พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล บ.ชุมพล ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

 

ชีวประวัติ

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง  ธมฺมวโร



ชาติกำเนิด

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง  นามสกุล ไชยเสนา

เกิดวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๗ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีชวด ณ บ้านศรีฐาน ตำบลกระจาย อำเภอลุมพุก จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอำเภอลุกพุกเปลี่ยนเป็น อำเภอคำเขื่อนแก้ว ขึ้นกับจังหวัดยโสธร  บ้านศรีฐานเป็นตำบลศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร

บิดาชื่อ นายบุญจันทร์  มารดาชื่อ นางอบมา  ไชยเสนา   ประกอบอาชีพเกษตรกรรม

มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด ๕ คน เป็นชาย ๓ คน หญิง ๒ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓


การศึกษา

เข้าเรียนโรงเรียนประชาบาลจนจบชั้น ป.๔

อุปสมบท

            เมื่ออายุ ๒๐ ปี เดือน กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๗ ที่วัดป่าสำราญนิเวศน์ ตำบลบ้านบ่ง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันจังหวัดอำนาจเจริญ) โดยมีพระครูทัศนวิสุทธิ (มหาดุสิต เทวิโร) เป็นพระอุปชฌาย์ 

พบพระอาจารย์มั่นครั้งแรก

        ครั้นเมื่อท่านพระอาจารย์ได้พักกับชาวบ้านแถวริมแม่น้ำโขงพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้เดินทางต่อไปทางจังหวัดสกลนคร โดยมุ่งหน้าจะไปกราบนมัสการและฟังคำอบรมสั่งสอนจากท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เนื่องจากวัดป่าบ้านหนองผือนั้น เป็นวัดเล็ก แต่พระเณมีมากที่ต้องการอบรมศึกษาธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์จึงไม่อาจจำพรรษาที่นั้นได้  จำเป็นต้องไปจำพรรษาอยู่ที่วัดใกล้ๆ เพราะกุฏิมีจำกัด  ในระยะนั้นเข้าใจว่าท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน คงอยู่ที่วัดป่าหนองผือนั้น  เมื่อพระที่อยู่เก่าออกวิเวกและมีกุฏิว่าง  ท่านจึงมีโอกาสปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น  พอสมควรแก่เวลาแล้วจึงได้กราบลาพระอาจารย์มั่นออกไปวิเวก


พรรษาที่ ๙-๑๐ จำพรรษาที่วัดป่าบ้านห้วยทราย (วัดป่าวิเวกวัฒนาราม)

      ในระหว่างพ.ศ.๒๔๙๕ - ๒๔๙๗ เป็นพรรษาที่ ๙ ถึงพรรษาที่ ๑๑ ท่านไปจำพรรษที่อยู่ที่บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี ปัจจุบันขึ้นกับจังหวัดมุกดาหาร  โดยมีท่านพระอาจารย์มหาบัว  ญาณสมฺปนฺโน เป็นผู้นำในยุคสมัยนั้น ท่านพระอาจารย์มหาบัวท่านเข้มงวดกวดขั้นกับพระเณรในวัดโดยไม่ใช้ไฟฉาย  ว่าพระเณรองค์ไหนทำความเพียรอยู่หรือเปล่า  ถ้ามองเห็นจุดไฟอยู่ท่านก็จะไม่เข้าไป  ถ้าองค์ไหนดับไฟท่านเจะเข้าไป  เข้าไปจนใต้ถุนกุฏิแล้วฟังเสียงว่าจะนอนหลับหรือเปล่า  

สติปัญญากล้า

         ท่านอาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า คราวทีสติปัญญามันกล้า มันกล้าจริงๆพิจารณาอะไร  เรื่องที่ใจติดข้องหรือสงสัย มันเหมือนกันกับว่าทิ้งเศษกระดาษใส่ไฟกองใหญ่ๆ มันแว้บเดียว แว้บเดียวเท่านั้น มันหายสงสัย  มันขาดไปๆตกไปๆจึงทำให้เพลินในการพิจารณา

       เมื่อท่านพิจารณารู้เท่าเรื่องของร่างกายทุกส่วนแล้ว จิตก็ปล่อยเรื่องของรูปกาย  มีแต่ความว่างของจิต  ทั้งๆที่สิ่งทั่วไปมันก็ มีอยู่เหมือนเดิมของโลก  แต่จิตของท่านมันว่าง  จึงเป็นเหมือนกันกับว่าไม่มีอะไร มีแต่ความว่างของจิต


โอวาทธรรม

        "ความรู้ขนาดใหน ใจยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง มีกิเลสทับถมโจมตีอยู่ มันก็ไม่มีสาระ จะเรียนได้ปริญญาอะไรมาก็เถอะ ถ้ากิเลสตัณหายังบังคับตัวของตัวได้อยู่  นี่เรื่องการแก้ไขใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีธรรมในใจมีความสงบของใจ มีความปล่อยว่าง ละถอนตัณหา จึงเป็นเรื่องสุข เรื่องสบาย เป็นเรื่องดีวิเศษ"


        "การยินดีในอารมณ์สัญญา หรือการยินดีในกัมมัฏฐาน มันมีการคิดอ่านไปเรื่องนอกหรือไม่ ถ้าหากมันคิดอ่านไปเรื่องนอกก็ให้ตัดมันไปเสีย ปล่อยมันไปเสีย ให้มันยินดีในหน้าที่การชำระสะสางของตน  อย่าไปมุ่งว่าทำอย่างนี้จะไม่ได้มรรคได้ผล จะไม่ถึงความหลุดพ้น  อย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราทำอยู่ไม่หยุดไม่ถอย  เรารักษาไม่ถอยเหมือนกันกับเรา ปลูกต้นไม้ รักษาลำต้นของมันไว้ให้ดี พรวนดินใส่ปุ๋ย ราดน้ำบ่อยๆต้นไม้ที่เล็กๆน้อยๆ ถ้าหากเรารักษา ปฏิบัติมัน มันจะเติบโต มันจะตกดอกออผลให้" (สัขเลขธรรม เทศน์อบรมพระ เณร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๑๓)


        "ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น ไม่ครึ  ไม่ล้าสมัย เราพิจารณาดูอย่างศีล สมาธิปัญญา นี่คือหลักของศาสนา พุทธศาสนามีหลักอยู่ ๓ ข้อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นไตรสิกขา คือ สิกขาที่จะต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจกัน ถ้าหาก ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของครึของล้าสมัย ไม่ทันกับเหตุการณ์บ้านเมืองแล้ว คนที่ไม่มีศาสนา ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา เขาทันสมัย ถ้ามันเป็นอย่างนี้ บ้านเมืองจะต้องล่มจม แตกสลาย อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะขาดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า..."


  " หากบุคคลผู้ใดไม่พินิจพิจารณาเอาใจใส่ มีสติกำกับใจอยู่ทุกเวลา จะไม่รู้ว่าเรื่องความเสื่อม และความจริงของใจ ไม่อย่างนั้น การปฏิบัติขัดข้องเพราะอะไรก็ไม่ทราบ แต่ความจริงนักปฏิบติก็ต้องทดสอบ เพราะเรามาบวชในพระพุทธศาสนา สละกิจการบ้านเรือนต่างๆงานทุกสิ่งทุกอย่าง เราสละมาเพื่อจะประพฤติกาย วาจา ใจของตน ให้ถูกต้องตามหลักธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า..."


ละสังขาร

    ท่านละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ณ ท้องนาทุ่งรังสิต หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองหลวง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมกับอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม , พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ , พระอาจารย์วัน อุตตฺโม , พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม

สิริรวมอายุ ๕๕ ปี ๙ เดือน ๑๕ วัน ๓๕ พรรษา

----------------------

ข้อมูลอ้างอิงจาก ชีวประวัติและพระธรรมเทศนา พระอาจารย์สิงห์ทอง  ธมฺมวโร อนุสรณ์พิพิธภัณฑ์ฉันทกรานุสรณ์ วัดป่าอัมพโรปัญญาวนาราม ชลบุรี ,108prageji.com

ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า 

ขออนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน

สวัสดี.

สนับสนุนเพจที่ สายการบินThaismile จองตั๋วกับThaismile

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco