ชีวปะวัติ ปฏิปทาหลวงปู่อุทัย สิริธโร วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญานสัมปันโน จ.นครราชสีมา


วันนี้วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่อุทัย สิริธโร เจริญอายุวัฒนมงคลครบ ๘๘ ปี 
ลูกหลาน ศิษยานุศิษย์ กราบอาราธนาขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้หลวงปู่อุทัย สิริธโร มีธาตุขันธ์แข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิธรรมสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาสืบนานเท่านานเทอญ ธรรมอันใดที่องค์หลวงปู่อุทัยได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ขอให้ลูกหลานได้รู้ธรรมเห็นธรรมนั้นด้วยเทอญ...สาธุ

#ประวัติปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่อุทัย_สิริธโร 
• #ชาติภูมิ
หลวงปู่อุทัย สิริธโร ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ที่บ้านหนองบก หมู่ ๔ ต.หนองหิน อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ จ.ยโสธร) ตามเอกสาร หนังสือสุทธิของพระ คือ วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน โยมบิดาชื่อ นายเสาร์ ภาประจง โยมมารดาชื่อ นางพันธ์ บุญทศ ครอบครัวมีอาชีพ ทำนา ทำไร่ โยมบิดานั้นยังต้องรับผิดชอบงาน ในตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหนองบกอีกด้วย

ครอบครัวภาประจง มีบุตร ธิดา รวม ๓ คน หลวงปู่เป็น บุตรชายคนโต แต่ใช้นามสกุลฝ่ายโยมยาย คนรองเป็นชาย ชื่อ ด.ช.บุญจันทร์ ภาประจง และคนสุดท้องเป็นหญิงชื่อ ด.ญ.สุบรรณ ภาประจง นอกจากนั้นยังมีพี่สาวชื่อ ด.ญ.ใจ และน้องชายคนเล็กสุดชื่อ ด.ช.ต่อง สองคนนี้เป็นลูกของป้า ซึ่งนับเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องกัน แต่ทั้งสองคนชอบมาอยู่ที่บ้าน ไม่ยอมกลับบ้านตน โยมพ่อโยมแม่ จึงรับอุปการะเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมไปโดยปริยาย

“ตั้งแต่จำความได้ เราไม่เคยเห็นโยมพ่อ โยมแม่ทะเลาะ หรือมีปากเสียงกันเลยแม้สักครั้งเดียว”

บ้านใกล้เรือนเคียง บ้านหนองบก บ้านหนองไคร้ บ้านศรีฐาน และบ้านหนองแสงอยู่ไม่ไกลกัน สมัยเด็ก ๆ หลวงปู่เคยวิ่งเล่น แถวบ้านหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ หรือหลวงปู่ใหญ่ (วัดป่านาคูณ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี) หลวงปู่เพียร วิริโย (วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี) หลวงปู่สรวง สิริปุญฺโญ (วัดศรีฐานใน บ้านศรีฐาน จ.ยโสธร) และ หลวงปู่ประสาร สุมโน (วัดป่า หนองไคร้ จ.ยโสธร) หลวงปู่บุญมีกล่าวถึงหลวงปู่อย่างเมตตาเอ็นดู
“ท่านอุทัยเขาใหญ่ คุ้นเคยกัน อยู่บ้านใกล้กัน”

หลวงปู่ใหญ่ กับหลวงปู่เพียร อายุมากกว่า ๑๐ ปี ทั้งสององค์ บวชตั้งแต่เณร ขณะนั้นหลวงปู่อุทัยยังเล็กอยู่ ไม่ทันได้เป็นหมู่ เล่นกัน ได้แต่วิ่งเล่นหน้าบ้านหลวงปู่ทั้งสององค์

“หมู่บ้านมันติด ๆ กันทั้งนั้น สมัยเด็ก ๆ เราวิ่งเล่นผ่านบ้าน ปู่ใหญ่ ปู่เพียร ทั้งนั้น”

วัยเรียน ในช่วงเวลานั้นคือระยะหลังการเปลี่ยนแปลง การปกครองของประเทศได้ไม่ถึง ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๔๗๕) เด็กในชนบทน้อยคนนักได้เข้าโรงเรียนหาความรู้ ส่วนมากเมื่ออายุถึงเกณฑ์เข้าเรียน หรือโตพอช่วยพ่อแม่ทำงานได้ มักจะหา เลี้ยงชีพไปเลย แต่ครอบครัวภาประจง ให้ความสำคัญเอาใจใส่ในการศึกษาพาบุตรชายคนโตไปเริ่มชั้น ป. มูล คือชั้นอนุบาลในปัจจุบัน ซึ่งนับว่าได้รับการศึกษาเร็วมาก

แต่เมื่อไปถึงโรงเรียนบ้านหนองหินนั้น คุณครูได้เปลี่ยน ชื่อเดิมจากที่บิดา-มารดาตั้งชื่อลูกทั้งสามให้คล้องจองกันของ บุตรชายคนโต จากเดิมคือ ด.ช.บุญทัน ด.ช.บุญจันทร์ และ ด.ญ.สุบรรณ ให้เป็นชื่อใหม่ คือ ด.ช.อุทัย เพื่อให้คล้องกับ ด.ญ.ใจ พี่สาว ที่เข้าเรียนก่อนแล้ว

โรงเรียนบ้านหนองหินตั้งอยู่ที่ ต.หนองหิน ระยะทาง กึ่งกลางระหว่าง ๕ หมู่บ้านด้วยกัน ห่างจากบ้านหนองบก ประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร เด็กนักเรียนในหมู่บ้านต่าง ๆ ก็เดินตามทางล้อ ทางเกวียน ลัดเลาะตามทุ่งนาบ้าง ตามถนนบ้าง ตามประสาเด็ก เด็กบ้านหนองบกต้องใช้เวลาเดินทางไปและกลับ เที่ยวละเกือบสองชั่วโมง สมัยนั้นยังไม่มีการบังคับสวมชุดนักเรียน แต่งชุดธรรมดาไปโรงเรียนก็ได้ เด็ก ๆ เดินเท้าเปล่ากันทั้งนั้น เด็กผู้หญิงบางคนก็มีชุดนักเรียน บางคนก็นุ่งผ้าซิ่นบ้าง ก่อนเข้าชั้นเรียนต้องยืนเข้าแถวเคารพธงชาติ แถวเด็กผู้ชายจะเริ่มเดินก่อน พอหมดแถวผู้ชาย แถวเด็กผู้หญิงถึงจะได้เริ่มเดิน เด็กนักเรียนสมัยนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก

“การเดินแถวนั้นต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย เงียบกริบ ไม่มีใครคุยกันเลยแม้แต่ในชั้นเรียน เมื่อแถวถึงชั้นของใคร ก็เลี้ยวเข้าชั้นนั้น สวดมนต์ก่อนเริ่มเรียน เด็กผู้ชายนั่งฝั่งหนึ่ง เด็กผู้หญิงนั่งอีกฝั่ง แยกกันชัดเจน ห้องเรียนมีแต่กระดานดำ และม้านั่งเตี้ย ๆ เป็นแนวยาว ใช้เป็นโต๊ะเขียนหนังสือ ไม่มีเก้าอี้ นั่งกับพื้นกระดานห้องกัน”

กิจกรรมการเรียนการสอนในสมัยนั้น ไม่เคยมีการจัดงานไหว้ครู กีฬาสี งานปีใหม่เหมือนสมัยนี้ แต่สำหรับ ด.ช.อุทัยนั้น มีกิจกรรมนอกเหนือการเรียน อาจจะเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และมีความเป็นผู้นำมากกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกันก็เป็นได้ คุณครูจึงให้มีกิจกรรมพิเศษคือการสอนแทนคุณครู หากมี คุณครูลา ก็มักจะให้ ด.ช. อุทัยสอนแทนเสมอ จนกระทั้งเรียนจบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ นับว่าสูงสุดในชนบทสมัยนั้น

“คุณครูมีโต๊ะครู นักเรียนจะใช้กระดานชนวนคนละแผ่น มีดินสอเขียนกระดานชนวน เมื่อเขียนจบต้องลบกระดานทุกอย่างต้องจำเอาไว้เอง”

• #การสูญเสียครั้งสำคัญ
แม้ว่า ด.ช. อุทัย จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ แต่ก็จำเหตุการณ์สำคัญมากเหตุการณ์ หนึ่งได้อย่างแม่นยำ คือครั้งที่ประเทศไทยมีการสูญเสียครั้งใหญ่

“ไปไหนมาไหน มีแต่เสียงร้องเป็นทำนองเพลง ร้องกัน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทั่วหมู่บ้านว่า พอศอสองสี่แปดเก้า พวกไทย เราเศร้ากันทุกคน สมเด็จอานันทมหิดล สิ้นพระชนม์ไปเสีย ก่อนเรา”

ทุกหนแห่งทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทุกคนก็ร้องเพลงนี้ตลอด ผู้คนไว้ทุกข์ หน้าตาเศร้าหมองกัน ครอบครัวภาประจงก็ยังร้องเพลงนี้กันด้วย

• #วัยทำงาน
หลังจากเรียนจบแล้ว นอกจากช่วยงานบิดา-มารดา งานบ้านทั่ว ๆ ไปแล้วยังช่วยทำนา ทำสวน ปลูกผักอีกด้วย เมื่อโตถึงวัยหนุ่ม ระหว่างช่วงฤดูแล้งก่อนลงทำนา ได้เข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ เคยมารับจ้างถีบสามล้อเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อถึงฤดูฝนหรือฤดูทำนา ก็จะเดินทางกลับบ้านไปช่วยการช่วยงานที่บ้านหนองบกเช่นเดิม หลวงปู่เมตตาเล่าถึงกรุงเทพฯ สมัยก่อนอีกด้วย

“สมัยนั้นไม่มีตึกมาก มีแต่เป็นบ้านคน แถวถนนเจริญกรุง มีตึกที่สูงมากที่สุดคือตึก ๙ ชั้น มีอาคารไม้บ้างตึกบ้าง เป็นแถว ๆ ยาว ๆ (คงเหมือนตึกแถว) ได้เห็นตลาดบางลำพู มีของขายมาก”

“ส่วนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีต้นฉำฉาปลูกเรียง เต็มไปหมด ผู้คนเอานั่งเสื่อมาปูนั่งเล่นรอบ ๆ เหมือนเป็นสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจ นาน ๆ จะเห็นมีรถยนต์บ้าง แท็กซี่บ้าง สมัยนั้นคงมีไม่ถึงร้อยคันพันคัน ส่วนมากจะใช้รถสามล้อถีบ เป็นรถรับจ้าง” 

• #ศีลคือความปกติ
หลวงปู่เทศน์สอนเสมอว่า ศีลคือความปกติ ถ้าผิดจากปกติถือว่าผิดศีลแล้ว หลวงปู่ใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้ชายทั่วไป ทำงานเสร็จ เมื่อถึงเทศกาลงานบุญหมู่บ้านไหนจัดงาน ชาวบ้านต่างหมู่บ้านทั้งหญิงชายจะพากันไปงานบุญอย่างไรก็ตาม งานบุญบั้งไฟ เมื่อเดือน เมษายน พฤษภาคม ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ นั้นได้เกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น

หลวงปู่เตรียมกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ขออนุญาตโยมบิดา มารดา ไปเที่ยวงานต่างหมู่บ้าน แม้ว่าหมู่บ้านที่ห่างกันเพียง ๔๐-๕๐ กิโลเมตร ก็ต้องใช้เวลาเดินนานเพราะทางไม่สะดวก ต้องเดินลัดเลาะข้ามคันนา ทางล้อทางเกวียน ทางรถที่ไม่ได้ราดยาง การอยู่เที่ยวงานก็ใช้เวลา จึงต้องจัดกระเป๋าไปค้างคืนด้วย การเดินทางนั้น แม้มีรถประจำทางก็อาจจะวิ่งวันละเที่ยวและช้ามาก ไม่มีถนนคอนกรีตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน หลวงปู่เที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ หลายคนอย่างปกติ แต่เมื่อถึงขากลับบ้านนั้น ความไม่ปกติเกิดขึ้นกับการเดินทางของหลวงปู่ ด้วยความสุภาพเรียบร้อยของหลวงปู่หรือสาเหตุใดก็คาดเดากันไม่ได้ มีผู้หญิงสาวจาก หมู่บ้านอื่นที่พบในงานบุญคนหนึ่งขอช่วยถือกระเป๋าเดินตามมา เพื่อไปส่งที่บ้านหนองบกด้วย

ตลอดเวลาเดินทางกลับนั้น หลวงปู่คิดว่ามันไม่เหมาะไม่ควร อีกไม่กี่วันก็จะเข้านาคบวชแล้ว หากว่ามีความไม่ปกติอะไรเกิดขึ้นก่อนบวช คงจะไม่ได้บวชแน่นอน ยิ่งวัฒนธรรมประเพณีสมัยนั้น ผู้หญิงกับผู้ชายจับมือถือแขนกัน ต้องถูกจับให้แต่งงาน เพราะถือว่าละเมิดล่วงเกินกันไปแล้ว แต่การแต่งงานลักษณะเช่นนั้น จะไม่สมศักดิ์ศรี เกิดการครหาสร้างความอับอายแก่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายด้วย

เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางจึงขอหยุดพัก และขอกระเป๋าคืนจากหญิงสาวคนนั้นโดยพูดดี ๆ ให้นั่งพักคุยกันก่อน อย่าเพิ่งตามไปเลยให้หญิงสาวนั้นกลับบ้านไปก่อน คุยกันอยู่นาน หญิงสาวก็ยังไม่ยอมส่งกระเป๋าคืนให้ ยืนยันว่าจะตามไปส่ง หลวงปู่จึงจำต้องพูดหลอกอะไรไป เพราะเมื่อใช้วิธีปกติไม่สำเร็จแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าพูดหลอกอย่างไรไปเพื่อไม่ให้ตามกลับไปส่งถึงที่ บ้านหนองบก หญิงสาวนั้นได้คืนกระเป๋าและแยกทางกลับบ้านไป อย่างไรก็ตามหลวงปู่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอีกสองสามวันจะบวช ถ้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาคงถูกตามตื๊อแน่นอน และก็คงจะไม่ได้บวช

“คิดว่าคงบอกว่า ให้กลับบ้านไปก่อน แล้วจะตามไปเยี่ยม พรุ่งนี้หรือไงนี่ เราไม่เคยพูดไม่จริง หรือหลอกอะไรใครเลย ครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ต้องโกหก ไม่ได้รักษาศีล”

จากนั้นเป็นต้นมาจวบจนทุกวันนี้ เหตุการณ์เรื่องเกี่ยวกับ สตรีเพศมิเคยปรากฏเข้ามาในวิถีเพศบรรพชิตของหลวงปู่อีกเลย

• #อุปสมบท
คงเป็นด้วยวาสนาบารมีที่เคยบวชมาหลายภพหลายชาติ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลวงปู่ได้บวช เพราะเมื่อหลวงปู่ได้ยินคำว่าบวช ก็รู้สึกมีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา คำสอนการพ้นจากทุกข์ เข้าสู่มรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า หลวงปู่มีความสำนึกตั้งใจ ที่ต้องการจะหลุดพ้นจากความทุกข์ เข้าสู่มรรคผลนิพพาน อย่างแน่วแน่ชัดเจนในเหตุผลของการบวช

ดังนั้น วันที่ ๑๒ เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงปู่อายุ ครบบวชได้คือ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ อีกสองเดือนต่อมา จึงได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันพุธที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๙๙ ณ วัดสำราญนิเวศน์ ต.บึง อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี ปัจจุบันคือ จ.อำนาจเจริญ มีพระครูทัศนะประกาศ(บุ จนฺทสิริ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระใบฎีกาอ่อน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยได้รับฉายาคือ พระอุทัย สิริธโร อันมีความหมายเป็นมงคลว่า "ผู้ทรงไว้ซึ่งศิริ (ศรี)"

หลังจากอุปสมบทแล้ว พระอุทัย สิริธโร ได้กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองบก บ้านเกิด ซึ่งเป็นวัดสาขาของหลวงปู่ผั่น ปาเรสโก ลูกศิษย์ พ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และได้จำพรรษาอยู่ ๓ พรรษา (พ.ศ.๒๕๐๒)

ตลอดระยะนั้นที่วัดหนองไคร้กำลังมีงานก่อสร้างศาลาการเปรียญ หลวงปู่ได้ช่วยงานสร้างศาลาที่นั่น เพราะเป็นวัดอยู่ใกล้กัน ขณะที่หลวงปู่เลื่อยไม้อยู่ได้เกิดอุบัติเหตุ มีไม้จาง ที่ไหนไม่ทราบหล่นลงทับนิ้วโป้งเท้าข้างขวา แต่เวลานั้นไม่รู้สึกว่าเป็นอะไรมาก หลวงปู่ได้ใช้วิธีของพระป่าคือหาเก็บใบหญ้า เล่าฮ่าง* แถวนั้นมาเคี้ยวแล้วก็โปะแผลเลย แผลและกระดูกหายดี จนลืมว่านิ้วเท้านั้นเคยบาดเจ็บ
(*หญ้าเล่าฮ่าง เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน บางภาคเรียกหญ้า ดอกขาวบ้าง หญ้าสาปเสือบ้าง เอาใบมาตำโปะแผล)

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานั้นการทำความเพียรเพื่อหาความสงบตามที่ตั้งใจไว้ ด้วยความสำนึกในด้านจิตใจของชีวิต การบวชในตอนนั้น ทั้งทางด้านการปฏิบัติและด้านการศึกษา รวมถึงความเข้าใจยังไม่สมบูรณ์

จิตของหลวงปู่มีความมั่นคงว่าบวชมาเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ เข้าสู่มรรคผลนิพพานตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจึงปรึกษาโยมบิดาให้หาที่ศึกษาธรรมให้ โยมบิดาได้พาไปพักศึกษาอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร และหลวงปู่แว่น ธนปาโล ณ วัดสันติสังฆาราม จ.สกลนคร

หลวงปู่ทั้งสององค์ก็เป็นลูกศิษย์กรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เช่นกัน หลวงปู่อุทัยได้ศึกษาธรรมทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติที่วัดนี้เป็นเวลา ๒ พรรษา (พ.ศ. ๒๕๐๒-๒๕๐๓) จนสอบได้นักธรรมชั้นโท

• #กราบพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น_อาจาโร
หลวงปู่ได้มีโอกาสกราบคารวะ พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ครั้งแรกเมื่อประมาณวันที่ ๑๑-๑๒ เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๓ ในงานครบรอบวันมรณภาพของ พ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าสุทธาวาส ครั้งนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น เป็นองค์แสดงธรรม

ในจิตของหลวงปู่มีความซาบซึ้งในองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะติดตามศึกษาปฏิบัติธรรมและอุปัฏฐาก พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น องค์นี้ตลอดไป

“เรารู้สึกประทับใจพ่อแม่ครูอาจารย์องค์นี้ ในจิตเรามีความรู้สึกเป็นพิเศษน่ะ”

• #อุบายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น
จากนั้นเป็นต้นมา หลวงปู่ได้ติดตามศึกษาปฏิบัติธรรมและอุปัฏฐากอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ณ วัดถ้ำขาม หลังเทือกเขาภูพาน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร มาตลอด หลังจากมาจำพรรษาที่จังหวัดสกลนครแล้วนั้น หลวงปู่มิเคย ได้กลับไปเยี่ยมหรือแม้แต่เขียนจดหมายส่งข่าวคราวถึงโยม บิดา-มารดาเลย

พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น มักจะเทศน์สอนอย่างมีอุบายแยบยล เมื่อเวลาคิดอยากจะกลับบ้านไปเยี่ยมบ้าน “หากคิดถึงบ้าน ให้ผินหลังไปทางบ้าน แล้วสะพายบาตรเดินขึ้นเขาไป”

อย่างไรก็ตาม ทางโยมพ่อโยมแม่ เมื่อไม่ได้ข่าวของพระลูกชายเลย ก็ได้ให้คนไปสืบตามหาให้แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และคิดว่าถ้าไม่มีใครได้ยินข่าวพระลูกชาย จะได้จัดการทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ ส่วนพระลูกชายนั้นก็มี เหตุผลส่วนองค์พระเอง นอกจากการเดินทางและระบบการติดต่อสื่อสารไม่สะดวกแล้ว อีกทั้งคำเทศน์สอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ ตลอดจนความตั้งใจขององค์หลวงปู่เองที่ตั้งใจไว้ก่อนออกแสวงหาธรรม

“เมื่อออกจากบ้านไปศึกษาหาความรู้ ถ้ายังกำลังเรียนอยู่ ก็มุ่งที่จะเรียนให้สำเร็จ ยังไม่กลับไป เพราะยังเรียนไม่สำเร็จ”

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่ศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่กับพ่อแม่ ฝครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้นนั้น ได้มีโยมมานิมนต์ให้กลับไปจำพรรษาที่ วัดสันติสังฆารามเช่นเดิม แต่หลวงปู่ตั้งใจมาศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้นแล้ว จึงปฏิเสธไป 

• #บิณฑบาตครึ่งทาง
วัดถ้ำขามตั้งอยู่หลังเขาภูพานเป็นสถานที่สัปปายะ มีแต่ความสงบไม่มีเสียงคนเสียงรถ เรือ เงียบเหมือนอยู่คนละโลกและห่างจากหมู่บ้านห้าหกหลักกิโล นอกจาก ความจำเป็นเวลานั้นคือการบิณฑบาต เนื่องจากเส้นทางการ เดินทางขึ้นลงระหว่างวัดถ้ำขามไปถึงหมู่บ้านยังไม่สะดวก ดังนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น จึงเมตตาให้ศรัทธาชาวบ้านเดินทางมาใส่บาตรครึ่งทางเพื่อป้องกันอันตรายในการเดินทาง 

ส่วนทางวัดถ้ำขามนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น พร้อมด้วยลูกศิษย์ จะเดินลงจากภูเขามารับบิณฑบาตที่ครึ่งทางเช่นกัน การเดินลงจากภูเขานั้นต่างจากการเดินทั่ว ๆ ไป คือเป็นการเดินทำสมาธิ ทำความเพียร จิตใจตั้งอยู่ในขอบเขตของสมาธิ ความสงบตลอดทางทั้งขึ้นทั้งลง

“หากวันไหนมาถึงก่อนชาวบ้าน ก็จะหลบทำความเพียร เข้าทางเดินจงกรมรอก่อน จนกว่าชาวบ้านจะมาถึง แล้วรับบิณฑบาต กว่าจะได้กลับขึ้นหลังเขาภูพานก็ประมาณ ๘ โมงกว่าแล้ว”

อาหารบิณฑบาตทั้งหวานและคาวที่ชาวบ้านศรัทธานำมา ใส่บาตรนั้น เป็นอาหารพื้นบ้านปกติ อาจจะมีน้อยจนไม่พอฉัน แต่โดยปกติพระกรรมฐานจะฉันมื้อเดียวเพื่อพอให้มีชีวิตอยู่ ยิ่งช่วงเวลาทำความเพียรนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น สอนว่า “ถ้าหากจิตใจของพระองค์ใด ท่านองค์ใด เป็นสมาธิยาก ให้อดนอนและผ่อนอาหารด้วย”

การผ่อนอาหาร หมายถึง การตั้งใจลดอาหาร เช่น ปกติเคยฉันอิ่มปริมาณขนาดหนึ่ง ก็ให้กะเอาปริมาณส่วนเดียว อีกส่วนหนึ่ง ไม่ต้องฉัน แต่ถ้าจิตยังไม่มีความสงบอีก ให้งดฉันเลย แต่ฉันได้ เฉพาะน้ำเท่านั้น ฉะนั้นช่วงที่อดนอนผ่อนอาหาร หรืออดอาหาร จะเป็นเวลาที่ต้องมีความตั้งใจอย่างมั่นคงกระทำความเพียร ฝึกสมาธิฝึกใจให้สงบ 

• #ความซาบซึ้งใจในธรรมของพระพุทธเจ้า
ปกติแล้วพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น จะพาลงศาลาไหว้พระ ทำวัตรสวดมนต์ ตั้งแต่ ๑๘.๐๐ น. ไม่เกิน ๑๙.๐๐ น. เทศน์อบรม นั่งสมาธิภาวนา ต่อจนถึง ๒๒.๐๐ น. เป็นอย่างน้อย แต่บางคืนนานจนถึงตีหนึ่ง ตีสอง โดยพ่อแม่ครูอาจารย์ มักจะเทศน์เรื่องศีล เรื่องสมาธิ และคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อความพ้นทุกข์ ตลอดจนจุดหมายปลายทางคือ มรรคผลนิพพาน

“เมื่อฟังแล้ว ขนาดจิตใจยังไม่ได้มีอะไรมากมาย ไม่ได้มีสมาธิอะไรมากหรอก แต่มันมีความรู้สึกในคำเทศน์คำสอน ของท่านนั้นน่ะ ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าจุดหมายปลายทางคือ ความพ้นทุกข์ เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ฟังตรงนั้นแล้วมันซึ้ง ๆ ๆ ๆ มันพอใจ”

เมื่อหลวงปู่มีความซึ้งใจในธรรมตรงนั้น จึงเกิดศรัทธาเชื่อมั่น มีความตั้งใจแน่วแน่กับคำสอน หลวงปู่ได้น้อมเข้ามาถึงองค์เอง “เอ๊ะ....เมื่อไหร่จิตใจเราจะถึง เมื่อไหร่จิตใจเราจะได้ จิตใจเราจะถึงเมื่อไหร่”

หลวงปู่เกิดศรัทธาความมุ่งมั่นเชื่อมั่นตรงนั้น เมื่อเข้าใจ เหตุผลสรุปใจความว่าที่พ่อแม่ครูอาจารย์เทศน์สอนนั้นต้องการให้รู้จักแนวทางการฝึกให้ใจเป็นสมาธิ ให้ใจมีความสงบ หลวงปู่จึงเร่งทำความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิ เอาระยะเวลาที่นั่งสมาธิ กับจิตที่เป็นสมาธิ เป็นเครื่องวัด

ตามปกติ คนเรานั่งชั่วโมงสองชั่วโมงก็เหนื่อย เจ็บแข้งเจ็บขา เจ็บหลังเจ็บเอว อยากจะลุกแล้ว แต่ช่วงเวลาที่พ่อแม่ครูอาจารย์พานั่งภาวนานั้น ขนาดสี่ทุ่มห้าทุ่มเที่ยงคืน ตีหนึ่งที่สอง หลวงปู่ก็ยังไม่อยากจะลุก แสดงถึงเครื่องวัดจิตที่เป็นสมาธิว่า คือเมื่อใจอยู่กับคำภาวนาพุทโธ ถึงแม้ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์พูดเทศน์เรื่องอะไร ก็จะไม่ได้ยินเสียงเลย เพราะเราเอาสัญญาความจำเอาจิตมาอยู่กับคำบริกรรมพุทโธ “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้จะไม่ฟังพ่อแม่ครูอาจารย์เทศน์ จะตั้งใจฝึกสมาธิอย่างเดียว” ความสำคัญที่เห็นได้เด่นชัดกับคำว่า “จะไม่ฟังพ่อแม่ครูอาจารย์เทศน์” นั้นคือการใช้หรือควบคุมสัญญา ความจดจำขององค์เอง เอาจิตไว้กับพุทโธอย่างเดียว

“คือจะไม่ใช้สัญญาความจำไปคอยฟังคำ หรือเรื่องที่ท่าน จะเทศน์สอน จะไม่เอาสัญญาความจำไปคอยจับฟังเรื่องที่เทศน์นั้น ๆ แต่จะใช้สัญญาความจำมาจำคำสอนที่ให้บริกรรม ภาวนาพุทโธ เราจะใช้สัญญาความจำมาอยู่กับคำบริกรรม ภาวนาพุทโธอย่างต่อเนื่อง ๆ ไม่ให้ขาดสาย”

หลังจากหลวงปู่ใช้สัญญาความจำมาอยู่กับคำบริกรรม พุทโธ คืนนั้นแล้ว มีความรู้สึกว่า “เออ...คงจะเป็นอย่างนี้มั้ง ที่ท่านเรียกว่าใจสงบเป็นสมาธิ” 
หลวงปู่มีความสุขความสบายแบบธรรมชาติ หายสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า 
"นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"

แม้ว่าในเวลานั้นจิตใจของหลวงปู่มีความสงบเป็นสมาธิ เพียงเท่านั้น ยังเห็นได้ชัดเจนขนาดนั้น ถ้าเป็นได้จริงอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนว่า “ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสุขที่เกิดจากสมาธิ ไม่มีแล้ว” หากเมื่อเกิดขึ้นจริงแล้วนั้น จิตใจของหลวงปู่ จะมีความสงบสุขมากมายขนาดไหน

กลอุบายในการอดอาหาร ทำความเพียรช่วงนั้นก็ยิ่งสำคัญ เห็นได้ชัดว่า แม้ปกติธรรมดาชาวโลก มนุษย์ส่วนใหญ่รับประทานอาหารอย่างน้อยวันละสามมื้อ คือเช้า กลางวัน เย็น แต่หลวงปู่ คิดว่าองค์หลวงปู่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกับชาวโลกคนอื่นเขา ถ้าอดอาหาร ไม่ฉันอาหารแล้ว ความเหนื่อยความหิวจะแสดงให้เห็น เป็นอย่างไร

“ก็อย่างว่า เหนื่อยก็เหนื่อย เป็นเรื่องของธาตุขันธ์ ร่างกาย ส่วนจิตใจไม่ได้ออกไปเกี่ยวข้อง มันอยู่กับความเป็น สมาธิ อยู่กับความสงบ มันมีความสำนึกว่า โอ... ถ้าอยู่กับ สมาธิแบบนี้ ใจสงบแบบนี้ ถ้าชีวิตอยู่ได้ จะไม่กลับไป บิณฑบาตมาฉันอีกเลย จะอยู่แบบอยู่กับสมาธิอย่างนี้ จะไม่กลับมาฉันอะไรให้มันเหนื่อยปากอีกเลย”

อย่างไรก็ตามความเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั้น ถ้าขาด อาหารชีวิตก็จะอยู่ไม่ได้ ความจำเป็นจึงมีอยู่ จำต้องกลับมาฉัน อาหารบิณฑบาตเหมือนเดิม แต่ก็เป็นเพียงปัจจัยสี่ให้อาศัยดำรงชีวิตให้เป็นไป จิตไม่เคยได้กังวลหรือเป็นห่วงเรื่องอาหารบิณฑบาตอีกเลย

• #ท่องถิ่นธรรมธุดงค์กัมมัฏฐาน
หลังออกพรรษาแล้ว พระมักจะออกธุดงค์และปลีกวิเวก หลวงปู่ก็ออกธุดงค์เช่นกัน ได้พักจำวัดคารวะพ่อแม่ครูอาจารย์หลายแห่ง ทั้งที่จังหวัดเลย ได้กราบคารวะพ่อแม่ ครูอาจารย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และบางครั้งได้เดินธุดงค์ออกนอกประเทศ ไปถึงฝั่งลาว ฝั่งพม่าไปถึงเจดีย์ชเวดากอง ส่วนทางเหนือขึ้นไปไกลถึงประเทศจีน แต่ไม่ได้พักนาน

“ไม่ได้ไปฝั่งนอกประเทศนาน เพราะสมัยนั้นยังไม่ได้มีเอกสารอะไร เดินธุดงค์เฉย ๆ” 

หลวงปู่อุทัยคุ้นเคยกับพระอาจารย์ทับ ธมฺมปทีโป (วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร) เมื่อครั้งอยู่ที่วัดถ้ำขาม ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ จึงชวนกันลาพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น ไปทาสี บูรณะพระที่หน้าถ้ำพระภูวัวของพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น ที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากในปีนั้นมีงานมรณภาพของพ่อแม่ ครูอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จากนั้นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น ได้กลับมาปั้นให้แล้วเสร็จ

ท่านพระอาจารย์ทับ เล่าว่า “ไปกับท่านอาจารย์อุทัย ท่านซ่อมทาสีพระที่พ่อแม่ครูอาจารย์ปั้น ไปอยู่กันสองเดือน หาบสีขึ้นไป มีโยมผ่านมา เขาถ่ายภาพให้นั่นแหละ สมัยนั้นไม่มีกล้องกันเหมือนสมัยนี้”

พระอาจารย์ทับเล่าว่า หลวงปู่มีความละเอียดในงานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นงานสร้างศาลา งานปูน งานไม้ และงาน ตัดเย็บ ทำได้หมด

“ท่านมีฝีมือนะ งานการตัดเย็บนี่ก็เหมือนกัน โอ้ เย็บผ้านี้ ตะเข็บฝีมือละเอียด ช่างอาชีพสู้ไม่ได้เลย...ครั้งนั้น งานพ่อแม่ครูอาจารย์ พระช่วยกันตัดเย็บ...ท่านตัด.... และช่วยกันเย็บ”

บางโอกาสเมื่อมีเวลา หลวงปู่จะชวนพระอาจารย์ทับเดิน ทางธุดงค์กลับไปเยี่ยมโยมมารดาที่บ้านหนองบก ระยะหลังได้เยี่ยมโยมมารดาเท่านั้น เพราะโยมบิดาเสียชีวิตไปก่อนนานแล้ว

“ก่อน ๆ นั้น ท่านอาจารย์ชวนเราไปเยี่ยมโยมแม่ที่บ้านหนองบก ชวนกันไปธุดงค์ ก็ชวนเข้าป่า เดินไปมืดก็นอน เอาผ้าอาบปูลง แล้วเอารองเท้ายางนี่แหละหนุน”

ครั้งหนึ่งได้ธุดงค์ป่าใหญ่ได้พบข้างทั้งโขลง

“นั่นไปเจอช้างทั้งโขลงเลยกำลังหากิน ต่างนิ่งเงียบ เหมือนกัน พากันแอบรออยู่เป็นชั่วโมง ๆ รอให้ช้างกินให้ เสร็จก่อน ต่างคนต่างหลบ นั่งกันนิ่งเงียบ จ้องกัน ไม่เข้าไปใกล้กวนเขา รอนานอยู่ แล้วเขาก็ไป เขาไม่ทำอะไร หลบแอบกันคนละที่ ท่านอาจารย์อุทัยอยู่มุมโน้น เราอยู่มุมนี้” (๑๑ ก.ค. ๕๗)

แม้ว่าเหตุการณ์และการเดินทางขึ้นลงเขาภูพานยังไม่ สะดวก มีอุปสรรค์อยู่บ้าง แต่ตลอดเวลานั้นพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น ก็ยังคงปฏิบัติธรรมและเมตตาเทศน์อบรมบรรดาพระเณร ฆราวาส ผู้ใฝ่ธรรม อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ก็ได้อาศัยวัดถ้ำขามเป็นแหล่งรวมใจอีกด้วย จนกระทั่ง ธาตุขันธ์อ่อนล้ามากขึ้นจึงลงมาจากเทือกเขาภูพานอย่างถาวร 

เมื่อการเดินทางขึ้นลงเขานะเป็นอุปสรรคต่อท่านขันธ์มากขึ้น ในระยะหลังจึงลงมาจำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพร บ้านนาหัวช้าง เขตติดต่อกลับบ้านบะทอง จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านเกิดขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น อย่างถาวร

หลวงปู่อุทัย ท่านมาจำพรรษาปฏิบัติธรรม อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ทั้งที่วัดถ้ำขาม บ้านคำข่า ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และวัดป่าอุดมสมพร บ้านนาหัวช้าง ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เรื่อยมาจนกระทั่งหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านได้มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐

หลังจากนั้นหลวงพ่ออุทัย จึงได้ปลีกวิเวกมาพักที่ถ้ำพระภูวัว ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.หนองคาย (ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร มาก่อน กระทั่งตั้งเป็นวัดโดยสมบูรณ์จวบจนมาถึงปัจจุบัน) 

• #เจ้าอาวาส
หลังจากเสร็จงานพระราชทานเพลิงถวายพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ แล้ว หลวงปู่อุทัย กับหลวงปู่เสถียร คุณวโร ได้ชวนกันปลีกวิเวกกลับมาพักที่สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัว ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.หนองคาย ปัจจุบันคือ จ.บึงกาฬ สถานที่นี้ พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ฝั้น ได้สร้างไว้ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม (พ.ศ. ๒๔๘๘ - ๒๔๙๗) และ พ่อแม่ครูจารย์ ก็เคยมาปฏิบัติธรรมด้วย ต่อมาภายหลังหลวงปู่อุทัยได้พัฒนาสำนักสงฆ์นี้ โดยขอยกฐานะให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์จวบจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานั้นหลวงปู่รับภาระหลายอย่าง นอกจากจะจำเป็นประธานสงฆ์ที่สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัวแล้ว ยังต้องมีภาระรับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสดูแลวัดป่ากลางโนนภู่ บ้านม่วงไข่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ในช่วง พ.ศ. ๒๕๒๑ - ๒๕๓๐ อีกด้วย เนื่องจากหลวงปู่กว่า สุมโน ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น ในตระกูลสุวรรณรงค์นั้น ได้นิมนต์หลวงปู่ไปจำพรรษาอยู่ด้วยกันกับท่าน ๒ องค์ที่ วัดป่ากลางโนนภู่ หลวงปู่ได้พักจำพรรษาที่วัดนี้เพียงหนึ่งพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่จึงกลับมาที่สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัว

• #วัดถ้ำพระภูวัว
หลวงปู่เสถียร เล่าว่าระยะแรกนั้น หลวงปู่เสถียรพักที่ถ้ำพระภูวัวก่อน แล้วได้ไปงานมรณภาพของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลังจากเสร็จงานก็ชวนกันขึ้นมาวิเวกที่สำนักสงฆ์นี้ หลวงปู่อุทัย จึงเป็นประธานสงฆ์ มีพระอยู่ ๔-๕ รูป คือ หลวงปู่อุทัย หลวงปู่เสถียร พระอาจารย์ณรงค์ และ หลวงพ่อชาลี หลังจากนั้น ประมาณปี ๒๕๒๓ หลวงปู่สุพิศ กันตจาโร ได้เข้ามาจำพรรษา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน

ชาวบ้านมีน้อยไม่กี่หลังคาเรือน และอยู่ห่างไกลจาก สำนักสงฆ์ อาหารบิณฑบาตขบฉันมีน้อย แม้ว่าจะเป็นที่ภาวนาดี แต่เพราะชาวบ้านขัดสนมาก หลวงปู่อุทัยจึงไม่คิดจะอยู่นานนัก หากอยู่ไปนาน ๆ ชาวบ้านก็จะยิ่งเดือดร้อนลำบากมากขึ้น

“ทีแรกท่านอุทัยไปอยู่ มีประชาชนเข้ามาอยู่ที่นั่นสองสาม หลังคาเรือนเท่านั้น ไปอยู่กับเขา ท่านก็เป็นห่วงเป็นใยเขา เขาอดอยาก ท่านก็อดอยาก ต่างคนต่างไปขอกันกิน ท่านก็จะไป” (จากเทศน์หลวงตามหาบัว ๑๕ มิ.ย. ๕๐)

ดังนั้น ตลอดระยะเวลาเกือบ ๓๐ พรรษาที่วัดถ้ำพระภูวัวนั้น หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ได้เมตตามาเยี่ยม หลวงปู่อุทัยเป็นประจำ ตลอดทั้งยังส่งเสบียง อาหาร ยา และ สิ่งที่จำเป็นมาที่วัดอย่างต่อเนื่องเสมอ มิเคยขาด

“พอมาถึงแล้ว ก็ประกาศขึ้นเลย เอ้า ท่านอุทัย ตั้งแต่ บัดนี้ต่อไป ผมไปดูแล้ว สถานที่นี่เหมาะสมมากแก่การบำเพ็ญ สมณะธรรม แล้วพระองค์ใดที่มีความมุ่งมั่นปรารถนาต่ออรรถต่อธรรม ต่อมรรคผลนิพพานแล้ว อยากมาอาศัยพึ่งท่าน ภาวนาที่นี่ เอ้า ให้มา จะมากน้อยเอามาผมจะเลี้ยง” (จากเทศน์หลวงตามหาบัว ๕ ส.ค. ๔๔)

ตั้งแต่ที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น มรณภาพแล้ว หลวงปู่ อุทัย และหลวงปู่เสถียร ได้มาร่วมจำพรรษาร่วมกันตลอดที่ วัดถ้ำพระภูวัวแห่งนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์หลายองค์ผ่านมาแวะ เยี่ยมเยียนหลวงปู่ตามฤดูกาล เช่น หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต หลวงปู่บุญหนา ธมฺมทินฺโน

หลวงตามหาบัวเมตตาดูแลอย่างสม่ำเสมอ บางช่วงเวลาที่ บ้านเมืองยังขัดสน วุ่นวาย หลวงตาได้เมตตาห่วงใย และให้คำแนะนำอย่างมาก องค์หลวงปู่เองก็มักจะเอาใจใส่พระผู้ใหญ่ ที่จำพรรษาอยู่ที่ภูต่าง ๆ ใกล้เคียงกันด้วย ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติ หรือครูบาอาจารย์องค์ใดอาพาธ หลวงปู่ก็จะนิมนต์ให้ไปพักอยู่ที่ภูวัวเพื่อความสงบและปลอดภัย 

หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ เมตตาเล่าถึงเมื่อเคยอยู่ภูลังกา ครั้งนั้นมีเหตุการณ์วุ่นวาย หลวงปู่อุทัย ได้ไปนิมนต์หลวงปู่บุญมี และหลวงปู่เพียร วิริโย ให้มาพักภาวนาที่ ถ้ำพระภูวัว โดยพาเดินลัดเลาะป่าจากภูลังกาไปจนถึงภูวัว

• #น้ำป่าหลากจากภูเขา
วัดถ้ำพระภูวัวนั้น หลวงปู่อธิบายว่า ที่เรียกว่า ถ้ำนั้น ไม่ใช่ถ้ำในภูเขาจริง ๆ เหมือนความหมายของถ้ำที่เข้าใจกัน แต่ที่นี่เป็นแค่ผาหินที่ยื่นออกไปเป็นที่บังฝน กันลม กันแดด แล้วก็มีแค่นั่งภาวนาอยู่ใต้ผานั้น ก็เรียกกันว่าถ้ำ สมัยที่อยู่วัดถ้ำพระภูวัวแรก ๆ นั้น หลวงปู่ฝั้นพบพระเก่า ๆ อยู่บ้าง จึงเรียกว่า #ถ้ำพระ

ท่านพระอาจารย์ทับ ธมฺมทีโป (วัดป่าแก้วชุมพล) มาวิเวกพักอยู่ที่ถ้ำพระภูวัวบ้างเช่นกัน ได้เล่าถึงน้ำป่าไหลจากภูเขาว่า ก่อนน้ำป่ามาก็จะได้ยินเสียงดังมาก่อน พระอาจารย์ก็จะเตรียมเก็บของขึ้นที่สูง น้ำไหลมาท่วมเกินเข่า อยู่ไม่นานก็ไหลไปหมด

“ได้ยินเสียงมา ก็รีบเก็บบริขาร บางทีไม่ทัน ของลอยไป กับน้ำ เหลือรองเท้าข้างเดียวก็มี ครั้งหนึ่งนั่งกันคนละโขดหินกับท่านอาจารย์ น้ำป่าไหลมาพัดของไปหมด หินที่เราอยู่ น้ำท่วมแค่หัวเข่า แต่ที่ท่านนั่งคนละที่กัน”

ครั้งนี้เองที่น้ำป่าหลากลงมาจากเขา ขณะที่หลวงปู่นั่ง ภาวนาวิเวกอยู่ที่โขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หลุบลึกลงไปทางสูงนั้น พระอาจารย์ทับนั่งภาวนาอยู่ที่โขดหินใหญ่อีกก้อน อยู่ห่างกันประมาณ ๒๐-๓๐ เมตร หรือมากกว่านั้น หลวงปู่เล่าว่า น้ำท่วมสูงมาก

“เราเกือบตาย นั่งอยู่กับพระอีกองค์ คนละโขดหิน แต่ที่ เราต่ำกว่า เสียงดัง วู้ว วู้ว เร็วมากตั้งตัวอะไรไม่ทัน น้ำหลากลงมา อัฐบริขารกระจายถูกน้ำพัดไปหมด เราไปหลบที่หินก้อนนั้น น้ำพัดผ่านเราท่วมสูงมาก ประมาณเกือบ ๒ เมตร เราโผล่แค่คอ ลอยอยู่อย่างนั้น พระอีกองค์อยู่ที่สูงกว่าก็หลบอีกโขด สักครู่น้ำก็พัดไปหมด”

การลอยคอครั้งนั้นเป็นครั้งที่สองที่เกือบมรณภาพ ส่วน ครั้งแรกที่หลวงปู่เกือบมรณภาพนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ยังจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำขาม หลวงปู่ออกวิเวกไปในป่ามีหมู่พระและเณรอยู่ด้วย หลวงปู่และเณรเป็นไข้ป่าจวนเจียนจะไม่รอด เณรองค์นั้นถูกหามออกจากป่าไปรักษา แต่ในที่สุดก็มรณภาพ

“ตอนนั้นเราจวนตายแล้ว เป็นไข้ป่าเจียนตาย เขาหาม เณรออกจากป่า แต่ก็ไม่รอด เณรก็ตาย เรานึกถึงประโยชน์ ของงาช้างที่เรามีติดย่ามประจำ สมัยพรรษาน้อย ๆ เรายังขี้คือ แกะสลักงาช้างเป็นรูปพระ เราก็เอามาฝนกับน้ำแล้วฉัน จากนั้นอาการมันก็ค่อยดีขึ้น ๆ จนหายไข้”

• #วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน
ในปี พ.ศ.๒๕๔๘ ท่านพระอาจารย์อุทัยได้รับความเมตตาจากหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ให้มาช่วยพัฒนาวัดป่าเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อให้เป็นที่เผยแผ่ธรรมะขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นที่ฝึกสอนเหล่าพระนักปฏิบัติทั้งหลาย ที่ตั้งใจฝึกปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนา สามารถสืบทอดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้มั่นคง คือ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบและปฏิบัติตรง เพื่อให้รู้แจ้งในธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงสืบไป ท่านจึงได้พำนักอยู่ ณ วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโนแห่งนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน 

พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้กล่าวยกย่อง หลวงพ่ออุทัย สิริธโร เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ไว้ว่า

(หลวงตาท่านมองไปที่รูปครูบาอาจารย์เพชรน้ำหนึ่ง) “...นั่นองค์หนึ่งพระภาวนา ชื่อเสถียร ท่านเป็นคนอุดรแล้วท่านไปภาวนาอยู่ทางเขตต่อพม่า เมืองไทย-พม่าเขตต่อ นี่สำคัญมากนะ ชื่อเสถียร บ้านเดิมท่านอยู่อุดร พาพ่อพาแม่ไปอยู่ทางนู้น มีที่สะดวกสบาย การทำมาหาเลี้ยงชีพก็สะดวก ทุกอย่างสงบสงัดทั้งด้านธรรมทั้งด้านโลก ท่านเลยชวนพ่อแม่ท่านไป ท่านเข้าท่าอยู่นะ แล้วได้ประโยชน์ ทางนู้นชื่อเสถียร นู่นอาจารย์ชา ท่านบุญมี ท่านอุทัย ท่านวันชัย หลวงพ่อตัน ท่านปัญญา นี่เพชรน้ำหนึ่งมีหลายองค์นะนี่ ท่านสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นสมัยครั้งพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ ทุกวันนี่เทวทัตมันขวางหูขวางใจ ว่าอรหันต์ไม่ได้ เทวทัต คือพระที่ท่านจะรู้กันต้องเป็นนักภาวนาด้วยกัน ได้สนทนากันในวงภายในๆ รู้กันแต่ว่าภายใน นอกนั้นไปท่านเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เพราะฉะนั้นวงกรรมฐานกันมองเห็นกันรู้กันทันที ๆ เพราะทราบจากใจ”

• #ที่มาของวัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน 

เนื่องจากได้มีสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ถวายที่ดินซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แด่พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) เพื่อให้จัดตั้งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิบำเพ็ญเพียรภาวนา หลวงตามหาบัวท่านจึงได้ตั้งชื่อวัดว่า “วัดเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน” โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๙ องค์ท่านได้พูดถึงวัดแห่งนี้ว่า “...อยู่นั่นก็จุดกลางทางที่จะขึ้นเขาใหญ่นั่นแหละ เห็นว่าเหมาะ ให้มีกรรมฐานตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอรรถธรรมอยู่เป็นย่านๆ...” 

ทั้งนี้ หลวงตามหาบัวท่านได้เมตตามอบหมายให้ หลวงพ่ออุทัย สิริธโร เจ้าอาวาสวัดถ้ำพระภูวัว ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.หนองคาย (ในขณะนั้น) มาเป็นประธานสงฆ์และเจ้าอาวาส รับหน้าที่ดูแลและพัฒนา “วัดเขาใหญ่เจริญธรรม ญาณสัมปันโน” แห่งนี้ เพื่อให้เป็นสถานที่เผยแผ่หลักธรรมขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นที่ฝึกอบรมสอนเจริญสมาธิบำเพ็ญภาวนาให้แก่เหล่านักปฏิบัติทั้งหลายที่ตั้งใจฝึกปฏิบัติ เพื่อให้สามารถสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาและคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มั่นคง คือปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง เพื่อให้รู้แจ้งในธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงสืบไป

• #สมณศักดิ์
เมื่อวันที่​ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔​ พระ​บาท​สมเด็จ​พระปรมินทร​รามาธิบดีศรีสุนทร​มหาวชิราลงกรพระวชิรเกล้าเจ้า​อยู่​หัว​ มีพระบรมราชโองการ​โปรด​พระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์​พระราชาคณะ​

เนื่องในวโอกาสมหามงคล ในการเลื่อนสมณศักดิ์ของ
พระอธิการอุทัย เป็น #พระราชวชิรญาณโสภณ โกศลภาวนาจิตจาทร ยติคณิสร บวรสังฆาราม คามวาสี พระราชาชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดป่าเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน จังหวัดนครราชสีมา

“...รูปร่างกายของคนเรา ส่วนไหนมันเป็นสาระแก่นสารบ้าง ที่เราไปให้ความหมายว่าเป็นสิ่งที่เป็นสาระ แล้วไปหลงยึดมั่นในรูปนั้นว่า เป็นสาระแก่นสาร ความจริงแล้วรูปร่างกายอันนี้ ทุกสิ่งทุกอาการที่ปรากฏมันล้วนแล้วแต่จะผุพังไปตามสภาวธรรม คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วสลายกลายไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟกันทั้งนั้น หรือจะพิจารณาไปในแง่อสุภะ ความไม่สวยไม่งาม ความปฏิกูลโสโครก ความสกปรกในโลกอันนี้ คำว่าสกปรกโสโครกนั้น มันไม่มีอะไรจะสกปรกโสโครกมากไปกว่ารูปร่างของมนุษย์นี้หรอก...” โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่อุทัย สิริธโร

#บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกมาจากหนังสือ ประวัติโดยสังเขปพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่อุทัย สิริธโร ; พิมพ์ครั้งที่ ๑ ; มีนาคม ๒๕๕๘ ; หน้า ๑ - ๑๐๐

------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้ที่มาFb page "ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน"
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco