ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่สุวรรณ สุจิณโณ
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่สุวรรณ สุจิณโณ ๏
ท่านพระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ ท่านเป็นลูกศิษย์ฝ่ายมหานิกายของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อีกรูปหนึ่ง ท่านได้สร้างวัดกรรมฐานหลายวัด และมีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นฝ่ายปฏิบัติในสังกัดมหานิกายสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
พระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ เกิดที่บ้านค้อ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นศิษย์รุ่นแรกของหลวงปู่มั่น และเป็นศิษย์รุ่นกลางของหลวงปู่ใหญ่เสาร์
ในปี พ.ศ.๒๔๖๑ พระอาจารย์สุวรรณได้ติดตามหลวงปู่ใหญ่เสาร์ และหลวงปู่มั่น ไปจำพรรษาที่บ้านหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร พร้อมกับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม
พ.ศ.๒๔๖๖-๒๔๖๗ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ และหลวงปู่มั่น ได้ออกธุดงค์มาแถบอีสานเหนือ คือ จังหวัดอุดรธานี หนองคาย หลวงปู่ทั้งสองได้จำพรรษาที่บ้านค้อ อำเภอผือ จังหวัดอุดรธานี
หลังออกพรรษาแล้ว ได้จาริกมายังอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พระอาจารย์สุวรรณ ได้ติดตามมาฟังธรรมปฏิบัติด้วย
พระอาจารย์สุวรรณ มีนิสัยชอบสร้างวัด เช่น วัดป่าบ้านค้อ วัดป่าโศรกนาคำ วัดป่าสุจิณณารมย์ และวัดป่าอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
พระอาจารย์สุวรรณ สร้างวัด หรือโบสถ์วิหารใด ๆ ท่านมักจะให้มีรูปปั้นสุนัขเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งมีผู้เล่าว่า เมื่อท่านอายุ ๖ เดือน มารดาได้เสียชีวิตลง ท่านได้คลานไปดูดนมสุนัขแทนนมมารดา ท่านจึงได้ชื่อเล่นว่า “หมา” ตั้งแต่นั้นมา
พระอาจารย์สุวรรณ เห็นว่าสุนัขมีบุญคุณต่อท่าน การสร้างวัดโบสถ์ วิหาร แทบทุกครั้งท่านจึงสร้างรูปสุนัขเป็นสัญลักษณ์ เป็นการสำนึกถึงบุญคุณนั้น นับเป็นการกตัญญูกตเวทีเป็นอย่างยิ่ง
พระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ ได้เดินธุดงค์มาพบสถานที่แห่งนี้(วัดอรัญญวาสี จ.หนองคาย) ซึ่งเป็นป่ารกทึบด้วยกอไผ่ ต้นกระพอก และต้นกระบก เห็นเป็นสถานที่ร่มครึม ป่าทึบมาก ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร ทั้งยังมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งชำรุดที่แขนไปบ้างแล้ว จึงเข้าไปอาศัยทำสมณกิจอยู่ในที่นั้น เมื่อชาวบ้านทราบข่าว จึงได้พากันไปปฏิบัติถากถาง ทำกระต๊อบเล็ก ๆ ให้ท่านอยู่อาศัย
ท่านอาจารย์สุวรรณ ได้อยู่จำพรรษาที่นั้นพรรษา หนึ่ง ออกพรรษาแล้วท่านก็ได้เที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิสัยของพระกัมมัฏฐานในสมัยนั้น บางทีท่านก็กลับมาจำพรรษาอีก บางทีองค์อื่นก็มาแทน สับเปลี่ยนกันอย่างนี้ ญาติโยมผู้มีศรัทธาได้ทำกระต๊อบเล็ก ๆ ให้พออยู่จำพรรษาได้ บางที หลาย ๆ ปี ท่านก็กลับมาจำพรรษาอีก กุฏิชำรุดก็สร้างใหม่
พร้อมกันนั้นท่านก็ได้สั่งสอนประชาชน ให้รู้จักคุณของพระรัตนตรัยอย่างชัดแจ้ง และถือไว้เป็นหลักประจำใจ และสอนสมาธิภาวนาไปในตัวด้วย ซึ่งพระคณาจารย์ในสมัยนั้นหายากที่จะสอนแบบนี้ เหตุนั้น คนทั่วไปจึงนิยมนับถือมากเป็นพิเศษ
ในช่วงปัจฉิมวัย พระอาจารย์สุวรรณ ได้กลับมาจำพรรษาที่เมืองอุบลราชธานีบ้านเกิด และมรณภาพที่วัดใต้ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๑-๒๕๐๒
#ประวัติ วัดป่าอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฎ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ได้เขียนประวัติวัดอัญญวาสีไว้ว่า ความเป็นมาของวัดอรัญญวาสีที่แท้จริงไม่ทราบได้แน่นอน เพราะวัดอรัญญวาสี เดิมเป็นวัดร้างเก่าแก่เหมือนๆ กับวัดร้างทั้งหลายที่มีดาษดื่นอยู่ตามสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง บางแห่งได้ปรับปรุงแล้ว บางแห่งยังอยู่ภาพเดิม วัดเหล่านี้เข้าใจว่าสร้างสมัยนครเวียงจันทน์กำลังรุ่งโรจน์ วัดอรัญญวาสีก็เช่นเดียวกัน วัดนี้เดิมเป็นวัดร้างไม่ปรากฎชื่อ ที่ได้ชื่อว่า “วัดอรัญญวาสี” เพราะผู้มาตั้งที่แรกเป็นพระธุดงค์ สถานที่ก็เป็นป่าทึบ ฉะนั้นจึงได้ตั้งชื่อว่า “วัดอรัญญวาสี”
เมื่อราว พ.ศ.๒๔๕๙ พระกัมมัฏฐาณคณะ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พร้อมด้วยลูกศิษย์ไม่ถึง ๑๐ องค์ ได้เดินธุดงค์มาจากจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร มาถึงอำเภอบ้านผือ อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เป็นครั้งแรก พระอาจารย์สุวรรณ สุจิณโณ ศิษย์รุ่นแรกของพระอาจารย์มั่น รุ่นเดียวกับหลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ ได้เดินธุดงค์มาสถานที่แห่งนี้ซึ่งเป็นป่ารกทึบไปด้วยกอไผ่ ต้นกระพอก และต้นกระบก เป็นสถานที่ร่มครี้ม ป่าทึบมาก ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร ทั้งยังมีพระพุทธรูปชำรุดและแขนขาดไปบ้างแล้ว จึงเข้าไปอาศัยทำสมณกิจอยู่ในนั้น เมื่อชาวบ้านทราบข่าวจึงพากันไปปฏิบัติถากถางทำกระต็อบเล็กๆ ให้ท่านอยู่อาศัย ท่านอาจารย์สุวรรณ ได้อยู่จำพรรษาที่นั้นพรรษาหนึ่ง ออกพรรษาแล้วท่านก็ได้ธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นวิสัยของพระกัมมัฏฐานในสมัยนั้น บางทีท่านก็กลับมาจำพรรษาอีก บางทีองค์อื่นก็มาแทน สับเปลี่ยนกันอย่างนี้ ญาติโยมผู้มีศรัทธาจึงได้ทำกระต็อบเล็กๆ ให้พออยู่จำพรรษาได้ บางทีหลายๆ ปีท่านก็กลับมาจำพรรษาอีก กุฏิชำรุดก็สร้างใหม่ พร้อมกันนั้นท่านก็ได้สอนประชาชนให้รู้จักคุณของพระรัตนตรัยอย่างชัดแจ้ง และถือไว้เป็นหลักประจำใจ และสอนสมาธิภาวนาไปในตัวด้วย ซึ่งพระคณาจารย์ในสมัยนั้นหาได้ยากที่จะสอนแบบนี้ เหตุนั้นคนทั่วไปจึงนับถือมากเป็นพิเศษ พระราชวุฒาจารย์ (พระอาจารย์ดูลย์ อตุโล) ก็เคยมาจำพรรษาที่นี้พรรษาหนึ่ง พระกัมมัฏฐานสมัยนั้นตั้งใจสั่งสอน ญาติโยมได้เข้ามาฟังโอวาทโดยความจริงใจ ไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก บางครั้งกลางคืนดึกดื่น ถึงบ่ายหนึ่งบ่ายสองก็มี และไม่ได้ตั้งใจเพื่อลาภ เพื่อยศและเกียรติคุณต่างๆ เลย สอนด้วยความจริงใจจริงๆ ไม่ได้คิดว่าเราเผยแพร่ลัทธินิกายอย่างสมัยนี้
ราว พ.ศ. ๒๔๖๘ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พร้อมด้วยพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และคณะสานุศิษย์หลายองค์ด้วยกันกลับมาจากอำเภอบ้านผือ อำเภอหนองบัวลำภู ได้มาจำพรรษาที่นี้ ในปีนี้เองพระอาจารย์หลายองค์ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พระศาสนา ได้เข้ามาญัตติเป็นพระคณะธรรมยุต คือ พระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน , พระอาจารย์อุ่น ธัมมธโร , พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ , พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร , พระอาจารย์กว่า สุมโน ท่านเหล่านี้ได้มาจำพรรษาในที่นี้เป็นครั้งแรกร่วมกับพระอาจารย์มั่น ส่วนพระอาจารย์เสาร์ ท่านได้แยกออกไปจำพรรษาที่วัดพระงาม อำเภอท่าบ่อ ซึ่งเป็นวัดที่ท่านตั้งขึ้นใหม่ ผู้เขียนกับอาจารย์อุ่น ได้แยกออกไปจำพรรษาที่บ้านนาช้างน้ำ ออกพรรษาแล้วท่านเหล่านั้นทั้งหมด ยกเว้นพระอาจารย์เสาร์องค์เดียว ได้ลงไปทางท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จำพรรษาที่บ้านสามผง ๑ พรรษา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ ผู้เขียนกลับมาจากโคราชได้มาจำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี ออกพรรษาแล้วได้ขึ้นไปจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย พระครูสีลขันธ์สังวร (พระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ) ต่อมา พ.ศ.๒๔๗๗ พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม วัดบ้านโนนทัน กลับมาจากเพชรบูรณ์ แล้วได้มาจำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี พระครูญาณปรีชา (พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙ นางเกตุ แซ่คู ได้มีศรัทธาสร้างโบสถ์ขึ้นหลังหนึ่ง ฝาผนังก่อด้วยอิฐถือปูน หลังคาชั้นเดียวมุงสังกะสีเหมือนกับโรงเรือนธรรมดา นับได้ชื่อว่าวัดนี้บูรณะถาวรวัตถุเป็นครั้งแรก
ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ ผู้เขียนได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดอรัญญวาสี อีกวาระหนึ่ง นางเกตุ แซ่คู ได้สร้างกุฏิถาวรถวายเป็นครั้งแรก ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน (กุฏิหลวงพ่อนาค) ต่อมาลูกหลานของนางพูน แซ่เล้า ได้สรำงกุฏิสำเร็จด้วยไม้สักทั้งหมดอีกหลังหนึ่งทางด้านใต้ของวัด ผู้เขียนได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดนี้เป็นเวลา ๙ ปี ท่านเกตุ พี่ชายของผู้เขียนได้มรณภาพ ณ ที่นี้ ออกพรรษาแล้วได้สูญเสียสิ่งที่เคารพนับถืออย่างยิ่งคือ โยมมารดาได้เสียชีวิตไปอีกชีวิตหนึ่ง พร้อมกันนั้นโรคประสาทของผู้เขียนกำเริบหนักขึ้น ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ จำเป็นจึงต้องย้ายไปจำพรรษาที่จังหวัดจันทบุรี พร้อมกันนี้ก็ได้ลาภอันใหญ่หลวง เพราะก่อนจะไปก็ได้ชักชวน หลวงตานาค ปัญญาวรโร ซึ่งได้เคยอุปฐากวัดมาเป็นเวลานานกว่า ๓๐ ปีให้มาบวช นี้แหละได้ชื่อว่าลาภอันใหญ่หลวง กับนายตุ้ม ผู้เป็นเพื่อนรักกันอีกคนหนึ่งด้วย แต่นายตุ้มนั้นวาสนาน้อย มาบวชได้พรรษาเดียวเลยมรณภาพเสีย ส่วนหลวงตานาคเมื่อบวชแล้วกิเลสเข้ามาลุ่มล้อมอย่างหนัก แต่ท่านก็ต่อสู้เอาชนะจนได้ จึงอยู่รอดมาจนทุกวันนี้ นับว่าเป็นชัยชนะอันใหญ่หลวง เป็นบุญกุศลในชีวิตบั้นปลาย ก่อนที่ผู้เขียนจะไปจากวัดนี้ ได้ไปนิมนต์ให้ พระอาจารย์หลอด ปโมทิโต (พระครูปราโมทย์ธรรมธาดา) ให้มาจำพรรษา ณ ที่นี้ เมื่อพระอาจารย์หลอด ไปแล้ว หลวงตานาคก็ได้ครองวัดต่อมา
ผู้ขียนได้พิจารณาถึงวัดนี้ว่า เป็นวัดที่ทั้งหลายได้อบรมธรรมมาโดยลำดับ และเป็นวัดเก่าแก่ก่อนวัดธรรมยุตทั้งหมดในเขต ๑๗ จังหวัดของภาคอีสาน เว้นจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดเลยเท่านั้น อีกทั้งวัดนี้พระคณาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐานที่เป็นศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้เคยมาจำพรรษาเกือบแทบทุกองค์ และมีคนนับถือก็มาก คนแถวนี้รู้จักวัดอรัญญวาสีทั้งนั้น สมควรที่จะบูรณะให้สมฐานะเป็นเครื่องระลึกถึงพระบูรพาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งเคยได้มาประพฤติธรรมอยู่ ณ ที่นี้ นับเป็นโชคดีของพี่น้องชาวอำเภอท่าบ่อ และ อำภอไกล้เคียงที่ได้ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานะในคณะของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน จนสามารถตั้งเป็นวัดขึ้นมาได้ ดั่งเห็นเด่นชัดอยู่ในขณะนี้ ไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ ที่เขาปรารถนาอยากจะพบเห็น อยากจะกราบไหว้พระกัมมัฏฐานแทบน้ำตากระเด็น ก็ไม่ได้พบเห็น ทั้งได้พระอุโบสถแบบภาคอีสานของเราเองให้เป็นเครื่องระลึกถึงบูรพาจารย์อีกด้วย ซึ่งเป็นของหายากในภาคอีสานทั้ง ๑๗ จังหวัด ดังกลำวแล้ว ขอให้ทุกคนจงพากันตั้งใจปฏิบัติและรักษาไว้ให้ถาวรนานเท่านานตลอดลูกหลานจะได้ชมต่อไป
#บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกมาจากหนังสือ "เนื่องในงานยกช่อฟ้าและผูกพัทธสีมา พระอุโบสถ วัดอรัญญวาสี อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย" ; เขียนและเรียบเรียงโดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์(เทสก์ เทสฺรํสี) ; พิมพ์ปี ๒๕๒๗ ; หน้า ๑๐ และ ๓๓ - ๓๔
------ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญที่มาFB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น