ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่เข็ม สุชีโว วัดป่าโนนนิเวศน์ บ.ห้วยซันเหนือ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่เข็ม สุชีโว
วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่เข็ม สุชีโว วัดป่าโนนนิเวศน์ บ้านห้วยซันเหนือ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี เจริญอายุวัฒนมงคล ๗๙ ปี ๕๘ พรรษา หลวงปู่เข็ม สุชีโว ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเคยอยู่ศึกษาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นต้น ลูกหลาน ศิษย์ยานุศิษย์ กราบอาราธนาขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้หลวงปู่เข็ม สุชีโว มีธาตุขันธ์แข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิธรรม สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา สืบนานเท่านานเทอญ
พระครูสุชีพภาวนาภิวัตร หรือ หลวงปู่เข็ม สุชีโว วัดป่าโนนนิเวศน์ บ้านห้วยซันเหนือ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่งในเขตจังหวัดอุบลราชธานี โยมบิดาของท่าน เคยได้อุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ถือว่าท่านถือกำเนิดในครอบครัวสัมมาทิฏฐิ องค์ท่านเองออกบวชตั้งแต่อายุ ๑๙ กับหลวงปู่คำ สุมังคโล (ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล) วัดสุมังคลาราม บ้านเศรษฐี อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ต่อมาท่านออกเดินธุดงค์ไปพักปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร แห่งวัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
หลังอุปสมบท ท่านไปจำพรรษาศึกษาธรรมกับหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ที่วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร ,หลวงปู่บัว เตมิโย วัดหลักศิลามงคล จ.นครพนม , หลวงปู่ สีธน สีลธโน วัดถ้ำผาปู่ จ.เลย , หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี และครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นที่ได้เคยไปพักภาวนาแต่ไม่ได้ร่วมจำพรรษาอีกมากมายหลายท่าน ท่านจึงได้รับประสพการณ์ภาวนาและข้อวัตรที่งดงามจากสำนักต่างๆ ก่อนมาสร้างวัดป่าโนนนิเวศน์
".. ชีวิตเมื่อมีการเริ่มต้น คือการเกิด ก็มีการสิ้นสุดของชีวิต คือการตายตามมา ลมหายใจที่เคียงคู่มากับชีวิต เคยทำงานมาเป็นปกติก็ชักจะไม่ปกติเสียแล้ว หายใจอ่อนโรย ไม่อิ่มเพราะลมเข้าปอดน้อย หายใจอึด ช้า แผ่วเบา ใช้ปากช่วยก็ไม่ได้เต็มที่ เพราะเสลดติดคอ จะควักจะล้วงก็ไม่มีแรง ลมหายใจที่เข้าแล้ว ก็ไม่อยากจะออก หรือออกมาแล้วก็ไม่อยากจะเข้าสุดท้าย ก็ไม่เข้าไม่ออก เมื่อไม่มีลมหายใจเข้าและออก ชีวิตก็สิ้นสุดลง ยืนยันและบ่งบอกให้คนรอบข้างได้รู้ว่า ชีวิตได้จบลงไปแล้ว (ตาย) เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ของสังขารทั้งหลายที่มีใจครอง มันเป็นมาอย่างนี้ เป็นสากลของโลก คือมีการเกิดในที่ใด ก็จะมีการตายในที่นั้นเป็นธรรมดา เป็นสามัญลักษณะ เป็นลักษณะเสมอกันในสังขารทั้งปวง เมื่อลมหายใจหมดไป สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในอดีต ก็จะหมดไปพร้อมๆ กับการตายนั่นเอง
ทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้ด้วยความอุตสาหะตลอดชีวิต เก็บไว้ อย่างดีในธนาคารด้วยรูปแบบต่างๆ ก็จะตกไปเป็นสมบัติของญาติพี่น้อง วงศาคณาญาติ หรือผู้อื่น ทั้งๆ ที่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่คิดว่าจะมอบให้ใครหรอก แต่หลังจากการตาย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเจ้าของทรัพย์ตัวจริงไม่ฉลาดในการใช้จ่ายทรัพย์ ต้องใช้จ่ายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น และการใช้จ่ายนั้น จะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์บุคคลอื่น จึงจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้
เมื่อตายแล้ว ทรัพย์ที่ยังไม่ได้ใช้จ่าย คนอื่นก็จะถือวิสาสะเอาไป เหมือนกับเป็นเจ้าของเสียเอง ท่านจึงกล่าวว่า “ทรัพย์สินทั้งสิ้นเป็นสมบัติของโลกนี้เท่านั้น จะนำเอาไปใช้ในโลกอื่นไม่ได้” มันก็เป็นมาอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด
หลังจากการตาย ร่างกายก็จะเสื่อมสลายไป สู่ธาตุเดิมของเขา คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มันไม่เหลืออะไรจริงๆ มันมีแต่ความเศร้า และว้าเหว่ อ้างว้าง ไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีทางให้เดิน ไม่มีปลายทางให้วาดหวัง อารมณ์เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้น ในบุคคลที่เป็นที่รัก ในหมู่วงศาคณาญาติ ที่รักใคร่ชอบใจในกันและกัน
บุคคลที่รู้จักปลงธรรมสังเวช ก็จะเห็นเป็นแค่ การสิ้นไปของชีวิตหนึ่งเท่านั้น แล้วมองย้อนกลับมาหาความบกพร่องของตน จะได้เพิ่มเติมเสริมแต่งในสิ่งที่บกพร่องให้เต็ม จนเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ในปัจจุบัน ในสัมปรายภพต่อไป ..” โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่เข็ม สุชีโว
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น