ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ชีวประวัติ
พระเดชพระคุณพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
( พระธมฺมธโร ท่านพ่อลี )
วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
ชีวประวัติ
พระเดชพระคุณพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(พระธมฺมธโร ท่านพ่อลี)
วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ หรือ ท่านพ่อลี นามเดิม ชาลี นารีวงศ์ ฉายา ธมมฺธโร เป็นพระวิปัสสนาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และอดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ
ท่านได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี) ว่า "ท่านอาจารย์ลีเป็นผู้ที่ยอมสละชีวิต เลือดเนื้อ และความรู้ถวายแก่พระพุทธศาสนาโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยาก มุ่งตั้งใจอบรมคฤหัสถ์และบรรพชิตให้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ปฏิบัติเมื่อรู้รสพระธรรมก็เกิดความเคารพเลื่อมใสปฏิบัติตาม"
ท่านพ่อลีได้ถวายคำแนะนำในการบำเพ็ญสมถวิปัสสนากรรมฐาน แด่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) วัดบรมนิวาส จนได้รับคำยกย่องว่า
"คำพูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่นพูด แล้วแม้เราจะทำไม่ได้ไม่ถึง ก็เข้าใจได้ชัดแจ้ง ไม่สงสัย"
ท่านพ่อลี มีนามเดิมว่า ชาลี นารีวงศ์
เกิดเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๙ (นับแบบปัจจุบันเป็น ๒๔๕๐) ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะเมีย
ณ บ้านหนองสองห้อง ตำบลยางโยภาพ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี
บิดา-มารดาชื่อ นายปาว-นางพ่วย นารีวงศ์
บรรพชาอุปสมบท อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ณ บ้านเกิด
ญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ณ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร พระนคร (กรุงเทพฯ)
พระอุปัชฌาย์ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) วัดสระปทุม พระนคร
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้บรรพชา อุปสมบท ๑ วัน ก็ถือธุดงค์ คือฉันมื้อเดียวนตลอดชีวิต
พระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เพ็ง วัดไต้ จังหวัดอุบลราชธานี
ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอโศการาม ก่อตั้งวัด อโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๗-๒๔๙๘ มีพื้นที่ประมาณ ๕๓ ไร่
งานด้านเผยแพร่พระศาสนา
จัดงานใหญ่ฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ปีกึ่งพุทธกาล) ณ วัดอโศการาม เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ รวม ๑๙ วัน ๑๙ คืน โดยมีปัจจัยเริ่มแรก ๒๐๐ กว่าบาท มีผู้ศรัทธาจาก ๔๔ จังหวัด มาบวช และรับการอบรมทางด้านสมถกรรมฐาน (ปฏิบัติธรรม รักษาศีล บำเพ็ญสมาธิภาวนา) ที่วัดอโศการาม รวม ๒,๔๐๗ ท่าน
ไปต่างประเทศ
๑.เดินธุดงค์จากจังหวัดบุรีรัมย์ ไปยังประเทศเขมร และสามารถเทศน์ภาษาเขมรได้
๒.เดินธุดงค์ ทางบก ทางเรือ มและทางรถไฟ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๒ ไปประเทศพม่าและประเทศอินเดีย
๓.โดยทางอากาศ (เครื่องบิน) เมื่อเดือนมกรามคม ๒๔๙๓ ไปประเทศพม่าและประเทศอินเดีย เป็นครั้งที่ ๒ และได้จำพรรษาที่เมืองสารนาถ ๑ พรรษา
พระธรรมเทศนา
ศีล คืออะไร นั้น มีอรรถาธิบายว่า สีลํ อันว่าความปกติ ความปกตินั้น ได้แก่ ความไม่เคลื่อนไหวแห่งกาย วาจา ใจ คำที่ว่า ไม่เคลื่อนไหวนั้น ได้แก่ กิริยาที่ไม่ทำชั่วทางกาย ไม่กล่าวชั่วทางวาจา ไม่คิดชั่วทางใจ คือเว้นโทษทางกายกรรม ๓ อย่าง วจีกรรม ๔ อย่าง มโนกรรม ๓ อย่าง (=ศีลกรรมบถ ๑๐ ).....เมื่อรักษากาย วาจา จิต ของตนให้เป็นปกติอยู่เช่นนี้ จึงงเรียกได้ว่า "ศีล"
อานิสงส์ของการรักษาศีล
ผู้มีศีลนั้น ทำการงานทางกาย การงานที่ทำก็บริสุทธิ์ ได้มาแล้วฉิบหายได้ยาก
ผู้มีศีล จะกล่าวทางวาจานั้น กล่าวมาก็ตม กล่าวน้อยก็ตาม ย่อมไม่แสลงหูผู้ฟัง ย่อมเป็นที่ไหลมาแห่งทรัพย์ หูผู้ฟังก็พลอยเย็นไปด้วย
ธรรมปฏิบัติเรื่องปัญญา
ผู้ที่รู้กระจ่างในความเกิดและความตายนี้จะต้องเรียนจิตตศาสตร์ คือความรู้ในทางจิตเป็นจิตตวิชชา ความรู้ในทางคิดที่เรียกว่า วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นปฐมวิชชา ชั้นที่ ๑
ในทางพระพุทธศาสนา เพ่งเข้าไปจนเหลืออยู่แต่ ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นทุติยวิชชา ความรู้ในชั้นที่๒
เพ่งเข้าไปจนเหลืออยู่แต่ สุข กับเอกัคคตา เป็นตติยวิชชา ความรู้ชั้นที่ ๓
เพ่งเข้าไปจนเหลืออยู่แต่ เอกัคคตา กับ อุเบกขา เป็น จตุตถวิชชา ความรู้ชั้นที่ ๔
เมื่อจบแล้ว หมดวิชชาในโรงเรียนนั้นๆคือความรู้ในรูปกาย รู้ได้ว่า "เป็นธาตุ เป็นอสุภะ เป็นอนิจจง ทุกขัง อนัตตา" เมื่อรู้ถึงตอนนี้แล้ว บางคนก็ไม่เรียนต่อ ย่อมแสวงหาทำไปในทางผิด ตัวอย่างเช่น แสดงตนเป็นผู้มีฤทธิ์บ้าง เป็นไปในทางโหราศาสตร์บ้าง เป็นไปในทางเวทมนต์กลคาถาอาคมบ้าง ใช้เป็นวิชชาหากินไปตามความหลง
คติสอน
"ถ้าฉันหนเดียวตาย ผมตายไปนานแล้ว"
คำขวัญ
อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงเตือนตนของตนด้วยตนเอง จงเร่งรัดพัฒนาตนไว้ให้เจริญ คนเราควรทำตนให้เป็นที่พึ่ง ควรแก่การปกครองของปวงชน เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขโดยสวัสดิภาพ
บุคคลในโลกนี้ มี ๒ จำพวก คือ
๑. ผู้ที่สร้างความดีและเย็นไว้ใส่ตัว
๒. ผู้ที่สร้างความร้อนไว้ใส่ตัว
ภาษิต
ต้นไทรใหญ่ ในกลางดง กิ่งมันยาว ใบมันมาก
รากมันยาว หยดย้อย ห้อยลงดิน
ลมโบก และลมพัด กิ่งไม่โค่น ต้นไม่หัก
ต้นมันใหญ่ ไม้มีหลัก หักไม่เป็น ใบดก ดอกหนา สกุณาได้อาศัยฯ
- คนใดได้เป็นใหญ่ให้มีราก คือคุณธรรมคอยค้ำจุนเป็นหลักไว้ไม่คลอนแคลน
- อโลโภ อโทโส ให้มีไว้ในตน เป็นกุศลคือกองบุญคอยค้ำจุนและเชิดชู
- สำรวมหู สำรวมตา กายวาจาเป็นสาขาคือกิ่งก้าน (ตกไปอยู่ที่ไหนๆทำแต่ความดีทุกแห่ง) สำรวมไว้ให้จงดี สำรวมอินทรีย์เป็นกำลัง ตั้งใจในสัมมาปฏิบัติ
- จงทำตนของตนให้เป็นที่พอใจของตน "ทำไว้แล้วหรือยัง"
- อยู่กับตำหนิไม่ควรทำ
- ความดีที่ยิ่งไปกว่าความดีไม่มีในโลก ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
ละสังขาร
รุ่งเช้าวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๔ ศิษย์ได้รอเพื่อให้ท่านตื่นฉันจังหัน จนเห็นว่าเวลาสายผิดปกติ จึงได้เปิดหน้าต่างเข้าไปดู ปรากฏว่าท่านได้มาณภาพเสียแล้ว
สิริอายุได้ ๕๕ ปี ๒ เดือน ๒๕ วัน
-----------------------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
ขอบคุณข้อมูลจาก ชีวประวัติและพระธรรมเทศนาพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจาย์
อนุสรณ์พิพิธภัณฑ์ฉันทกรานุสรณ์ ชลบุรี ,วิกิพีเดีย
ขออนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สาธุชนสามารถสนับสนุนเพจของเราโดย คลิกชมโฆษณาที่แสดง อนุโมทนาบุญครับ
สวัสดี.
--------------------
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น