ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ประสาร ปัญญาพโล วัดคามวาสี บ.หนองดินดำ ต.ตาลโกน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ประสาร ปัญญาพโล
วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๖ ปี การละสังขาร หลวงปู่ประสาร ปัญญาพโล พระสุปฏิปันโนแห่งวัดคามวาสี บ้านหนองดินดำ ต.ตาลโกน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ปฏิปทาหลวงปู่ท่านเป็นผู้ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ในข้อวัตรปฏิบัติธุดงควัตรเช่นบิณฑบาต ทำวัตรเช้า-เย็น ไม่ขาด ท่านจะทำให้ศิษย์ดู ท่านเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ตามมีตามได้ ขยันอดทน มีเมตตาธรรมสูง การเป็นอยู่ของท่านที่เรียบง่าย กินง่ายนอนง่ายอยู่สบาย หนักแน่นพูดแบบไม่เกรงใจใครผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก พูดจริงทำจริง เป็นคนกล้าพูด
#ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ประสาร_ปัญญาพโล
นามเดิมท่านชื่อ "ประสาร" นามสกุล "รำไพ" เกิดเมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๗๓ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ณ บ้านหนองดินดำ ตำบลตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร บิดาท่านชื่อ นายสอน รำไพ มารดาท่านชื่อ นางชอม รำไพ ท่านเป็นคนมานะบากบั่น หนักเอาเบาสู้ ช่วยการช่วยงานบิดามารดา จนท่านทั้งสองไว้วางใจ ขณะที่ท่านอยู่ในวัยหนุ่ม น้องชายของท่านที่บวชเป็นสามเณรเกิดล้มป่วยและมรณภาพลง หลวงปู่หอม ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ที่วัดป่าสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง จังหวัดสกลนคร จึงมาทำพิธีฌาปนกิจ และได้ชักชวนท่านออกบวช ด้วยใจที่ใฝ่ในทางธรรม จึงออกปากขอโยมพ่อ โยมแม่ ออกบวช ก็เป็นที่น่ายินดีกับทุกคนที่ได้รับฟังเวลานั้น ช่วงนั้นเป็นเดือน ๑๑ เป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าว พอตอนเย็น ท่านกับเพื่อน ๆ ที่พร้อมจะบวชด้วยกันทั้ง ๔ คน ก็มาฝึกขานนาคกับหลวงปู่หอม
ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๐ ปี ตรงกับวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในทางพระพุทธศาสนา ณ ณ สิมกลางน้ำ วัดป่าบ้านหนองดินดำ(ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดคามวาสี) ตำบลตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอธิการพุฒิ ยโสธโร วัดคามวาสี เป็นพระอุปัชฌาย์ (ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูพุทธิวาคม) เป็นอุปัชฌาย์ หลวงปู่นนท์ โกวิโท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่หอม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ในการบวชครั้งนั้นได้มีการเข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทพร้อมกัน ๔ นาค ซึ่งต่อมาเป็นเพื่อนสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก มี
๑.นาคประสาร รำไพ หรือหลวงปู่ประสาร ปัญญาพโล
๒.นาคเคน ฤกษ์งาม หรือหลวงปู่เคน เขมาสโย วัดป่าหนองหว้า อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคน
ท่านมรณภาพแล้ว วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
๓.นาคสมัย โสภาจาร หรือหลวงปู่สมัย ทีฆายุโก วัดป่าโนนแสงทอง ต.แวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
ท่านมรณภาพแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
๔.นาคชาลี โคตรสมบูรณ์ บวชเป็นสามเณร เพราะอายุยังไม่ถึง ต่อมาได้ลาสิกขาบท
ณ อุโบสถ กลางนา (อุทกเขปสีมา) วัดคามวาสี บ้านหนองดินดำ ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน สกลนคร
จังหวัดโดยมี พระอธิการพุฒ ยโส (พระครูพุฒิวราคม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการ นนท์ โกวิโท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาเป็นภาษามคธว่า "ปญฺญาพโล" สำเร็จญัตติจตุตถกรรม เวลา ๑๔.๐๐ น. วันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
ครั้นบวชแล้ว ก็ได้พักจำพรรษาอยู่ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติกับพระอุปัชฌาย์ รวมทั้งได้เดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมไปตามสถานที่ต่างๆ ในแถบเทือกเขาภูพาน
#ชีวิตในร่มผ้ากาสาวพัสตร์
พ.ศ. ๒๔๙๔-๒๔๙๕ (พรรษาที่ ๑-๒)
จำพรรษาที่วัดอรัญญิกาวาส อ.เมือง จ.นครพนม
ท่านได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติพระธรรมวินัยจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ พร้อมกับการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านได้เดินทางไปเรียนพระปริยัติธรรม ที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี และชั้นโท ตามลำดับ ต่อมาได้ศึกษา บาลีไวยากรณ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มูลกัจจายน์” แต่ไม่ได้สอบ จึงได้กราบลา พระอาจารย์บุญมา มหาสโย เจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส กลับ จ.สกลนคร และได้มากราบคารวะ ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรภิทักษ์ จ.สกลนคร หลวงปู่กับ สามเณรชาลี จึงได้เดินทางต่อมาพำนักอยู่ ณ วัดคามวาสี บ้านหนองดินดำ ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ส่วนหลวงปู่สมัย ทีฆายุโก ได้อยู่ปฏิบัติถือนิสัย จำพรรษากับท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรภิทักษ์
พ.ศ. ๒๔๙๖-๒๔๙๗ (พรรษาที่ ๓-๔)
จำพรรษาที่ป่าช้าบ้านหนองผือ
หลวงปู่เล่าว่า การออกปฏิบัติธุดงค์กรรมฐาน เป็นปีที่เปิดสนามสอบพระปริยัติธรรมที่วัดคามวาสีครั้งแรก พระอุปัชฌาย์ พุฒ ยโส (พระครูพุฒิวราคม) เป็นเจ้าสำนักเรียน หลวงปู่เล่าว่า ได้ทำหน้าที่เป็นกรรมการควบคุมสนามสอบเสร็จแล้ว ก็ได้กราบลาท่านพระอุปัชฌาย์ไปเที่ยววิเวก ๓ รูป ออกเดินทางไปหาพระอาจารย์ปั่น โดยมีท่านพระอาจารย์เกิ่ง พระเหล็ก รวม สามเณรวัน ที่วัดป่าพระสถิต บ้านศรีเชียงใหม่ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย พอเดินทางไปถึงวัดป่าพระสถิต ได้ประมาณ ๗ วัน โรคเหน็บชาของพระเหล็กเกิดกำเริบขึ้น เลยต้องพักอยู่วัดป่าพระสถิต และได้พยาบาลจนโรคของพระเหล็กทุเลาหายเป็นปกติแล้ว พระเหล็กบอกว่า ผมคงจะไปเที่ยวกับพวกครูบาไม่ได้ จะพักอยู่ที่นี่เสียก่อนจึงจะกลับบ้านทีหลัง การไปวิเวกครั้งนั้น ไปด้วยกันพระ ๓ รูป เณร ๑ รูป ได้แก่ หลวงพ่อ หลวงพ่อเกิ่ง วิทิโต หลวงพ่อปั่น ญาณวโร สามเณรวัน (หลวงปู่เล่าว่า ออกจากวัดป่าพระสถิต ประมาณเดือนยี่ ข้างแรม) พอฉันบิณฑบาตเสร็จแล้วก็ออกเดินทางทั้งวัน ถนนสมัยนั้นเป็น ทางเกวียนสองข้างทางเป็นป่ารกชัฏ เดินทางทั้งวันไม่เคยพบคนเลย ได้ยินแต่เสียงนกเสียงกา และเสียงชะนีร้อง
วันนั้นพักแรมอยู่วัดพระบาท ซึ่งเป็นวัดร้าง บ้านพระบาท ๑ คืน ตื่นเช้าได้เวลา ออกบิณฑบาทที่หมู่บ้านพระบาทท่ากระถินห้วยหัด ได้แต่ข้าวกับมะขามเปรี้ยวคนละฝัก เมื่อฉันเสร็จแล้วก็เดินทางต่อไป ซึ่งสมัยนั้นหินหมากเป้งยังไม่เป็นวัด ยังเป็นป่ารกชัฏอยู่ ผาชันก็ยังไม่เป็นวัดเหมือนกัน มีแต่ป่าช้างดงเสือกันทั้งนั้น บ้านเรือนถนนหนทางยังไม่มี ต้องเดินทางขึ้นเขาลงห้วย ตามรายทางจากผาชันจนถึงอ่างปลาบึก ไม่เหมือนทุกวันนี้ ต้องเข้าป่าเข้าดงเดินทั้งวันไม่เห็นแสงอาทิตย์เลย มีแต่ความเยือกเย็นเท่านั้น ส่วนท่านพระอาจารย์ปั่นกับคณะเดินสะพายบาตร แบกกรดโดยไม่มีใครพูดใครจาอะไรกันเลย ต่างคนต่างก็สํารวมกิริยาของตน วันนั้นเวลาประมาณบ่าย ๓ โมง จึงเดินทางถึงอ่างปลาบึก พักแรมอยู่ที่นั้น ๔ คืน
วันหนึ่งโยมในหมู่บ้านอ่างปลาบึกทางฝั่งลาวมานิมนต์ให้ไปบิณฑบาต โปรดทุกวัน เขาเอาเรือมารับไปบิณฑบาตและมาส่งเป็นประจำ วันหนึ่งเขาไม่ได้มารับแต่ เอาเรือมาฝากไว้กับโยมเพชรและให้โยมเพชรพาไปส่ง วันนั้นบังเอิญโยมเพชรไปธุระที่อำเภอ ศรีเชียงใหม่ เมื่อถึงเวลาออกบิณฑบาตแล้วคอยไม่เห็นใครมารับ ท่านพระอาจารย์ปั่นพูดว่า เราทดลองความสามารถดูมันจะเป็นอย่างไร ว่าแล้วก็เตรียมบาตร จีวร ลงใส่เรือเรียบร้อย แล้ว หลวงปู่อยู่ทางหัวเรือ ท่านอาจารย์มั่นอยู่ท้ายเรือ ได้ไม้พายเรือคนละอัน พายเรือออก จากฝั่งถึงกลางแม่น้ำโขง พอพายเรือไปจวนจะถึงฝั่งโน้นห่างอยู่ประมาณเส้นกว่า ๆ เรือเกิด ไหลลงไปตามกระแสน้ำไม่รู้ว่าจะพากันทำอย่างไร วันนั้นน้ำค้างตกหนักมาก อยู่ในเรือมอง ไม่เห็นกัน ทั้งประกอบกับความหนาวไม่รู้จะทำอย่างไร ได้ยินแต่เสียงท่านพระอาจารย์มั่น ร้องเตือนหลวงปู่อย่ากระโจนหนีจากเรือ ๒ ครั้ง แต่หลวงปู่ก็นึกในใจไว้แล้วว่าถึงอย่างไรก็ ต้องว่ายน้ำข้ามได้ เพราะมันไม่ไกลฝั่งเท่าไรนัก สุดท้ายก็ช่วยกันเอาเรือขึ้นฝั่งได้ปลอดภัย ซึ่งเขาไม่เคยเห็นพระ ซึ่งพายเรือไม่เป็น เรือก็พัดไปเกือบตาย อากาศก็หนาว ต้นไม้ตาย จนเหงื่อไหล ไปบิณฑบาตฝั่งประเทศลาว นั่งเรือไป น้ำแช่ข้าวจนแข็ง พอฉันเสร็จก็ออกจากบ้านอ่างปลาบึก ไปด้วยวัว แถวฝั่งโขง พักอยู่ ๑๕ วัน ซึ่งตอนนั้นเป็นป่ารกชัฏ หมู่บ้านมีคนน้อย มีแต่รอยเสือเป็นจำนวนมาก แล้วก็ออก เดินไปตามภูตามเขา ถึงค่อยเห็นหมู่บ้าน บางวันก็ไม่พบหมู่บ้านเดินไปตามภูตามเขา
ระยะเดินทางที่เดินไป มีไฟไหม้ป่าน่ากลัวมาก ต้องวิ่งกลับมาหลบที่ห้วย ในแต่ละวันมีแต่ เดินสะพายบาตรไปเรื่อย ๆ ตามป่าตามเขาไปเรื่อย ๆ ถึงหมู่บ้านไหนสงบ สงัดหน่อยก็ นาน
อยู่พอถึงอำเภอปากชม เดิมอำเภอบ้านผือ แล้วก็พักบ้านปากชม พบกับหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ท่านบอกว่าที่นี่อยู่ยากลำบาก ก็เลยเดินทางต่อไปอีกถึงบ้านกลาง พบหลวงปู่ เทสก์ เทสรสี ท่านพึ่งกลับจากภูเก็ตท่านกลับมาเยี่ยมบ้าน เยี่ยมญาติ จึงกลับมาพักที่ บ้านค้อกับท่าน ท่านให้พักอยู่ในป่า ท่านบอกว่ากรรมฐานต้องเข้าป่า ท่านมาพักชั่วคราวอยู่ วัดบ้าน ตอนเช้าค่อยเข้ามาฉันอาหารบิณฑบาตกับท่าน ไปตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเมษายน พอกลับมาถึงวัดคามวาสี หลังจากที่ไปธุดงค์จิตใจก็ชื่นบาน หรรษา เยือกเย็น
พ.ศ. ๒๔๙๘ (พรรษาที่ ๕) จำพรรษาที่วัดป่าบ้านเศรษฐี ในปีนั้นหลวงปู่เล่าว่า ได้ ไปกราบคารวะหลวงพ่อคำ สุมงฺคโล ที่วัดป่าบ้านห้องสำราญ อำเภออาจสามารถ จังหวัด นครพนม ในระยะนั้นท่านกำลังจะเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีพอดี ไปพักอยู่กับท่าน ๓ วัน แล้วก็ได้ติดตามหลวงพ่อคำ ไปบ้านเศรษฐี อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี และได้จำพรรษาอยู่กับท่าน ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ นั้น มีพระจำพรรษา ๖ รูป มีหลวงปู่คำ สุมงฺคโล เป็นประธานสงฆ์ หลวงปู่ และท่านพระอาจารย์เพชร ปัจจุบันเป็นพระราชาคณะ (พระเทพสารมุนี) อยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ในพรรษา ท่านหลวงพ่อคำ สุมงฺคโล ก็เมตตาอบรม ธรรมะให้กับพระภิกษุสามเณร ทำให้จิตใจเยือกเย็น ช่วงจำพรรษาอยู่บ้านเศรษฐีภายใน พรรษานั้นหลวงปู่คำ ผู้เป็นประธานสงฆ์ได้เมตตาให้หลวงพ่อประสารท่องจำพระปาฏิโมกข์ หลังจากนั้นหลวงพ่อประสารก็ขยันขันแข็งเอาใจใส่ในการท่องจำสาธยายเป็นกรณีพิเศษ ทั้ง กลางวันและกลางคืน โดยสลับกับการทำความพากเพียรไปพร้อมกัน โดยทำกันอยู่อย่างนั้น กับหลวงปู่ใหญ่ ตามธรรมดาการท่องจำพระปาฏิโมกข์เมื่อท่องจบแล้ว ก่อนขึ้นสวดต้องมี พอจวนใกล้จะออกพรรษาก็รู้สึกว่าการท่องพระปาฏิโมกข์นั้นจบพอดี
เมื่อจบแล้วก็ไปฝึกซ้อม การซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัวตลอดถึงถูกอักขระพยัญชนะถูกวรรคตอน เพื่อจะได้ไม่มีการ ผิดเพี้ยน จากนั้นเมื่อฝึกจบแล้ว พอถึงวันสวดพระปาฏิโมกข์พอดีก็เลยเกิดอาการปวดท้อง อย่างกระทันหันหลวงปู่คำจึงไปเอาถังตักน้ำแต่โบราณเป็นไม้ไผ่สานเป็นเสร็จแล้วเอา ต้นไม้ มาบดให้เป็นผงละเอียดอ่อนแล้วผสมน้ำมันยางข้น ๆ แล้วเอามาทาทั้งภายนอก และภายใน เมื่อแห้งดีแล้วก็เอาไปตักน้ำได้เลย ภาคอีสานเรียกว่า ส่วนภาคกลางเรียกว่า ถึงตักน้ำขี้ชัน (ยางที่ไหลออกมาจากไม้เต็งจนแห้ง) หลวงปู่คำเอามาจุดไฟแล้วก็ให้มันหยดลงในน้ำ แล้วนำมาให้หลวงพ่อประสารฉันเป็นยาแก้ปวดท้องก็เลยหายดังปิดทิ้ง ในที่สุดก็เลย ไม่ได้สวดพระปาฏิโมกข์ และท่านก็ไม่ได้สวดพระปาฏิโมกข์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความจริง การสวดพระปาฏิโมกข์นี้เป็นส่วนสำคัญอยู่ไม่น้อย ถ้าหากไม่มีบุญก็ไม่สามารถสวดได้ เวลาจะท่องพระปาฏิโมกข์มีเจ็บมีปวดในที่สุดก็ท่องจำไม่ได้ เพราะการสวดพระปาฏิโมกข์ นี้มีอานิสงส์มากตามพระวินัยบอกว่าถ้าหากพระอยู่ด้วยกัน ๔ องค์ขึ้นไปเมื่อถึงวันสวดพระ ปาฏิโมกข์แล้วไม่มีองค์ใดองค์หนึ่งสวดได้ พระเหล่านั้นจะต้องแยกกันอยู่คนละสำนัก
พอ พ้นวันพระปาฏิโมกข์แล้วจึงค่อยมาอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่พ้นอาบัติ เพราะการสวด พระปาฏิโมกข์นี้เป็นการรักษาอาบัติของหมู่คณะได้ ดังนั้นท่านจึงถือว่ามีอานิสงส์มาก ออกพรรษาก็ไปเที่ยววิเวกทางภูพระ (ถ้ำแสงเพชร) จังหวัดอำนาจเจริญ หมู่บ้านไม่ค่อยมี สะพายบาตรไปเรื่อย ๆ เยี่ยมญาติพี่น้อง โดยพักอยู่กระต๊อบผีบุตา เขาลองพระกรรมฐาน ญาติโยมรู้ข่าวก็มาถามข่าวคราว ในวันนั้นมีตะขาบวิ่งไปมาตามแขนขา แต่ไม่กัด สภาพ แวดล้อมที่นั้นไม่น่าอยู่ ห่างไกลจากบ้านคนมากจึงเดินทางต่อไปทางฝั่งเซ พักอยู่ที่นั่นหลายวัน ชาวบ้านก็ออกมาถามข่าวว่า ไม่กลัวผีหรือ ท่านบอกว่าไม่กลัว เพราะต่างคนต่างอยู่ มา วิเวก ญาติโยมถามว่า พระต้องมีของดี มีคาถา จึงบอกญาติโยมว่ามีแต่คาถาพระพุทธเจ้า คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นั่นแหละ พอ
(หลวงปู่เล่าต่อไปอีกว่า) พอออกจากนั้นไปถ้ำแสงเพชร สะพายบาตรไปพักอยู่ ป่าหัวนา ป่านั้นมีโพนผีตาแฮด เขาไปตัดต้นไม่หรือเบิกทางในพื้นที่นั้นไม่ได้ เขาก็เลยให้ พระกรรมฐานไปพัก จำต้องไปพัก มีงูเห่าออกมา กลัวนึกว่าผี ไปด้วยกัน ๓ รูป พักอยู่ ที่นั่นหลายวัน แล้วก็ไปภูพระ พักอยู่ถ้ำแสงเพชร ๔ คืน ที่นั้นไม่ค่อยมีน้ำ ซึ่งเป็นน้ำที่ ไหลออกจากถ้ำมีปริมาณน้อย มีลิงเยอะมากมากินน้ำ จึงย้ายไปภูพระไปริมหนองน้ำ สะดวกขึ้นในเวลาสรงน้ำ พักพอสมควรแล้วจึงกลับมาบ้านโคก หลวงพ่อคำ พาไปพักที่ บ้านหนองบัว ๔ คืน ญาติโยมดีใจมากมีพระอยู่ไล่ผี แต่ที่จริงไม่ได้ไล่หรอก อยู่บำเพ็ญภาวนา ปัจจุบันเป็นหนองใหญ่ ไม่มีผี แต่ก่อนคนไปตัดไม้ตายคาเลื่อยเลยก็มี มีพระกรรมฐานไปอยู่ก็ทำให้จืดจางไป เขาให้พระกรรมฐานไปอยู่ที่มีผีมาก ๆ เช่น ป่าช้า ที่จริง ไม่มีอะไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ทุกคนมีเมตตาต่อกัน อยู่ได้ อยู่สบาย ถ้าเราไปขับไล่เขา ใช้คาถา อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างมาต่อสู้กัน แต่เราไปเมตตาเขาภาวนาให้เขาได้บุญ ไม่ได้ไป เบียดเบียนเขา ไปบำเพ็ญเพียรภาวนา ต่างคนต่างอยู่ เมตตาซึ่งกันและกัน ถึงจะไปอยู่ ป่าช้างดงเสือก็ไม่มีหรอก
#คำสอนของหลวงปู่
โลกมันเร่าร้อนขึ้นทุกวัน ๆ ตามเหตุตามปัจจัย ถ้าใครไม่เชื่อธรรมคำสอนขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะพบกับความทุกข์ความลำบาก ถ้าใครเชื่อก็จะมีความ สงบร่มเย็น ถ้าไม่ฟังผู้เฒ่าผู้แก่ ครูบาอาจารย์เทศนาว่ากล่าวแนะนำตักเตือน บ้านเมืองก็จะ เกิดเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน หูก็จะบอด ตาก็จะบอด ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เกิดวุ่นวาย ขัดข้อง ตามเหตุตามปัจจัย เราจะโทษฟ้าฝนชลประทานไม่ได้ ต้องโทษตัวเจ้าของ คนเรา ถ้าสร้างสิ่งไม่ดีไม่งามเทวดาท่านก็ไม่เมตตาปราณีเหมือนกับกบเลือกนาย เลือกในทางไม่ดี ไม่งามดังนั้น ก็ขอให้พวกเราทั้งหลายพิจารณาใคร่ครวญตัวเจ้าของ อย่าไปใคร่ครวญตัวผู้อื่น ทำตัวเองทำถูกทางหรือยัง ให้ดูเจ้าของให้มันดี ถ้าไปดูคนอื่นจะเป็นโทษเป็นภัย ไปด่าคนอื่น ก็เป็นโทษเป็นภัย ซึ่งผู้อื่นก็เป็นโทษเป็นภัย ให้ฟังเจ้าของ ด่าเจ้าของ เจ้าของ สร้างให้ มันดีมันงามในตัวเจ้าของ ในครอบครัวเจ้าของ ในชุมชนเจ้าของ เป็นตัวอย่างที่ดีที่งาม ตัวอย่างที่ดีนั้น ดีกว่าคำสอน สร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ สร้างสรรค์สังคมให้ปราศจากโจร ผู้ร้าย ให้มีความสงบ ให้มีศีลธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต จึงให้ตนเตือนตน ตนเตือนจิต ของตนเอง จะอาศัยคนอื่นเตือนให้ไม่ได้ สิ่งไม่ดีไม่งามเกิดกับตัวเราก็ดี เกิดกับครอบครัว เราก็ดี เกิดกับชุมชนเราก็ดี อย่าไปวุ่นวายกับมัน ให้หนีไปจากมัน
ทรัพย์เสียไปแล้ว อาจหาได้ใหม่ด้วยความเพียร ความรู้ที่เสื่อมไปแล้ว อาจบำรุงได้ อีกด้วยการเล่าเรียน ความสำราญอันตรธานไปแล้ว อาจทำให้เกิดได้อีกด้วย ความรู้ ประมาณในการบริโภคและกินยา ส่วนเวลาที่เสียไปแล้วล่วงไปเลยเรียกเอาคืนไม่ได้ คน ไม่นำพากิจธุระ มักพอใจพูดแก้ตัวว่าไม่มีเวลาจะทำ อันที่จริงเขาอยากจะอยู่เปล่าเท่านั้น คนผู้ประพฤติเพื่อประโยชน์ตนแลประโยชน์ท่าน ย่อมเป็นคนขยันไม่หยุดหย่อนตลอดปี คนเช่นนี้ถึงมีภารธุระก็ยังสามารถจะหาช่องทำได้อีก คนผู้ทำมากยังสามารถจะทำได้มากขึ้นไปอีกและจะทำได้ดีที่สุด เพราะเหตุ การทำย่อมเจริญความสามารถจะทำให้มากขึ้น
#ปัจฉิมสมัย
ในกาลอวสานแห่งชีวิตของหลวงปู่ ท่านได้เมตตารับกิจนิมนต์ตามปกติ เช้าวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ ท่านไปวัดดงพระ (พระอาจารย์ตุ๊ นิมนต์ทำบุญอุทิศให้โยมแม่) กลับมาวัด ท่านก็ได้ทำหน้าที่พระอุปัชฌายะบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรที่พัทธสีมา วัดคามวาสี จนถึงเวลา ๑๓.๓๐ น.
ต่อมาก็ยังเมตตาศิษยานุศิษย์ และลูกหลานที่ได้มากราบไหว้นมัสการ ท่านในกาลสมัยวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และก็เป็นเวลานานพอสมควร จนถึงเวลา ๑๖.๓๐ น. ต่อมาท่านก็ได้เมตตารับกิจนิมนต์ไปสวดพุทธมนต์ ที่บ้านนาเตียง ซึ่งเป็นบ้าน ของสัทธิวิหาริกของท่านเอง วันนั้นท่านไม่ได้พักผ่อนเลย
ปกติหลวงปู่ท่านเป็นคนแข็งแรงไม่แสดงอาการเจ็บไข้ให้ลูกศิษย์เห็นง่าย พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่านมีอาการเป็นไข้บ่นเจ็บตามเนื้อตามตัว ศิษยานุศิษย์จึงปรึกษาหารือกันจึงได้ นำท่านเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลถึง ๒ ครั้ง หมอบอกว่าท่านเป็นโรคหอบหืด เกี่ยวกับทาง เดินหายใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และเป็นไข้ หมอให้ยามาฉันและให้พักผ่อน มาก ๆ แล้วกลับมาพักผ่อนที่วัดก็ไม่แสดงอาการอีกเลย แล้วต่อมาท่านก็เมตตารับนิมนต์ มาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เวลา ๒๐.๐๐ น. ท่านมีอาการ แน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ เหงื่อออกมากจนอุจจาระราด ความดัน เบาหวานขึ้น หัวใจ เต้นช้า เส้นเลือดหัวใจอุดตัน อ่อนเพลียเหมือนจะเป็นลม ช่วยตัวเองมิได้
คณะศิษยานุศิษย์จึงได้นำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อำเภอสว่างแดนดิน คุณหมอก็ได้ ช่วยเหลืออย่างเต็มที่จนสุดวิสัยของหมอ จึงได้ส่งหลวงปู่ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ จังหวัดขอนแก่น หมอก็ช่วยอะไรหลวงปู่ไม่ได้ เพราะหลวงปู่มีอาการหนัก มากได้แต่ทำใจ สุดท้ายมัจจุราชก็ได้มาพรากเอาชีวิตหลวงปู่ไปจากพวกเราคณะศิษยานุศิษย์ และอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย โดยไม่มีวันกลับ ในเวลา ๐๒.๑๔ น. ของวันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้วยโรคหัวใจวายและเส้นเลือดหัวใจอุดตัน สิริรวมอายุได้ ๗๘ ปี ๔ เดือน ๕๘ พรรษา
การสูญเสียพระครูพิศาลปัญญาคมไปในคราวครั้งนี้ ได้นำความเศร้าโศกเสียใจ มาสู่บรรดาศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง คณะศิษยานุศิษย์และทายิกา ได้ ประกอบพิธีสรงน้ำศพของท่าน ณ ศาลาการเปรียญวัดคามวาสี บ้านหนองดินดำ ตอนบ่ายของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ และได้นำสรีรสังขารของท่านมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลาการเปรียญวัดคามวาสี จนถึงวันพระราชทานเพลิงศพท่าน
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น