ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป วัดป่าปทีปปุญญาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพ ครบรอบ ๑๔ ปี ของหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป "พระอริยสงฆ์ผู้มีปัญญาเป็นแสงสว่างดุจดวงประทีป" แห่งวัดป่าปทีปปุญญาราม ต.บ้านเซือม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป ท่านเป็นพระมหาเถระพระป่านักปฏิบัติกรรมฐานอีกรูปหนึ่ง ที่มีศีลาจารวัตรที่งดงามน่าเลื่อมใสศรัทธา เป็นพระสุปฏิปันโนเนื้อนาบุญของชาวโลก เป็นเสาหลักในร่มธรรมแห่งบวรพระพุทธศาสนา ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อีกองค์หนึ่ง ครั้งนึงช่วงที่หลวงปู่ผ่านอยู่ที่บ้านหนองโดก วันหนึ่งพอออกจากสมาธิท่านได้เห็นบุ้งคีบตัวเล็กๆ คลานอยู่ จึงได้สงสัยว่า “บุ้งตัวเล็กๆ นี้จิตมันใหญ่ไหม ช้างตัวใหญ่ๆ จิตมันเล็กไหม หรือว่าเท่ากัน” พอออกพรรษาแล้วได้เข้ามาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ท่านได้เทศน์ให้ฟังตอนหนึ่งท่านว่า “บุ้งตัวน้อยๆ ช้างตัวใหญ่ๆ จิตมันก็เท่ากันนั้นแหละ” หลวงปู่จึงหายสงสัย เกิดความอัศจรรย์ใจและเกรงกลัวท่านพระอาจารย์มั่นมาก ไม่คิดไปนอกทางเกรงว่าท่านจะดุ หลวงปู่ผ่าน ท่านเป็นพระที่มีจิตเมตตาสูงมาก ทุกครั้งที่คณะศรัทธาญาติโยมขอพรขอศีล ท่านจะบอกว่า มีหลักอยู่ ๓ อย่าง คือ “ขออย่าได้เจ็บ อย่าได้ป่วยไข้ และสุดท้ายอย่าลืมหายใจ” ครั้นเมื่อได้สดับตรับฟังหลักธรรมจากท่านแล้ว จะทำให้จิตใจสงบและร่มเย็นเป็นสุข จึงขอน้อมนำประวัติหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป มาเผยแพร่เพื่อเป็นสังฆานุสติและมรณานุสติครับ
๏ #ประวัติและปฏิปทาหลวงปู่ผ่าน_ปัญญาปทีโป
หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป มีนามเดิมว่า ผ่าน หัตถสาร เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๕ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๒ ปีจอ ณ ณ บ้านเซือม ตำบลโพนแพง อำเภอวานานิวาส (ปัจจุบันเป็น บ้านเซือม ตำบลเซือม อำเภออากาศอำนวย) จังหวัดสกลนคร ตอนที่โยมมารดาได้ตั้งท้องหลวงปู่นั้น โยมมารดาได้ฝันว่าได้มีคนเอามีดด้ามงามมาให้ แล้วโยมมารดาก็ได้เอาไปซ่อนเพราะกลัวว่าจะมีคนมาเห็น ครั้นเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ปรากฏว่าท่านเป็นเด็กที่เลี้ยงยากมากและร้องไห้ เก่ง โยมมารดาจึงได้พาหลวงปู่ไปให้พระท่านผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือให้ จึงได้เลี้ยงง่ายขึ้น ด้วยความที่หลวงปู่เป็นบุตรคนหัวปี ญาติพี่น้องเห็นก็พากันรักใคร่ ผลัดกันเอาไปเลี้ยง ผลัดกันเอาไปอุ้ม หลวงปู่ท่านจึงมีแม่หลายคน เพราะมีคนเอาไปเลี้ยงหลายคน
โยมบิดาชื่อ ด่าง หัตถสาร โยมมารดาขื่อ จันทร์เพ็ง หัตถสาร ต่อมาภายหลังโยมมารดาของท่านได้บวชเป็นแม่ชีจนกระทั่งได้ถึงแก่กรรม ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๑๓ คน ท่านเป็นบุตรคนโตของครอบครัว
เมื่อหลวงปู่โตขึ้นก็ได้ช่วยโยมบิดา-มารดาทำไร่ทำนาทำมาหากินตามปกติ หลวงปู่นั้นมีนิสัยเป็นคนเฉยๆ ไม่เป่าปี่ สีซอ เป่าแคนอย่างคนอื่น ไม่เคยเต้นรำวง ไม่กินเหล้าเมาสุรา หลวงปู่ท่านได้เข้าโรงเรียนเมื่ออายุ ๑๐ ขวบ แต่เรียนยังไม่ทันจบ พอดีโยมพ่อเฒ่าสุขตาย ตามประเพณีทางอีสานลูกหลานนิยมบวชให้เพื่อจูงศพเข้าป่าช้า หลวงปู่จึงได้บวชเป็นสามเณรให้โยมพ่อเฒ่าสุข บวชอยู่ประมาณ ๑ เดือนจึงได้ลาสิกขา
๏ #การบรรพชาและอุปสมบท
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ อายุ ๑๕ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดทุ่ง ตำบลอากาศ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูวิรุฬห์นวกิจ (ผาง ฐิตสัทโธ) เป็นพระอุปัชฌาย์
จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๘๒ ญาติพี่น้องได้เดินทางมาจากบ้านหนองศาลา อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร หลวงปู่จึงได้ติดตามญาติพี่น้องไปอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านเชียงเครือ ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านหนองศาลา ครั้นต่อมาหลวงปู่ได้เล่าเรียนศึกษาพระปริยัติธรรม โดยมีพระภิกษุอน ซึ่งเป็นญาติของท่านเป็นผู้สอน จากนั้นจึงได้ไปสอบที่วัดธาตุศาสดาราม (ปัจจุบันคือวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร) ปรากฎว่าสอบผ่านนักธรรมชั้นตรี แล้วกลับไปอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยตามเดิม หลวงปู่ได้อยู่ที่วัดโพธิ์ชัยอยู่หลายเดือน และก็ได้เดินทางมาอยู่ที่วัดศรีบุญชู บ้านเซือม
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ เพื่อนที่บวชด้วยกันชวนท่านสึก ท่านได้ปฏิเสธ แต่เพื่อนบอกให้สึกด้วยกัน ท่านจึงจำใจสึกออกมาช่วยงานโยมบิดา-มารดาอยู่ถึง ๒ ปี
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ พ่อใหญ่ป้อง เศรษฐาไชย เป็นพ่อเลี้ยงของหลวงปู่ได้ตายลง ญาติพี่น้องจะทำบุญอุทิศให้ตามประเพณี เมื่อทำบุญอุทิศให้ผู้ตายมักนิยมเรียกกันว่า “กองอัฎฐะ” หรือ “กองบุญ” ถ้าหากมีคนบวชในงานนี้ด้วยจะเรียกว่า “กองบวช” เนื่องทางลูกชายของพ่อใหญ่ป้องไม่สามารถบวชให้พ่อได้ ญาติพี่น้องจึงมาขอให้หลวงปู่ให้บวชพระในครั้งนี้ พอดีวันนั้นจิตใจของหลวงปู่รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อญาติพี่น้องมาขออย่างนั้น จิตใจปิติยินดีในทันทีเพราะท่านอยากบวชอยู่นานแล้ว ท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ณ พัทธสีมาวัดทุ่ง จังหวัดสกลนคร แห่งเดิม โดยมี พระครูวิรุฬห์นวกิจ (ผาง ฐิตสัทโธ) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระมาก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “เฉโก”
หลังบวชแล้วได้ไปอยู่ที่วัดศรีบุญชู บ้านเชือม เมื่อบวชได้ ๒-๓ วัน ตอนกลางคืนปรากกว่าพ่อใหญ่ป้อง เศรษฐาไชย เดินมาหา ถามว่ามีเทียนใช้แล้วหรือยัง หลวงปู่จึงตอบว่ามีใช้แล้ว พ่อใหญ่ป้องจึงเดินออกไป เมื่อบวชแล้วได้เรียนนักธรรมโท โดยอ่านหนังสือเอง เมื่อไปสอบก็ได้สอบ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๖ เรียนนักธรรมเอก โดยอ่านหนังสือไปสอบเอง แต่คราวนี้สอบตกจึงไม่ได้ไปสอบอีก
ในปีนี้ วันหนึ่งพระเณรทั้งวัดได้เข้าไปในป่าหาไม้มาสร้างกุฏิ ถึงเวลาเพลชาวบ้านก็ยังไม่ได้เอาอาหารมาถวาย จนบ่ายเขาจึงได้เอามาถวาย พระเณรก็ฉันกันทุกรูปยกเว้นหลวงปู่กับเจ้าอาวาส แม้จะเหนื่อยและหิวก็ไม่ฉัน หลวงปู่ได้เห็นความประพฤติอันย่อหย่นจากพระวินัยของพระเณร แล้วรู้สึกเบื่อมาก ซึ่งการขุดดิน ตัดไม้ ดายหญ้า รับเงินรับทองเป็นเรื่องปกติที่พระเณรทำกัน แต่หลวงปู่ไม่ทำเพราะท่านตั้งใจรักษาพระวินัยตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านจึงตั้งจิตอธิฐานว่า “จะบวชเป็นพระกรรมฐานเที่ยวธุดงค์ตามป่าเขาตามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต”
๏ #ญัตติเป็นธรรมยุต
ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ หลวงปู่ได้มากราบนมัสการ พระครูบริบาลสังฆกิจ (หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม) ที่วัดอุดมรัตนาราม บ้านอากาศ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเชือมเพียงแค่ ๒-๓ กิโลเมตร หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่จึงได้กราบเรียนกับท่านว่า “อยากจะบวชเป็นพระกรรมฐาน” ท่านจึงแนะนำให้สึกก่อนแล้วค่อยบวชใหม่ เมื่อกลับมาถึงวัดศรีบุญชูได้เข้าไปกราบลาพระอุปัฌชาย์ขอลาสิกขา ท่านก็อนุญาต อาจกล่าวได้กล่าวว่าท่านบวชได้ ๕ พรรษาแล้วสึกก็ได้ ส่วนพระภิกษุอีกรูปหนึ่งก็เข้าไปกราบลาพร้อมกัน พระอุปัฌชาย์ท่านคัดค้าน เพราะยังพรรษาน้อยเพียง ๒ พรรษา หลวงปู่จึงได้ลาสิกขารูปเดียว
หลวงปู่ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย โดยเริ่มจากการไปหัดขานนาคอยู่กับหลวงปู่อุ่น อุตฺตโม ที่วัดอุดมรัตนาราม หัดขานนาคอยู่ด้วยกันหลายคน หลวงปู่ท่านหัดอยู่ได้ประมาณ ๓ เดือน จึงถูกต้องตามอักขรฐานกรณ์ของภาษาบาลีทุกอย่าง เมื่อหลวงปู่ขานนาคได้แล้ว ซึ่งเป็นช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ จึงได้เดินทางโดยรถยนต์ไปกับหมู่นาคที่จะบวชพร้อมกัน โดยจะไปบวชกับ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิ์สมภรณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
แต่หลวงปู่ท่านได้ไปร่วมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอา นันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ พระอุปัฌชาย์องค์อื่นๆ ก็ไปกันหมด หมู่นาคที่จะบวชจึงพากันเดินทางไปวัดจอมศรี ตำบลพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเมื่อไปถึงวันนั้นก็ได้บวชเลย โดยบวชเป็นพระ ๓ รูป และบวชเป็นเณร ๕ รูป ในวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ โดยมี พระครูพิทักษ์คณานุการ (หลวงปู่สี ธัมมทินโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระสมุห์ภา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สำเร็จเมื่อเวลา ๑๓.๕๒ น. ได้รับนามฉายาว่า “ปัญญาปทีโป” แล้วท่านก็ได้กลับมาอยู่กับหลวงปู่อุ่น อุตฺตโม ที่อุดมรัตนาราม จนกระทั่งเข้าพรรษา
๏ #ได้พบหลวงปู่มั่น_ภูริทัตโต
หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่อุ่น อุตฺตโม หลวงปู่ผ่านได้เรียนการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ตลอดจนเรียนด้านพระปริยัติธรรมด้วย ระหว่างที่อยู่ที่วัดอุดมรัตนารามนั้น หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม ได้พาหลวงปู่ไปกราบนมัสการ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขา ต้องฝ่าป่าดงเทือกเขาภูพานเข้าไปจึงจะถึง ได้ไปอยู่ ๒-๓ ครั้ง เมื่อออกพรรษาปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงปู่ผ่านได้พาสามเณรรูปหนึ่งไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) พอถึงวัดดอยบ้านนาเชือกซึ่งเป็นวัดร้างเป็นเวลาค่ำจึงไดพักที่นั้น พักกันคนละกุฏิ พอตกกลางคืนเณรมาหาบอกว่า “ผมอยู่ไม่ได้ ผมกลัว ไม่รู่ว่าเสียงอะไรมันดังตุ้บตั้บๆ” หลวงปู่จึงได้ออกไปดูปรากฏว่าเป็นค้างคาว ตกลงเณรเลยขอมานอนด้วย พอสว่างได้ไปบิณฑบาตที่บ้านนาเชือก กลับมาฉันแล้วก็ได้เดินทางไปที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) พอไปถึงก็ได้ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านได้พูดว่า “ท่านผ่านมากับเณรน้อยแท้ มันไข้ได๋” (หมายความว่า พาสามเณรอายุน้อยมาด้วย สามเณรจะเป็นไข้ป่าได้ง่าย) หลวงปู่จึงได้ตอบว่า “ครับผม ไม่มีคนมา กระผมจึงมากับเณรน้อย”
เวลาเย็นก็พากันไปสรงน้ำท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เป็นพระผู้น้อยเพียง ๑ พรรษาจึงได้ถูหลังเท้า รูปอื่นก็ได้ถูแข้ง ถูขา ถูแขน หลวงปู่บอกว่า “เท้าของหลวงปู่มั่นนิ่มมากๆ ถึงแม้ว่าจะเดินธุดงค์มาตลอดแต่เท้ากลับนิ่ม” ซึ่งตรงกับที่หลวงปู่หลุย จันทสาโร เคยบอกไว้ว่า “เท้าท่านพระอาจารย์มั่นนิ่ม ท่านเป็นผู้มีบุญมาก เราคนเท้าแข็งเป็นคนบาป” ในครั้งนั้นมีพระเณรพำนักจำพรรษากับหลวงปู่มั่น ประมาณ ๒๐ รูป อาทิเช่น พระ อาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน, พระอาจารย์วัน อุตฺตโม, พระอาจารย์อ่อนสา สุขกาโร วัดประชาชุมพลพัฒนาราม จังหวัดอุดรธานี, พระอาจารย์หลุย จันทสาโร, พระอาจารย์คำพอง ติสฺโส, พระอาจารย์หล้า เขมปัตโต, สามเณรบุญเพ็ง จันใด (หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต) เป็นต้น
วันนั้นสรงน้ำเสร็จ พระอาจารย์มั่นบอกว่า “ท่านผ่านไปฉันน้ำอ้อยสดเด้อ ชาวบ้านเขาเอามาถวาย” หลวงปู่ก็คิดในใจว่า “เราจะไม่ฉันหรอกมันหนักท้อง” ท่านพระอาจารย์มั่นก็พูดซ้ำอีกว่า “ไปฉันน้ำอ้อยเด้อ” หลวงปู่ก็คิดในใจว่าจะไม่ไปฉัน เสร็จแล้วจะไปภาวนาต่อ ถึงตอนค่ำก็มารวมกันที่กุฏิท่านพระอาจารย์มั่นเพื่อรับการอบรม ซึ่งแต่ละครั้งจะนานถึง ๓-๔ ชั่วโมง แต่หลายวันจึงจะได้มีการประชุมสักครั้งหนึ่ง
หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่กับ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่าบ้านหนองโดก อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร และยังมี พระอาจารย์เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี พระอาจารย์บุญมี ปริปุณโณ วัดป่าบ้านนาคูณ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี พระอาจารย์บุญหนา ธัมมทินโน กับเณร ๒-๓ รูป เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ได้กราบลาหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ มาอยู่ที่วัดป่าม่วงไข่ กับท่านอาจารย์สิงห์ (คนละองค์กับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม) ท่านได้สั่งให้ท่องปาติโมกข์ท่องอยู่ประมาณ ๑ เดือนก็ยังท่องไม่ได้ หลวงปู่ก็เลยคิดว่าจำทำอย่างไรดี ที่นี้เวลาภาวนาท่านเลยท่องแต่ปาติโมกข์นั้นจนเกือบ ๓ เดือน จึงท่องได้สำเร็จ
ช่วงที่หลวงปู่ผ่านอยู่ที่บ้านหนองโดก วันหนึ่งพอออกจากสมาธิท่านได้เห็นบุ้งคีบตัวเล็กๆ คลานอยู่ จึงได้สงสัยว่า “บุ้งตัวเล็กๆ นี้จิตมันใหญ่ไหม ช้างตัวใหญ่ๆ จิตมันเล็กไหม หรือว่าเท่ากัน” พอออกพรรษาแล้วได้เข้ามาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านได้เทศน์ให้ฟังตอนหนึ่งท่านว่า “บุ้งตัวน้อยๆ ช้างตัวใหญ่ๆ จิตมันก็เท่ากันนั้นแหละ” หลวงปู่จึงหายสงสัย เกิดความอัศจรรย์ใจและเกรงกลัวท่านพระอาจารย์มั่นมาก ไม่คิดไปนอกทางเกรงว่าท่านจะดุ
ปี พ.ศ.๒๔๙๒ หลวงปู่ได้กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองโดก ร่วมกับพระอาจารย์เพียร วิริโย พระอาจารย์บุญมี ปริปุณโณ อีกครั้ง โดยมีพระอาจารย์สิงห์ เป็นหัวหน้า ส่วนหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และพระอาจารย์บุญหนา ธัมมทินโน ย้ายไปจำพรรษาที่วัดป่าม่วงไข่แทน พออกพรรษาแล้วก็ยังพักอยู่ที่นั้น พอดีท่านพระอาจารย์มั่นอาพาธ และได้มาพักอยู่วัดป่าบ้านกลางโนนภู่ ระหว่างนี้หลวงปู่ผ่านได้เข้าไปพยาบาลทุกวันเพราะวัดอยู่ไม่ไกลกัน
ในช่วงหลายวันมีรถรับไปจังหวัดสกลนคร ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้มรณภาพที่วัดป่าสุทธวาส หลวงปู่ผ่านในฐานะลูกศิษย์องค์หนึ่งจึงเข้าไปอยู่ที่วัดป่าสุทธวาส เพื่อช่วยงานถวายครูบาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งนั้นบรรดาลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นได้เดินทางมาจากทุกสารทิศเพื่อมา ร่วมงาน มีแต่พระเณรเต็มวัด ญาติโยมยังไม่มากนัก ยังไม่ตื่นพระกรรมฐานเหมือนทุกวันนี้ ก่อนหน้าที่จะอยู่วัดป่าสุทธาวาส ท่านได้ไปพักอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ บ้านธาตุนาเวง กับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านเทศน์อบรมทุกวัน เทศน์เรื่อง “การทำจิตให้มีสมรรถภาพ” โดยท่านอธิบายว่า “ให้เพ่งร่างกาย (กายคตาสติ เพ่งให้ติดตา เมื่อติดตาแล้วให้แยกออกเป็นส่วนๆ แล้วปลงลงเพ่งจนชำนาญสามารถทำได้รวดเร็ว)” ท่านสอนเรื่องนี้ทำให้หลวงปู่ติดใจมาก เป็นเหตุให้การภาวนาต่อมาหลวงปู่พยายามจะเพ่งร่างกายนี้อยู่เสมอ ส่วนหลวงปู่ฝั้นก็ทำเช่นกันจนมีความชำนาญ ท่านมีกำลังจิตที่กล้าแข็งมากเป็นที่ยอมรับในหมู่พระกรรมฐาน ครั้นเสร็จงานประชุมเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ช่วงเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านติดตามหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ไปวัดป่าบ้านท่าควาย อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ครั้งนั้นมีพระอาจารย์คำพอง ติสฺโส หลวงตาจรัส และสามเณร ร่วมเดินทางไปด้วย
หลวงปู่ฝั้นท่านพาเดินทางไปที่วัดดอยธรรมเจดีย์ของ พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ อยู่ ๒ คืน จากนั้นโยมเอารถมารับไปพักที่วัดป่าบ้านท่าควาย เมื่อไปอยู่วัดป่าบ้านท่าควาย หลวงปู่ฝั้นกำลังเร่งความเพียร วันหนึ่งๆ จะฉันนมเพียง ๑ แก้ว พระเณรที่ตามไปด้วยรวมทั้งหลวงปู่ผ่าน จึงพากันฉันวันเว้นวันบ้าง หลายวันต่อมาหลวงปู่ฝั้นพาเทศน์พระเวส (งานบุญพระเวส) มีเทศน์ทำบุญอย่างเดียว ไม่ได้จัดแต่งดอกบัว ดอกผักตบอย่างละ ๑,๐๐๐ ตามที่อื่นเขาทำกัน เป็นเหตุให้พวกชาวบ้านท่าควายไม่กล้ามางาน เพราะกลัวว่าทำไม่ถูกวิธีแล้วจะมีลมพญามารใหญ่พัดมา มีญาติโยมมีศรัทธาเลื่อมใสมานิดหน่อย ท่านก็เทศน์จบแล้วทุกอย่าง ไม่มีลมใหญ่อะไร ต่อมาไม่นานทางวัดที่หมู่บ้านเขาจัดบ้าง หลวงปู่ผ่านได้ไปด้วย ปรากฏตอนบ่ายมีลมพายุพัดทำลายข้าวของในงาน และกระท่อมเสียหายหมด หลวงปู่ว่าด้วยนี้เป็นกำลังจิตของหลวงปู่ฝั้น จึงไม่มีอะไรรบกวน
เมื่ออยู่บ้านท่าควายหลายวันแล้ว วันหนึ่งไปบิณฑบาตพอไปถึงสุดทางบิณฑบาต หลวงปู่ฝั้นท่านได้หยุดยืนแล้วพูดว่า “นั่นๆ ท่านผ่าน ที่จะไปภาวนา” ที่นั้นคือภูกระแต บ้านไผ่ล้อม ๒-๓ วันต่อมาหลวงปู่ฝั้นจึงพาเดินไปประมาณ ๕ กิโลเมตรจนกระทั่งถึงภูกระแต แล้วจึงแยกย้ายกันไปพำนักบำเพ็ญภาวนา ที่นี่เป็นสถานที่สัปปายะ มีสัตว์ป่ามากมาย มีแอ่งน้ำซับซึ่งผุดออกมาจากดิน อยู่ที่ตีนเขา พอรุ่งเช้ามีชาวบ้านมาเล่าถวายว่า “เมื่อคืนฝันเห็นพวกภูตผีปีศาจบนภูเขาพากันแตกตื่นย้ายครอบครัวหนี บอกว่าเจ้านายมา” หลวงปู่ฝั้นอยู่ที่นี้ได้ ๒ เดือน ท่านก็ได้เดินทางไปภูวัวต่อ ส่วนหลวงปู่กับหลวงตาจรัสไปอยู่ที่วัดป่าบ้านท่าควาย
นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๐ ท่านจำพรรษาที่วัดบ้านเซือมโดยตลอด ระยะนี้เริ่มมีลูกศิษย์ลูกหามาบวชอยู่ด้วย ส่วน ใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่อุ่น ท่านก็ภาวนาไปเรื่อยๆ ภูเขาก็ไม่ได้ไปอีก เพราะจิตมันหยุดแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น ระยะแรกนี้ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักท่าน เพราะท่านยังเป็นพระผู้น้อย ประกอบกับยังมีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่อุ่น อุตตฺโม, หลวงปู่สีลา อิสสฺโร ท่านจึงมีเวลาทำความเพียรได้เต็มที่ ผิดกับปัจจุบันที่ท่านต้องรับแขกทั้งวันไม่มีจำกัดเวลา
พ.ศ.๒๕๐๒ ท่านกลับไปที่วัดป่าบ้านไผ่ล้อม จ.นครพนม อีก แล้วข้ามน้ำโขงไปอยู่ที่บ้านนาไก่เขี่ย ในประเทศลาว ชาวบ้านเป็นคนไทยโซ่ ไปอยู่ได้ ๒ เดือน เหตุที่ได้ชื่อว่าน่าไก่เขี่ยนั้น เพราะว่า ไก่แก้วโพธิสัตว์เขี่ยหินไว้ ยังมีรอยปรากฏอยู่ที่นาชาวบ้าน จึงได้ชื่อว่า นาไก่เขี่ย อยู่ที่นี่ ท่านว่า ไม่ค่อยน่าอยู่นัก น้ำที่ฉันก็เป็นน้ำจากภูเขาหินปูน ฉันนิดเดียวก็อิ่ม แต่ไม่นานเดี๋ยวหิวอีก วันหนึ่งมีโยมมาหา เขาเรียกหลวงปู่ว่า อาญาธรรม“อาญาธรรม มาขอยา”
ท่านจึงให้ไปจนหมดย่าม เป็นเพราะฝั่งนั้นเขาขาดแคลนยา เขาจึงมาขอ
อีกวันหนึ่ง มีโยมผู้หญิงมากราบ สามีของนางป่วยเป็นเปลี้ยเป็นง่อย เขามาขอให้นั่งธรรม (คือนั่งสมาธิดูว่าเป็นอะไร) หลวงปู่ตอบปฏิเสธไปว่าท่านไม่ทำ กลัวจะเป็นบาป เขาก็ยอมกลับไป ตกกลางคืนท่านเกิดความเมตตา จึงลองนั่งสมาธิ อธิษฐานจิตขอดูว่าเหตุที่เขาเป็นเปลี้ยเป็นง่อยนั้นเกิดจากอะไร เมื่อนั่งสมาธิจิตรวมลง ปรากฏท่านไปนั่งอยู่บนเนินเขา เห็นนายพรานไล่ตัวอีเห็นมา มันวิ่งหนีเข้าไปในรู นายพรานจึงอุดรูนั้นไว้ ด้วยกรรมอันนี้จึงทำให้เจ็บแข้งเจ็บขาเป็นเปลี้ยเป็นง่อย
ท่านจึงถามขึ้นว่า แล้วจะทำบุญด้วยอะไรให้เขา? ปรากฏ เป็นต้นกัลปพฤกษ์ที่ใช้ต้นกล้วยมาทำ แขวนกระดาษ ดินสอ ท่านจึงถามขึ้นอีกว่า หมดหรือยัง? ก็ปรากฏว่ามีคน ๒ คน มีไม้แป้นอยู่ตรงกลาง ทางนั้นขึ้น ทางนี้ลง ทางนั้นลง ทางนี้ขึ้น (แบบไม้กระดกที่เด็กเล่น) จึงถามว่า นี่คืออะไร? ตอบขึ้นว่า คือสร้างเจดีย์ทรายหนักเท่าตัว แล้วถามอีกว่า หมดอีกยัง คราวนี้เงียบ แสดงว่าหมดแล้ว
เช้าขึ้นมา โยมคนนั้นมา หลวงปู่จึงถามว่า ทำอย่างนั้นจริงหรือไม่ เขารับว่า จริง เขาก็มาทำกัลปพฤกษ์ เจดีย์ทราย ตามที่ท่านบอก
อยู่ที่นั่นหลายวันจึงกลับมาฝั่งไทยตอนกลางคืนโดยเรือแจว มาพักที่บ้านเวินพระบาท แล้วกลับมาพักที่ภูกระแต บ้านท่าควาย ต่อมาจึงกลับมาอยู่ที่บ้านเซือมอีก
• พรรษาที่ ๒๖ พ.ศ. ๒๕๑๕
วัดชัยมงคล อ.บ้านแพง จ.นครพนม
พรรษานี้ท่านไปจำพรรษาที่ อ.บ้านแพง ท่านพาโยมมารดาซึ่งบวชเป็นชีไปด้วย ในพรรษานี้ ท่านเจ็บขามาก เพราะมีหมอมาฉีดยาไม่ถูกวิธี จนมีพระทักว่า “อาจารย์ทำไมจึงผอมอย่างกับแก่ ๘๐ ปี”
ท่านตอบว่า “ไม่ตายก็ดีแล้ว ผมอายุ ๕๑ ปี แก่มากแล้ว” ท่านทำจิตปล่อยวางรูปสังขารนี้ มันจะตายก็ให้มันตาย คนเกิดมาต้องตาย ไม่ตายวันนี้ ต่อไปมันก็ต้องตาย จะไปห่วงมันทำไม จึงเข้าสมาธิ จิตปล่อยวางทั้งหมด ปรากฏจิตรวม ความเจ็บปวดหายไปหมด ตัวท่านลอยขึ้นไปเหนือเมฆ เห็นมนุษย์เกิดๆ ดับๆ จึงดูการ เกิดการดับของสังขารทั้งหลาย ท่านพิจารณาว่า มนุษย์ทั้งหลายเกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เราจะไม่หลง เราจะต้องออกจากทุกข์ให้ได้
หลวงปู่ท่านเล่าว่า นับแต่บวชมาไม่เคยคิดจะสึก ไปทำมาหากิน สร้างภพสร้างชาติอีกเลย มุ่งหน้าแต่จะภาวนาให้ออกจากวัฏสงสารให้ได้ การภาวนาของท่านจึงดำเนินไปได้อย่างสะดวก ท่านว่า ถ้ายังไม่แน่ใจ ถอยหน้าถอยหลังอยู่ ก็ยากที่จะภาวนาไปขั้นสูงได้
• พรรษาที่ ๒๗-๔๘ พ.ศ.๒๕๑๖– ๒๕๓๗
วัดป่าปทีปปุญญาราม บ้านเซือม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร
หลังจากปี ๒๕๑๕ แล้ว หลวงปู่มาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านเซือมโดยตลอด วันหนึ่ง ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ท่านไป กราบหลวงปู่หลุย จันทสาโร ที่ภูทอก จ.หนองคาย (ขณะนั้นท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มรณภาพแล้ว สมัยท่านยังอยู่หลวงปู่ไปกราบคารวะท่านเกือนทุกปี) หลวงปู่หลุยถามว่า “ท่านคือใคร”
หลวงปู่ตอบว่า “กระผมชื่อผ่าน”
หลวงปู่หลุยจึงอุทานว่า “โอ! ท่านผ่าน ท่านยังอยู่หรือ”
หลวงปู่ตอบว่า “ครับกระผมยังอยู่ กระผมก็เคยพบท่านอาจารย์ แต่คนมากจึงไม่ได้เข้าไปหา กระผมอยากฟังเทศน์ ขอให้ท่านเทศน์ให้ฟัง”
หลวงปู่หลุยท่านจึงเทศน์ให้ฟัง เรื่อง “ภาวิโต พหุลีกโต”เหมือนที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เคยเทศน์
พอลงจากภูทอก หลวงปู่มานั่งภาวนาอยู่ข้างล่าง พอจิตรวมลง ปรากฏเห็นต้นไม้ที่ภูทอกนั้นตายหมด ท่านว่า ทำไมเป็นอย่างนี้หนอ? ท่านนั่งอยู่นานจนใกล้ค่ำจึงกลับวัด มาถึงวัด มองต้นไม้ในวัดก็เหมือนต้นไม้นั้นตายหมด จึงไปภาวนาดูว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เมื่อจิตเป็นสมาธิ จึงรู้ขึ้นมาว่า
“โลกนี้แผ่นดินนี้มีมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ใครมาเกิด อยู่ที่ไหนก็มายึดถือเอาว่าเป็นของเรา ไร่เรา นาเรา ยื้อแย่งกันอยู่อย่างนั้นสัตว์ทั้งหลายในโลกจึงออกจากวัฏสงสารไม่ได้ เราไม่เอาหรอก เราไม่อยู่แล้ว”
จิตถามว่า “แล้วจะไปอยู่ไหน”
ตอบว่า “ไปอยู่พระนิพพาน อยู่ที่นี่บาปนะ เราบวชอยู่นี่กินข้าวของชาวบ้านมันบาปนะ พระพุทธเจ้าท่านว่า บุคคลใดบวชแล้วไม่ได้บรรลคุณธรรม กินข้าวของชาวบ้านนั้นกินเหล็กแดงดีกว่า”
จากนั้นก็ภาวนาเพ่งดูแต่กระดูกนั้น เกิดเสียงขึ้นมาทางหูว่า
“ให้ถึงสุตธรรม” ท่านจึงพิจารณาดู ได้ความว่า สุตธรรมคือ ผู้สดับธรรมครั้งแรก รู้ขึ้นมาในจิตเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ทุกข์ คือ ขาติ-ความเกิดเป็นทุกข์ ชรา-ความแก่เป็นทุกข์ มรณะ-ความตายเป็นทุกข์
สมุทัย คือ ตัวสมมติ มนุษย์ทั้งหลายคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา แข้งเรา ขาเรา ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตนเอง ยึดมั่นถือมั่นใน รูป รส เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ว่าเป็นตัวเราของเรา
นิโรธ คือ ความรู้แจ้ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วจึงชื่อว่าถึงสุตธรรมเหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ ฟังเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้า พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปจึงได้ดวงตาเห็นธรรมเป็น พระโสดาบัน
เมื่อหลวงปู่พิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว จึงเข้าใจว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวเราของเรา รูปอันนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พิจารณาเห็นดังนี้แล้วปรากฏในนิมิตรว่าตัวท่านลอยขึ้นไปๆ มองลงมาแผ่นดินไม่มีบ้านเรือน มีแต่แผ่นดินภูเขา แล้วเห็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เดินมา
หลวงปู่จึงคิดว่า “เอ! พระอาจารย์มาทำไมหนอ”
ท่านมาข้างขวาแล้วเตือนว่า “ท่านผ่าน จิตอยู่ในสะกะฯ ยังอยู่ในกามานะ”
“ครับผม”
หลวงปู่มั่นเตือนแล้วท่านก็ไป หลวงปู่จึงพิจารณาดู ที่ว่ายังมี กามานะนั้น คือ จิตยังนึกถึงในความใคร่ จิตอันนี้ยังไม่บริสุทธิ์แท้ ละกิเลสได้อย่างหยาบ กิเลสอย่างละเอียดที่เรียกว่า อนุสัย ยังละไม่ได้
จากนั้นหลวงปู่ก็พิจารณาเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่อยไป คราวนี้ลอยขึ้นไปสูงอีก มองลงมาที่นั่นเห็นแต่มหาสมุทร มองขึ้นไปด้านบนก็เห็นแสงสว่าง ท่านลอยขึ้นจนไปพบถ้ำใหญ่ ภายในถ้ำมีโบสถ์ ท่านคิดว่า จะเข้าหรือไม่เข้าดีหนอ! สุดท้ายยังไม่เข้า ได้ไปนั่งในศาลาหน้าโบสถ์นั้น นั่งพิจารณาแต่กระดูกอย่างเดียว ท่านว่า คือจิตยังไม่แก่กล้า ท่านต้องอบรมให้แก่กล้าขึ้น ให้ถอนอนุสัยกิเลสได้หมดสิ้น
ที่โบสถ์นั้นมีพระพุทธรูปใหญ่ ซึ่งเทศน์ได้ ท่านเทศน์เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หลวงปู่ท่านก็พิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย (พิจารณาขณะอยู่ในนิมิต) เกิดเห็นว่า
ในถ้ำนั้นมีมนุษย์ทั้งหลายเดินมา มีทั้งเด็ก หนุ่มสาว คนชรา พากันเดินไปเรื่อยๆ ท่านจึงพิจารณาว่า นี่หนอ เกิดแล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย วนเวียนอยู่อย่างนี้ พิจารณาน้อมลงอนิจัง ทุกขัง อนัตตา น้อมเข้าไปๆ ก็เห็น พวกคนชราตายลง แล้วก็เผา หลวงปู่ก็เพ่งดูอยู่ คนนั้นก็เผาคนนี้ก็เผา มองไปทางไหนมี แต่กองฟอน จึงคิดว่า ตัวเราก็ต้องตายเหมือนกัน แล้วกำหนดเอาไฟเผาตัวท่านเอง หลวงปู่ท่านก็นั่งเพ่งพิจารณาอยู่อย่างนั้นจนจิตถอนออกมา หลวงปู่บอกว่าแม้ทุกวันนี้ท่านก็ยังไปนั่งเผากระดูกแล้วพิจารณาอยู่ที่หน้าโบสถ์นั้นทุกวันๆ ยังไม่ได้เข้าโบสถ์
๏ #การอาพาธและมรณภาพ
หลังออกพรรษาปี ๒๕๕๓ ทางวัดป่าปทีปปุญญารามได้กำหนดวันทอดกฐินของปีนั้นในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ แต่หลวงปู่ได้เริ่มอาพาธตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายนเป็นต้นมา แต่ท่านยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่วัด จนกระทั่งวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ก่อนวันทอดกฐินเพียงวันเดียว อาการอาพาธของท่านเริ่มหนักขึ้น คณะศิษยานุศิษย์จึงนำท่านเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลจังหวัดสกลนคร โดยคณะแพทย์ได้ทำการตรวจวินิจฉัยโรค และผลปรากฏว่าท่านอาพาธ
ด้วยโรคเนื้องอกในกระเพาะอาหาร และกระเพาะปัสสาวะ โดยคณะแพทย์ได้กำหนดทางเลือกในการรักษาไว้ ๒ วิธี คือ
๑. ผ่าตัดเอาเนื้องอกออก (จำเป็นต้องตัดอวัยวะภายในบางส่วน)
๒. ผ่าตัดโดยใช้กล้องส่องเพื่อจี้ระงับการเจริญเติบโตของชิ้นเนื้อ
ทางคณะกรรมการวัด และพระอาจารย์สัมพันธ์ ปภัสโร วัดป่าดอนประดู่มงคลทิพย์ปรึกษาหารือกันโดยได้เลือกเอาวิธีที่ ๒
ภายหลังการผ่าตัด อาการขององค์หลวงปู่มีแต่ทรงกับทรุด ไตหลวงปู่ไม่ตอบสนอง หลวงปู่มีความประสงค์จะกลับไปรักษาตัวที่วัด คณะกรรมการวัดได้ปรึกษาหารือกันจึงได้นำองค์หลวงปู่กลับมาพักรักษาที่วัด ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น.ของวันที่ ๑๗ พ.ย. ๕๓ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ได้สั่งให้แพทย์พยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาความทราบถึง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรดรับหลวงปู่ไว้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์
จนเมื่อวันที่ ๒๔ ม.ค. ๒๕๕๔ เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง หลวงปู่ได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบ สิริรวมอายุได้ ๘๙ ปี พรรษา ๖๔
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น