึ้นก้อนหินหายแวบไป มันคงรู้ว่า อาตมาเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า มันเลยไม่ตรงเข้ามาทำอันตราย มันจึงรีบหลบหนีไป”  

“สัตว์ป่าโดยทั่วไปมันรู้อย่างลึกลับได้ว่า คนแต่งกายแบบไหนเป็นพระ แต่งตัวแบบไหนเป็นนายพราน” “ พระย่อมไม่มีภัยอันตรายกับสัตว์ ที่ไหนมีวัด ที่ไหนมีพระสัตว์จึงชอบไปอยู่ใกล้ๆ เพื่อขอพึ่งบารมีพระ” “อาตมาเดินแยกทางกับเสือตัวนั้นไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร จึงจะกลับมาหาพวกสามเณร” “ก็เหลือบไปเห็นโขลงช้าง อาตมายืนตลึงดู ช้างมีมากมายคะเนดูด้วยสายตา จะต้องไม่น้อยกว่า ๒๐๐ เชือก ” “พวกมันกำลังเดินตามสันเขามุ่งหน้าไปทางแดนเขมรต่ำ 

อาตมารู้ได้ทันทีด้วยประสบการณ์ว่า” “ช้างป่าทั้งหลายเริ่มออกจากเถื่อนแล้ว มันต้องมีเหตุอะไรสักอย่าง ช้างมันรวมตัวกันเป็นโขลงใหญ่เพื่อจะอพยพ” “เส้นทางด่านสัตว์ของโขลงช้างส่วนมากมันเดินไปตามสันเขาติดต่อกัน จากลาวเหนือจรดแดนกัมพูชาโน่น” “ปกติช้างมันจะแยกกันเป็นโขลงละ ๗ - ๘ เชือก กระจายกันออกหากินทั่วไป นอกจากเวลามีเหตุเท่านั้น มันถึงจะรวมกันเป็นโขลงใหญ่นับร้อยๆ เชือกขึ้นไป” “อาตมากลับมาไม่พบพวกสามเณรจึงร้องเรียกหาหลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบ” “พอดีเหลือบไปเห็นช้างสารใหญ่งายาวเชือกหนึ่งยืนอยู่ข้างโขดหินที่พวกสามเณรพักอยู่ ช้างสารเชือกนั้นกางหูผึ่ง ชูงวงขึ้นสูงสุดหายใจอย่างแรง ๆ” “อาตมาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเหตุแล้ว พวกสามเณรคงเจอช้างเข้าแล้วเผ่นหนีกันหมด” “ช้างสารใหญ่งายาวเชือกนั้น มันสูดได้กลิ่นอาตมา นัยน์ตามันไวหันขวับมาทางอาตมา หูใหญ่ของมันกางผึ่งแสดงท่าทางดุร้ายไม่เป็นมิตรทันที”  

“ อาตมาจึงหยุดยืนจ้องหน้ามันแล้วกำหนดจิตแผ่เมตตาไปว่า สัพเพสัตตา มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น” “อเวรา จงเป็นสุขๆ เถิดอย่าโกรธเคืองอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกันเลย” “อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขๆ เถิด อย่าเบียดเบียนเข่นฆ่าล้างผลาญซึ่งกันและกัน” “อนีฆา จงเป็นสุข ๆ เถิดอย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย” “สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุจงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นภัยเถิด” “ขณะภาวนาแผ่เมตตานี้อาตมารวมกระแสจิตแผ่พุ่งไปจับที่จิตใจช้างจุดเดียวปรากฏว่ามันขยับใบหูลงดังพืบพับ ๆ ลดงวงลงแสดงความเป็นมิตรไมตรี เดินหลีกทางไปอย่างน่ารักน่าเอ็นดู”  

“เมื่อช้างไปแล้ว พวกสามเณรจึงโผล่หัวขึ้นมาจากซอกหลืบหินที่หลบซ่อน ต่างชิงกันเล่าว่า” “จู่ๆ ช้างมันก็โผล่ขึ้นมาข้าง ๆ ตัวกะทันหัน พากันตกใจเกือบตายต้องรีบโดดหลบไปซ่อนตัวอยู่ในซอกหิน กลัวมันจะเอางวงลงควานหาจับตัวขึ้นมาฟาดกับก้อนหินตายไปแล้ว ถ้าไม่ได้อาจารย์ช่วยทัน มันคงไม่ยอมผละหนีไปง่าย ๆแน่”    

“อาตมาก็บอกกล่าว ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมขอให้พวกสามเณร จงระวังในศีลให้เคร่งครัด อยู่ในแดนเสือ แดนช้าง จงสำรวมกายวาจาและใจอย่าเล่นคึกคะนองกัน” “เพราะเจ้าป่าเทวดาอารักษ์ไม่ชอบผู้ที่ไม่มีศีลสังวร เมื่อพวกเทวดาไม่ชอบ ก็อาจดลบันดาลให้เกิดอันตรายขึ้นได้ ” “ขณะนั้นห้าโมงเย็นใกล้ค่ำแล้ว พวกสามเณรกลัวโขลงช้างต่างก็ขอร้องให้อาตมาพาลงจากเขา เพราะบนเขาลูกนี้เป็นดงช้างทั้งนั้น” “อาตมาก็บอกว่า เวลานี้ช้างออกจากเถื่อนต่าง ๆ หมดแล้ว มันจะอพยพลงไปแดนเขมรต่ำ เราจะลงจากเขาไม่ได้ เพราะอาจสวนทางกับโขลงช้าง จะอันตรายใหญ่ คืนนี้พักนอนเจริญภาวนาอยู่บนหลังเขาลูกนี้ก็แล้วกัน” “อาตมาพูดแทบไม่ทันขาดคำก็เห็นโขลงช้างกำลังขึ้นมาตามช่องทางด่านสัตว์ ที่พวกสามเณรอยากจะกลับลงไป” “ถ้าอาตมาพาพวกสามเณรลงไปตอนนั้นลำบากแน่ ๆ เพราะโขลงช้างที่เดินทยอยกันขึ้นมาตามทางด่านสัตว์ประมาณ ๑๐๐ เชือกเห็นจะได้” โขลงช้างบนหลังภูขันร้องส่งเสียงร้องกันสนั่นหวั่นไหวไปหมด แต่หลวงปู่กิก็มิได้หวั่นไหวได้พาพวกสามเณรพักแรมคืนที่นี่ อยู่ที่โล่งแจ้งพะลานหินใกล้ ๆ โขลงช้างนั่นเอง

• หลวงปู่กิ ร้องบอกให้ฝนหยุดตก  
อากาศดีโปร่งโล่งเย็นสบายมีแอ่งน้ำอยู่ใกล้ ๆ น้ำนับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระธุดงค์ขาดอาหาร ๗ วัน ๑๐ วัน แต่จะขาดน้ำไม่ได้ กาน้ำจะต้องมีน้ำใส่ไว้เต็มอยู่เสมอ คืนนั้นท้องฟ้าโปร่ง อากาศหนาวเย็น เพราะอยู่ในระหว่างเดือนยี่ฤดูหนาว หลวงปู่กิ ได้สั่งให้สามเณรก่อไฟต้มน้ำยาสมุนไพรฉัน สามเณรได้ไปหาเศษไม้มาก่อกองไฟ แล้วใช้หินสามก้อน เสาหินนั้นเมื่อโดนความร้อนของไฟก็จะเกิดระเบิดปึงปังเข้าใจว่าในก้อนหินคงมีแร่ธาตุบางอย่าง พลันทันใดนั้นก็เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าลงมาใกล้ ๆ อย่างกะทันหัน อย่างที่ไร้เมฆฝนและฝนลูกเห็บได้ตกลงมาอย่างเกรียวกราว เม็ดฝนเท่าหัวแม่มือถูกหัวสามเณรได้รับความเจ็บปวดร้องลั่นไปตาม ๆ กัน ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่ หลวงปู่กิเห็นเช่นนั้นจึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “เทวดาอารักษ์บนภูเขานี้ไม่รู้จักพระสงฆ์องค์เจ้าหรืออย่างไร ทำไมมาทำให้เกิดฝนตกหนักกลั่นแกล้งกันเช่นนี้ จะเป็นบาปกรรมเปล่า ๆ” “ที่มานี้ไม่ได้มาเบียดเบียนอะไร พากันมาเจริญ สมณธรรมสร้างบารมีธรรมลบล้างกิเลสตัณหาออกจากหัวใจตัวเองเท่านั้น” “ขอให้ฝนจงหยุดตกเดี๋ยวนี้” พอสิ้นคำหลวงปู่กิ ก็เกิดอัศจรรย์ฝนหยุดตกฟ้าหยุดร้องคำราม ท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนเดิม  

หลวงปู่กิ ได้ให้อรรถาธิบายว่าพวกเทวดาเจ้าที่เจ้าภูเขา เข้าใจผิดกลัวว่า พวกสามเณรจะก่อกองไฟเผาภูเขาให้พินาศ จึงดลบันดาลให้เกิดฟ้าฝนคะนองฝนตกลงมา ที่หลวงปู่กิ รู้ได้นี้ก็รู้ด้วยกระแสญาณทางใน หลวงปู่กิกล่าวว่า “เทวดาอารักษ์ในป่า ตลอดภูตผีปีศาจนี้ เป็นเรื่องลึกลับ ใครไม่เคยเจอก็ไม่เชื่อ” “แต่พระธุดงค์ในป่าเจอบ่อยจนเป็นเรื่องธรรมดา พระธุดงค์ไปในสถานที่ใด เมื่อจะปักกลดพักแรมเจริญสมาธิภาวนาจะต้องเจริญเมตตาพรหมวิหารเสียก่อน “บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางซึ่งเป็นพวกอทิสมานกายให้เขารับรู้ว่ามาบำเพ็ญธรรมไม่ได้มาคิดจับจองแย่งสถานที่พวกเขาแต่อย่างใด ขอพักอาศัยปฏิบัติธรรมชั่วระยะหนึ่งแล้วก็จะจากไป” “เมื่อเราบอกกล่าวเช่นนี้พวกเขาก็จะยินดีและให้ความปกป้องคุ้มครองอันตรายให้ แต่คืนนั้นอาตมายังไม่ได้เจริญเมตตาบอกกล่าวพวกเขา ไปสั่งให้สามเณรก่อกองไฟต้มยาเสียก่อน” “ก้อนหินระเบิดปึงปังขึ้นพวกเขาเลยเข้าใจผิดคิดว่าเราจะเผาป่าเผาภูเขา เมื่อบอกกล่าวแล้วฝนฟ้าพายุคะนองก็หายไป”  

สมัยเที่ยวธุดงค์บนภูอีด่างนั้นสมัยท่านยังเป็นพระหนุ่ม แต่ระยะหลังก่อนที่ท่านมาอยู่วัดป่าสนามชัย เกิดปัญหาสงครามอินโดจีนมีการวางระเบิดบริเวณหลังเขา ทางเดินขึ้นหลังเขาหลายลูกทำให้เป็นอันตรายต่อสัตว์ ทำให้พวกสัตว์ต่างๆ เช่น ช้าง เสือ หมี วัวป่า เก้ง กวาง และสัตว์อื่น ๆ ถูกระเบิดตายเป็นจำนวนมากทำให้สัตว์ป่าที่ชุกชุมอยู่บนภูเขาบริเวณตะเข็บชายแดนไทย ลาว ร่อยหรอสูญพันธ์เกือบหมด จะมีเหลืออยู่บ้างก็จำนวนน้อย หลวงปู่กิกล่าวว่า “แถบชายแดน ไทย ลาว เขตนครจำปาศักดิ์ ติดต่อกับอำเภอพิบูลมังสาหาร และบุณฑริก เรื่อยลงไปเขมรต่ำยังพอมีโขลงช้าง เสือ วัวป่า เหลืออยู่บ้าง อาตมาธุดงค์ไปพบเมื่อไม่นานมานี้เอง”  

“อีกแห่งที่ผาหมอนอยู่เหนือโขงเจียม ถ้ามาจากฝั่งลาวจะมองเห็นเป็นภูเขาสูง แต่ไปจากฝั่งไทยจะค่อยๆ ลาดขึ้นไปเป็นโคกเป็นเนินขึ้นไปจนถึงยอดเขา แถวนี้ยังพอมีโขลงช้าง ฝูงวัวป่าและเสืออยู่บ้าง” “บนยอดผาหมอน เป็นที่ราบพะลานหินสวยอัศจรรย์จริงๆ อากาศเย็นสบายทั้งปีเดินเล่นบนยอดเขาทั้งวันไม่มีเหนื่อย เหมาะสำหรับทัศนาจรอย่างที่สุด” “มองต่ำลงไปจะเห็นแม่น้ำโขงไหลอยู่ท่ามกลาง ป่าสีเขียวคดเคี้ยวไปมา สวยจริงๆ อยากให้ญาติโยมได้ไปทัศนาจรกัน” “เวลานี้เสือ ช้าง อพยพไปอยู่ทางห้วยทรายเกือบหมดแล้ว จึงไม่น่ากลัวอะไร ห้วยทรายนี้อยู่เขตติดต่อกับภูอีด่างลงไปทางเขมรต่ำ มีสัตว์ต่างๆ ชุกชุมมาก” “ภูปังอยู่ทางเขมราฐ ก็น่าเที่ยวทัศนาจร   

อาตมาเคยธุดงค์ยอดภูปังเป็นพะลานหินกว้าง แต่ไม่มีแอ่งน้ำให้ดื่มกินเป็นที่กันดาร กระแสลมแรงมากหาที่กำบังไม่มีเลย จึงไม่เหมาะสำหรับขึ้นไปบำเพ็ญสมณธรรม” “เขตต่อภูปังคือภูสมุยอาตมาไปเที่ยวธุดงค์มาแล้ว ภูสมุยประหลาดมาก มีก้อนหินรูปร่างแปลกๆ น่าอัศจรรย์ที่สุดคล้ายพิพิธภัณฑ์ หินที่แกะสลักเป็นรูปเครื่องยนต์กลไกในยุคปัจจุบัน” “เป็นรูปรถถัง รถยนต์รูปเครื่องบิน รูปจรวด และอะไรต่ออะไร ต้องเดินเที่ยวชมอยู่นานกว่า ๖ ชั่วโมงจึงดูทั่ว” “อาตมาอยากให้ญาติโยมขึ้นไปทัศนาจร เป็นทัศนศึกษาจริงๆ ทำไมก้อนหินมันถึงมีรูปร่างอย่างนั้น จะว่าคนโบราณแกะสลักไว้ก็น่าสงสัย”

• พวกสะแข้ เบื้อ 
หลวงปู่กิ ธัมมุตตโม เล่าต่อว่า “วันหนึ่งอาตมาฉันจังหันอยู่บนภูกลางเฮือน โยมดำที่ไปด้วยหุงข้าวให้ฉันแกมีพวกขนมแห้งๆสะสมไปด้วยก็เอามาถวาย” “ขณะนั้นมีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งออกจากป่าเข้ามาหาอาตมา ลักษณะครึ่งคนครึ่งลิงไม่ใส่เสื้อผ้าใดๆ พอเข้ามาถึงมันก็นั่งยองๆ ลงๆ เอามือทำประหลกๆ คล้ายๆจะไหว้อย่างนั่นแหละ แล้วมันก็ยื่นมือมาขออาหารส่งเสียงดังเป็นภาษาเก๊าะๆแก๊ะๆ อาตมาก็หยิบขนมแห้งยื่นส่งให้ มันยกมือทำท่าไหว้ประหลกๆ รับขนมแล้วผละหนีเข้าป่าไป” “โยมดำที่ไปด้วยบอกว่า เป็นคนป่าเผ่าหนึ่งเรียกว่า พวกสะแข้ อยู่ในป่าลึกๆ มีอยู่มากแถบฝั่งลาว พวกสะแข้นี้ใกล้เคียงกับพวกเบื้อ” “พวกเบื้อนี้คล้ายคน แต่ไม่มีสะบ้าหัวเขา เห็นคนเข้าแล้วมันกลัวมากจะวิ่งหนี มันวิ่งได้เร็วมาก แต่ถ้าล้มแล้วมันลุกไม่ขึ้นใช้กลิ้งหนีเอา” “พวกพรานป่าชอบไล่ล่าเอาไปฆ่ากิน เขาว่าเนื้อพวกเบื้ออร่อยมาก น่าสงสารมันมาก” “พวกเบื้อนี้ ร้องไห้เป็นเหมือนคน มีครอบครัวผัวเมียลูกเต้า แต่มันพูดภาษาคนไม่ได้ มันใช้ภาษาใบ้เบื้อกัน เสียงเหมือนคนใบ้พูดกันนั่นแหละ พวกเบื่อนี้มีอยู่มากในป่าในภูเขาแถบลาว”

• ถ้ำพญานาค   
อีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจและน่าอัศจรรย์ ที่หลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม ไปเที่ยวธุดงค์คือ “ถ้ำแอ่ง” บ้านดงเมือง ท่าแขก ประเทศลาว เดินทางจากท่าแขก ๒ วัน จึงจะถึง ถ้ำกว้างใหญ่ลึกล้ำและลึกลับ ส่วนกว้างบางแห่งเอาไฟฉายขนาดห้าก้อนฉายไปไม่ถึงที่สิ้นสุด ถ้ำนี้สามารถบรรจุคนได้เป็นหมื่นๆ แสนๆ   

สมัยก่อนสงครามอินโดจีน ชาวบ้าน สาม สี่ หมู่บ้านพาลูกพาหลานเข้าไปหลบอาศัยในถ้ำนี้ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าสำรวจลึกเข้าไป  

หลวงปู่กิ เล่าว่า “อาตมาพาญาติโยมชาวบ้านเข้าไปสำรวจ ออกเดินทางเข้าถ้ำแต่แปดโมงเช้าทุกคนจุดคบใต้ให้แสงสว่าง ถ้ำมีทางลงเป็นสองพัก มืดจนมองไม่เห็นมือตนเอง ต้องจุดไฟให้แสงสว่างไว้ตลอดเวลา” “พวกญาติโยมที่ไปด้วยพากันกลัวมาก กลัวหลงทางเพราะมีอุโมงค์ทางแยกไปนับไม่ถ้วน” “ถ้ำนี้อากาศตั้งแต่ตอนเที่ยงวันถึงเที่ยงคืนหนาวที่สุด แต่เมื่อเที่ยงคืนล่วงไปอากาศจะค่อยอุ่นขึ้นๆ จนถึงเที่ยงวันอุณหภูมิในถ้ำแปลกประหลาดมาก”    

“ภายในถ้ำเป็นทรายและบางตอนเป็นพื้นหินดาน อาตมาไม่รู้จะไปทางใด จึงตั้งสัตย์อธิษฐานด้วยอำนาจพลังศีลและสมาธิว่า” “ขอให้เทวดาเจ้าถ้ำเจ้าเขาหรือฤษีชีไพรที่บำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำนี้จงช่วยดลใจชี้ทางให้ด้วย อย่าให้หลงทางอยู่ในถ้ำกว้างลึกลับนี้เลย”   

“เมื่ออธิษฐานแล้วอาตมาก็เดินนำหน้าญาติโยมไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้พบรอยคนๆหนึ่งเดินผ่านพื้นทรายไป มีขี้คบไต้ใหม่ๆหล่นอยู่ อาตมารู้สึกแปลกใจ ญาติโยมไปด้วยก็แปลกใจรอยนั้นยังใหม่ๆอยู่ ไม่มีรอยอื่นอยู่เลย ขี้คบไต้นั้นยังแดงๆ อุ่นๆ อยู่” “แปลกตรงที่อาตมาและญาติโยมไม่สามารถมองเห็นมนุษย์ลึกลับผู้นั้นเลย ถ้าเขาจุดคบไต้เดินนำหน้าไปก่อนจะต้องมองเห็นแสงไฟเพราะถ้ำกว้างโล่งโจ้งมาก” “อาตมาก็บอกญาติโยมเดินตามรอยนั้นเรื่อยๆ คิดว่าถ้าไปตามรอยนี้จะต้องไม่หลงทาง” “เดินตามรอยนั้นวกไปวนมายู่ในถ้ำ ๓ ชั่วโมง จึงทะลุออกอีกด้านหนึ่ง ขณะที่ตามรอยนั้นไปก็เห็นขี้คบแดงๆ หล่นเป็นระยะไปตลอดทาง” “อาตมาก็สันนิษฐานว่ารอยนั้นจะต้องเป็นรอยของพระฤษีช่วยนำทางให้พวกอาตมาเพื่อไม่ให้หลงทางอยู่ในถ้ำ” “พระฤษีท่านย่อมสำเร็จอภิญญาจิต มีพลังอำนาจจิตสูงสามารถกำบังตา ไม่ให้พวกอาตมามองเห็นท่าน”  

อีกถ้ำหนึ่งที่หลวงปู่กิ เข้าไปบำเพ็ญเพียรภาวนาใกล้บ้านดงเมืองหลวง ชื่อถ้ำ “ควาย”เป็นถ้ำพญางูใหญ่ไม่มีใครกล้าเข้าไป ชาวบ้านเรียกว่า “ถ้ำเงือกท้าว เงือกนาง” ซึ่งหมายถึงนาคท้าว นาคนางหรือพญานาคนั่นเอง หลวงปู่กล่าวว่า “ ถ้ำนี้อยู่ระดับเดียวกับแม่น้ำ เมื่อน้ำลดลง น้ำจะลดลงเข้าไปในถ้ำ    

เมื่ออาตมาเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมนั้นพบว่า บริเวณในถ้ำที่น้ำลดลงไปในถ้ำนั้นเป็นพื้นทรายกว้างอากาศเย็นเหมือนน้ำแข็ง ตามพื้นทรายมีรอยงูใหญ่อยู่เกลื่อน เป็นรอยขนาดต้นเสาเรือนขนาดใหญ่ๆ อาตมาเห็นแล้วก็ว่า นี่คือถ้ำพญางูหรือพญานาคแม่นแล้ว มิน่าคนเขาถึงนึกกลัวกันมากไม่กล้าเข้ามาเลย เพราะรู้ว่าเป็นถ้ำพญานาค อาตมาบำเพ็ญสมาธิภาวนาอยู่ในถ้ำนี้ก็ไม่เห็นมีอะไร”“เมื่ออาตมาออกมาจากในถ้ำพญานาคแห่งนี้แล้ว น้ำขึ้นเต็มปากถ้ำ” “มีชาวบ้านเห็นงูใหญ่หลายตัวมีหงอนออกมาเล่นน้ำที่ปากถ้ำเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูใกล้ๆเพราะหวาดกลัว” “พระอาจารย์ของอาตมาองค์หนึ่งเล่าให้ฟังว่า ในถ้ำลึกลงไปในบาดาลเป็นถ้ำแก้วของพญานาค เป็นที่สำหรับพญานาคไปออกลูก” “ไม่รู้ว่ามีความจริงเท็จแค่ไหน เป็นเรื่องที่ฟังยากอยู่ อาตมาไม่อยากสนใจ” อยู่ในถ้ำที่มีอากาศหนาวเยือกเย็นเป็นน้ำแข็งพระอาจารย์อยู่ได้อย่างไร ไม่หนาวเย็นแย่หรือ  

นี่คือข้อสงสัยของผู้เขียน หลวงปู่กิ ตอบว่า “เมื่ออากาศหนาวมากๆ ก็เข้าฌานสมาบัติอธิษฐานจิตให้อากาศอุ่น อากาศก็จะอุ่นขึ้น ถ้าใครเก่งกสิณ ก็เข้าฌานกสิณไฟหรือเตโชกสิณให้อากาศหนาวกลายเป็นอุ่นหรือร้อนได้” “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพระธุดงค์ที่มีพลังอำนาจจิตสูง หากจะแปลกสำหรับปุถุชนผู้ไม่เคยฝึกพลังจิตและไม่มีประสบการณ์เท่านั้น”

ท่านพระอาจารย์กิ พาสามเณรพิมพ์เดินธุดงค์มาโดยผ่านวัดสุทธาวาส จ.สกลนคร เข้าอำเภอนาแก ผ่านมุกดาหาร ผ่านดงหมากอี่ ผ่านนิคมคำสร้อยมาถึงจังหวัดอำนาจเจริญ มาพักกับพระอาจารย์บุ ที่วัดสร้างใหม่แล้วมา อ.ม่วงสามสิบ ท่านนั่งรถไปฝากสามเณรพิมพ์ให้ศึกษาเล่าเรียนที่อำเภอยโสธรแล้วเดินธุดงค์เพียงลำพังรูปเดียว มาถึงอำเภอคำเขื่อนแก้ว แล้วเดินมาพักบ้านนากอก บ้านนาแก้ว เดินผ่านอำเภอเขื่องใน มาบ้านชีทวน เดินทางมาบ้านทุ่งขุนผ่านบ้านโพนงาม ตำบลหนองบ่อ แล้วพักที่วัดบูรพาราม จ.อุบลราชธานี หลวงปู่กิได้รับนิมนต์จากพระอาจารย์สาย จารุวัณโณ นิมนต์ไปบ้านหนองยาว ต.โพนงาม อ.เดชอุดม ในหนังสือแจ้งว่าบิดามารดาของพระอาจารย์สายย้ายไปอยู่หนองยาวแล้ว 

ในสมัยก่อนหนองยาวมี ๑๒ หลังคาเรือน เมื่อญาติพระอาจารย์สายไปอยู่จึงเพิ่มขึ้นเป็น ๒๔ หลังคาเรือน เมื่อไปพบพระอาจารย์สายแล้ว พระอาจารย์ทั้งสองปรึกษาหารือเรื่องสถานที่สร้างวัด เมื่อได้สถานที่สร้างวัดแล้วก็วางรูปแบบวัด ขนาดบริเวณวัด ศาลา กุฏิ ซึ่งวัดที่สร้างคือวัดคำสำราญ บ้านหนองยาว เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ พอพักกับพระอาจารย์สายพอสมควรแล้ว ก็เดินทางมาวัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร เพื่อกราบนมัสการพระอาจารย์ดี ฉันฺโน มาพักอยู่ที่นี้นานพอสมควรแล้วก็ไปช่วยพระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ สร้างวัดป่าเทพบูรมณ์ บ้านแก่งยาง อ.พิบูลมังสาหาร ใกล้จะเข้าพรรษาได้รับคำสั่งของพระครูนาคบุรีให้ลงไปจำปาศักดิ์ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านกราบนมัสการลาพระอาจารย์บุญมาก แล้วเดินธุดงค์ลำพังรูปเดียวเพื่อกลับคืนถิ่นมาตุภูมิ เดินผ่านบ้านโนนก่อ ถึงห้วยทราย พักที่นี่แล้วชวนญาติโยมขึ้นไปท่องเที่ยววิเวกภูอีด่าง เพื่อดูถ้ำ ชมวิวธรรมชาติพอสมควรแล้ว ท่านก็แยกกับญาติโยมแล้วจึงเดินทางโดยลำพังถึงวัดอมาตยาราม
 
ปี พ.ศ.๒๔๙๒ พระอาจารย์กิ ธัมมุตตโม จำพรรษาที่วัดอมาตยารามกับพระครูนาคบุรี ช่วยท่านในกิจพระพุทธศาสนาทุกอย่าง

 ปี พ.ศ.๒๔๙๓ ท่านได้รับอาราธนานิมนต์กลับไปบ้านหนองผำ ในราวเดือนพฤษภาคม ท่านได้สร้างวัดป่าราชสัมพันธวงศ์ บ้านใหม่ท่า ต.หนองผำ เมืองจำปาศักดิ์ ห่างจากวัดป่าสาลวันที่ยกให้เป็นโรงเรียนประมาณ ๑ กิโลเมตร ในปีนั้นประเทศลาวได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสแล้ว ท่านจำพรรษาได้ ๓ พรรษา เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างพระธรรมยุตที่ไปจากประเทศไทยกับพระมหานิกายในนครเวียงจันทน์ พระครูนาคบุรี (ม้าว) จึงมีคำสั่งให้ท่านพระอาจารย์กิ เดินทางไปชี้แจงและเสนอแนวความคิดเห็นต่อกระทรวงธรรมการรัฐบาลลาว  

ในสมัยนั้นมีวัดธรรมยุตคือวัดนาคูน วัดจอมไตร วัดหนองบัวทอง (พระอาจารย์มหาถวัลย์สร้าง) พระอาจารย์กิไปจำพรรษาที่วัดหนองบัวทองออกพรรษาแล้วฤดูแล้ง กระทรวงธรรมการเปิดการประชุมเกี่ยวกับเรื่องพระธรรมยุตกับพระมหานิกาย กระทรวงสอบถามถึงความแตกต่างกันให้ทำรายงานให้ทราบ พระอาจารย์กิก็บันทึกความแตกต่างที่มีในหนังสือกับสังฆนายกของไทย คัดจากภาษาไทยเป็นภาษาลาว โดยมีพระอาจารย์มหาถวัลย์ช่วยพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอพระครูนาคบุรีและพระอาจารย์มหาเครือเพื่อพิจารณาความเหมาะสม เมื่อผ่านการพิจารณาแล้วท่านพระอาจารย์กิพร้อมด้วยคณะสงฆ์ธรรมยุต นำหนังสือรายงานความแตกต่างระหว่างธรรมยุตกับพระมหานิกาย ยื่นต่อกระทรวงธรรมการ เมื่อกระทรวงได้อ่านรายงานแล้วก็มีความเห็นดีด้วย จึงยอมรับให้มีพระธรรมยุตในประเทศลาวต่อไปได้ 

ท่านพระอาจารย์กิพร้อมด้วยคณะสงฆ์ก็สรรหาพระที่มีพรรษามากและมีความเหมาะสมที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงได้พระอาจารย์คำมุ่ย ท่านอุปสมบทได้ ๑๐ พรรษาและท่องปาฏิโมกข์ได้ด้วย จึงบันทึกรายงานพระครูนาคบุรีและพระอาจารย์มหาเครือ ขอให้ทำหนังสือส่งมาอบรมเป็นพระอุปัชฌาย์ในประเทศไทย เพื่อประสานงานกับพระธรรมยุตไทยด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยพระธรรมยุตในลาว ให้เป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน เพื่อให้มหาเถรสมาคมไทยยอมรับด้วย เมื่อพระอาจารย์คำมุ่ยมาอบรมเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว ก็ได้รับพระราชทานตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์แล้วส่งกลับไปนครเวียงจันทน์ การที่พระอาจารย์กิมาพักที่วัดหนองบัวทองนี้ ท่านได้เป็นประธานในการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหญ่และสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่เท่ากับพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อไว้ในพระอุโบสถ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่คณะสงฆ์มอบหมาย พระอาจารย์กิก็กลับจำปาศักดิ์ 

เนื่องจากทราบข่าวพระครูนาคบุรีป่วยหนัก ท่านมาอุปัฏฐากและดูแลอาการป่วยจนพระครูนาคบุรีมรณภาพ ท่านพร้อมด้วยพระอาจารย์มหาถวัลย์ พระอาจารย์กอง พระอาจารย์บุญ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ จัดพิธีศพและพระอาจารย์กิเป็นประธานดำเนินงานก่อสร้างพระเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ พระครูนาคบุรี ต่อมาคณะสงฆ์เห็นสมควรแต่งตั้งพระอาจารย์กิเป็นพระอุปัชฌาย์ แต่ท่านไม่รับท่านเสนอให้แต่งตั้งพระอาจารย์มหาถวัลย์ทางคณะสงฆ์เห็นดีด้วย หลังจากนั้นพระอาจารย์ได้กลับมาจำพรรษาที่วัดราชสัมพันธวงศ์เกือบทุกพรรษาและท่านได้สร้างวัดป่าดอนย่าแก้ว ต.ดอนตลาด ห่างจากวัดราชสัมพันธวงศ์ ๑๒ กิโลเมตร ซึ่งเป็นป่าช้าที่เก่าแก่หลายชั่วอายุคน ห่างจากวัดดอนย่าแก้วไป ๕ กิโลเมตร ท่านได้สร้างวัดบ้านจิกทางโง                     
      
ปี พ.ศ.๒๕๑๗ มีพระภิกษุสงฆ์จากอุดรธานี สกลนครไปจำพรรษาที่วัดป่าดอนย่าแก้ว ๕ รูปและพระอาจารย์สนั่น รักขิตสีโลพร้อม พระอาจารย์กันหา กันตธัมโมไปจำพรรษาที่วัดบ้านจิกทางโง นอกจากนั้นก็ยังมีพระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ไปมาหาสู่วัดราชสัมพันธวงศ์อยู่บ่อยๆ ครั้งหนึ่งท่านเจ้าคุณพระโพธิญาณเถร (ท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท) ก็เคยไปเยี่ยมพระอาจารย์กิ ท่านพานั่งเรือเยี่ยมชมหมู่เกาะต่างๆในสีพันดอนและน้ำตกหลี่ผี 
      
ปี พ.ศ.๒๕๑๘ พระอาจารย์กิ จำพรรษาที่วัดป่าดอนย่าแก้ว เพื่อเผยแผ่พระธรรมให้คนเข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่แท้จริงของชีวิต ในปีนี้พระอาจารย์มหาถวัลย์ได้กลับขึ้นมาจังหวัดเชียงใหม่ คณะสงฆ์ได้แต่งตั้งพระอาจารย์กิเป็นพระอุปัชฌาย์ชั่วคราวกลางปี พ.ศ.๒๕๑๙ พระอาจารย์ได้นำภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาจำนวนหนึ่งเดินทางไปร่วมปฏิบัติฟังธรรมคำอบรมแนะนำสั่งสอนจากพระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ ที่วัดพระธาตุพระครูโพนสะเม็ก ( ยาครูขี้หอม ) เกาะดอนแดง เมืองจำปาศักดิ์ อบรมที่นั้นเกือบ ๑๐ วันแล้วเดินทางกลับวัดราชสัมพันธวงศ์ หลังจากนั้นท่านไม่ได้พบกับพระอาจารย์บุญมากอีก จนทราบข่าวว่าท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
 
ปี พ.ศ.๒๕๑๙ พระอาจารย์จำพรรษาที่วัดราชสัมพันธวงศ์ เป็นพรรษาสุดท้ายที่ถิ่นมาตุภูมิของท่านตลอดระยะเวลาที่ท่านเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศลาว มีพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมากเคารพศรัทธานับถือท่านตั้งแต่ภาคใต้สุดหลี่ผี ภาคเหนือสุดเมืองหลวงพระบางท่านแนะนำไม่ให้คนเชื่อถือผีและสิ่งงมงาย ให้คนเข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คณะศิษยานุศิษย์ของท่านส่วนมากเป็นสัมมาทิฏฐิ ญาติพี่น้องท่านเป็นโยมอุปัฏฐากวัด และมารดาของท่านได้มาบวชเป็นแม่ชีบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

หลวงปู่กิ ธัมมุตฺตโม ท่านมรณภาพลงเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เมื่อเวลา ๒๑.๑๕ น. ณ โรงพยาบาลสรรพประสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี สิริอายุ ๘๔ ปี อยู่ในสมณเพศ ๖๖ พรรษา (สามเณร ๑ พรรษา พระมหานิกาย ๑๓ พรรษา ธรรมยุติ ๕๒ พรรษา)
---------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
ขอบพระคุณที่มา FB page พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการรับชม
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco