ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ญมา สุชีโว วัดสามัคคีสิริมงคล (วัดป่าสุขเกษม) บ.สุขเกษม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญมา สุชีโว ๏ 
     วันนี้วันที่ ๒๘ พฤษภาคม​ ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันเกิดมุทิตาสักการะหลวงปู่บุญมา สุชีโว วัดสามัคคีสิริมงคล (วัดป่าสุขเกษม) บ้านสุขเกษม ต.หนองบัว อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เจริญอายุวัฒนมงคลครบ ๙๒ ปี หลวงปู่บุญมา สุชีโว ท่านก็ได้ไปศึกษาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลาย ๆ รูป เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่บุญช่วย ธัมมวโร และหลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร เป็นต้น โดยเฉพาะหลวงปู่บุญช่วย และหลวงปู่สิงห์ทอง ครูบาอาจารย์ทั้งสองรูปนี้ หลวงปู่บุญมา ท่านได้ติดตามศึกษาข้อวัตรปฏิปทา และขอรับโอวาทธรรมจากท่านทั้งสองนานที่สุดเนื่องจากท่านทั้งสองเป็นคนบ้านเดียวกัน คือ บ้านศรีฐาน 

หลวงปู่บุญมา สุชีโว ท่านมีปฏิปทา รักสันโดษ ชอบเดินธุดงค์อยู่รุกขมูลตามป่าเขา และโถงถ้ำ ในส่วนของการออกธุดงค์ หลวงปู่บุญมา ท่านได้เดินทางและอยู่จำพรรษาร่วมกับเพื่อนสหธรรมิกของท่านคือ หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ แห่งวัดศรีฐานใน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ไปในที่ต่าง ๆ ร่วมกัน ซึ่งหลวงปู่สรวง กับหลวงปู่บุญมา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กๆ หลวงปู่สรวง ท่านเกิดก่อนหลวงปู่บุญมา ๒ ปี แต่บวชหลังอยู่ ๑ เดือนภายในปีเดียวกัน ตลอดการอยู่ครองเพศบรรพชิตหลวงปู่บุญมา ท่านไปมาทั่วสารทิศ ตั้งแต่ภาคอีสาน ลงไปจนถึงภาคใต้ จะไม่อยู่ที่ไหนนานนัก เปลี่ยนที่อยู่ตลอด ท่านไม่ยึดติดสถานที่ 

• #อัตโนประวัติ
หลวงปู่บุญมา ท่านถือกำเนิดในสกุล "จันทร์เหลือง" เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ตรงกับแรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก ณ บ้านเลขที่ ๙๑ หมู่บ้านศรีฐาน หมู่ที่ ๕ ต.กระจาย อ.ลุมพุก จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน คือ อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร) บิดาชื่อ นายสัง จันทร์เหลือง มารดาชื่อ นางเจียง จันทร์เหลือง มีพี่น้องร่วมกัน ๙ คน เกิดที่บ้านศรีฐานทุกคน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒

• #ชีวิตเมื่อยังเป็นฆราวาส
ข้าพเจ้า แต่ยังเยาว์วัยอายุ ๘ ปี เข้าโรงเรียนที่วัดศรีฐานใน แต่ก่อนวัดเก่าชื่อวัดสาเกตุ ป.๑ เรียนอยู่วัดนั้น ป.๒ ไปเรียนที่โรงเรียนบ้านศรีฐาน(ในปัจจุบัน) เพราะเขาตั้งขึ้นใหม่ จนเรียนจบ ป. ๔ แล้วทำงานอยู่ที่บ้านช่วยพ่อแม่ทำนาทำไร่ ตามประเพณีบ้านเมืองในสมัยนั้นเมื่ออายุได้ ๑๘ - ๑๙ ปีไปเที่ยวกรุงเทพกับเพื่อน ฝึกหัดปั่นสามล้อยังไม่ชำนาญเห็นเพื่อนที่ไปพักด้วยที่วัดนรนาถ เขาบอกว่าจะไปทำงานภาคใต้ เพื่อนบ้านเดียวกัน ๑๐ คน บ้านอื่นหลายคน รวมกันเหมารถ ๑ คัน ถ้าขึ้นรถไฟประมาณ ๑ ตู้ ผู้แทนหาเสียงผ้าใบ ใครจะไปไม่ได้เสียเงินค่ารถ เราก็เลยตัดสินใจ สมัครไปด้วยกับเขา ขึ้นรถไฟไปกรุงเทพฯ - หาดใหญ่ ๑ ตู้พอดีและผู้แทนจะหางานให้ด้วย ไปจนถึงอำเภอเบตง นอนอยู่ ๑ คืน ออกมาหางานทำที่จังหวัดยะลา ได้งานทำที่เหมืองแร่ ชื่อว่าเหมืองมะยอกลาง ใกล้ถ้ำทะลุ อำเภอบันนังสะตา จังหวัดยะลา ทำงานอยู่ที่นั่นประมาณ ๑ ปี เพื่อนบ้านเดียวกัน ๑๐ คนเขาให้เงินวันละ ๑๒ บาท ข้าพเจ้าขึ้นมาจากภาคใต้ มาคัดเลือกทหาร ได้ D1 เขาให้จับฉลาก ถ้าถูกใบแดงต้องเป็นทหาร ถูกใบดำ ต้องกลับบ้าน ข้าพเจ้าได้ใบดำ เลยกลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ทำนาอีก ๑ ปี

จากนั้นคิดหาเวลาจะออกบวช ก็คิดว่าจะบวชมานานแล้วตั้งแต่อายุ ๑๓-๑๔ ปี ได้เห็นพระอาจารย์สอ สุมังคโล ซึ่งเป็นน้องแม่ของข้าพเจ้า ท่านบอกว่า.. "อยากกินเหล้าเด้อ ถ้ากินจะไปตกนรก เขาจะเอาน้ำทองแดงให้กิน" เราก็จำเอาไว้ตั้งแต่บัดนั้นตลอดมา ทั้งๆ ที่เราไม่เคยกินเหล้าสักที และพระอาจารย์สอ ท่านไปหาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่จังหวัดสกลนคร จากนั้นไม่นานได้ทราบว่า ท่านมรณภาพ อยู่กับหลวงปู่มั่น ที่บ้านหนองผือนาใน ท่านเคยบอกว่าท่านป่วยเป็นไข้มาลาเรียอยู่ประจำ 

ต่อมาข้าพเจ้าก็ไม่เคยกินเหล้าสักที อยู่มาวันหนึ่ง พ่อบอกว่า.. "มึงก็กินเหล้าให้รู้รสชาติจักหน่อยแน" ก็รู้ว่าพ่ออยากให้กินพอรู้รสชาติ อีกวันหนึ่งแม่ให้ไปขอน้ำเหล้า มาใส่หม้อนิล เหล้าที่เขาเก็บไว้ตามป่าและบ้าน สมัยนั้นมีหม้อนิล (หม้อย้อมผ้าสมัยก่อน สมัยนี้ไม่รู้) ได้มาครึ่งขัน ข้าพเจ้าลองกินดูประมาณสัก ๑ กลืน หรือ ๒ กลืนน้อยๆ พอรู้รสเหมือนชิมอาหารที่ทำแล้ว ต่อจากนั้นมาไม่เคยเกี่ยวข้องเลย ถึงไปทำงานในที่ต่างๆ ดูเขาแจกเหล้ามา เราจะเทกลับคืนให้เขา หรือหาวิธีใดวิธีหนึ่ง ให้พ้นเรื่องนั้น เพราะเราคิดว่าจะไม่กินอยู่แล้ว ต้องใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง

ส่วนเรื่องผู้หญิงสาวก็เคยรักชอบ มักคนนั้นคนนี้อยู่ แต่เราเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูดคุยสาวท่านั้นท่านี้ เรียกว่าคนเล่นสาวไม่เป็น เพราะเราคิดอยู่ในใจแล้วว่าจะบวช ถ้าได้บวชแล้ว จะไม่สึกเป็นฆราวาสอีก คิดอยู่ในใจอย่างนี้ แต่ไม่ออกปากให้ใครทราบเลย ถึงบวชแล้ว ก็ไม่พูดสักทีอยู่ในใจตลอดมา ตั้งแต่เห็นพระอาจารย์สอ สุมังคโล เป็นต้นมา เพราะเราเป็นหลานของท่าน ท่านบวชแต่ออกโรงเรียนแม่พูดให้ฟัง เราก็จะทำเหมือนท่าน คิดอยู่ในใจอย่างนี้ ฉะนั้นเรื่องหญิงสาวเราไม่คิดจะเอาเป็นเมียสักที แต่มีความรักใคร่เหมือนชายหนุ่ม หญิงสาวอยู่ตามธรรมดาธรรมชาติ แม้ไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ ภาคใต้ หมู่พวกชักชวนไปหาผู้หญิงเราก็ไม่ไปสักที ถ้าเราไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผู้หญิง เราก็ไม่ได้บวชเท่านั้น ออกโรงเรียนแล้วขอแม่อยากบวช แม่ก็ไม่ให้บวช เพราะทำงานช่วยแม่ตำข้าว ตักน้ำเอาฟืน ทำอาหารครัวประจำ พี่ชายทำงานช่วยพ่อ เพราะน้องผู้หญิงยังไม่โตทำงานช่วยแม่ไม่ได้ ต่อไปขอแม่บวชอีก แม่บอกว่าให้พี่ชายบวชก่อน เมื่อพี่ชายสึกแล้วขอแม่บวชอีก แม่ก็ว่า ให้น้องบวชเสียก่อน มึงจึงบวช เพราะแม่ใช้ทำงานได้ดั่งใจทุกอย่าง ไม่ขัดข้องจึงไม่ให้ไปบวชง่ายๆ ก่อนพ่อแม่จะอนุญาตเราก็อายุได้ ๒๑ ปีแล้ว คัดเลือกทหารเราก็เรียบร้อยแล้ว เราคิดแต่ในใจว่า ถ้าได้บวชแล้วเราจะไม่สึก เป็นความคิดตายตัวมาแต่นานแสนนานแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ได้ ถ้าจะรู้ก็รู้ได้ในบัดนี้แล

• #ชีวิตเมื่อเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์
ข้าพเจ้าเป็นนาคอยู่ ๑๕ วันก่อนจึงได้บวช เพราะฝึกหัดอดอาหารกินครั้งเดียวในวันหนึ่ง ถ้าอดไม่ได้ ไม่ได้บวช ครูอาจารย์ฝึกหัดอย่างนั้น หมู่พวกก็เหมือนกันบวชพร้อมกัน ๑๓ คนนี้อย่างน้อย ถ้ามากก็ ๒๐ กว่าคน สมัยหลวงปู่ช่วย เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดป่าศรีฐานใน ไม่มีการฉันเพล ถึงเรียนหนังสือก็ไม่ได้ฉันเพล ฉันหนเดียวไปจนตลอด เรียกว่าถือธุดงค์กัมมัฏฐานมาแต่วันบวช ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติมาตั้งแต่วันบวชจนถึงทุกวันนี้ อีกเรื่องหนึ่งคือท่านไม่ให้จับเงินทองอย่างเคร่งครัด จะไปไหนมาไหนก็ให้โยมหรือเด็กติดตามหรือตะปะขาวไปด้วย เพื่อถือเงินทองเป็นค่าพาหนะ เว้นแต่เราเดินไปด้วยเท้าไม่เกี่ยวข้องกับเงินทอง ทุกวันนี้หาได้ยาก

ข้าพเจ้าท่านอุปสมบท เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๖ เวลา ๑๗.๒๐ น. ณ โบสถ์เก่าวัดศรีฐานใน ต.กระจาย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน คือ อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร) โดยมี พระครูชโยบลบริบาล เป็นพระอุปัชฌาย์ พระคำสิงห์ อาภาโส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระเพ็ง ปริปุณโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สังกัดธรรมยุติกนิกาย ได้รับฉายาว่า “สุชีโว” แปลว่า “ผู้มีชีวิตอันงาม” 

หลังจากอุปสมบทแล้ว ก็ศึกษาเล่าเรียนนักธรรม จากนั้นได้ออกธุดงค์ติดตามไปกับหลวงปู่ช่วย ธัมมธโร อยู่หลายแห่ง ทั้งได้รับการอบรมกรรมฐานและหัดสวดพระปาฏิโมกข์ ต่อมาเมื่อหลวงปู่บุญช่วย มรณภาพลง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ ช่วงในพรรษาที่ ๔ ข้าพเจ้าได้อยู่ช่วยงานศพเพื่อตอบแทนบุญคุณครูบาอาจารย์ เมื่อเสร็จงานแล้ว จึงได้ออกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ หลายที่ พักอยู่บ้านหนองแก จ.หนองบัวลำภู อยู่ที่ป่าแห่งหนึ่ง พระอาจารย์สรวง สิริปุญฺโญ ก็ไปพบปะกันที่นั่น จึงพากันเดินด้วยเท้าไปภูเก้า จนถึงภูเวียง

• #ปฏิบัติธรรมอย่างหนักหน่วงที่ถ้ำกวางภูเวียง
พรรษาที่ ๖ พ.ศ.๒๕๐๑ อยู่วัดถ้ำกวาง ภูเวียง บ้านหินร่อง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น จำพรรษา ด้วยการกราบพระอาจารย์สรวง สิริปัญโญ แล้วมีเณร ๑ รูป การภาวนาเร่งเหมือนเคยทำมาจนปรากฏเห็นไส้ตัวเองเหมือนไส้ปลาช่อนและเป็นไข้จับสั่นตลอดพรรษาทุกองค์

คำว่าเหมือนเคยทำมาคืออดนอนผ่อนอาหาร อดนอนตลอดคืน ยืน เดิน นั่ง ภาวนาว่าพุทโธ หรืออานาปานสติดูลมหายใจเข้าออก อาหารก็ฉันน้อยหรือไม่ฉัน ทำความเพียรในพรรษาและทบทวนปาฏิโมกข์ไว้ หมู่คณะวัดอยู่ใกล้มาลงอุโบสถด้วยแล้วต้องได้สวดประจำ ถ้าไม่ทวนไว้หลงเสียเวลา สำคัญอยู่ตอนหนึ่ง เวลานั่งภาวนาว่าพุทโธๆ อยู่ ถ้าเผลอสติเมื่อไหร่ ต้องทวนปาฏิโมกข์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้น จึงได้ตั้งสติไว้ให้ดี ให้รู้ตัวอยู่เสมอตลอดไป บังคับให้จิตอยู่ภายในร่างกาย ว่าพุทโธตามลมหายใจเข้าออก คอยระวังอย่าให้มันออกมาข้างนอก มันอยากออกมาจริงๆ เผลอเมื่อไหร่มันไปท่องปาฏิโมกข์เมื่อนั้น ถ้ามันไม่อยู่กับพุทโธ คือมันอยากไป ก็ต้องให้มันพิจารณาร่างกายนี้ ในอาการ ๓๒ ให้รู้ด้วยทางจิตจริงๆ ว่า สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ๆ ให้จิตใจเห็นด้วย ไปตามนึกคิดจนจิตเกิดความสลดสังเวช จะได้เห็นอะไรก็ตามหรือไม่เห็นก็ตาม เราต้องทำไปอยู่อย่างนี้ ก่อนเราจะนอนเราเพ่งดูร่าง ดูกระดูกในร่างกายของเรานี้ ดูกระดูกหน้าอก ดูกระดูกสันหลัง ดูกระดูกซี่โครง ดูไปจนนอนหลับ 

ออกพรรษาแล้วไปจังหวัดเลย กับพระอาจารย์บัว กันโตภาโส การภาวนาก็ทำไปอยู่ตลอด ไม่ว่าในพรรษานอกพรรษาไปที่ไหนก็ภาวนาที่นั้น

• #ธุดงค์ไปทางเมืองเลยบ้านไร่ม่วง 
พรรษาที่ ๗ ปี พ.ศ.๒๕๐๒ อยู่วัดบ้านไร่ม่วง อ.เมือง จ.เลย จำพรรษากับพระอาจารย์บัว กันโตภาโส ๒ รูป ออกพรรษาแล้วไปเที่ยวถ้ำผายา เขาบอกว่ามีผีร้ายดุมาก มันทำเป็นเสือใหญ่มาหา แต่ไม่ใช่เสือจริง อย่ากลัว เขาบอกอย่างนั้น ไปด้วยกัน ๔ องค์ มีโยมผู้หนึ่ง พระอาจารย์บัว พระอาจารย์ผาง เป็นหัวหน้า คืนแรกขึ้นไปนอนในถ้ำหมดทุกองค์ เพราะเป็นถ้ำใหญ่กว้างขวางซอกแซกหลายแห่ง ตามใจใครอยู่ที่ไหนก็ได้ ขึ้นไปจากตีนเขาสูงชันมาก ขึ้นยากหน่อย 

คืนแรกนอนไม่ค่อยหลับ เพราะกลัวผีอย่างเขาว่า ระวังเหตุการณ์อยู่ตลอดคืนก็ไม่ปรากฏอะไร มีแต่อีเกีย(ค้างคาว)มาก กลางวันไปหาดูที่พระมาอยู่แต่ก่อน เห็นร้านที่นั่งภาวนาอยู่สูงประมาณ ๑๐ เมตร คงจะกลัวเสือนั่นแล ต่อมาจึงลงมาอยู่ตีนเขาข้างล่าง เพราะเอาข้าวน้ำขึ้นไปชั้นลำบาก คืนแรกลงมาอยู่ข้างล่าง ไปนอนอยู่ทางช้าง ช้างป่ามันมาหากินน้ำและใบไม้ เพราะเราไม่รู้ว่ามีช้างป่ามากินอย่างนั้น ถึงเวลากลางคืนมันก็มา ไม่ใช่มาตัวหรือ ๒ ตัวเท่านั้น มันมาเป็น ๑๐-๒๐ ตัว เราต้องวิ่งขึ้นก้อนหินใหญ่ที่ช้างไปไม่ถึง กลัวช้างมากกว่ากลัวผี นอนไม่ได้ แต่ไม่เห็นตัวมันดอก ได้ยินแต่เสียงดังมากเพราะหลายตัว

วันหลังหาที่อยู่ใหม่ก็พ้นจากทางไปได้ได้อยู่ที่ซอกหินแห่งหนึ่งมีถ้ำเล็กๆก็ทำที่อยู่แห่งนั้นไปนอนคืนแรก ได้ยินเสียงสัตว์ป่ามันขู่เราอยู่ในมุ้ง เบื้องต้นมันตื่นกระโดดออกไปแล้ว ขู่ถอยเข้าถอยออก อยู่อย่างนั้นเหมือนเสียงแมว แต่เสียงใหญ่กว่าเสียงแมว คิดจะใช้ไฟดูก็กลัวมันจะกระโดดใส่มุ้งถึงตัวเราก็เลยไม่ฉาย ถ้าเป็นเสือ ก็เสือน้อย ถ้าเป็นอีเห็นก็ใหญ่ ในคืนนั้นนอนไม่หลับแต่นอนกลางวันเอา คืนต่อไปก็ไม่มีอะไรตอนกลางวันไปเที่ยวดูตามภูผาป่าไม้ ขึ้นอยู่ตามหลังภูเขาไปเห็นแก้วอยู่หลังภูเขา เป็นแผ่น เป็นกระดาน เป็นก้อนเล็กก้อนใหญ่ มึงก็เห็นธรรมดานี่เอง แต่มันใสเหมือนแก้วเหมือนกระจกเงาอยู่ภูเขา ส่วนสูงขึ้นไปแล้วหาที่ลงไม่ได้ มีแต่หน้าผา เวลาก็จะค่ำมืดแล้ว โชคดีมีโยมเอาเครือหวายมาไปด้วย เอาเครือหวายต่อกันแขวนลงหน้าผาหลายครั้ง จึงถึงพื้นล่าง จึงไปหาที่พักได้ ไปถึงที่พัก ๔-๕ ทุ่ม อยู่ที่นั่น ๓๐ วัน ออกจากนั้นไปถ้ำผาบิ้ง อยู่พอสมควรแล้วก็ชักชวนกันไปทางภาคใต้ 

• #อยู่ภาคใต้ศึกษาธรรมกับหลวงปู่เทสก์
อยู่กับหลวงตาคำพอง ติสฺโส วัดราษฎร์โยธี ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา เพื่อรับข้อธรรมจากหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ในช่วงนั้นท่านมีโอกาสเข้ากราบฟังธรรมกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลายวาระด้วยกัน จึงได้ทำความเพียรอดนอนผ่อนอาหารอย่างหนัก ได้เดินทางไป-กลับ ระหว่าง จ.ภูเก็ต กลับมา จ.พังงา ได้เกิดนิมิตและความรู้ภายในมากมาย

คืนวันหนึ่งดูหนังสือเสร็จแล้วไฟตะเกียงเล็กๆ ยังไม่ดับ คิดว่าเราเพ่งกสิณไฟลองดูจะเป็นอย่างไร ก็นั่งเพ่งไฟอยู่นานจนถึงเวลานอน พอนอนลงกำหนดจิตดูตัวเองเพื่อจะให้หลับแต่ไม่หลับ จะเป็นจิตสงบรวมลงเห็นตัวเองกำลังตาย นอนหงายอยู่ ตายแต่ศีรษะลงไป หมุนลงไป เราก็ดูความตายลงไป พอถึงกลางปีแข้ง(ครึ่งแข้ง)ทั้งสองข้าง แล้วกลับมาดูข้างหัวที่ตายไปแล้ว เห็นหัวมีผมยาวเหมือนฆราวาส แล้วคิดจะกลับไปดูทางปีแข้งอีก จิตก็ถอน รู้ตามปกติ วันหลังไปพูดให้พระอาจารย์คำพองฟังท่านก็ว่า มันจะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เป็นอะไร

ในระยะหนึ่งเกิดนิมิต มีความสว่างมากจนเห็นว่าไม่มีกลางวันกลางคืนสว่างอย่างเดียวกันหมด ฝันเห็นงูใหญ่แผ่แม่เบี้ยออกมา เต็มที่เพื่อจะมากัดเราแต่ไม่ได้กัด เรามีสติอยู่เสมอให้จิตอยู่ในกาย งูนี้แสดงถึงเรื่องกามราคะ งูใหญ่แสดงถึงเรื่องผู้หญิง งูเล็กแสดงถึงเรื่องตัวเอง เจ้าของแก้วนิมิตตัวเองอย่างนี้ ความสว่างไสวก็เลยพาให้อยากดูนั่นดูนี่ จะเพ่งดูแผ่นดินก็ทะลุไปหมด จะดูดินฟ้าอากาศก็ไม่มีอะไร แต่โชคดีมีครูบาอาจารย์เทศน์สั่งสอนทุกวัน ถ้าไม่ใช่ชื่อนิมิต เพราะเป็นของไม่แน่นอน ครูบาอาจารย์ท่านสอนไม่ให้ส่ง ออกข้างนอกจากกายไป เพราะมันเกิดนิมิตมาก จริงบ้างไม่จริงบ้าง ทำให้เสียเวลา ฉะนั้นจึงไม่อยากพูดถึงเรื่องนิมิต

• #กลับสู่ภาคอีสานถิ่นธรรมกัมมัฏฐาน
ต่อมา ข้าพเจ้าจึงเดินทางกลับภาคอีสาน เพื่อร่วมงานประชุมเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ที่วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา พอดีพระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ จำพรรษาอยู่บางเหนียว ท่านเหมารถไฟ ข้าพเจ้าขอไปกับพระอาจารย์สุวัจน์ ถึงนครราชสีมา เลยช่วยงานประมาณ ๒-๓ เดือน จนเสร็จงาน ระยะอยู่วัดป่าสาลวันนั้น จิตรวมง่าย เพราะได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ๓ องค์นี้ผลัดเปลี่ยนกันไปเทศน์ทุกวันตอนเย็น และนั่งภาวนาต่อถึง ๖ ทุ่ม จึงเลิกกันทุกวัน 

การฟังเทศน์อยู่นั้นข้าพเจ้าได้ตั้งใจให้แข็งไว้ เพราะจิตมันจะรวมลงในระยะฟังเทศน์นั้น เสียงเทศน์นั้นมันน้อยเข้าๆ ทุกที ถ้าปล่อยจิต จิตก็รวมลง เสียงก็ดับ เวลาท่านว่าเลิกกันเราก็ไม่ได้ยิน เราก็นั่งอยู่คนเดียว เราก็จะอายหมู่พวกเท่านั้นแหละ ฉะนั้นจึงได้ตั้งใจให้แข็งไว้ เพื่อไม่ให้จิตรวมระยะนั้น เมื่อกลับไปถึงกุฏิแล้ว จะนั่งก็ได้ นอนก็ได้ กำหนดจิตปล่อยให้ลงถึงที่ จะนานไม่นานก็ไม่กำหนดเวลา 

คืนวันหนึ่งคิดว่าเขาดับเครื่องไฟฟ้า ไม่ได้ยินเสียงอะไร จึงถอนจิตออกมาดู ก็ได้ยินเสียงอยู่อย่างเดิม สมัยก่อนกลางคืนตามหัวเมืองเขาต้องเปิดเครื่องไฟฟ้าตลอดคืน เสียงดังอยู่อย่างนั้น สมัยนี้ไม่มีเพราะใช้กระแสไฟฟ้า เวลาจิตถอนออกมาแล้ว ข้าพเจ้าก็ดูร่างกายให้เห็นทุกสัดส่วน ส่วนมากดูกระดูกสันหลัง ก็เห็นตลอดเวลา เห็นตัวเองแล้วจะดูคนอื่นก็เหมือนกันหมด มิหนำซ้ำตอนบิณฑบาต แล้วเดินตามหลังดูกระดูกสันหลังผู้เดินก่อน เห็นชัดมาก เวลาไปปฏิบัติขัอวัตรหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ท่านถามว่าภาวนาเป็นอย่างไร ตอบว่าจิตผมลงแล้วมีความสว่างเกิดขึ้น จะถูกหรือผิดก็ไม่ทราบ ท่านนว่านั่นแหละจิตดี ให้ท่านจำเอาไว้ให้ดี ตอนจิตจะรวมเป็นอย่างไร มันเคยลงอย่างไร ต่อไปมันก็ลงอย่างนั้นแหละ ให้จำไว้ ท่านแนะนำอย่างนี้ 

ต่อไปเราก็สังเกตดูเวลาจิตจะรวม แล้วก็เปรียบเทียบได้ว่าเหมือนปลากินเบ็ด ข้าพเจ้าเคยตกเบ็ดตั้งแต่เป็นฆราวาส จึงเปรียบได้อย่างนี้ ธรรมดาเบ็ดมันต้องมีทอย เอาลำโสนทำเป็นทอย เพื่อให้ลอยน้ำได้ ผูกไว้กับเชือกเบ็ด ยาวประมาณวาเศษ ทอยยาวประมาณ ๒ ข้อมือใหญ่ ประมาณเท่าลำฟางให้เลื่อนไปตามเชือกน้ำตื้นน้ำลึก ทอยนั้นลอยอยู่บนน้ำเวลาปลามากินเบ็ด เพราะมีเยื่อหุ้มเบ็ดไว้ ทอยนั้นก็จบลงไปในน้ำกระตุกเบ็ดขึ้น ก็ได้ปลาขึ้นมาด้วย ปลาบางตัวมันมาทำยิบๆ แย็บๆ เสียก่อนจึงกินเบ็ด คือทอยจมลงไปเลย บางตัวมันมาทำยิบๆ แย็บๆ อยู่อย่างนั้น มันไม่กินเลย

ข้อนี้ข้าพเจ้าเปรียบเทียบเมื่อจิตจะรวมลง ถ้าเราไม่ปล่อยวาง จิตก็ไม่รวมลง เหมือนปลาไม่กินเบ็ด ถ้าเราปล่อยวาง ถ้าทำความเพียรไม่พอจิตก็ไม่ลง จึงต้องอาศัยความเพียรให้แก่กล้า เวลาจิตจะรวม ต้องปล่อยวางจิตก็รวมลง ตามกำลังความพากเพียร เมื่อจิตถอนขึ้นมาแล้วพิจารณาร่างกายเห็นแจ้งมากกว่าแต่ก่อน เบื้องต้นต้องคาดเดาเอาเสียก่อนจนจิตรวมได้ ภายหลังแจ้งขาวไปเอง จนตัดความสงสัยได้

จิตระยะนั้นมีความสว่างมากพอสมควร จะน้อมจิตไปทางไหนได้หมด แต่คอยระวังมันจะเลยเถิด จึงเอาจิตไว้ที่กระดูกสันหลังและซีกโครง และลมหายใจเป็นประจำ ถ้าพิจารณาเรื่องทุกข์ก็ทุกข์มากจนน้ำตาไหลออก ไม่มีที่เปรียบได้

วันหนึ่งได้พูดให้พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโรฟังเรื่องทุกข์ อยู่วัดป่าสาลวัน ใกล้จะเผาศพท่านพระอาจารย์สิงห์ใหญ่แล้ว พระอาจารย์สิงห์ทองเลยพาไปหาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พูดให้ท่านฟัง ท่านแนะนำว่า ให้รักษาสติ ให้ตั้งสติไว้อย่างเดียวก็พอ แนะนำเท่านี้ ต่อจากนั้นก็เป็นการเผาศพท่านพระอาจารย์สิงห์ใหญ่ ขันตยาคโม เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าขอไปกับพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโรเพราะเป็นพระบ้านเดียวกันจนไปถึงบ้านห้วยทราย 

• #ติดตามพระอาจารย์สิงห์ทองไปบ้านห้วยทราย
ที่วัดป่าสาลวัน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงตาท่านได้แนะนำแนวทางการปฏิบัติธรรม และให้ท่านธุดงค์ร่วมไปกับหลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร ไปวัดบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร จากนั้นหลวงปู่บุญมา ได้ไปอยู่ที่วัดภูจ้อก้อ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร อยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต แล้วเดินธุดงค์กลับมาอยู่วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ช่วงนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ก็อยู่ที่วัดป่าแก้วชุมพลด้วย หลวงปู่บุญมา ได้ติดตามหลวงปู่ขาว อนาลโย ไปอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบังลำภู ในยุคนั้นมี ครูบาอาจารย์หลาย ๆ รูป ที่อยู่ร่วมกัน เช่น หลวงปู่จันทา ถาวโร , หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม , หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ , หลวงปู่วิไล เขมิโย , หลวงปู่ทุย ฉันทกโร , หลวงตาสรวง สิริปุญโญ และ หลวงตาน้อย ปัญญาวุโธ เป็นต้น

หลวงปู่บุญมา ได้ธุดงค์ไปอยู่บนภูเก้า-ภูพานคำ จ.หนองบัวลำภู ถึง ๑๓ ปี เร่งภาวนาเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน ปี พ.ศ.๒๕๓๖-๒๕๔๒ หลวงปู่บุญมา ท่านไปอยู่กับหลวงปู่ถิร ฐิตธัมโม ที่วัดทิพยรัฐนิมิต หรือวัดบ้านจิก(ข้างเรือนจำอุดร) อ.เมือง จ.อุดรธานี ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักของคนอุดรธานี พอสมควร เวลาหลวงปู่ถิร จะบวชพระท่านจะให้หลวงปู่บุญมา เป็นอุปัชฌาย์ช่วยบวชให้ เพราะหลวงปู่ถิร ท่านไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อหลวงปู่ถิร ละสังขารท่านไปอยู่ที่ อ.พรรณานิคม ต่อมากลับบ้านไปอยู่วัดป่านิคมวนาราม อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

จนกระทั้งในพรรษาที่ ๕๑ ปี พ.ศ.๒๕๔๖ ท่านพระอาจารย์สมเกียรติ ชิตมาโร และพระอาจารย์พเยาว์ โชติวโร สัทธิวิหาริกของหลวงปู่บุญมา เล็งเห็นว่าพระอุปัชฌาย์ของท่านเป็นพระอาวุโส มีอายุกาลพรรษามากแล้ว เป็นถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ จึงอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่บุญมา อยู่ประจำที่สำนักวัดป่าสุขเกษม เพื่อเป็นร่มโพธิ์ธรรมให้กับศิษยานุศิษย์ อันจะเป็นการรักษาธาตุขันธ์ของหลวงปู่ด้วย ซึ่งหลวงปู่บุญมาเองท่านก็ยินยอม และได้อยู่พำนักที่วัดป่าสุขเกษมเรื่อยมา ถึงปัจจุบัน

".. ผู้ใดทรามปัญญา ก็คือผู้ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง เป็นอยู่นานแสนนานก็ไม่มีประโยชน์อะไร คำว่าผู้มีปัญญาก็คือ มีศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง ถึงอยู่วันเดียวหรือหลายวัน ก็ยิ่งประเสริฐไปจนตลอดชีวิตนั้นแล .." โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่บุญมา สุชีโว

#อ้างอิง คัดลอกจากหนังสือ "ชีวประวัติหลวงปู่บุญมา สุชีโว" ; หน้า ๑ - ๓๙ ; เขียนโดย พระบุญมา สุชีโว ; พิมพ์เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐


--------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB pageพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco