ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ทองพูล สิริกาโม วัดสามัคคีอุปถัมภ์(ภูกระแต) อ.เมือง จ.บึงกาฬ
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม ๏
วันนี้วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของพระญาณสิทธาจารย์ หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม วัดสามัคคีอุปถัมภ์ (ภูกระแต) อ.เมือง จ.บึงกาฬ รำลึก ๙ ปี อาจาริยบูชาคุณ "พระอริยเจ้าผู้มีจริยวัตรอันงดงาม" หลวงปู่ทองพูล ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระผู้มีจริยวัตรงดงาม และมีเมตตาหาประมาณมิได้ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่สีโห เขมโก , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ อีกทั้งท่านยังเป็นผู้บุกเบิกและร่วมสร้างสะพานไม้รอบภูทอก ธรรมสถานบนภูผาชันอันเลื่องชื่อของพระกัมมัฏฐาน
หลวงปู่ทองพูล เดิมท่านชื่อหนูพูล นามสกุล เอนไชย ท่านเกิดตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ที่บ้านเดื่อศรีคันไชย อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร บิดาชื่อนายเคน มารดาชื่อนางสุภี เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ตั้งแต่วัยเด็กท่านอาจารย์ทองพูลมีลักษณะนิสัยสุขุมเยือกเย็น พูดน้อย อ่อนน้อมถ่อมตน อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ญาติพี่น้อง มีจิตเมตตา หลวงปู่ทองพูล ท่านเคยพูดเสมอว่า อดีตครั้งที่เป็นฆราวาสอยู่นั้น มันไม่น่าศึกษาอะไรเลย มันมีแต่บาป มันมีแต่กรรม ทำดีส่วนน้อย ทำชั่วเสียส่วนมาก แล้วจะเอาไปทำไม ก็ศึกษาเอาตอนเป็นพระ ตอนที่มีธรรมะบ้างแล้วในใจน่ะ เอาไปเถิด รับรองเป็นปฏิปทาดำเนินได้นะ
ท่านอาจารย์ได้บรรพชาอุปสมบทครั้งแรก เป็นพระสงฆ์ในฝ่ายมหานิกายที่วัดท่าเดื่อ โดยมีพระอุปัชฌาย์สิงห์ (ปัจจุบันคือ พระครูนรสีสาสน์ธำรง รองเจ้าคณะอำเภอวานรนิวาส)การบวชครั้งนั้นเป็นการบวชในงานบุญประเพณีของผู้ที่ท่านอาจารย์คุ้นเคย การได้บวชครั้งแรกก็ได้ศึกษาตามสมัยนิยม ได้ท่องจำบ้าง สุดแต่จะประสงค์ให้ชีวิตในเพศนั้นดำเนินไป ได้ศึกษาพระธรรมวินัย อันเป็นกิจของสงฆ์ที่จะเรียนรู้ในฐานะพระใหม่ ส่วนอื่นจะจับเป็นพื้นฐานของธรรมนั้นยังไม่ได้อะไร
#ฝากถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สีโห_เขมโก
หลายปีต่อมา จึงได้มีชีวิตที่สว่างรุ่งเรืองขึ้น “..ครั้งแรกที่ได้ยินคำว่า “กรรมฐาน” มันยังรู้สึกเฉยๆ เรายังไม่รู้จักคุณค่านั่นเอง ฟังแล้วก็เงียบไปไม่ได้คิดอะไร นี่บวชก็ราว พ.ศ.๒๔๘๗-๒๔๘๘ อายุช่วงนั้น เรื่องในใจนั้น ก็เงียบไปพักหนึ่ง มันยังไม่มีเชื้อ ไฟจะติดได้บ่..” การบวชเข้ามาครั้งนั้น ก็เพื่อความสงบสุขภายใต้ร่มโพธิ์ทองของพระบรมศาสดาเจ้าเท่านั้น แต่ยังหาครูบาอาจารย์ไม่ได้ จึงได้แต่ฟังข่าวคราว เพื่อหาทางได้อยู่กับพระผู้ปฏิบัติ มีความเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย ด้วยความบังเอิญ หรือจะเป็นด้วยวาสนา ความอยากได้พบพระผู้ปฏิบัติที่สามารถเป็นพระอาจารย์ได้นั้น ก็มีกระแสข่าวว่า บัดนี้มีพระธุดงคกรรมฐานองค์หนึ่งมาปักกลดอยู่ที่ป่าช้าบ้านขุนภูมิ ซึ่งอยู่ใกล้ๆบ้านท่าเดื่อ นั่นเอง องค์ท่านจึงรีบเดินทางไป เมื่อได้ไปเห็น ก็ต้องอัศจรรย์ใจที่มีผู้คนหลั่งไหลกันมาฟังอุบายธรรมจากท่านมากมาย พระธุดงคกรรมฐานรูปนี้ ท่านมีนามว่า ท่านพระอาจารย์สีโห เขมโก ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์หลวงปู่มั่น และเป็นพระเถระรุ่นเดียวกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้น
เมื่อไปถึงก็ได้แทรกตนเองไปนั่งอยู่มุมหนึ่งของบริเวณ แล้วสดับฟังธรรมะจากท่านพระอาจารย์สีโห เขมโก ความสงบเงียบท่ามกลางธรรมชาติป่าช้า เสียงธรรมวิเวกเป็นระยะๆ มีคำคมที่เกิดจากบุรุษผู้ฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว แสดงธรรมบทแห่งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ซึ่งสมควรยกย่องบูชาท่าน แนวทางนั้นเองเป็นการยกปฐมบทเมื่อครั้งพุทธกาล อันเป็นแบบอย่าง คือ พระมหากัสสปะ ท่านเคร่งครัดในธุดงค์ เป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฉันอาหารมื้อเดียว ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และท่านได้ปฏิบัติตลอดชีพ..” เมื่อได้ฟังธรรมเทศนา จากท่านพระอาจารย์สีโห จบลงแล้ว หลวงปู่ทองพูล ก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของพระมหากัสสปะ และของหลวงปู่สีโห จึงได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ ขอปฏิบัติธรรมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา..
#แปรญัตติเป็นธรรมยุตินิกาย
ในปีนั้นเป็นช่วงเข้าพรรษา หลวงปู่ทองพูล ท่านได้อยู่อบรมศีล สมาธิ ปัญญา ภาวนาธรรมกับหลวงปู่สีโห เขมโก ไม่เคยขาด หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านทั้ง ๒ จึงได้ออกวิเวก มาจังหวัดอุดรธานี จากนั้นหลวงปู่ทองพูล ได้เปลี่ยนนิกายใหม่ โดยแปรญัติติเป็นฝ่ายธรรมยุต โดยมี่พระอาจารย์ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(หลวงปู่จูม พันฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์สวัสดฺ เป็นพระกรรมวาจาจาร มีฉายาว่า “สิริกาโม” เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๕
นับตั้งแต่การอุปสมบท ท่านอาจารย์ทองพูล ได้ตั้งจิตแน่วแน่ในการปฏบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามอบกายถวายชีวิต โดยการออกธุดงค์หาสถานที่วิเวกเพื่อเร่งความเพียร บำเพ็ญภาวนา เพียงพรรษาแรกท่านอาจารย์ได้ถือเนสัชชิธุดงค์ คือการไม่นอน ไม่ยอมให้หลังแตะกับพื้นตลอดพรรษาและอดอาหารควบคู่กันไป ท่านอาจารย์ทองพูลยังป่วยอาพาธเป็นไข้มาเลเรียนอย่างหนัก แต่ท่านอาศัยธรรมโอสถขันติธรรมเพ่งเวทนาที่เกิดขึ้นจนไข้มาเลเรียหายไปเอง
#ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ฝั้น_อาจาโร
ท่านพระอาจารย์ทองพูล เคยไปปฏิบัติธรรม อยู่ที่ถ้ำขาม อยู่หลายครั้งด้วยกัน ในครั้งแรกนั้น หลวงปู่สีโห เขมโก ได้พาลูกศิษย์ ไปกราบคารวะหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่ถ้ำขาม เมื่อไปถึง หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ก็ได้ให้ปฏิบัติอย่างหนัก คือ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังอุบายธรรม ตลอดถึงข้อวัตรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเลยทีเดียว องค์ท่านเอาจริงเอาจังหลายปี พิจารณาตน จนเห็นชัดว่า นี่คือรังของโรค เพราะเหตุนี้เองที่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จึงได้พยายามสั่งสอนลูกศิษย์ทั้งหลายให้เอากายนี้แหละ มาพิจารณา มองกายของเราแล้ว กายคนอื่นก็รู้หมด เกิดเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด
ในขณะที่ฟังการอบรมกรรมฐานจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโรอยู่นั้น จิตใจของอาตมา เกิดความสงบนิ่ง เยือกเย็นเหลือจะกล่าว มันมีความสุข จิตใจเบาโปร่งไปหมด เลยได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “..ขอให้ข้าพเจ้า จงพ้นเสียจากความทุกข์โดยเร็วไว ในชีวิตนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออย่าได้มีอุปสรรคมาขัดขวางทางดำเนินมรรคผลของข้าพเจ้าเลย..”
#กว่าจะบรรลุธรรม
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม) ท่านได้เล่าสถานที่สำคัญที่ท่านได้พากเพียรปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพ่อแม่ครูอาจารย์จนกระทั่งดวงจิตได้ตกไปสู่กระแสแห่งธรรม สาธุ จกฺขุ อุทปาทิ ญาณํ อุทาปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ...ดวงธรรมเกิด ญาณเกิด ปัญญาเกิด ความรู้เกิด แสงสว่างเกิด ดวงตาเห็นธรรม หมายถึง ความรู้เห็นตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา
พระลูกศิษย์รูปหนึ่งได้กราบเรียนถามหลวงปู่ทองพูลว่า “หลวงพ่อได้กำลังจิตสงบตอนไหนครับ ขอหลวงพ่ออาศัยความเมตตาต่อลูกหลาน จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง”
หลวงปู่ทองพูลท่านบอกว่า “ตั้งแต่อยู่วัดถ้ำขาม อยู่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วันนั้นหลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้ว เราเข้าไปอุปัฏฐากหลวงปู่ฝั้น มีพระอาจารย์พวง สุขินฺทฺริโย พระอาจารย์แปลง สุนฺทโร เข้าไปนวดด้วยกัน นวดเส้นถวายท่าน พอได้เวลาอันสมควร จึงแยกย้ายกันไปนั่งกุฏิหลังน้อย ๆ นั่งภาวนาอยู่บนหลังถ้ำ นั่งจากหัวค่ำจนกระทั่งถึงสว่าง ลืมตาขึ้นมาพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างจ้า จากนั้นก็ออกไปบิณฑบาต มันสงัดมันเงียบลึกลงไปในดวงจิต
นี้คือจิตสงบครั้งแรกของเรา หมดความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์โดยประการทั้งปวง จิตมั่งคงเชื่อแน่ไม่แปรผัน จิตของเราได้กำลังมาตั้งแต่ครั้งนั้น คือคราวที่ปฏิบัติที่วัดถ้ำขาม เราก็รักษามาได้โดยตลอด
พระกราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อ จิตของหลวงพ่อไปได้หลักใจอันสำคัญที่ไหนอีกนอกจากวัดถ้ำขามแล้ว หลวงพ่อโปรดเมตตาเล่าให้พวกข้าน้อยฟังด้วยเถิด ? ”
ท่านเมตตาตอบว่า “ต่อมาได้หลักใจอันสำคัญยิ่งขึ้นไปอีกที่ภูสิงห์น้อย หรือภูกิ่ว คราวนั้นหลังออกพรรษา หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐท่านออกจากถ้ำจันทน์ ท่านจึงมาชวนเราดูทำเลแถวภูกิ่ว ภูกิ่วนี้อยู่เลยภูทอกไป ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดบึงกาฬ เป็นภูเขาลูกย่อม ๆ ระหว่างภูสิงห์ใหญ่และภูทอกใหญ่(ภูแจ่มจำรัส) เขาลูกนี้เรียกชื่อว่า ภูสิงห์น้อย หรือภูกิ่ว ตามลักษณะคอดกิ่วของภูเขานั้น ยังเป็นป่าที่รกมากมีเงื้อมหินอันสงบสงัด มีน้ำซับตามธรรมชาติ มันมีทางเดินลัดมา ลัดออกจากนาสะแบงมาภูกิ่ว ขึ้นถึงภูวัวได้แต่ก่อน ขึ้นไปวันแรก ฝนก็ตกตั้งแต่หัวค่ำ ฟ้ามืดลมแรง ไม่มีที่ไป ไม่มีอันใดเป็นที่พึ่ง มีแต่พระธรรมและมีเพียงหญ้าคาเพียง ๓ ไพ(อัน) พอได้คุ้มหัวเราพอ ๒ องค์ จึงเอาหญ้าคามุงเป็นกระท่อม ตัวนี้เปียกปอนไปทั้งหมด เหลือแต่ศีรษะ ลมแรงอากาศเย็นจนสะท้านสั่นเทาเพราะเป็นฤดูหนาว
มีวิธีเดียว นั่งสมาธิหันหลังชนกันกับท่าน เอาของยัดลงใส่ในบาตร ต่างคนต่างนั่ง เหมือนประหนึ่งว่าอยู่องค์เดียวในโลก ทั้ง ๆ ที่นั่งหลังชนกัน พิจารณาพ้อมทุกขเวทนาทั้งหลายทั้งมวล และความเกิดอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งสิ้น จิตรวมใหญ่เป็นที่อัศจรรย์ทั้ง ๒ องค์ พอออกจากสมาธิก็สว่างออกบิณฑบาตพอดี ท่านย้ำสอนลูกศิษย์ว่า “เวลาจะได้ธรรม มันย่อมได้สถานที่ในเช่นนี้ จะว่ายากก็ไม่ยาก จะว่าง่ายก็ไม่ง่าย มัชฌิมา เป็นทางสายกลาง”
ภายหลังต่อมาจึงได้ปลูกเสนาสนะหลังย่อม ๆ อยู่เป็นการชั่วคราว โดยอาศัยญาติโยมจากบ้านนาสะแบงบ้าง บ้านคำภูบ้างมาช่วยกันยกกระต๊อบเป็นเสนาสนะอย่างหยาบ ๆ การทำความเพียรได้ผลดีมาก แม้การบิณฑบาตก็ไม่ลำบากไม่ขาดแคลนพออาศัยยังชีพไปได้วันหนึ่ง ๆ คำว่าไม่ขาดแคลนของท่าน คือมีฉันบ้าง ไม่มีฉันบ้าง ถ้าเป็นภาษาบ้าน ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คืออดอยากแสนสาหัสนั่นเอง ที่ว่าไม่ขาดแคลนก็เพราะท่านสะดวกในการปฏิบัติของท่านนั่นแล
แม้องค์หลวงปู่จวน ท่านก็ยังกล่าวไว้ว่า “ถ้าจะเปรียบเทียบกับสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านได้เคยไปมาแล้วนั้น ที่ภูสิงห์น้อยนี้ถือว่าเป็นที่สัปปายะที่สุด เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนาของท่าน แม้ที่ดงหม้อทองจิตจะรวมง่าย แต่ปัญญาก็ไม่แกกล้า ท่านพึ่งได้มาพิจารณาค้นคว้ากายอย่างหนัก พึ่งจะเริ่มกระจ่างมาเป็นลำดับก็ที่ภูสิงห์น้อยนี่เอง ท่านได้เร่งทำความพากเพียรมาอย่างเต็มความสามารถได้พิจารณาร่างกายอันเป็น “กายคตาสติ” ไม่ให้จิตรวมไม่ให้จิตพัก ได้พิจารณาไปพอสมควร พอสงบก็พิจารณาค้นในร่างกาย พิจารณาทวนขึ้นและตามลงเป็นปฏิโลมและอนุโลม พยายามพิจารณาร่างกายให้รู้เห็นตามเป็นจริง
#สำรวจภูทอกร่วมสร้างสะพานไม้รอบเขากับหลวงปู่จวน_กุลเชฏโฐ
หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม ท่านได้ปีนหน้าผา ขึ้นไปสำรวจดูทางยอดเขา “ภูทอก” สถานที่แห่งนี้เป็นภูเขาสูงชัน มีหน้าผา ท่านไปพักกางกลดแล้ว ก็นั่งสมาธิภาวนากับคณะผู้ติดตาม เดิมทีเดียว ภูทอก เป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์มี “พวกอมนุษย์” เขาสถิตอยู่ มีความสงบสงัดเป็นที่สัปปายะอย่างยิ่ง เขาลูกนี้มีหินกลมมองดูคล้ายดอกบัวตูม ซึ่งแยกออกมาจากเขาลูกใหญ่ (คือส่วนที่เรียกว่า “พระพุทธวิหาร” นั่นเอง) มีฐานกลมคล้ายพระเจดีย์ ท่านบอกกับผู้ติดตามว่า “เหมาะมาก ที่นี่สมควรจะเป็นที่บำเพ็ญสมณกิจ” หลวงปู่ทองพูล ท่านจึงได้นำเรื่องภูทอก ไปปรึกษากับหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ และท่านได้เห็นดี เห็นงามด้วย ต่อมาจึงได้มีการจัดสร้างสะพานไม้วนรอบเขา มีบันไดขึ้นไปถ้ำ เงื้อมผา เป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระกัมมัฏฐาน
สำหรับวัดสามัคคีอุปถัมภ์แห่งนี้ ท่านอาจารย์ทองพูลได้เดินทางมาในช่วง พ.ศ.๒๕๐๒ ครั้งแรกยังเป็นแค่ภูดิน อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวอำเภอบึงกาฬ โดยชาวบ้านเรียกภูดินแห่งนี้ว่า ภูกระแต เนื่องจากมีสัตว์พวกกระรอก กระแต รวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ อาศัยอยู่ชุกชุมตามสภาพที่เป็นป่าดงทึบ รกครึ้ม
เมื่อท่านอาจารย์มาถึงบริเวณภูกระแต ในคืนแรกท่านจำวัดใต้ต้นบก และ ๓-๔ วันต่อมา ชาวบ้านได้ทำเพิงพักนั่งร้าน และกุฎิชั่วคราวแบบง่ายๆ ทำด้วยไม้ไผ่ป่า จากนั้นท่านอาจารย์จึงได้พัฒนาวัดเรื่อยมาจวบจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับแรงศรัทธาสามัคคีร่วมใจจากคณะลูกศิษย์ลูกหาทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกา
".. การขอของโยมก็อย่าไปขอเขา ให้มีความละอาย ของอะไรก็ช่าง เขาให้ถึงเอา .." โอวาทที่ท่านสอนศิษย์
#การละสังขาร
เช้าวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม ท่านมาอาการแจ่มใส ท่านบอกศิษย์ด้วยน้ำเสียงดังชัดเจนว่า "เราจะออกไปตรวจวัด" ลูกศิษย์จึงพาท่านนั่งรถเข็นออกตรวจรอบวัด ทำให้คณะศิษย์ ทั้งพระ และญาติโยม ต่างยินดีปรีดาที่วันนี้เห็นหลวงปู่มีอาการแจ่มใส รื่นเริง ช่วงบ่ายวันนี้ อาการร้อนผิดปกติ พอช่วงเวลาประมาณบ่าย ๓ โมง อาการหลวงปู่เริ่มทรุดลงย่างเห็นได้ชัด คณะศิษย์ และญาติโยม เข้ามากราบขอขมาหลวงปู่ มหาเถเร ปะมาเทนะฯ เสียงดังทั่วไปทั้งวัด จากนั้นหลวงปู่ทองพูลมีอาการสงบนิ่ง ในช่วงเย็น หลวงปู่ท่านได้ยกมือขึ้นพนมอย่างช้าๆ ทิ้งช่วงระยะเวลาห่างพอสมควร ถึง ๓ หน เป็นการตั้งจิตกราบคุณพระรัตนตรัย ดั่งเช่นที่ท่านทำประจำตลอดในชีวิตสมณะเพศขององค์ท่าน ภายในกุฏิเงียบสงบไม่หวั่นไหว และแล้วช่วงเวลาที่อริยชน และปุถุชน ต่างไม่อยากให้เกิด ก็ต้องเกิดไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ เวลา ๑๘.๕๙ น. หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม ท่านได้ละสังขารด้วยอาการสงบตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สิริอายุรวม ๘๓ ปี ๑ เดือน ๑๙ วัน ๖๑ พรรษา
“..การพิจารณามรณานุสติ เมื่อเราได้รับความวิเวกก็ย่อมปรากฏความตายในตัวของเรา ตายก็มี ๒ อย่าง ตายอย่างเปิดเผย ก็เช่น ญาติพี่น้องเราตาย บิดามารดาเราตาย เพื่อนใกล้บ้านเราตาย ตายอย่างปกปิด หมายถึง ตายวันตายเดือนตายปี เช่น วันนี้ก็ตายจากเราไปแล้ว พรุ่งนี้ก็เหมือนเกิดใหม่ สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปอย่างนี้ เรียกว่าตายปีตายเดือนตายวัน ความคร่ำคร่าความชราของเราสะกดรอยตามเรามาทุกนาทีทุกวันทุกคืน อันนี้เรียกตายอย่างปกปิด ถ้าเราระลึกถึงความตาย ยอกย้อนกลับไปกลับมา เราจะได้เห็นความจริงว่า ตายปกปิดตายเปิดเผยจะได้แจ่มแจ้งทางใจของเรา ลดทิฏฐิมานะว่ากายนี้เป็นของเรา กายเป็นของจีรังยั่งยืนจะได้ลดความเห็นนั้นออก อันนี้เรียกว่า มรณานุสติ เป็นอารมณ์เพื่อกำจัด ราคะ โทสะ โมหะ ออกจากใจของเรา..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่ทองพูล สิริกาโม
--------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB pageพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น