ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงตาศิริ อินฺทสิริ วัดถ้ำผาแดงผานิมิต อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น
วันนี้วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงตาศิริ อินฺทสิริ วัดถ้ำผาแดงผานิมิต อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เจริญอายุวัฒนมงคลครบ ๘๐ ปี หลวงตาศิริ อินฺทสิริ เกิดเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๗ ที่บ้านหนองผือ ตำบลบ้านกง อำเภอเมือง (ปัจจุบันคือ อำเภอหนองเรือ) จังหวัดขอนแก่น บิดาชื่อนายสิงห์ วงษ์คง (ต่อมาในช่วงบั้นปลายชีวิตท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ)
มารดาชื่อนางพริ้ง วงษ์คง (ท่านเป็นนักภาวนาชั้นเลิศ รู้แม้กระทั่งวันตายของตนเอง) ท่านมีพี่น้องด้วยกัน ๘ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๗
โยมแม่เล่าให้ฟังว่าตอนท่านเกิดใหม่ๆ แม่ปวดท้องมาก เหตุเพราะช่วงคลอดท่านเอาขาออกมาก่อน เวลาคลอดแม่ก็ขี้แตกใส่หัวติดออกมาด้วย เป็นก้อนสีเหลืองๆ อยู่ตรงกระหม่อม กลางหัวพอดี มองดูคล้ายกับเปลวรัศมีของพระพุทธรูป แม่ท่านจึงว่า โตขึ้นจะมีคนเคารพนับถือกราบไหว้
เมื่อท่านถือกำเนิดมาได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีญาติพี่น้องที่ไปบวชเรียนหนังสืออยู่ทางกรุงเทพฯ ชื่อมหาดาวเรือง ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน จึงได้ตั้งชื่อให้ท่านว่า “ศิริ”
ในวัยเด็กท่านเป็นคนที่เลี้ยงง่าย มีสุขภาพแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย และฉายแววฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังมีบุคลิกในทางเป็นผู้นำ มีความเด็ดเดี่ยว พูดจริงทำจริง จึงเป็นที่เกรงขามในหมู่เพื่อนวัยเดียวกัน
ท่านเป็นผู้สนใจใฝ่ธรรม เข้าวัดตั้งแต่อายุ ๖-๗ ขวบ ในช่วงนั้นหลวงปู่คำดี หลวงปู่ท่อน หลวงพ่อสีทน และท่านอาจารย์กอง (หลานหลวงปู่คำดี) ได้เดินทางมาพักที่วัดป่าคีรีวัน (คำหวายยาง) โดยหลวงปู่คำดีเองมีศักดิ์เป็นญาติใกล้ชิดกับโยมพ่อของท่าน ครอบครัวท่านจึงไปถวายการอุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่คำดีและคณะ จึงเป็นเหตุให้ท่านได้มีโอกาสใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์ และได้ไปทำบุญใส่บาตรเสมอ
ครั้งหนึ่งประมาณปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ หรือ ๒๔๙๔ ท่านได้เห็นหลวงปู่คำดีนำรูปหลวงปู่มั่นมาให้โยมพ่อ หลวงปู่คำดีเล่าว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ แนะนำให้เอาไปกราบไปไหว้ ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงที่หลวงปู่มั่นมรณภาพได้ไม่นาน (หลวงปู่มั่นมรณภาพปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ และจัดงานฌาปนกิจศพท่านปีพุทธศักราช ๒๔๙๓) หลวงปู่คำดีท่านได้ไปร่วมงานหลวงปู่มั่นมา ท่านจึงเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์เหยียบโลกกระเดื่อง ตอนนั้นท่านได้ฟังแล้วก็เกิดความสนใจอยู่ แต่เพราะยังเด็กจึงไม่รู้ว่าพระอรหันต์คืออะไร
#การศึกษาและรับราชการ
เมื่อท่านเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ แล้วก็ได้ไปสมัครเป็นนักเรียนครู ตอนนั้นความรู้ของท่านก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่ ในปีนั้นทางวิทยาลัยครูมีทุนเรียนอยู่ ๘ ทุน มีโยมศรีบูรณ์ที่ไปสอบพร้อมกัน ตั้งใจว่าถ้าสอบได้ทุนก็จะไปเรียน แต่ผลออกมาได้ที่ ๙ ส่วนท่านได้ที่ ๑๒ โรงเรียนศิริศาสตร์ไปสอบ ๕-๖ คน ก็สอบเข้าได้หมดอยู่ แต่ไม่ได้เป็นนักเรียนทุน ท่านจึงได้มาศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูอุดรธานี
พอท่านจบจากวิทยาลัยครู ก็ไปสอบบรรจุครูที่จังหวัดขอนแก่น ท่านมาเป็นครูอยู่ที่บ้านคำบอน ๔-๕ ปี ก็ได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนบ้านดงเย็น เป็นโรงเรียนเปิดใหม่ จึงมาเป็นครูคนแรก ครูใหญ่คนแรก ครูน้อยคนแรก ภารโรงคนแรก แต่ก่อนบ้านดงเย็นนี้ชื่อว่าบ้านซำปลากั้ง เพราะมีปลากั้งเยอะ ท่านมาเป็นครูอยู่โรงเรียนบ้านดงเย็นตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ มาอยู่แรกๆ ยังไม่มีอาคารเรียน ชาวบ้านปลูกอาคารหลังคามุงแฝกให้อยู่ ต่อมาก็มีนักศึกษาจากมหาลัยธรรมศาสตร์ มหาลัยมหิดล และโรงเรียนเพาะช่าง ออกมาทำค่ายอาสา มาทำอาคารเรียนหลังใหม่ให้ ๔ ห้องเรียน เสร็จภายใน ๑๗ วันหลังจากเสร็จแล้วได้เชิญผู้ว่ามาเปิด และขอเฮลิคอปเตอร์หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของสมเด็จย่ามาช่วยเหลือคนไข้ เฮลิคอปเตอร์นี้ขอไปทางอธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จึงได้เฮลิคอปเตอร์มาลงจอดที่บ้านดงเย็นให้คนเฒ่าคนแก่ได้ขึ้นขี่เครื่องบิน
หลังจากนั้นท่านได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านดงเย็น ทำงานซ้ำไปซ้ำมาก็เริ่มเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตการทำงาน อยากจะออกไปบวชแต่ก็ยังไม่สบโอกาสสักครั้ง พออายุได้ประมาณ ๒๙ ปี ท่านก็เลยขอลาออกไปบวชชั่วคราว จึงไปเข้านาคที่วัดถ้ำยาว แล้วไปบวชที่วัดศรีจันทร์ ครั้นบวชแล้วในขณะนั้นหลวงปู่สิงห์พ่อของท่าน (ช่วงที่ท่านเรียนจบครูแล้วโยมพ่อก็ออกไปบวชอยู่กับหลวงปู่คำดี) ได้มาพักอยู่ที่บ้านเหล่านาดี พอท่านบวชแล้วก็เลยไปอยู่กับหลวงปู่สิงห์ที่บ้านเหล่านาดี (ก่อนบวชนั้นหลวงปู่สิงห์ก็เป็นผู้สอนนาคให้กับท่านด้วย)
พอท่านบวชแล้วก็คิดว่าอยากจะบวชต่อไปเรื่อยๆ ไม่คิดจะสึก คิดว่าจะลาออกจากราชการแล้วบวชต่อเลย แต่ช่วงนั้นท่านได้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ขณะนั้นมีบุตรธิดารวม ๔ คน หลวงปู่สิงห์พ่อของท่านเห็นว่าลูกหลานท่านยังเล็กอยู่ ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ จึงไม่สมควรที่จะบวชยาวเลยในตอนนี้ จะไปทิ้งขว้างเขาได้ยังไง ถ้าอยากบวชทำไมไม่บวชแต่ทีแรก ทำไมถึงไปแต่งงานก่อน หลวงพ่อท่านก็ดุเอา
ช่วงที่บวชอยู่นั้นท่านได้ภาวนาและอุปัฏฐากรับใช้อยู่กับหลวงพ่อของท่านเป็นอย่างดี มีความรู้สึกว่าภาวนาดีมากๆ พอออกจากบ้านเหล่านาดีหลวงพ่อท่านก็พาไปวัดป่าคีรีวัน (คำหวายยาง) ไปเยี่ยมบ้านเกิดท่าน ไปบิณฑบาตให้แม่ ให้พี่น้องได้ใส่บาตร วัดป่าคีรีวัน (คำหวายยาง) อยู่ที่บ้านปากช่อง ใกล้ๆ กับบ้านหนองผือ (บ้านเกิดท่าน) หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องสึกออกมาตามคำแนะนำของหลวงพ่อท่าน
เมื่อสึกออกมาดำเนินชีวิตทางโลกแล้ว ท่านก็ตั้งใจว่าหากมีโอกาสก็จะออกไปบวชอยู่กับหลวงปู่คำดีอีกครั้ง (ขณะนั้นหลวงปู่คำดีประจำอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่) เพราะหลวงปู่เมตตาท่านมาก ในฐานะที่เป็นลูกหลาน และช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ไปที่วัดถ้ำผาปู่อยู่เสมอ
#การสมรส
ชีวิตการสมรส ท่านได้เล่าไว้เพียงสั้นๆ ว่า ได้แต่งงานกับนางทองอั้ว รัตนา ที่บ้านโคกค้อ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม และมีบุตรธิดาด้วยกันทั้งหมด ๔ คน มีชาย ๒ หญิง ๒
ชีวิตครอบครัว ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำครอบครัว ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยท่านมีอุปนิสัยเป็นคนจริงจัง จะทำอะไรก็ทำอย่างเต็มที่ ไม่มีเกียจคร้าน จึงเป็นที่เกรงขามยำเกรงของทุกคนในบ้าน แม้จะมีอาชีพเป็นครู แต่ท่านก็ประกอบอาชีพการเกษตรเสริมไปด้วย จึงทำให้ฐานะทางครอบครัวอยู่ในเกณฑ์ดี และได้ท่านยังส่งเสริมให้ลูกทุกคนได้มีการศึกษา เพื่ออนาคตข้างหน้าที่ดี
ก่อนท่านจะออกไปบวช ท่านได้เขียนหนังสือสั่งลาลูกๆ ทุกคนรวมทั้งแม่ออกไว้หมดทุกอย่าง มีประโยคหนึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่า “ให้ลูกทุกคนคิดเสียว่าพ่อได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หากว่าไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม ก็จะไม่กลับมาเหยียบขอนแก่นอีก” และท่านก็ได้จัดการแบ่งทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับทุกคน โดยท่านคิดว่าหากได้ออกไปบวชแล้ว ก็จะไม่หวนคืนกลับมาเป็นฆราวาสอีกแน่นอน จึงเป็นการจบฉากชีวิตครอบครัวทางโลกอย่างสมบูรณ์แบบ
#การแสวงหาธรรม
ด้วยจิตมุ่งมั่นที่จะออกบวช ท่านจึงตั้งใจรักษาศีลอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทั้งศีล ๕ และศีล ๘ (ศีล ๘ ในทุกวันพระที่จำได้) ท่านฝึกเจริญภาวนา ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิและเดินจงกรมอยู่เป็นประจำ และหาโอกาสไปภาวนาอยู่วัดต่างๆ หลายวัด อาทิเช่น วัดบ้านทมหลวงปู่ถวิล หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดหลวงปู่เทสน์ วัดหลวงปู่หล้า วัดหลวงปู่ชอบ วัดหลวงพ่อขันตี วัดหลวงพ่อสีทน คือวัดถ้ำผาปู่ไปบ่อยที่สุด ไปภาวนาอยู่เรื่อยๆ
#การอุปสมบท
ก่อนจะบวชท่านก็ไปเข้านาค ตอนนั้นคุณแม่สมบัติ โยมพี่สาวของท่าน ไปอยู่ปฏิบัติอุปัฏฐากที่วัดถ้ำผาปู่ด้วย วันที่ไปเข้านาค ตอนนั้นท่านอายุ ๔๙ ปีพอดี เข้านาควันที่ ๒๕ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๓๖ บวชวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ที่วัดถ้ำผาปู่ โดยมีหลวงพ่อสีทน สีลธโน เป็นพระอุปัชฌาย์ และอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่
หลังจากบวชแล้วหลวงพ่อสีทนก็แนะวิธีภาวนาให้ ท่านชี้แจงว่าการภาวนานั้นวันหนึ่งมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง ให้เอา ๓ หาร คืออย่างน้อยให้ภาวนาได้วันละ ๘ ชั่วโมง จึงจะสำเร็จ ช่วงที่หลวงพ่อสีทนแนะนำท่านก็นึกคิดไปว่า “ก่อนบวชเราอยู่ข้างนอก ต้องตรากตรำทำงานตากแดดตากฝนเรายังทำได้ มาตอนบัดนี้แค่การภาวนานั่งสมาธิเดินจงกรมวันละ ๗-๘ ชั่วโมงทำไมเราจะทำไม่ได้ เราจะเอาให้ได้วันละ ๑๕ ชั่วโมง ประสาแค่ ๘ ชั่วโมงมันน้อยเกินไป หลวงพ่อคิดว่าเราจะทำไม่ได้ แต่เราต้องทำได้” ท่านเลยตั้งจิตอธิษฐานว่า “วันหนึ่งเราจะทำให้ได้วันละ ๑๕ ชั่วโมง” หลวงพ่อสีทนก็เล่าต่ออีกว่า “หากจะให้ได้ผลจริงๆ ต้องปฏิบัติตามธุดงควัตร ๑๓ ข้อ ให้ได้อย่างน้อย ๗ ข้อ ถึงจะสำเร็จ” หลังจากท่านฟังหลวงพ่อแนะนำวิธีปฏิบัติภาวนาแล้ว ท่านก็มาแบ่งเวลาในการปฏิบัติของท่าน แต่เมื่อแบ่งอย่างไรก็ไม่ได้ ๑๕ ชั่วโมง สุดท้ายก็เลยตัดสินใจนอนวันละ ๒ ชั่วโมง
ท่านได้ถามตัวเองว่า “ถ้าเรานั่งแล้วเอาหลังไปพิงเสาหล่ะ นั่งพิงบนเก้าอี้หล่ะ นั่งพิงหมอนหล่ะ จะถือว่านอนไหม ก็ตอบตัวเองว่า ถือว่าเป็นการนอน ถ้าหลังแตะพื้นจะหลับหรือไม่หลับก็ถือว่าเป็นการนอน ถือว่าเป็นการผิดสัจจะ เสียชีพอย่างเสียสัจจ์ ตายก็ช่างแต่อย่าให้มันเสียสัจจะ” ตกลงท่านจึงเริ่มต้นภาวนาตั้งแต่วันบวช ทำอยู่อย่างนั้น เข้านอนตอนตี ๒ ตื่นตอนตี ๔ วันหนึ่งถึงจะภาวนาได้ ๑๕ ชั่วโมง
หลวงตาศิริท่านได้ทำตามสัจจะที่ตั้งไว้คือนอนวันละ ๒ ชั่วโมงมาเป็นระยะเวลาถึง ๘ ปี ที่ท่านถือปฏิบัติเคร่งครัดมาเป็นระยะเวลายาวนานนั้น ด้วยท่านต้องการให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ ทั้งที่ท่านก็เข้าใจอรรถธรรมอันลึกซึ้งตั้งแต่อยู่ที่ถ้ำผาปู่ พึ่งจะผ่อนการปฏิบัติในรูปแบบลงตอนอยู่ที่วัดป่าบ้านคำบอน
ท่านอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่ เป็นเวลา ๕ ปี มาอยู่วัดป่าบานคำบอนอีก ๕ ปี และท่านได้มาพำนักอยู่ที่ถ้ำผาแดงผานิมิต บ้านดงเย็น อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ ถึง ปี พ.ศ.๒๕๖๐ ที่วัดถ้ำผาแดงผานิมิต หลวงตาศิริ ท่านได้ดำริในการก่อสร้างพระธุตังคเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตสาวกธาตุ และพระอัฐิธาตุพ่อแม่ครูอาจารย์สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เพื่อน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย ในปี พ.ศ.๒๕๖๑ เจดีย์ได้ก่อสร้างจนแล้วเสร็จ หลวงตาศิริ ท่านได้จัดงานกฐินพร้อมทั้งฉลองสมโภชพระธุตังคเจดีย์จนเสร็จสมบูรณ์ หลังจากนั้นท่านก็มาพำนักอยู่ที่วัดป่าศิริมงคล อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ตราบจนถึงปัจจุบันนี้
“เราเกิดเราตายอยู่อย่างนี้ตลอดคืนตลอดวัน
ให้เห็นความเกิดความตายเจ้าของอยู่อย่างนี้
จึงจะสลดสังเวช จึงจะไม่อยากได้อะไรอีก
ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เวลาลมเข้าก็ว่าเกิด
เวลาออกก็ว่าตาย เราเกิดตายอย่างนี้
อยู่ตลอดทุกลมหายใจ ค่าของเราชีวิต
ของเราก็แค่นี้ แค่ลมเข้าลมออกนี้แหละ”
โอวาทธรรมหลวงตาศิริ อินฺทสิริ
--------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB pageพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น