ชีวประวัติ ปฏิปาพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร กรุงเทพฯ

๏ ประวัติและปฏิปทา พระอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์ สิริจันโท) ๏ 
     วันนี้วันที่ 20 มีนาคม 2567 น้อมรำลึก 167 ปี ชาตกาล พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) วัดบรมนิวาส เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ผู้เป็นจอมปราชญ์แห่งเมืองดอกบัวงามอุบลราชธานี ท่านเป็นพระภิกษุฝ่ายเถรวาท คณะธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี อดีตเจ้าคณะใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ เจ้าคณะมณฑลอีสาน มณฑลจันทบุรี มณฑลราชบุรี และมณฑลกรุงเทพ อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ และวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาสมัยใหม่ ทั้งในฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาสในภาคอีสาน ท่านเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนอุบลวิทยาคมที่วัดสุปัฏนารามวรวิหาร จังหวัดอุบลราชธานี และเป็นผู้สอนธรรมะให้แก่พระเถระองค์สำคัญในธรรมยุติกนิกายหลายรูปรวมถึงพระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งพระกรรมฐานสายวัดป่าด้วย

ชาติกําเนิด และชีวิตปฐมวัย

ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) รูปนี้ นามสกุล ศุภสร เกิดใน รัชกาลที่ ๔ ณ วันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๑๐ ค่ำ เวลาประมาณ ๕ นาฬิกา ปีมะโรง จุลศักราช ๑๒๑๘ ตรงกับวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๓๙๙ เป็นบุตรหัวปีของหลวงสุโภรสุประการ กรมการเมืองอุบลราชธานี นางสุโภรสุประการ (แก้ว สุภสร) เป็นมารดา ชาติภูมิเดิมอยู่บ้านหนองไหล อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ในสํานักเจ้าอธิการม้าว เทวธุมมี วัดศรีทอง จังหวัดอุบลราชธานี

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา

ถึงรัชกาลที่ ๕ อายุ ๑๙ ปี ลาสิกขาบทจากสามเณรมาอยู่กับบิดามารดา ๓ ปีจึงอุปสมบท ที่วัดศรีทอง เมื่อปีฉลู พ.ศ.๒๔๒๐ เจ้าอธิการม้าว เทวธุมมี ซึ่งเป็นลัทธิวิหาริกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระอุปัชฌายะ อุปสมบทแล้วจําพรรษาอยู่ที่วัดชัยมงคล แต่ไปศึกษาเล่าเรียนในสํานักพระอุปัชฌายะ ต่อมาอีก ๔ พรรษา แล้วจึงมาอยู่ที่ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร ในสํานักพระปลัดผา ถือนิสสัยในพระอริยะมุนี (เอม) ศึกษาพระปริยัติธรรมกับ พระมหาดิษ และพระอาจารย์บุษย์ ปีเศษ แล้วไปศึกษาในสํานักพระยาธรรมปรีชา (บุญ) ภายหลังย้ายมาอยู่วัดกันมาตุยาราม แล้วกลับไปอยู่วัดเทพศิรินทร์อีก ครั้นพระอริยะมุนี (เอม) และ พระปลัดผา มรณภาพแล้ว จึงย้ายไปอยู่ที่วัดบุบผาราม จังหวัดธนบุรี ในสํานักพระสาสนโสภณ (อ่อน) แต่ยังเป็นเปรียญฯ

ถึงปีระกา พ.ศ.๒๔๒๘ ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรม ครั้งแรกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค แล้วลาไปปฏิบัติอุปัชฌายะที่จังหวัดอุบลราชธานี ๒ พรรษา ระหว่างนี้ เจ้ายุติธรรมธร เจ้านครจําปาศักดิ์ สร้างวัดมหาอํามาตย์ ถวายพระสงฆ์ธรรมยุต จึงอาราธนาไปเป็น เจ้าอาวาสวัดนั้น ครั้นถึงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๕ ทรงพระกรุอยู่ที่วัดพิชัยญาติการาม ๑ พรรษา แล้วกลับไปอยู่วัดเทพศิรินทร์อีก ต่อจากนี้ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้ง สอบได้เปรียญธรรม ๔ ประโยค จึงโปรดให้ไปจัดการศึกษาในจังหวัดอุบลราชธานีได้ ๒ ปีเศษ

ถึงปีกุน พ.ศ.๒๔๔๒ ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระญาณรักขิต แล้วโปรดให้เป็นเจ้าคณะมณฑลอีสาน จึงกลับไปอยู่วัดสุปัฏน์ จังหวัดอุบลราชธานี ๕ พรรษา ภายหลังขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตกลับเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ อยู่ที่วัดเทพศิรินทร์บ้าง ไปธุดงค์บ้าง จนถึงปีมะโรง พ.ศ.๒๔๔๗ จึงโปรดให้อาราธนาไปครองวัดบรมนิวาส ถึงปีระกา พ.ศ.๒๔๕๒ โปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ ที่พระราชกวี

ถึงรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๗ ทรงโปรดให้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระเทพโมลี ต่อมาถึง พ.ศ.๒๔๕๘ ได้แต่งหนังสือเทศน์เห็นเป็นอันไม่ต้องด้วยรัฐประศาสนโยบาย บางประการอันเกี่ยวกับการป้องกันพระราชอาณาจักร จึงถูกถอดจากสมณศักดิ์คราวหนึ่ง ครั้นถึง วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๙ ทรงพระกรุณาโปรดกลับตั้งให้เป็นพระราชาคณะที่พระธรรมธีรราชมหามุนี มีสมณศักดิ์เสมอชั้นเทพและโปรดให้ครองวัดบรมนิวาสตามเดิม ถึงปี พ.ศ.๒๔๖๖ โปรดให้ เลื่อนเป็นพระโพธิวงศาจารย์ เสมอตําแหน่งชั้นธรรม ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๖๘ ทรงพระกรุณาโปรดให้ เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะตําแหน่งเจ้าคณะรองฝ่ายอรัญญวาสี มีนามในสัญญาบัตรว่า “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ญาณวิสุทธจริยาปรินายก ตรีปิฎกคุณาลังการ นานาสถานราชอมนีย์ สาธุการธรรมากร สุนทรศีลาทขันธ์” มีฐานานุกรรม ๖ รูป คือ พระครูปลัดนิพันธโพธิพงศ์ ๑ พระครูวินัยธร ๑ พระครูธรรมธร ๑ พระครูสังฆรักษ์ ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ได้เคยรับราชการทางคณะสงฆ์ในหน้าที่สําคัญๆ หลายตําแหน่ง คือ เป็นเจ้าคณะใหญ่ เมืองนครจําปาศักดิ์ เป็นเจ้าคณะมณฑลอีสาน มณฑลจันทบุรี มณฑลราชบุรี มณฑลกรุงเทพฯ

การปกครอง ท่านผู้นี้เป็นผู้มีอัธยาศัยงดงามในการคุ้มครองศิษยานุศิษย์เป็นต้นว่าผู้น้อย ทําสิ่งใดในหน้าที่ของท่าน ถ้าทําถูกต้องยกให้เป็นความดีความชอบของผู้น้อย ถ้าบางประการเหลือกําลังทําพลาดผิดไปรับเอาเสียเอง ไม่ให้เป็นความผิดตกแก่ผู้น้อย และเป็นผู้มีใจกว้างขวางเฉลี่ยลาภผลเกื้อกูลแก่สพรหมจารี ไปไหนอยู่ไหน ยังคุณงามความดีให้เกิดแก่หมู่เป็นคณโสภณะผู้ทําหมู่ให้งามแท้ ไม่ใช่คณปโทสะผู้ทําร้ายหมู่ และไม่ใช่คณปูรกะผู้สักแต่ว่าทําให้เต็มตามจํานวนของหมู่ และเป็นผู้ฉลาดในเชิงช่างเปลี่ยนภาพให้ยืนอยู่ในหลัก ๓ หลัก คือ เย็น ร้อน และอุ่น เย็นก็ไม่ถึงแก่บูด ร้อนก็ไม่ถึงแก่ไหม้ให้เป็นไปพอเหมาะแก่เหตุการณ์ คือ อุ่น ใส่ใจในการป่วยเจ็บ ไม่ทอด ธุระในการเกื้อกูลด้วยปัจจัยลาภทั้ง ๔ ดังนี้ เป็นตัวอย่างจึงเห็นว่าการปกครองดี

การเล่าเรียน ท่านผู้นี้เป็นผู้ใส่ใจในการศึกษาของกุลบุตรดีมากทั้งภาษาบาลีทั้งภาษาไทย ดังเมื่อยังเป็นเปรียญขึ้นไปจังหวัดอุบลราชธานีคราวแรก แม้แต่เพียงเที่ยวตําบลต่างๆ ถ้าไปนอนค้างอ้างแรมต้องให้ศิษย์นําแบบเรียนไปด้วยว่างกิจอื่นก็สอน ที่สุดพักใต้ต้นไม้ตามป่าบางคราวก็สอน ทั้งนี้ชี้ให้เห็นในสมัยต้น ครั้นสมัยต่อมาท่านได้ตั้งอยู่ในภาวะเป็นผู้ใหญ่ก็ยิ่งจัดให้เป็นกิจลักษณะขึ้นโดยลําดับ เช่น เมื่ออยู่เมืองนครจําปาศักดิ์ ตั้งโรงเรียนขึ้นที่ วัดมหาอํามาตย์ (วัดนี้พระยามหาอํามาตย์ หรุ่น กับเจ้านครจําปาศักดิ์ สร้าง) ให้ชื่อว่า “โรงเรียนบุรพาสยามเขตร” สอนทั้งภาษาบาลี ทั้งภาษาไทย ครั้นกาลต่อมาได้เข้ามากรุงเทพฯ แล้วกลับออกไปอยู่อุบลก็ได้ตั้งโรงเรียนอุบลวิทยาคม ขึ้นที่วัดสุปัฏน์ สอนทั้งภาษาบาลี ทั้งภาษาไทย ครั้นได้ดํารงตําแหน่งเจ้าคณะมณฑลขึ้น ก็จัดการศึกษาทั่วไปจนได้เข้ามาดํารงตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ก็จัดการศึกษาของกุลบุตรให้เจริญดัง ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ แม้ถึงวัดสิริจันทรนิมิตรที่เขาบ่องาม (บัดนี้สําเนียงได้กลายไปเป็นเขาพระงาม) จังหวัดลพบุรี และวัดเจดีย์หลวงนครเชียงใหม่ ก็จัดการศึกษาของกุลบุตรให้รุ่งเรืองขึ้นโดยควรแก่ฐานะ และข้อที่ลืมเสียมิได้นั้นคือ เมื่อท่านมากรุงเทพฯครั้งหนึ่งคราวใดเป็นต้องนํากุลบุตรเข้ามาทุกคราวเพื่อให้ได้เล่าเรียนไม่คิดว่าเหนื่อยยาก ทั้งนี้จึงเห็นว่าใส่ใจในการศึกษาของกุลบุตร

การสั่งสอน ท่านผู้นี้เป็นผู้ใส่ใจในการสั่งสอน ไม่เลือกชั้นเลือกปูนมุ่งแต่ให้ผู้ที่ได้รับคําสอน บรรลุประโยชน์โดยควรแก่ภาระของตน ใกล้หรือไกลไม่ว่าอุตสาหะสัญจรไปในพระราชอาณาจักร แทบทุกมณฑล แม้นอกพระราชอาณาจักรก็ยังสัญจรไปถึงเมืองเชียงตุง (คือเชียงถุงหรือธง) อยู่ไหนไปไหนถ้ามีโอกาสเป็นต้องแนะนําสั่งสอนแม้ที่สุดป่วยอยู่ในครั้งสุดท้ายนี้ ก็ยังแสดงธรรมสั่งสอน ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา เป็นผู้ฉลาดในเชิงชี้ให้ผู้ฟังเห็นเหตุผลแจ่มแจ้งในอรรถธรรมเข้าใจ ชักชวนให้อาจหาญ และให้ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติ จัดเป็นธรรมกถูกเอกมีเชาวนะปฏิภาณว่องไว เฉียบแหลม วิจารณ์อรรถธรรมอันลุ่มลึกให้แจ่มแจ้ง ใช้แต่สั่งสอนด้วยมุขเท่านี้หามิได้ ยังแต่งไว้ ทั้งคําร้อยแก้วทั้งคํากาพย์ ทั้งให้บันทึกไว้มากมายถึงท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว หนังสือทั้งปวงนี้ยังจะ สั่งสอนโลกได้ยึดยาว ทั้งนี้นับว่า เป็นผู้ใส่ในใจในการสั่งสอนดีมาก

การก่อสร้างปฏิสังขรณ์ ท่านผู้นี้เป็นผู้พอใจในการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุและปูชนียวัตถุมากมาย แต่จะนํามาซึบางประการส่วนที่สําคัญเป็นต้นว่า การปฏิสังขรณ์ในวัดบรมนิวาส คือ พระอุโบสถแล พระอสีติมหาสาวก พร้อมทั้งวิหารคดและพระพิชิตมารซึ่งเป็นพระประธานในศาลา อุรุพงษ์ คือเป็นพระลีลาเก่าเชิญมาจากจังหวัดราชบุรี และในวัดบวรมงคล คือพระอุโบสถ พระระเบียง ตลอดทั้งวิหารคด ก็ได้เป็นผู้สนับสนุนยังการปฏิสังขรณ์ให้สําเร็จ ส่วนการก่อสร้างใน วัดบรมนิวาส เช่น โรงเรียนทั้งภาษาบาลี ทั้งภาษาไทย ทั้งสระน้ํา ทั้งศาลาอุรุพงษ์ ทั้งระฆัง แล หอระฆัง ตลอดถึงกุฏิทั้งสิ้นล้วนก่อสร้างใหม่เป็นตึกทั้งนั้น แต่คณะกุฏิและหอเขียวส่วนล่างอาศัย ผนังเดิม ส่วนชั้นที่ ๒ ก่อใหม่ เปลี่ยนหลังคาไปตามสมัยนิยม ทั้งมีนามเจ้าของทรัพย์ประกาศไว้ แทบทุกกุฏิ ทั้งปรากฏในหนังสืออัตตประวัติของท่านด้วย นัยว่ายังไม่ปรากฏแต่หอเขียวกับหอระฆัง หอเขียวเป็นกุฏิใหญ่ในวัดนี้หม่อมเจ้าหญิงเมาลี หม่อมเจ้าหญิงคอยท่า หม่อมเจ้าหญิงโอฐอ่อน หม่อมเจ้าหญิงคําขาว และหม่อมเจ้าหญิงรัมแขสกุล ปราโมทย์ ณ อยุธยา ทรงสร้างด้วยสามัคคี ธรรมแห่งคณะญาติ และหอระฆังนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริวัฒน์ทรงสร้างทั้ง ระฆังด้วย แลได้เป็นผู้ประเดิมสร้างวัดเสน่หานุกูล จังหวัดนครปฐม ส่วนวัดสิริจันทรนิมิตร จังหวัดลพบุรีนั้น (วัดนี้พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขนานนาม) สิ่งที่สําคัญที่ก่อสร้างคือ พระพุทธปฏิมากร อันมีนามว่า พระพุทธปฏิภาคมัธยมพุทธกาล ซึ่งมีหน้าตักกว้าง ๑๑ วา ๑ ศอก สูงทั้ง รัศมี ๑๘ วา พระอุโบสถทั้งพระประธานและพระกัจจายน์ ทั้งวิหาร ตลอดถึงถ้ําและกุฏิ ศาลา ทั้งบ่อน้ํา ทั้งได้นําในการก่อสร้างมณฑป วัดบ้านแป้ง จังหวัดสิงห์บุรีและในตอนอวสานสมัยนี้ก็ได้ พร้อมด้วยท่านผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายซื้อวิหารเก่าที่วัดเจดีย์หลวง นครเชียงใหม่

การปฏิบัติ ท่านผู้นี้เป็นผู้ยินดีในทางสัมมาปฏิบัติจัดเข้าในจํานวนที่เรียกว่า สันโดษมักน้อย ไม่ค่อยสะสมบริขารเกินกว่าเหตุ ใฝ่ใจในสัลเลขปฏิบัติ ประกอบด้วยธุดงควัตรเที่ยวรุกขมูลแทบทุกปี ขึ้นเขาลงห้วยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ใคร่ธรรม ใคร่วินัย รักษาขนบธรรมเนียมของสมณะที่ดีไว้มั่นคง สังเกตข้อปฏิบัติไม่มีหย่อน ประหนึ่งมีสติสัมปชัญญคุณทุกเมื่อ เพราะมีความเยือกเย็น เป็นผลให้แลเห็น อาจสันนิษฐานได้ว่าคงรู้เห็นอรรถธรรมในเพราะสัมมาปฏิบัติเป็นแม่นมั่น ทั้งมีความอาจหาญอดกลั้นทนทานต่อเหตุการณ์ ยิ่งนักตัวอย่างที่จะพึงชี้ให้เห็นดังเมื่อป่วยครั้งสุดท้าย นี้แม้ถึงโรคาพาธอันมีพิษเผ็ดแสบครอบงําย่ำยีบีฑาประกอบด้วยทุกขเวทนาอันกล้าหยาบ เห็นปาน นั้นก็ไม่แสดงอาการที่ผิดแผกรักษาความเป็นปกติไว้ด้วยดีมิหนําซ้ํายังให้โอวาท แก่ผู้เยี่ยมเยือนและ ผู้ปฏิบัติเสียอีกยังกล่าวถ้อยคําอันเป็นที่จับใจบ่อย ๆ ว่า “เราเป็นนักรบ ได้ฝึกหัดวิธีรบไว้ก็ไม่เสียที ได้ผจญต่อพยาธิธรรมและมรณธรรมจริงๆ ไม่เหมือนนักรบอื่นฝึกหัดวิธีรบไว้แล้ว บางเหล่า ตายเสียเปล่าก็ไม่ได้เข้าสู่สมรภูมิ ดังนี้เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงจัดว่าเป็นผู้อาจหาญอดกลั้นอดทนทาน ไม่สะทกสะท้านต่อพยาธิธรรมและมรณธรรมแม้ถึงในอวสานสมัยจวนแตกดับก็มีสติสัมปชัญญคุณรอบคอบไม่หลงใหลไม่ฟันเฟือน ไม่กระวนกระวาย แตกดับไปด้วยความสงบเงียบ หายดุจหลับไป” ฉะนั้น ด้วยเหตุผลทั้งปวงนี้จึงว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติได้ผลโดยควรแก่ภาวะแท้

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อาพาธด้วยโรคชรา ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 สิริอายุ 75 ปี 121 วัน ได้รับพระราชทานไตรแพรครอง 1 ไตร โกศโถและชั้นรอง 2 ชั้น ฉัตรเบญจาตั้ง 4 คันประกอบศพเป็นเกียรติยศ ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ศกนั้น ณ วัดบรมนิวาส
-----
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญที่มาFB pageพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco