ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดประสิทธิธรรม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ๏ 
     วันนี้วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๓๖ ปี ชาตกาล หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ วัดประสิทธิธรรม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี "พระอริยเจ้าผู้มีอุปนิสัยแก่กล้าในทางธรรม" ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ประเภทขิปปาภิญญา (บรรลุธรรมเร็ว) เป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้าหาได้ยาก ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยถามหลวงปู่พรหม ต่อหน้าพระเถระทั้งหลายว่า ".. ท่านพรหม ท่านเดินทางมาแต่ไกลเป็นอย่างไรบ้าง การพิจารณากาย การภาวนาเป็นอย่างไร.." หลวงปู่พรหม ท่านตอบอย่างอาจหาญว่า "เกล้าฯ ไม่มีอกถังกถีแล้ว" (ไม่มีความลังเล สิ้นสงสัย) ท่านพระอาจารย์มั่น ได้กล่าวยกย่องว่า "..ท่านพรหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากบวชได้เพียงพรรษา ๕ .. " 

หลวงปู่พรหม องค์ท่านเป็นอดีตนายฮ้อย พ่อค้าวัวควายในยุคนั้นถือได้ว่า ท่านเป็นเศรษฐี แต่ท่านยอมเสียสละทรัพย์สมบัติ ออกบวช ไม่มีความอาลัยเสียดาย ประดุจบ้วนน้ำลายทิ้งลงบนแผ่นดิน ตั้งมั่นในธุดงควัตร ชอบเที่ยวธุดงค์ในลาว และพม่า สมัยท่านธุดงค์ในพม่า ท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านนั่งบำเพ็ญเพียงอยู่นั้น ได้ปรากฎมีภาพพระภิกษุมีรัศมีในกายสีฟ้าบอกว่า "เราคือพระอุปคุต เธอเคยเป็นศิษย์ของเรา เธอมีนิสัยแก่กล้า เอาให้พ้นทุกข์นะ " หลวงปู่พรหม ท่านมีนิสัยวาสนาแก่กล้า พยายามฟันฝ่ากับอุปสรรคทั้งปวง เพื่อจะขอเอาดวงจิตพ้นทุกข์ให้ได้

ท่านพระอาจารย์มั่น ชมเชยท่านต่อหน้าพระเถระหลายองค์ว่า "..ท่านพรหม เป็นผู้มีความพากเพียรสูงยิ่ง เป็นผู้มีสติ มีความตั้งใจแน่วแน่ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดี ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง" 

• #ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่พรหม_จิรปุญฺโญ
ท่านเกิดตรงกับวันอังคาร ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๑ ปีขาล ที่บ้านตาล ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน สกลนคร นับตั้งแต่เยาว์วัย ท่านได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางท้องทุ่งนาป่าดง ท่านก็ได้แต่อาศัยความรู้ความเห็นของชีวิตขนบทเท่านั้นเป็นครูสอน โดยถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิต ครั้นเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม ท่านก็ยังคงมีความสงสัย มีความครุ่นคำนึงคิดอยู่ว่า “คนเราเกิดมาแล้วนี้ จะแสวงหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร อะไรคือความสุข ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน” 

ครั้นเมื่อตอนท่านเป็นอดีตนายฮ้อย พ่อค้ากองเกวียน ค้าวัวควายในยุคนั้น ท่านเป็นคนหมั่นขยันฉลาด จนมีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐี ด้วยความประพฤติดี เป็นที่พึ่งของลูกน้องได้ และเป็นที่เคารพยำเกรงของชาวบ้าน ท่านจึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน สมัยเป็นฆราวาส ท่านเคยแต่งงานมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งแรก ภรรยาคลอดลูกตายทั้งกลม ท่านเศร้าเสียใจอย่างมาก ทำให้ครุ่นคิดได้ว่า "ทำอย่างไรหนอ ชีวิตของเรานี้ถึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง" 

และในครั้งที่สอง อยู่กินกับภรรยาใหม่ราบรื่น ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์สาร พระกัมมัฏฐานศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จนเกิดความดื่มดำซาบซึ้งในรสพระธรรม ท่านและภรรยามีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงได้ตกลงปลงใจออกบวช และได้เข้าศึกษาธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ในสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จึงขอให้ภรรยาบวชชีก่อน แล้วตัวท่านได้สละทรัพย์สมบัติออกบวชตาม 

ก่อนจะบวชท่านดำริต่อไปอีกว่า เราควรจะเอาเยี่ยงอย่างพระเวสสันดรตามที่เคยสดับมาว่า พระเวสสันดรนั้นท่านได้สละทานทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดถึงลูกเมีย เครือญาติ ออกบวช บำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณในเบื้องหน้า ในที่สุดพระองค์ก็ได้ตรัสรู้ความจริงคืออริยสัจธรรมทั้ง ๔ เป็นศาสดาครูสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผลทั้งนี้ย่อมสำเร็จมาจากการเสียสละของพระองค์ เมื่อความตกลงใจจะออกบวชและสละสมบัติบรรดาที่มีอยู่เช่นนี้แล้ว ก็ได้นัดประชุมประชาชนในหมู่บ้านว่า ใครต้องการอะไรในวัตถุสมบัติที่มีอยู่ เช่น โค กระบือ เงินทอง และเครื่องใช้ต่างๆ ที่มีอยู่ให้มารับเอาไป แต่ยกเว้นเครื่องมือจับสัตว์และเครื่องมือทำร้ายชีวิตสัตว์ โดยท่านได้ทำลายสิ่งของเหล่านั้นเสียไม่บริจาคให้ใคร เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นต้องสร้างกรรมชั่วบาป โดยแจกทรัพย์สินทั้งหมดเป็นทาน ไม่ยินดีอาลัยในทรัพย์เหล่านั้น ผู้คนที่มาเข้าแถวเพื่อรอรับแจกทานจากท่านเป็นแถวยาวเหยียด - ท่านใช้เวลาแจกทานถึง ๓ วัน ๓ คืนจึงหมด

หลวงปู่พรหม เมื่อได้ทำการบริจาคทานอันเป็นวัตถุข้าวของเงินทองที่มีอยู่ของท่านจนหมดสิ้นแล้ว ท่านก็มิได้อยู่รอช้า เมื่อบอกลาญาติทั้งหลายตลอดถึงเพื่อนฝูงเพื่อนบ้านทุกคนแล้ว ก็ได้เตรียมตัวออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง คือ วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่ออุทิศตนถวายชีวิตแก่พระพุทธศาสนา ปรากฏว่าได้มีน้องชาย น้องสาว และน้องเขยของท่านติดตามออกบวชด้วยเช่นกัน 

หลวงปู่พรหม ท่านได้อุปสมบท ณ วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ เมื่ออายุได้ ๓๗ ปี

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ไม่ชอบอยู่กับที่ ท่านมีความมุ่งหมายที่จะเดินธุดงค์ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าดงพงไพรเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อท่านกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์กรรมฐานไปทางภาคเหนือ แต่การออกเดินธุดงค์เพื่อแสวงวิโมกขธรรมในคราวนี้ ท่านมีพระสหธรรมมิกร่วมทางไปด้วยองค์หนึ่ง คือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

การเข้ามนัสการ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ในครั้งแรกพบนั้น ศิษย์ผู้เคยได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านได้เล่าความในใจที่สืบทอดต่อๆ กันมาพอเป็นอุบายให้มีการสำรวมใจขณะเข้าพบครูบาอาจารย์ว่า...ขณะที่หลวงปู่พรหมมองเห็นหลวงปู่มั่นเป็นครั้งแรก ท่านก็นึกประมาทอยู่ในใจว่า “พระองค์เล็กๆ อย่างนี้นะหรือ...ที่ผู้คนเข้าร่ำลือว่าเก่งนัก ดูแล้วไม่น่าจะเก่งกาจอะไรเลย” ท่านเพียงแต่นึกอยู่ในใจของท่านท่านั้น ครั้นพอสบโอกาส หลวงปู่พรหมก็เข้ามนัสการ คำแรกที่หลวงปู่มั่นท่านกล่าวขึ้นท่านถึงกับสะดุ้ง เพราะว่าหลวงปู่มั่นท่านได้กล่าวทำนองที่ว่า “การด่วนวินิจฉัยความสามารถของคนโดยมองดูแต่เพียงร่างกายเท่านั้นไม่ได้ จะเป็นการตั้งสติอยู่ในความประมาท” คำพูดของหลวงปู่มั่นนี้เองทำความอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น บังเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะต้องให้ความเคารพนับถือ นี้เพียงแต่นึกคิดในใจอยู่เท่านั้น หลวงปู่มั่นก็สามารถทายใจได้ถูกเสียแล้ว หลวงปู่พรหมก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 

ภายหลังจากได้อยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านได้สละกำลังกายและกำลังใจทุ่มเทให้แก่การประพฤติธรรมอย่างหมดชีวิตจิตใจ ดูเหมือนว่าเวลาแห่งการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ท่านได้กำหนดจดจำ เรียนรู้กฎปฏิบัติปฏิปทาข้อวัตรของพระฝ่ายธุดงคกรรมฐานในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ เริ่มตั้งแต่เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ครองผ้าสามผืนเป็นวัตร เที่ยวไปตามภูเขา ถ้ำ ป่าช้า โคนไม้เป็นวัตร อันเป็นสิ่งที่คณะศิษย์ทั้งปวงกระทำอยู่เป็นนิจ 

ปฏิปทาของหลวงปู่พรหมในเรื่องนี้ สมัยแรกพบกับหลวงปู่มั่นใหม่ๆ ท่านก็เคยคิดทำความเพียรเช่นนี้เหมือนกัน แต่ถูกหลวงปู่มั่นท่านห้ามไว้ก่อน เพราะจะเป็นการหักโหมเกินกำลัง โดยท่านแนะให้นั่งสมาธิฝึกจิตเสียก่อน ครั้นเมื่อกำลังจิตแก่กล้าแล้วท่านมาเร่งทำความเพียรอย่างหนักหน่วง ผลประโยชน์จึงบังเกิด แก่หลวงปู่พรหม ท่านสามารถสำเร็จธรรมขั้นสูงในภาคเหนือนี้เอง อันยังประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวท่านและหมู่คณะเป็นอันมาก 

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเป็นอริยเจ้าผู้มีคำพูดน้อย ถือสันโดษ มักน้อย ไม่มีจิตฟุ้งซ่านกับสังคมภายนอก หลวงปู่ท่านไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องเดือดร้อนเป็นการรบกวน ยุ่งยาก อนึ่ง ท่านก็อยู่จำพรรษาในดงลึก ยากแก่การเข้าถึง

หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานด้วยอาการสงบระงับ จิตเข้าสู่แดนเกษมเมื่อเวลา ๑๗.๐๓ น. ของวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒ ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุได้ ๘๑ ปี พรรษา ๔๓

“..คนเราเกิดมาทุกรูปทุกนาม รูปสังขารเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าพระราชามหากษัตริย์ พระยานาหมื่น คนมั่งมี เศรษฐี และยาจก ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น มีทางพอจะหลุดพ้นได้ คือ ทำความเพียรเจริญภาวนา อย่าสิมัวเมาในรูปสังขารของตน มัจจุราชมันบ่ไว้หน้าผู้ใด ก่อนจะดับไป ควรจะสร้างความดีเอาไว้..” โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ


--------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco