ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม วัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์



 ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม 
     วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นวันครบรอบ ๒ ปี การละสังขาร พระเทพมงคลวัชราจารย์ (หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม) วัดกระดึง​ทอง ต.บ้านด่าน​ อ.บ้านด่าน​ จ.บุรีรัมย์ หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ท่านนับเป็นศิษย์อาวุโสรูปหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล , ท่านพ่อลี ธัมมธโร , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ของท่านคือ แน่วแน่กับการปฏิบัติภาวนาไม่เสื่อมคลาย อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย นับเป็นพระมหาเถระที่ควรแก่การอัญชลี

หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ท่านมีนามเดิมว่า “เหลือง” เกิดในสกุล “ทรงแก้ว” ท่านถือกำเนิดในยามใกล้รุ่งของวันอังคารที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ที่บ้านนาตรัง หมู่ที่ ๒ ต.เขวาสินรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นบุตรคนที่ ๖ ของนายเที่ยง ทรงแก้ว และนางเบียน ทองเชิด หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ แล้วต่อมาท่านได้ออกจาริกเดินตามหลังพระพี่ชายไปเมื่อตอนอายุ๑๖ ปี พระพี่ชายทั้งสองคือพระครูสมุห์ฉัตร ธัมมปาโล และพระอาจารย์สมุห์เสร็จ ญาณวุฑโฒ ซึ่งพระทั้งสองเป็นศิษย์หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “มือขวา”ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยทั้งหมดได้ออกธุดงค์ในปี พ.ศ.๒๔๘๖ จากสุรินทร์ไปถึงนครราชสีมา ไปฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง 

หลังจากนั้นชีวิตของหลวงปู่เหลืองก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะท่านมีบุญได้พบครูบาอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระผู้สรุปอริยสัจ ๔ จนได้รับการขนานนามว่า เจ้าแห่งจิต นอกจากนั้นท่านยังได้มอบกายถวายใจเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร รวมทั้งได้พบและศึกษาธรรมกับท่านพ่อลี ธัมมธโร แห่งวัดป่าคลองกุ้ง จันทบุรี อีกด้วย

หลวงปู่เหลือง เล่าถึงอดีตเมื่อครั้งที่ท่านไปกราบท่านพ่อลี ที่วัดป่าคลองกุ้งว่า“ตอนนั้นวัดป่าคลองกุ้งยังเป็นป่าอยู่ ต้นไม้ใหญ่ๆ มีศาลทำบุญไม้หนึ่งหลังและกุฏิกรรมฐานเล็กๆ ตั้งอยู่ตามโคนต้นไม้ เงียบสงัด พระฉันแล้วก็เข้ากรรมฐานหมด ไม่เพ่นพ่านรุ่งเรืองเหมือนสมัยนี้ ไปพักอยู่กับท่าน ๑ เดือน บอกกับท่านว่าจะขอธุดงค์ต่อไปทางบ่อไพลิน เข้าสู่แดนเขมร ท่านพ่อลีก็ห้าม เพราะตอนนั้นเป็นช่วงปลายสงครามโลก เหตุการณ์ยังไม่ปกติ เกรงจะเป็นอันตราย แต่พระอาจารย์ฉัตรพี่ชายก็จะขอไปให้ได้ ก็ต้องยอมผ่อนผันให้ไป ท่านพ่อลีเมตตาอาตมามากเพราะยังเป็นเด็ก กลัวจะลำบาก ท่านเลยบอกว่า จะให้คาถากันตัว สั่งให้ท่องไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวเสือช้างอะไรทั้งสิ้น คาถาของท่านยังจำได้จนถึงบัดนี้ว่า.. “นะบัง โมบัง พุทโธบังหน้า ธัมโมบังหลัง” 

หลวงปู่เหลืองเล่าต่อไปว่า สภาพบ้านเมืองในขณะนั้น ชั่งมีความแตกต่างจากปัจจุบันนี้มากนัก เพราะท่านใช้เวลาในการเดินทาง ๓ วัน ๓ คืน บุกป่าฝ่าดงจากจันทบุรีทะลุถึงบ่อไพลิน ตามรายทางนั้น ท่านเห็นพลอยเกลื่อนกลาด แต่ไม่ได้เก็บเพราะอาจารย์ฉัตรท่านว่า“เรามาธุดงค์แสวงบุญไม่ได้มาหาเพชรพลอย” การธุดงค์ครั้งนั้น จบลงด้วยการย้อนกลับมาที่วัดป่าศรัทธารวม จ.นครราชสีมา 

หากศึกษาย้อนกลับไปในอดีตระหว่างปี พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๔๘๗ พบว่า ณ วัดป่าศรัทธารวมในขณะนั้น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นสดมภ์หลักในการบุกเบิกขยายวงพระกรรมฐาน โดยใช้จังหวัดนครราชสีมาเป็นฐาน โดยท่านเองรับเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้อยู่ถึง ๑๒ ปี ( พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๔๘๗) วัดป่าศรัทธารวมซึ่งเป็นป่าช้าเก่าในสมัยนั้น นับเป็นศูนย์รวมของพระกรรมฐานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระมหาปิ่น ปัญญาพโล หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่ภุมมี ฐิตธัมโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ฯลฯ 

ส่วนหลวงปู่เหลืองได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น ขณะอายุ ๑๗ ปี หรือราวช่วง พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๘๗ โดยบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา มีพระโพธิวงศาจารย์(สังข์ทอง นาควโร) หรือเจ้าคุณโพธิฯเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาลุถึงปี พ.ศ.๒๔๙๐ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดป่าศรัทธารวมนั่นเอง

ในระหว่างอยู่กับหลวงปู่ฝั้นนั้น ท่านสอน หลวงปู่เหลือง ทีเดียวเป็นความ ๔ ประโยค แต่ครอบคลุมพระไตรปิฎกหมด ๙๐ เล่ม หลวงปู่ฝั้นสอนง่ายๆ ว่า 

 “ประสูติ หมายถึง ลมเข้า
 พระวินัย หมายถึง ลมออก
 ปรมัตถ์ หมายถึง ผู้รู้ลมเข้า ลมออก
 เป็นอันจบพระไตรปิฎก นอกนั้นเป็นแต่กิ่งก้าน” 

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลวงปู่เหลืองอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมานั้น เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ท่านได้พบและศึกษากับพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมาก ซึ่งท่านเหล่านั้นกระจายกันอยู่หลายแห่ง อาทิ วัดป่าสาลวัน วัดสุทธจินดา วัดสว่างอารมณ์ ฯลฯ แต่รูปที่อัธยาศัยต้องกันมากที่สุดและมีผลต่อชีวิตของท่านในเวลาต่อมาก็คือ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ซึ่งในขณะนั้น พระอริยเวทีเป็นผู้บริหารคณะสงฆ์คือเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ฝ่ายธรรมยุต แต่ในเวลาต่อมา ท่านได้ตัดสินใจทิ้งพัดยศออกปฏิบัติอย่างเดียว และครั้งหนึ่งท่านได้ชวนหลวงปู่เหลือง ซึ่งยังเป็นพระหนุ่มออกไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าแห่งหนึ่งของจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่านด้วยกัน ท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันหนึ่งพรรษา จากนั้นพระอริยเวทีก็ต้องกลับมารับภาระทางการคณะสงฆ์ต่ออีกครั้ง ขณะที่หลวงปู่เหลืองก็ยังคงพำนักและภาวนาอยู่ในสำนักสงฆ์กลางป่า อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ต่อเนื่องไปอีกถึง ๗ ปี อย่างไรก็ตาม พระอริยเวทีก็ยังหาเวลากลับมาภาวนา ณ ป่าแห่งนั้นอยู่เป็นประจำ ต่อมาป่าแห่งนั้นได้กลายเป็นวัดป่ารังสีปาลิวัน ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของพระอริยเวที (หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล) จนท่านละสังขาร เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๓ 

 ต่อมา ทั้งพระอริยเวทีและหลวงปู่เหลือง ได้ตัดสินใจออกจาริกอีกครั้งหลังอยู่ที่นั่นมาแล้ว ๗ ปี ก็เป็นการออกจาริกโดยมีพระอริยเวที (หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล) เป็นผู้นำ ท่านทั้งสองจาริกในถิ่นต่างๆ และมีประสบการณ์ในการภาวนาอย่างพิสดารร่วมกันหลายครั้ง โดยเฉพาะที่ถ้ำขันตี ซึ่งอยู่ในเทือกเขาภูพานนั้น ท่านว่า การภาวนา ณ สถานที่แห่งนั้น ทำให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ขณะเดียวกันท่านทั้งสองก็ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน 

กล่าวคือ พระอริยเวที (หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล)เป็นไข้ป่าเกือบจะเสียชีวิต ก็ได้หลวงปู่เหลืองดูแล พอหลวงปู่เหลืองเองล้มเจ็บเพราะไข้ป่าก็ได้“เจ้าคุณอาจารย์” เป็นคนรักษา หลวงปู่เหลืองกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า“แต่ก่อนที่อาตมาจะเป็นไข้นั้น ท่านเจ้าคุณเป็นมาก่อน เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เรียกว่าเป็นมากทีเดียว จนเพ้อ ยาก็ไม่มีรักษา ท่านมีสติสั่งว่า ถ้าท่านตายก็ให้เผาที่นี่ แล้วกวาดขี้เถ้าทิ้งลงเขาไป อย่าเอาไปลำบากเพราะไม่ใช่ตัวตนอะไรของเรา อีกอย่างหนึ่งแม้ท่านจะลาออกจากตำแหน่งแล้วแต่พัดยศอยู่ที่กุฏิ ยังไม่ได้ส่งคืน ขอให้จัดการเอาไปคืนด้วย ซึ่งทำให้ประทับใจในตัวท่านมาก ท่านไม่เคยแสดงความพรั่นพรึงต่อการมรณะเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องตาย... ถึงตาอาตมาบ้าง...ท่านเจ้าคุณก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เราฝากผีฝากไข้กันมาอย่างนี้” เพราะการฝากผีฝากไข้ ผ่านเป็นผ่านตายร่วมกันมา จึงไม่แปลกที่ต่อมาเมื่อ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล)อาพาธ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยในสมองแตกในปี พ.ศ.๒๕๒๗ ทำให้อวัยวะเบื้องขวาเป็นอัมพาต ใครนิมนต์ไปปฏิบัติอุปัฏฐากที่ไหนท่านก็ไม่ไป แต่เมื่อหลวงปู่เหลืองนิมนต์ ท่านรับ
         
ทุกวันนี้หลวงปู่เหลือง รับภาระการบริหารคณะสงฆ์เป็นเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์(ธรรมยุต) ภาระนี้เกิดมาต่อเนื่องตั้งแต่กึ่งศตวรรษก่อนโน้น เพราะปี พ.ศ.๒๔๙๙ ท่านเป็นพระครูสมุห์ ฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณพระอริยเวที พร้อมกับเจ้าอาวาสวัดรังสีปาลิวัน ปี พ.ศ.๒๕๑๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง และเป็นเจ้าคณะตำบล วัดแห่งนี้เดิมเป็นวัดที่พระอาจารย์สมุห์เสร็จ พี่ชายเป็นคนบุกเบิกสร้างไว้ เมื่อท่านออกวิเวกเสียชีวิตเพราะไข้ป่า พระสมุห์ฉัตร พี่ชายคนรองก็เป็นคนมาดูแลแทน ปี พ.ศ.๒๕๑๙ ได้รับตราตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง พ.ศ.๒๕๒๓ เป็นเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต)

หลวงปู่เหลืองกล่าวว่า พระพุทธองค์มิได้สอนให้เชื่อพระองค์เพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ชื่อว่า “จิต คือ พุทธะ” ถ้าเราดำเนินตามที่พระองค์ทรงสอน จิตของเราก็เป็นพุทธะอย่างพระพุทธองค์ได้ ถ้าจะให้ถึงซึ่งพุทธะก็เหมือนกับเอาแก่นของต้นไม้ใหญ่ ถ้าจะเอาแก่นต้องใช้ขวานถากเปลือก ถากกระพี้ออก จิตคนเรานั้นเป็นพุทธะอยู่แล้ว หากแต่เราปล่อยให้กิเลสตัณหาห่อหุ้มจนจิตไม่ประภัสสร

“จิตประภัสสรก็หมายถึงจิตเดิม ซึ่งเปรียบเสมือนเพชร ลักษณะแวววาวสุกใสอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ที่มันเศร้าหมองจนเรามองไม่เห็นความประภัสสรของมัน เพราะมีสิ่งอื่นมาห่อหุ้ม ทำให้รัศมีเปล่งออกมาไม่ได้ อย่างไฟฉายของเรา พอเปิดสวิตช์ขึ้น มันก็สว่างเป็นลำพุ่งออกไปพอปิดสวิตช์มันก็มืด ไม่เห็นดวงไฟ ทั้งที่ความจริงจิตมันประภัสสรอยู่แล้ว แต่คนเราทุกวันนี้ ก็เอากิเลส ความโกรธ ความหลงที่เปรียบเหมือนดินทรายเขม่าไฟต่างๆ ไปห่อหุ้มปิดบังมันเสียเอง มันเลยมืดบอดอยู่อย่างนั้น...เราอยากจะเห็นตามพระองค์บ้าง ก็ต้องลงทุนลงแรงเอาสิ่งที่หุ้มห่อออก แล้วจึงจัดสีให้มันเปล่งแสงประภัสสรขึ้น เอาอะไรมาขัดสีล่ะ ก็เอาสมาธินั่นแหละมาขัดสี...”
        
“สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มันก็อยู่ที่จิตนี้เอง ความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน จิตใจก็อยู่ที่นั้น หลวงปู่มั่นท่านก็เคยพูดว่า อยู่ที่ใจของเจ้า โลกนี้ไม่มีใจก็ไม่มีความหมาย โลกกับธรรมมันอิงกันอยู่ ก็อยู่อย่างไม่ขัดโลกขัดธรรมเขา รูปนาม ถ้าแยกออกก็เป็นอภิธรรมทั้งหมด 
        
รูปกับนามเป็นจุดแรกของปัญหา เรื่องราวต่างๆ ที่เราไม่รู้ก็เพราะไม่ได้ค้นคว้ากำหนด ท่านว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นวัฏฏะ หมุนเวียนตั้งแต่จุดเล็กไปถึงจุดใหญ่ เหมือนกับความมืดกับความแจ้ง มันต้องอยู่ที่เดียวกัน แต่คนละช่วง มันเกิดพร้อมกันไม่ได้
        
ความจริงรูปนามมันมีอยู่แล้ว ถ้าปลงความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ ล้วนมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มี ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อไม่มีอะไรจะพูดมันก็หยุดเป็นวิมุตติไป ถ้าเอามาพูดถึงมันก็เป็นสมมติไป ธรรมะจริง ๆ จะพูดหรือไม่พูดมันมีอยู่แล้ว...”

หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม นับเป็นพระมหาเถระที่ควรแก่การอัญชลี ท่านเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ของท่านคือ แน่วแน่กับการปฏิบัติภาวนาไม่เสื่อมคลาย อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย แทบไม่มีใครจำสมณะศักดิ์ของท่านได้ เรียกกันแต่ว่า หลวงปู่เหลือง วัดกระดึงทอง แม้ปัจจุบันอายุของท่านจะอยู่ในวัย ๙๐ กว่าปีแล้ว แต่ท่านก็มีสุขภาพแข็งแรงดีพอสมควร หากมีใครไปนิมนต์ท่าน ท่านก็จะรับนิมนต์ด้วยความเมตตา จึงนับได้ว่าหลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม ท่านได้ดำรงธาตุขันแลวิถีชีวิตที่เหลืออยู่ในโลกสมมุตินี้ อย่างสมถะแลเรียบง่ายมากที่สุด หลวงปู่เหลือง ท่านเป็นเนื้อนาบุญผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาอีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามประเพณีแห่งพระอรหันต์เจ้า เพราะพระอรหันต์เจ้าจะไม่ขาดหายไปจากโลก จนกว่าจะสิ้นกาลพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

พระเทพมงคลวัชราจารย์ (หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม) วัดกระดึง​ทอง ต.บ้านด่าน​ อ.บ้านด่าน​ จ.บุรีรัมย์​ ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๐๒.๔๕ น. ตรงกับวันอังคาร​ที่ ๑๐ มกราคม​ ๒๕๖๖ สิริอายุ ๙๕ ปี ๘ เดือน ๙ วัน พรรษา ๗๖

".. ชีวิตน้อยนักหนา พึ่ง​รู้​ว่า​ลมหายใจ
ชีวิต​ความเป็นไป ลมหายใจชีพจร
สิ้นลมก็ต้องตาย ต้องทำลายและม้วยมรณ์
ความห่วงเป็นนิวรณ์​ ก็บ่ห่อนป้องกันตาย
เดือนปีไม่ต้องนับ ทั้งกาลกัปไม่ต้องหมาย
คนเกิดย่อมจักตาย ณ ภายในแห่งร้อยปี
ผู้ใดอยู่เกินได้ จะอย่าง​ไรต้องตายที
พึงรู้กำหนดนี้ ชีวิต​นี้น้อยนักหนา .. "
โอวาท​ธรรม​ หลวง​ปู่​เหลือง​ ฉนฺทาคโม

กราบขอบพระคุณ​ข่าวสาร​และประวัติจากเพจวัดกระดึง​ทอง​ อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์​ สาธุ



ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco