พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดภูทอกเจติยาคีรีวิหาร อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ (เดิมหนองคาย)

 

ชีวประวัติประวัติ  พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ 

วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ. บึงกาฬ (เดิมหนองคาย)


 พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มีชาติกำเนิดในสกุล "นรมาส"
                   เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีวอก ณ บ้านเหล่ามันแกว บ้านเลขที่ ๒๘ หมู่ที่ ๑๒ ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี

         บิดาท่านชื่อ ลา มารดาชื่อ แหวะ สกุลเดิม วงศ์จันทร์ บรรพบุรุษของท่านอพยพมาจากเวียงจันทน์ เป็นอุปฮาดของเมืองเวียงจันทน์ เมื่อมีภัยสงครามเกิดขึ้น เวียงจันทน์แตก อุปฮาดผู้เป็นต้นตระกูลก็พาครอบครัวอพยพมา ครั้งแรกตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลหนองวัวลำภู ต่อมาย้ายถิ่นฐานบ้านช่อง กระทั่งท้ายที่สุดมาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี

   บิดามีอาชีพทำนา และมีความรู้ทางด้านสมุนไพรมาก เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงได้อาศัยเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย คือเป็นหมอประจำหมู่บ้าน เป็นที่รักใคร่นับถือ และได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งบิดาของท่านก็ดำรงตำแหน่งนี้มาตลอดจนถึงแก่กรรม ขณะนั้นท่านอายุได้ 16 ปี

     ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๗ คนด้วยกัน มีชื่อตามลำดับดังนี้

           ๑. นายเหีย นรมาส ถึงแก่กรรม 

           ๒. นายแดง นรมาส

           ๓. นายโลน นรมาส ถึงแก่กรรม

           ๔. นางน้อยแสง หมายสิน

           ๕. นายอ่อนจันทร์ นรมาส.

           ๖. พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

           ๗. นายนวล นรมาส

    ตามชนบทในสมัยนั้นโรงเรียนมีน้อยมาก ตั้งอยู่ห่างไกลกัน ในตำบลหนึ่ง ๆ มิได้มีโรงเรียนครบทุกหมู่บ้าน หมู่บ้านใดไม่มีโรงเรียนเด็กก็ต้องมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนในหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งต้องเดินนับเป็นสิบ ๆ กิโลเมตร ผู้ปกครองจะยอมให้บุตรหลานไปเรียนหนังสือจึงต้องให้โตพอประมาณ คือ อายุ ๙-๑๐ ท่านอาจารย์ก็เช่นเดียวกันเริ่มเข้าเรียนหนังสือเมื่ออายุครบ ๙ ขวบเต็ม ต้องเดินไปโรงเรียนที่อีกหมู่บ้าน คือที่บ้านดงมะยาง จนขึ้นชั้นประถมปีที่ ๓ โรงเรียน จึงย้ายมากอยู่ที่วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ติดกับบ้านเหล่ามีนแกว อันเป็นบ้านเกิด ท่านได้เรียนรู้ที่โรงเรียนนี้จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของตำบลชนบทละแวกนั้น ระหว่างเรียนเป็นผู้เรียนดี ฉลาดและขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่ง สอบไล่ได้ที่ ๑ โดยตลอด ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ ๑ จนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ได้รับคำชมเชยยกย่องจากครูบาอาจารย์ ทั้งในด้านการเรียนและในด้านความประพฤติจนครูเชื่อถือรักใคร่ให้ช่วยสอนเพื่อนนักเรียนแทนครูตลอด เป็นประจำทุกชั้นเรียน

   หลังจากจบการศึกษาแล้ว อายุย่างเข้า ๑๘ ปี ท่านได้เข้าทำราชการกรมทางหลวงแผ่นดิน อยู่เป็นเวลา ๔ ปี จึงได้ลาออกเพื่อเตรียมอุปสมบท

   กล่าวได้ว่าท่านเป็นผู้มีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมะมาแต่เด็ก นอกจากการวิ่งเล่นซุกซนสนุกสนานตามวิสัยเด็กน้อยแล้ว สำหรับนิสัยทางสร้างบาปสร้างกรรมไม่มีเลย ท่านเล่าเสมอว่าท่านไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ส่วนการหยิบฉวยลักขโมยนั้น แม้แต่เข็มสักเล่มเดียวก็ไม่เคยหยิบฉวยของใครเลย

   เมื่อท่านอายุได้ ๑๔-๑๕ ปี ได้พบพระธุดงค์ มาปักกลดอยู่ใกล้บ้านก็บังเกิดความเลื่อมใสตั้งปณิธานว่าต่อไปจะบวชอย่างท่านบ้าง พระธุดงค์ได้มอบหนังสือ "ไตรสรณาคมน์" ของท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม แห่งวัดป่าสาละวัน นครราชสีมา มาให้ หนังสือนี้นอกจากสอนให้พุทธศาสนิกชน รู้จักการเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริงแล้ว ได้สอนวิธีปฏิบัติภาวนาด้วย ท่านบังเกิดความคิดเลื่อมใสศรัทธา จึงจะลองปฏิบัติตามหนังสือนั้น เริ่มสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรต่อ แล้วนั่งสมาธิหัดบริกรรม "พุทโธ ...พุทโธ...พุทโธ" จนกระทั่งปรากฏว่าจิตรวม จิตกับกายแยกกัน ไม่เหมือนกัน จิตอยู่เฉพาะจิต กายอยู่เฉพาะกาย เวทนาใดก็ไม่มีปรากฏเลย

   ท่านเล่าว่า เวลานั้นก็ไม่รู้จักอะไรลึกซึ้ง ด้วยหัดเอง ทำเอง ทำตามลำพังคนเดียวไม่มีผู้รู้มาสอนให้ก้าวหน้าขึ้น ได้แต่รู้สึกว่านั่งสมาธิแล้วก็สบายดี กายเบา จิตขาวนิ่มนวลผ่องใส เหมือนนั่งนอนอยู่อากาศอันนิ่มนวล ทำให้จิตใจดูดดื่มมาก นึกอยากจะภาวนาเสมอ ๆ ถ้าวันไหนใจไม่สบาย ก็ต้องเข้าที่นั่งภาวนา สงบใจเสมอ

   ภายหลังระหว่างทำงานได้รับหนังสือ "จตุราลักษณ์" ของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล มาอ่านเพิ่มเติมสติปัญญาอีก เมื่อท่านอ่านไปถึง มรณานุสติ จิตก็สลดสังเวชว่า เราก็ต้องมีตายอยู่นั่นเองและในหนังสือนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ฯ ก็ได้ย้ำถึงเรื่องกรรมว่า คนเราต่อมมีกรรมเป็นของของคน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นจักเป็นทายาทให้เราได้รับผลกรรมนั้นต่อ ๆ ไป คือ หมายความว่า กรรมต่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา ให้เลว ให้ดี ให้ชั่ว ให้ประเสริฐ เมื่ออ่านกันถึงตอนนี้ ท่านก็บังเกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่ง นึกว่าคนเราที่เกิดมาถ้าไม่ประกอบคุณงามความดี ก็ไม่มีประโยชน์แก่ชีวิตของตน และไม่มีโอกาสที่จะได้รับความสุขต่อไปในชาติหน้าอีก ศรัทธาในพระศาสนาก็เพิ่มพูนขึ้น เมื่ออายุเพียง 20 ปีถึงกับสละเงินที่เก็บหอมรอมริบระหว่างทำงานอยู่กรมทางหลวงทั้งหมดเป็นเจ้าภาพสร้างมหากฐินคนเดียว สร้างพระประธาน สร้างส้วม ในวัดจนหมดเงิน

   เมื่อท่านอาจารย์อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายมหานิกาย ที่วัดเจริญจิต บ้านโคกกลาง ตำบลดงมะยาง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี พระอุปัชฌายะชื่อ บุ พระกัมมวาจาจารย์ชื่อ พระมหาแจ้ง ได้ฉายาว่า "จวน กลฺยาณธมฺโม" ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรม และสอบได้นักธรรมตรีในพรรษานั้น

   ระหว่างที่บวชเป็นพระบ้านอยู่นั้น ท่านปรารถนาจะออกธุดงค์เจริญรอยยามพระธุดงคกัมมัฏฐานที่เคยกราบคารวะเมื่อยังเด็ก จึงคิดจะญัตติเป็นธรรมยุตเพื่อออกธุดงค์ เมื่อไปขอลาอุปัชฌาย์ท่านไม่ให้ญัตติให้สึกเสียก่อน ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสก่อนชั่วคราว

การจำพรรษา

พรรษาที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๘๖ วัดบ้านพอก อำเภออำนาจเจริญ

พรรษาที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๘๗ วัดทุ่ง บ้านชาติหนองอีนิน อำเภอเลิงนกทา

พรรษาที่ ๓พ.ศ. ๒๔๘๘ วัดบ้านนาจิก ดอนเมย บ้านหนองปลิง ต.นาจิก

พรรษาที่ ๔ อยู่ด้วยท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ

พรรษาที่ ๕-๖ พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๔๙๑ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงโหม่

พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๙๒ วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว สงเคราะห์โยมมารดา

พรรษาที่ ๘ พ.ศ. ๒๔๙๓ จำพรรษาที่ถ้ำพวง อ.ส่องดาว จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๙๔ ภูสะโกฏ บ้านหนองเม็กนามน

พรรษาที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๔๙๕ ดอนกระพุง ชายป่าดงหม้อทอง อ. วานรนิวาส

พรรษาที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๔๙๘ ดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส

พรรษาที่ ๑๒ หลวงปู่ขาว พร้อมด้วยพระติดตามมาอีก ๗ - ๘ องค์ ผ้าขาว ๒ คน แม่ชี ๔ - ๕ คน ได้อธิษฐานพรรษาอยู่ที่ดงหม้อทองด้วยกันหมด ต่างองค์ต่างปรารภความเพียรอย่างเต็มความสามารถ ปละได้ฟังเทศน์จากหลวงปู่ ในพรรษานี้ บางวันกลางวันท่านนั่งอยู่บนกุฏิก้อนหิน เห็นฝูงช้างมากินน้ำที่หนองน้ำโคนก้อนหินในบริเวณวัด แต่ไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ และบางคืนมีเสือมาหยอกเล่นกัดกันขณะพระสวดปาฏิโมกข์ก็มี

      พอออกพรรษา ท่านอาจารย์ได้ออกเกินวิเวกมาทางภูวัว ส่วนหลวงปู่ขาวได้เดินทางกลับไปอยู่วัดแก้ว บ้านชุมพล

      พรรษาที่ ๑๓ จำพรรษาที่ดงหม้อทองมีหลวงปู่คำอ้าย ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น มาจำพรรษาอยู่ด้วย ในพรรษานี้ คืนหนึ่งท่านได้นิมิตว่า มีภิกษุณีซึ่งเป็นพระอรหันต์องคืหนึ่งหนึ่งเข้ามาหาและก้มกราบท่านอาจารย์ และได้เทศน์ให้ท่านฟังอีกด้วย โอวาทที่ภิกษุณีเทศน์ให้ฟังนั้น มีอรรถรสดื่มด่ำ น่าฟังอย่างยิ่ง

      พอออกพรรษาได้ร่ำรากันไปหาที่วิเวก ท่านอาจารย์ได้เดินทางไปภูวัว ขณะนั้นหลวงปู่ขาวจำพรรษาอยู่ที่บ้านเลื่อม เมื่อออกพรรษาหลวงปู่ได้ให้คนมาส่งข่าง ขอให้ท่านอาจารย์ไปรับหลวงปู่เพื่อจะไปจำพรรษาที่ภูวัวด้วยกัน ท่านอาจารย์จึงไปรับหลวงปู่ไปจำพรรษาที่ภูวัว

พรรษาที่ ๑๔ พ.ศ. ๒๔๙๙ ที่ถ้ำแก้ว ตาดปอ บ้านทุ่งทรายจก ภูวัว

พรรษาที่ ๑๕ - ๑๖ พ.ศ. ๒๕๐๐ -๒๕๐๑ ดงหม้อทอง

พรรษาที่ ๑๗ พ.ศ. ๒๕๐๒ ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมภู อ.โพนพิสัย

พรรษาที่ ๑๘ - ๒๐ พ.ศ. ๒๕๐๓ - ๒๕๐๕ ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมภู

พรรษาที่ ๒๑ พ.ศ. ๒๕๐๖ ภูสิงห์น้อย (ภูกิ่ว)

พรรษาที่ ๒๒ - ๒๕ พ.ศ. ๒๕๐๗ - ๒๕๑๒ ถ้ำบูชา ตาดสะอาม ภูวัว

พรรษาที่ ๒๖ พ.ศ. ๒๕๑๑ จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย

วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี พรรษาที่ ๒๗ - ๓๘ พ.ศ. ๒๕๑๒ - ๒๕๒๓

วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.บึงกาฬ (ปัจจุบันอ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ)

ท่านเริ่มมาอยู่ภูทอกนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๒ มาอยู่ครั้งแรก กับท่านพระครูสิริธรรมวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดสามัคคีอุปถัมภ์ อำเภอบึงกาฬในปัจจุบัน กับผ้าขาวน้อยองค์หนึ่ง ตอนแรกก็อาศัยอยู่ตีนเขาที่เป็นโรงฉันต่อกับโรงครัวปัจจุบันนี้ บริเวณรอบ ๆ เป็นผ่าทึบ รกชัฏ มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์

      เบื้องต้นภูทอกยังไม่มีแอ่งเก็บน้ำ สมัยนั้นต้องอดน้ำ อาศัยฝนที่ค้างอยู่ตามแอ่งหิน อาการการขบฉัน อาศัยบิณฑบาตจากชาวบ้านนาคำแคน ซึ่งได้อพยพไปอยู่ใหม่ ๆ ประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน การบิณฑบาตขาดแคลนมาก ตามมีตามได้

      พอเข้าหน้าแล้ง ท่านได้ขอให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ และขึ้นมาปลูกกระต๊อบอยู่ชั่วคราวที่โขดหินตีนเขาชั้น ๒

      ปีแรกที่จำพรรษาอยู่ที่ภูทอก มีพระ ๓ องค์ ผ้าขาวน้อย ๑ องค์ ปลูกกระต๊อบชั่วคราวพออาศัยได้ ๔ หลัง ทุกองค์ต่างทำความเพียรอย่างเต็มที่ เวลาพลบค่ำ ท่านอาจารย์ขึ้นไปนอนบนชั้น ๕ โดยปีนขึ้นตามเครือเขาเถาวัลย์ ตามรากไม้ ซึ่งแจจุบันนี้เป็นถ้ำวิหารพระ สมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น

      ในระหว่างกลางพรรษาที่ ๒๗ ได้ชักชวนญาติโยมทำบันไดขึ้นเขาชั้นที่ ๕ และชั้นที่ ๖ จนสำเร็จ ทำอยู่ประมาณ ๒ เดือนกับ ๑๐ วัน จึงเสร็จเรียบร้อย การสร้างบันไดนี้สำเร็จในกลางพรรษา ได้อาศัยศรัทธาญาติโยมและชาวบ้านใกล้เคียงช่วยกันคนละเล็กละน้อย ช่วยกำลังแรง ส่วนกำลังทรัพย์ไม่มี เพราะต่างเป็นคนยากจน มีแต่ศรัทธาเท่านั้น

      กลางพรรษาปี ๒๕๑๒ ท่านได้เกิดสุบินนิมิตว่า ได้ออกไปบิณฑบาตที่ภูทอกใหญ่ ตามหน้าผา อุ้มบาตรเดินเลียบไปตามหน้าผา อ้อมไปเรื่อย ๆ เห็นหน้าต่างปิดอยู่ตามหน้าผา มองไม่เห็นคนเลย ท่านจึงเดินอ้อมไป ท่านจึงหยุดยืนรำพึงว่า .... ทำไมมีแต่หน้าต่างปิด ไม่เห็นคนออกมาใส่บาตรเลย สักครู่หนึ่งก็เห็นคนเปิดหน้าต่างออกมาใส่บาตร ท่านจึงตั้งจิตถามขึ้นว่า เขาเป็นใคร เขาก็ประกาศขึ้นมาเองว่า "พวกผมนี้เป็นพวกบังบดขอรับ อยู่กันที่ภูทอกใหญ่ ภูแจ่มจำรัส" พวกบังบด คือพวกภุมมเทวดา ที่เขามีศีล ๕ ประจำ เขาอธิบายให้ฟังต่อว่า "ชื่อเดิมของภูทอกใหญ่นี้ เรียกกันว่า ภูแจ่มจำรัส แต่ก่อนนี้มีพวกฤๅษีชีไพรมาบำเพ็ญพรตภาวนากันอยู่ที่ภูแจ่มจำรัสนี้มาก"

     เมื่อเขาใสบาตรเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงภามเขาว่า "ทำไมจึงรู้ว่าอาตมามาบิณฑบาต"

     เขาก็ตอบยิ้ม ๆ ว่า "รู้ครับ รู้ด้วยกลิ่น ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า"

     "กลิ่นเป็นอย่างไร" ท่านซักต่อ

     "กลิ่นหอมขอรับ ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า ก็เลยพากันเปิดหน้าต่างมาใส่บาตรพระผู้เป็นเจ้ากัน" ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ควรแก่การบูชา พวกเราจึงพร้อมใจกันมาใส่บาตร"

     พอพวกเขาใส่บาตรเสร็จ ท่านก็กลับ พอดีรู้สึกตัวตื่น พิจารณาดูนิมิตนั้นก็เห็นแปลก และเช้าวันนั้น อาหารที่บิณฑบาตได้ ขบฉันก็รู้สึกว่ารสเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีใครอื่นมาใส่บาตรจริง ๆ มีแต่ชาวบ้านเท่านั้น และอาหารก็เป็นอาหารพื้น ๆ

      พรรษาแรก พระเณรเจ็บไข้กันมาก บางองค์ก็บอกว่า เทวดาประจำภูเขามาหลอกหลอน ดึงขา ปลุกให้ลุกขึ้นทำความเพียร บางทีก็ไล่ให้หนี เพราะมาแย่งวิมานของเขา ท่านได้พยายามตักเตือนพระเณรให้มีศีลบริสุทธิ์ บำเพ็ญความเพียร แผ่เมตตา และให้ทำความเพียรอย่าได้ประมาท ภายหลังก็เกิดนิมิตว่า มีพวกเทวดามาหาท่านบอกว่า "ขอน้อมถวายภูเขาลูกนี้ ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดรับไว้รักษา พวกข้าพเจ้าจะลงไปอยู่ข้างล่าง" และยังขอให้ท่านประกาศแก่มนุษย์ที่จะมาเที่ยวภูเขาลูกนี้ต่อไปว่า ขออย่าได้กล่าวคำหยาบ อย่าส่งเสียงดังอึกทึก อย่าถ่มน้ำลายลงไปข้างล่าง อย่าขว้างปาหรือทิ้งเศษขยะไว้บนเขา

      เมื่อท่านตื่นจากนิมิต จึงมาพิจารณาคำขอร้องของเทวดา ก็เห็นว่าแยบคายดี น่าจะเป็นข้อที่กัลยาณชนควรจะปฏิบัติอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่มีเทวดามาขอร้องก็ตาม ย่างไรก็ดี ในวันนั้น มีชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาต่างฝันกันว่า มีคนมามอบภูเขาให้ท่านอาจารย์จวนรักษาไว้ และพวกเขาจะลงไปอยู่ข้างล่างแทน บังเอิญมาฝันตรงกันหลายคน

      พ.ศ. ๒๕๑๓ ในฤดูแล้ง ท่านได้ชักชวนชาวบ้าน ช่วยกันสร้างทำนบเพิ่มขึ้นอีก ๒ ทำนบเพื่อไว้เก็บกักน้ำ มีประชาชนจากฝั่งประเทศลาวชื่อ นายบุญที ได้มีศรัทธามาสร้างพระประธานไว้ที่ถ้ำวิหารพระชั้นที่ ๕ ต่อมาได้มีศรัทธาจากที่ต่าง ๆ มาร่วมกันสร้างโรงฉัน และศาลาชั้นที่ ๕

      ภายหลังได้ขยายศาลาตรงฉันชั้นล่างให้กว้างออกไป และได้ขยายศาลาถ้ำวิหารพระชั้นที่ ๕ ให้กว้างออกไปด้วย เพื่อประกอบศาสนกิจและสังฆกรรมได้สะดวก

      การก่อสร้างต่าง ๆ ท่านพยายามทำแบบส่งเสริมธรรมชาติให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ เช่น กุฏิ ศาลาอาศัยผนังถ้ำเป็นฝาเป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ขุดบ่อน้ำอีกหลายแห่ง ยังได้พบบ่อน้ำซึมผุดขึ้นมาจากซอกหิน และได้มีผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันสร้างบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ไว้รองน้ำซึมที่หยดมาจากยอดเขา นอกจากนี้ยังมีผู้บริจาคเงินสร้างถังเก็บน้ำคอนกรีต ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ และได้สร้างส้วมและห้องน้ำ ไว้สำหรับประชาชน

     ใน พ.ศ. ๒๕๑๓ - ๒๕๑๔ ได้ทำสะพานรอบเขาชั้นที่ ๕

     พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ทำนำนบกั้นน้ำเพิ่ม

     พ.ศ. ๒๕๑๖ ปรับปรุงสะพานชั้นที่ ๕ ทำทางเดินให้เสมอกันและขยายให้กว้างขึ้น

     พ.ศ. ๒๕๑๗ ทำสะพานบนเขาชั้นที่ ๖ ทำสะพานชั้นที่ ๔ ครึ่งเขา

     พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้ทำทำนบกันน้ำในเขตวัด

      ตั้งแต่ปี ๒๕๒๙ เป็นต้นมา ได้มีคณะญาติโยมโดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ ทยอยมากันบ่อยครั้งขึ้น ได้มีศรัทธาเพิ่มขึ้น บริจาคทั้งกำลังทรัพย์ และกำลังกายมาช่วยเหลือที่วัด ได้มีการสร้างถังน้ำบนเขาชั้นที่ ๕ สร้างห้องน้ำ ห้องส้วมเพิ่มอีกหลายห้อง นอกจากนี้ยังได้มีการสร้างกุฏิถาวรสำหรับพระเณรจะได้เป็นที่พัก เพราะแต่ก่อนพระเณรจะใช้เงื้อมหินหรือถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนหลายหลัง และยังได้มีการสร้างกุฏิที่พักสำหรับพระอาคันตุกะ สร้างกุฏิแม่ชี และกุฏิที่พักบนชะง่อนเขาชั้นที่ ๕ สำหรับญาติโยมได้มาพักอีกด้วย

      นอกจากได้ก่อสร้างในวัดแล้ว ยังได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวบ้านใกล้เคียงอีกด้วย โดยได้สร้างทำนบกั้นน้ำให้แก่ชาวบ้าน ๖ ทำนบ และในปี ๒๕๒๓ ได้เริ่มทำถนนรอบภูเขา ๓ ลูก คือ ภูทอกน้อย ภูทอกใหญ่ และภูสิงห์น้อย ซึ่งต่างก็เป็นสำนักสงฆ์ของวัด เพื่อเป็นการกั้นเขตแดนวัด จะได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด และยังเป็นการสงวนป่าไม่อีกด้วย (เมื่อท่านอาจารย์จวนมรณภาพแล้ว งานนี้ยังค้างอยู่ ทางวัดได้ทำต่อจนแล้วเสร็จ รวมทั้งทำนบน้ำแห่งใหม่ในหมู่บ้านด้วย)

ท่านได้รับนิมนต์มากรุงเทพมหานคร ได้รับอุบัติเหตุเครื่องบินตก ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ สิริรวมอายุ ๕๙ ปี ๙ เดือน ๑๘ วัน พรรษา ๓๘


     ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้เทศน์ให้ศิษย์ฟังเสมอ ๆ เรื่องสมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอนให้มนุษย์รู้จักบำเพ็ญประโยชน์ ๓ อย่าง ประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายภาคหน้า และ ประโยชน์อย่างยิ่ง ดังที่ได้ยกธรรมเทศนาของท่านตอนนี้มารวมไว้ข้างท้ายนี้


     คำสอนของท่านอาจถือเป็นข้อสรุปปฏิปทา คุณธรรมขององค์ท่านผู้สอนได้เป็นอย่างดี

     ท่านได้ปฏิบัติมาแล้ว เป็นตัวอย่างให้เราจักได้พยายามเจริญรอยตามคำสอนของท่าน


     แรกเริ่ม ท่านบำเพ็ญประโยชน์ตน อัตตถประโยชน์ก่อน ท่านสอนเสมอ เราต้องว่ายน้ำให้เป็นเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปสอนให้คนอื่นว่ายน้ำ ถ้าตัวเราก็ยังว่ายน้ำไม่เป็นช่วยตัวเองไม่ได้ ไปสอนเขา ก็รังแต่จะพากันจมน้ำตายไปด้วยกันหมด ดังนั้นในระยะแรก ท่านจึงบำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ซอกซอนซ่อนตัวอยู่ในกลางป่าลึก จนบำเพ็ญประโยชน์แก่ตนเองได้สมปรารถนาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ทำประโยชน์แก่ญาติ...เพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา ร่วมพระมหากษัตริย์ ทำประโยชน์แก่โลก แก่ส่วนรวมต่อไป เป็นวิหารธรรม ที่เป็น "เครื่องอยู่" ของท่าน


     วัดป่าบ้านนาจิก วัดป่าศิลาอาสน์ ที่ดงหม้อทอง สำนักสงฆ์ถ้ำจันทน์ วัดป่าที่ภูสิงห์น้อย (ภูกิ่ว) สำนักสงฆ์ถ้ำบูชา สำนักสงฆ์สะแนน และวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) เป็นเสมือนเจดีย์ศิลาที่ท่านก่อนตั้งไว้


     โดยเฉพาะที่วัดเจติยาคีรีวิหาร ซึ่งท่านได้สร้างสะพานเวียนรอบเขาโดยรอบเป็นชั้น ๆ จนถึงยอด ทำให้เขาภูทอกเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะสำหรับผู้มุ่งไปปฏิบัติธรรมและพักผ่อน กิตติศัพท์อันงามขององค์ท่านเอง และสถานที่ซึ่งท่านบุรณะและสร้างสรรแล้ว ได้ชักนำให้ประชาชนจากที่ใกล้และไกล พากันสนใจ แม้ชาวต่างประเทศก็จัดคณะไปกราบคารวะและเยี่ยมชมสถานที่กันไม่ขาด


     ด้วยเมตตาธรรมของท่าน ผ่าดงพงพีหลายแห่ง ได้กลายเป็นไร่นาสาโท ยิ่งท่านได้นำชาวบ้านสร้างถนนหนทาง สะพาน สระน้ำ ฝาย อ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ไร่นาสาโทเหล่านั้นก็อุดมสมบูรณ์ขึ้น


     โดยเฉพาะที่ภูทอก เราได้ประจักษ์กับตาเองว่า ระหว่างสองสามปีหลังนี้ นาข้างแถวบริเวณใกล้ภูทอก ต้นข้าวจะงาม สูงแทบจะท่วมหัวทีเดียว ชาวบ้านรู้จักปลูกผัก ได้อาศัยเมล็ดพันธุ์ผักจากวัด ได้น้ำจากฝายและอ่างเก็บน้ำ ๖ - ๗ แห่ง ที่ "หลวงพ่อ" คิดทำให้บ้าง ปละต่อมาได้ทำเป็นตัวอย่างจูงใจให้ชาวบ้านรู้จักช่วยตัวเอง ทำเพิ่มเติมขึ้นด้วย เขาเหล่านั้นก็เรียกได้ว่า พอจะลืมหน้าอ้าปากได้ บ้านเรือนที่มีอยู่เพียง ๑๐ หลังคาเรือน ก็กลายเป็นหลายร้อยหลังคาเรือน ... ที่เป็นฟาก เป็นไม้ไผ่ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไม่ถาวรขึ้นอย่างหนาตา หลายสิบบ้านเป็นเจ้าของไร่มัน พืชผลต่าง ๆ และมีอีกเป็นสิบบ้านเช่นเดียวกัน ที่ต่างมีรถยนต์จอดอยู่ในบ้านของตน


     วัดวาอาราม ถนน สะพาน สระน้ำ ฝาย อ่างเก็บน้ำ และความเจริญของหมู่บ้านที่ประชาชนอพยพตามเข้ามาอาศัยบารมีการุณธรรมอันสงบร่มเย็นของท่าน ... เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทีดงหม้อทอง วานรนิวาส ที่ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมภู ที่ภูสิงห์น้อย ที่ถ้ำบูชา ที่น้ำตกสะแนน ภูวัว ที่ภูทอกน้อย ภูทอกใหญ่ ... ล้วนเป็นอนุสรณ์แห่งการบำเพ็ญบารมีเพื่อโลกัตตถประโยชน์และญาตัตถประโยชน์ของท่านทางด้านถาวรวัตถุทั้งสิ้น


     แต่ที่ทรงประโยชน์คุณค่ามหาศาล หาประมาณมิได้ คือทางด้านจิตใจ ที่ท่านกรุณาเมตตาช่วยเหลือเจือจาน เทศนา สั่งสอน แนะนำให้ศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาส ... ทั้งที่หนองคาย อุบล อุดร นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ เลย สงขลา เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ ... จันทบุรี ชลบุรี ให้ศิษย์มีความคิดที่ถูกต้องดีงาม ไม่หลงไปในทางที่ผิด ให้รู้จักทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ ธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์

  ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ปัจจุบันแล้ว

 สำหรับประโยชน์ ๒ ประการคือ ประโยชน์ภายภาคหน้า.... เพื่อว่าเมื่อละชีวิตปัจจุบันแล้ว จะได้มีสุคติเป็นที่ไป และ ประโยชน์อย่างยิ่ง ... เพื่อดับอาสวกิเลสให้สิ้นไปถึงพระนิพพาน ... นั้น

   บรรดาศิษย์ของท่านไม่มีคามสงสัยเลยว่า ท่านได้บำเพ็ญบารมีเพื่อประโยชน์ ๒ประการหลังนี้บริบูรณ์แล้ว เต็มแล้ว หรือไม่ และเพียงใด


มรณภาพ : ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก ณ ท้องทุ่งนารังสิต คลองสี่ วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ สิริรวมอายุ ๕๙ ปี ๙ เดือน ๑๘ วัน พรรษา ๓๘

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.drammathai.org

----------

ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า

ขออนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน  ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน

สวัสดี.

--------------------



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco