ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดคีรีสุบรรพต ต.พระบาท อ.เกาะคา จ.ลำปาง


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่หลวง กตปุญโญ ๏ 
     วันนี้วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๐๓ ปี ชาตกาล หลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดคีรีสุบรรพต ต.พระบาท อ.เกาะคา จ.ลำปาง หลวงปู่หลวง กตปุญโญ ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาส วัดสําราญนิวาส จังหวัดลําปาง และยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีจริยาวัตรงดงาม เจริญด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ธรรมะที่เกิดขึ้นกับความรู้สึก ภายในจิตใจของท่าน เมื่อครั้งสมัยเป็นฆราวาส อายุ ๑๗-๑๘ ปี ก็เพราะท่านได้รับหนังสือวิธีปฏิบัติทางจิต คือ “หนังสือพระไตรสรณคมน์” ที่แต่งโดย ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ความซาบซึ้งในธรรม ก็มีอํานาจนําจิตใจเข้ามาตั้งแต่บัดนั้น

หลวงปู่หลวง กตปุญโญ ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีความมานะอดทน ฝึกฝนจิตใจ จนมีความแก่กล้าในธรรม จนเป็นที่ยอมรับของบรรดาเพื่อนพระสหธรรมมิกด้วยกัน ตลอดจนถึงประชาชนชาวพุทธทุกคน ต่างก็มีความเคารพนับเนื่อง เข้านมัสการอยู่ไม่เคยขาด

นอกจากนี้แล้ว ท่านยังเคยได้ออกติดตามครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน ออกเผยแพร่ธรรมทางภาคใต้ ซึ่งมีหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นหัวหน้าคณะนําไป

หลวงปู่หลวง กตปุญโญ ท่านเป็นกําลังสําคัญองค์หนึ่งในสายของ “กองทัพธรรม” ท่านเคยกล่าว เป็นส่วนตัวไว้ดังนี้ว่า

“ในประเทศไทยนี้ ที่พระพุทธศาสนา และแนวการปฏิบัติธรรมรุ่งเรืองขึ้นมาในทุกภาค ก็เพราะพระธุดงค์ในสายของ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

อย่างเช่นภาคเหนือนี่ สมัยที่หลวงปู่มั่นและพระธุดงคกรรมฐานทางภาคอีสาน เดินธุดงค์มาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติ ชาวภาคเหนือตลอดจนถึงชาวดอยชาวเขา ต่างก็รู้จักพระพุทธศาสนา และการกระทํากรรมฐานได้หมด

ไม่ว่าท่านจะโคจรไป หรือพักบําเพ็ญเพียรในที่แห่งใด ที่นั้นจะมีคนเข้าฟังธรรมขึ้นมาก เท่ากับชักจูงจิตใจ เข้าสู่กระแสสว่างของชีวิต ได้อย่างแท้จริง

ความจริงคนไทยเรานี่ ก็มีความพร้อมอยู่แล้วในเรื่อง “พระศาสนา” แต่ขาดความจูงจิตใจให้ ถึงขั้นละเอียดอ่อน

เมื่อครูบาอาจารย์ออกเผย แพร่ธรรมปฏิบัติ ธรรมอันเป็นขั้นละเอียด พร้อมกับได้ฟังธรรม ตามความเป็นจริง จึงได้ผล ดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้นะ”

ท่านหลวงปู่หลวง กตปุญโญ เดิมท่านมีชื่อว่า หลวง สอนวงศ์ษา เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ ปีระกา ณ หมู่บ้านบัว ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

บิดาชื่อ นายสน สอนวงศ์ษา มารดาชื่อ นางสียา สอนวงศ์ษา ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ในจํานวน ๗ คน เป็นชาย ๓ หญิง ๔ อาชีพทํานา

แต่สมัยเป็นเด็ก ท่านอ่อนในการเรียน คือ เรียนไม่เก่งเหมือนเพื่อน ๆ ถึงกระนั้นท่านก็ยังพยายามศึกษาไป จนจบประถมศึกษา

วงศ์ญาติของท่านหลวงปู่หลวง นี้ บรรพบุรุษเป็นชาวเผ่าภูไท ได้อพยพมาจากนคร เวียงจันทน์ ประเทศลาว ซึ่งก็ ได้อพยพมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว

หลวงปู่หลวง สมัยเป็นฆราวาส ท่านได้อยู่ช่วยบิดามารดา ทํานา ทําไร่ มาโดยตลอด เพราะท่านในฐานะเป็นพี่ชายคนโต ที่มีน้องเล็ก ๆ อีก ๖ คน

๏ ใช้กรรมเก่าตั้งแต่เด็ก 

ด้วยเหตุที่ต้องช่วยงานทางบ้านตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก เด็กชายหลวงในขณะนั้นแม้อายุเพียง ๕ ขวบ วันหนึ่งขณะที่ได้ช่วยแม่ใช้มอง (ที่ตำข้าว) ตำขาวอยู่นั้น เด็กชายหลวงมิทันระวังตัว ไม้ค้ำมองตำข้าวได้เกิดล้มมาทับข้อเท้าข้างขวาอย่างจัง จนข้อเท้าพลิกเดินไม่ปกติตั้งแต่นั้นมา 
หลวงปู่หลวงท่านบอกว่า “เป็นกรรมเก่าของท่านเอง” ตั้งแต่อดีตชาติ เคยใช้เท้าขวาเตะผู้มีพระคุณ กรรมนั้นได้ตามมาส่งผลให้ต้องชดใช้ แม้จะล่วงเลยมานานนับอีกชาติหนึ่งก็ตาม ท่านว่ากรรมใดๆ ก็ตาม มิอาจตัดหรือลบล้างได้ ต้องชดใช้ เว้นแต่กรรมที่คู่กรณีต่างอโหสิกรรมต่อกันแล้วเท่านั้น จึงอาจระงับหมดไปได้ ยกเว้นกรรมที่เป็นอนันตริยกรรม คือ กรรมหนัก กรรมบางอย่างอาจขอผ่อนปรนจากหนักเป็นเบาได้ด้วยบุญกุศลที่ได้สร้างได้ทำ แต่ก็ยังต้องชดใช้บางส่วนที่เหลืออยู่ กรรมมันตามคอยส่งผลได้นับร้อยๆ ชาติ “คนเราทำกรรมก่อกรรมไว้ เมื่อตายไปก็ต้องชดใช้กรรมอยู่ในนรก จะยาวนานอย่างไรก็ตามความหนักเบาของกรรม พ้นจากนรกขึ้นมา ก็ต้องมาใช้เศษกรรมในภพภูมิอื่นต่ออีกจนหมดกรรม ใช่ว่าจะใช้กรรมหมดได้ในครั้งเดียว ชาติเดียว ครู่เดียว ฉะนั้น เราจึงไม่ควรประมาทในกรรม กรรมมันเป็นวิบาก กรรมมันตัดรอนเอาได้ทุกเมื่อ” 

จากอุบัติเหตุในครั้งนั้น มีผลให้เด็กชายหลวงต้องป่วยหนักจนเกือบตาย นางสียาได้ไปขอบนบวชไว้ว่า ถ้าลูกของนางหายจากการป่วยครั้งนี้ จะให้บวชเป็นพระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฝังใจเด็กชายหลวง นำไปสู่ความคิดที่จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ แม้ในภายหลังก่อนที่นางสียาจะถึงแก่กรรม นางก็ยังได้สั่งเสียลูกชายในวาระสุดท้ายว่า “ขอให้ลูกหลวงบวชให้ได้” 

๏ บวชเป็นพระในมหานิกาย 

ระหว่างนี้ นายหลวง สอนวงศ์ษา ได้ทำงานรับจ้างทั่วไป โดยเป็นช่างลูกมือการก่อสร้างบ้านและงานอื่นๆ เท่าที่จะหาได้ ทั้งในตัวจังหวัดอุดรธานีหรือแถบใกล้บ้าน เมื่อมีเวลาว่างก็เพียรศึกษาอ่านหนังสือธรรมะ และฝึกนั่งสมาธิตามตำราควบคู่กันไป ได้เห็นผู้คนรอบข้างต้องดิ้นรนทำมาหากิน ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้าอยู่แทบทุกวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ วนเวียนอยู่เช่นนั้นเป็นกิจวัตร จะหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย ต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตตนเองและครอบครัวอยู่ได้ บ้างก็พยายามสะสมเงินทองทรัพย์สมบัติ แต่ถึงจะยากดีมีจน มีฐานะ มีหน้าที่ มีชื่อเสียงเช่นไร ต่างก็หนีไม่พ้นที่จะต้องพบกับการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายไปได้ ไม่มีสิ้นสุด ชีวิตคนเราก็เท่านี้ ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากวงเวียนแห่งกรรมเหล่านี้ไปได้ 

นายหลวงยิ่งศึกษาธรรมะจากหนังสือ แม้ไม่มีผู้ใดชี้แนะสั่งสอนเป็นครูบาอาจารย์ คงมีแต่หลวงลุงที่วัดเท่านั้นที่จะพอพึ่งพาปรึกษาได้ในบางเรื่อง ถึงแม้หลวงลุงจะเป็นพระที่บวชในพระศาสนา แต่ท่านก็มีกิจภาระมากมาย ทั้งต้องยุ่งกับเรื่องทุกข์ของชาวบ้านที่มาพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากท่าน ด้วยเหตุที่ท่านเป็นพระที่เก่งทางไสยศาสตร์ ไหนจะสอนงานหนังสือนักธรรมที่ทำอยู่ ก็ไม่พ้นเรื่องยุ่งๆ ทางโลก 

มีแต่หนังสือธรรมะที่หาอ่านได้เท่านั้น พอยึดเป็นแนวทางปฏิบัติได้ จะผิดถูกอย่างไรก็ตามที แต่เมื่อได้ทำสมาธิตามหนังสือแล้ว ก็เกิดผลจนน่าพอใจในระดับหนึ่ง จุดใดที่สงสัยก็ยังติดอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถแก้ได้เอง คงทำตามความเข้าใจของตนเองเท่าที่ทำได้เท่านั้น ใจหนึ่งก็คิดอยากจะบวชเรียน เพื่อที่จะได้มีเวลาอ่านหนังสือและศึกษาธรรมให้เต็มที่ จะได้แสวงหาครูบาอาจารย์มาช่วยชี้แนะสั่งสอน ก็ได้แต่เพียงคิดดำริไว้ในใจเท่านั้น ยังหาโอกาสปล่อยวางภาระหน้าที่ไม่ได้สักที 

จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปช่วยอาทำการก่อสร้างกฏิพระที่วัด ก็ได้ปรารภกับอาว่า ถ้าได้บวชก็จะดี เพราะตอนนี้ก็มีอายุครบบวชได้แล้ว ได้ปรึกษากับญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วย อนุญาตให้ได้บวชตามประสงค์ 

ครั้นเมื่อมีอายุได้ 22 ปีเต็มบริบูรณ์ ก็มีจังหวะที่ว่างเว้นจากหน้าที่การงาน หลวงลุงก็ได้ชวนให้บวชและไปอยู่ด้วยที่วัด จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในสังกัดมหานิกาย เช่นเดียวกับหลวงลุง คือ พระอาจารย์สีทอง พนฺธุโล ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “ขนฺติพโลภิกฺขุ” ณ พัทธสีมาวัดศรีรัตนาราม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ นั่นเอง 

พรรษาแรก 

เมื่อได้บวชเป็นพระสมดังใจแล้ว ในพรรษาแรก พระภิกษุหลวง ขนฺติพโล ก็ได้อยู่จำพรรษาในวัดที่หลวงลุงเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ได้ช่วยปฏิบัติรับใช้และศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม จนสามารถสอบนักธรรมชั้นตรีได้ ด้วยความเอาใจใส่ฝึกฝนและขยันท่องบ่นอ่านหนังสือ จนในบางครั้งครูที่สอนนักธรรมก็ให้ท่านช่วยสอนแทนในบางโอกาส พระหลวงก็ตั้งใจทำตามความสามารถ ทั้งยังช่วยหลวงลุงดูแลกิจของสงฆ์เป็นอันดี จนเป็นที่รักและไว้วางใจของทุกคนทั้งพระผู้ใหญ่และหมู่เพื่อน ถึงงานจะมากแต่ท่านก็ไม่ทิ้งกรรมฐาน คงหาโอกาสทำความเพียรโดยอาศัยตำราเป็นครูสอน เพราะเห็นผลจากการทำสมาธิแล้วว่า ช่วยให้มีความทรงจำดีและสติมั่นคงเช่นไร อาทิเช่น สามารถท่องจำบทสวดมนต์ได้หมดภายในเวลาเพียง ๒ วัน แต่ไม่จบปาฏิโมกข์เพราะไม่สบายเสียก่อน 

พรรษาที่ ๒ เห็นความไม่แน่นอน 

พระภิกษุหลวง ขนฺติพโล ได้พยายามใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะเมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ด้วยใจศรัทธาที่มีอยู่อย่างแรงกล้าตั้งแต่ครั้งที่เป็นฆราวาสได้เพิ่มขึ้น เป็นทวีคูณ มีความตั้งใจที่จะเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ดีตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ที่ได้ อ่านพบ จึงได้หมั่นปฏิบัติสมาธิภาวนา จนพระที่บวชอยู่ด้วยกันรู้สึกแปลกใจในการกระทำ บางองค์ถึงแม้บวชมากว่า ๒๐ พรรษา ก็ยังมาถามท่านว่า “ปฏิบัติหลายๆ ทิ้งกรรมฐานแล้วบ่” ซึ่งพอท่านได้ยินผู้ถามเช่นนั้น ก็รู้สึกสลดสังเวชใจที่พระทั่วไปส่วนใหญ่ถึงบวชมานานเพียงใด ก็ยังไม่มีความเข้าใจในกรรมฐานอย่างแท้จริง ไม่เข้าใจว่ากรรมฐานคืออะไร แต่ท่านก็ไม่ได้แสดงอาการโต้ตอบอย่างไร คงวางเฉยแล้วทำความเพียรต่อไปตามปกติ แต่เมื่อถูกพระผู้นั้นถามบ่อยๆ เข้า ท่านก็ตอบกลับไปว่า “ทิ้งได้อย่างไร” พลางเอามือจับที่เส้นผม แล้วพูดว่า “กรรมฐานคือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่แหละ” จากนั้นมาก็ไม่มีใครมาถามท่านในเรื่องเช่นนี้อีกเลย 

การบวชเป็นพระภิกษุต้องมีความศรัทธาและมีความอดทน ทั้งต่อกิเลสกามและวัตุกาม ที่อยู่รายรอบและนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานมาช้านาน หากไม่รู้จักหักห้ามจิตและอดทนแล้ว ก็ย่อมต้องพ่ายแพ้ต่อภัยกิเลสทั้งหลายได้โดยง่าย มักจะอยู่ได้ไม่ยืดไม่ทน หรือหากอยู่ได้นานก็เพราะจำทนอยู่ไม่มีหนทางที่ไปทำอย่างอื่น จึงจำเป็นต้องเป็นพระอยู่อย่างนั้น ยิ่งอยู่นานวันก็ยิ่งทำผิดพลาด เพราะอาจย่อหย่อนต่ออาบัติโดยไม่รู้ตัว มีแต่จะติดลบเป็นบาปเป็นกรรมมากยิ่งขึ้น ไม่ได้กระทำตนหรือประพฤติปฏิบัติให้เป็นพระที่แท้จริงให้เป็นเนื้อนาบุญที่ ดี 

ในที่สุดพระภิกษุหลายๆ รูปที่เคยบวชอยู่จำพรรษาด้วยกัน รวมทั้งตัวหลวงลุงเองซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีรัตนาราม ยังต้องพ่ายต่อกิเลส พากันลาสิกขาออกไปมีครอบครัวหรือไปทำมาหากินทางโลก พอออกพรรษาต่างลาสิกขาออกไปจนหมด คงเหลือแต่พระภิกษุหลวงเพียงรูปเดียว ก่อนที่หลวงลุงจะสึกก็ยังได้มาชวนให้ท่านลาสิกขาด้วย จะได้ไปช่วยกันทำมาหากิน แต่ท่านไม่เอาด้วยเพราะยังมุ่งมั่นที่จะเป็นพระภิกษุอยู่ในพระพุทธศาสนา คงทำหน้าที่ของความเป็นพระต่อไป แม้จะต้องอยู่เพียงรูปเดียว 

เมื่อวัดแทบร้างเพราะพระภิกษุพากันลาสิกขาออกไปจนเกือบหมด ชาวบ้านญาติโยมก็ได้เห็นว่าพระภิกษุหลวง ขนฺติพโล ซึ่งเหลืออยู่เพียงรูปเดียวนั้น มีความตั้งใจไม่เปลี่ยนแปร ตั้งมั่นอยู่ในเพศบรรพชิต ทั้งยังเป็นพระที่น่านับถือ อีกยังมีวิชาความรู้ติดตัวพอที่จะสามารถเป็นเจ้าอาวาสรูปใหม่ รักษาวัดต่อไปได้ ทางพระผู้ใหญ่ในตำบลก็เห็นสมควรด้วย จึงได้แต่งตั้งให้พระภิกษุหลวง ขนฺติพโล รักษาการเป็นเจ้าอาวาสแทนรูปเดิมที่ลาสิกขาไป ทั้งที่เพิ่งบวชมาได้เพียง ๒ พรรษานี่เอง พระหลวงจึงได้เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่พรรษายังน้อย แต่ก็เป็นที่ยอมรับนับถือของชาวบ้านญาติโยม ได้อยู่ครองดูแลวัดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 

พรรษาที่ ๓ และพรรษาที่ ๔ 

ตลอดพรรษาที่ ๓ และพรรษาที่ ๔ เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ท่านก็มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นด้วย เป็นทั้งหัวหน้าและนักเรียน ช่วงเวลาตอนกลางวันก็เล่าเรียนนักธรรม ตกตอนกลางคืนก็นั่งภาวนา ทำอย่างนี้สลับกันไป จนกระทั่งสามารถสอบผ่านนักธรรมได้ มีความรู้ความสามารถมากขึ้น

๏ ฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่น

ครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ขณะที่เดินทางไปกราบมนัสการ พระธาตุพนม ได้ผ่านไปทางจังหวัดสกลนคร ก็ได้แวะไปกราบเยี่ยม หลวงปู่แว่น ธนปาโล ซึ่งขณะนั้นท่านพักอยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านโคก อ.เมือง (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.โคกศรีสุพรรณ) จ.สกลนคร ในฐานะที่หลวงปู่แว่นท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เมื่อหลวงปู่แว่นทราบว่าหลวงปู่หลวงมีความสนใจในการปฏิบัติกรรมฐาน อาจเป็นด้วยเคยมีบารมีธรรมเกื้อกูลกันมา ท่านจึงได้ชักชวนให้เข้าไปกราบ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น ซึ่งในขณะนั้นท่านได้อยู่จำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านโคกนั้นพอดี

เมื่อได้เข้าพบและมีโอกาสได้รับฟังการอบรมจากท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งขณะนั้นท่านได้ชราภาพมากแล้ว แต่ก็ยังคงแสดงธรรมได้อย่างพิศดารจับใจเป็นยิ่งนัก ใครได้ฟังก็รู้สึกซาบซึ้งใจในข้ออรรถข้อธรรมที่ท่านแสดง ซึ่งแต่ละคำแต่ละประโยค ล้วนมีข้อคิดลึกซึ้งและมีคำอธิบายได้แจ่มแจ้ง ช่วยให้เกิดความตื่นตัวและรักที่จะปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นไปอีก ช่วงระหว่างที่ท่านแสดงธรรม ทุกคนที่นั่งฟังต่างนิ่งสงบแทบไม่ไหวติง ต่างอยู่ในอาการถึงพร้อมด้วยสติที่จะน้อมรับนำพาธรรมะที่ท่านบรรยายมา ให้เข้าสู่จิตใจและปฏิบัติตามโดยมิย่อท้อ แม้พวกสามเณรในที่นั้นยังต้องแอบฟังด้วยใจจดจ่อด้วยไม่มีพื้นที่พอที่จะขึ้น ไปฟังบนกุฏิที่แสดงธรรมของท่านได้ เพราะแต่ละคืน แต่ละคราวที่ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงธรรมจะมีบรรดาพระเถรานุเถระที่เป็นศิษย์ ในสายปฏิบัติ นั่งฟังอยู่เต็มไปหมด

ในอุบายธรรมที่ท่านพระอาจารยน์มั่นได้เทศน์อบรมในวันนั้น มีอุบายช่วงหนึ่งที่หลวงปู่หลวงได้จดจำนำมาพิจารณาเป็นพิเศษ จนเป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจมาจนทุกวันนี้ มิลืมเลือน คือท่านได้เทศน์ว่า “ไปกราบแต่ธาตูพนม มันหลงธาตุ ธาตูโต (ตัวเรา) บ่ไหว้ ไปไหว้แต่ธาตุเพิ้น (คนอื่น) บ่มีหยัง มีแต่ก้อนอิฐ มันหลงธาตุ ปานคนโง่ง่าว ไปค้าขายแต่บ้านอื่น คนฉลาดมีปัญญา ค้าขายอยู่บ้านเจ้าของ ผู้เฒ่าหลงลืม มัดผ้าขาวม้าอยู่บนหัวแล้วไปหาที่อื่น แล่นเหาะแล่นหอบ (วิ่ง) ไปมาจนเหงื่อออก จึงฮู้ว่าอยู่บนหัว” หลวงปู่หลวงได้ฟังดังนั้นแล้วก็นำมาพิจารณา จึงรู้จริงเข้าใจแจ่มแจ้งว่า “ธรรมทั้งหมดมารวมอยู่ในกายนี้”

เมื่อได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นท่านแสดงธรรมจบแล้ว หลวงปู่หลวงก็ได้คลายหายสงสัยว่า ทำไมพระนักปฏิบัติจึงไม่ต้องการแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญอีก

หลังจากได้ไปกราบมนัสการและฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ แล้ว หลวงปู่หลวงก็ได้กลับมาที่วัดศรีรัตนาราม เพื่ออยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม แต่ได้พยายามทำความเพียรในการปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลและสามารถเข้าถึงธรรม อย่างเร็วที่สุดเท่าที่สติปัญญาจำพึงมีพึงทำ โดยมีกิจวัตรข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัด กล่าวคือ กลางวันก็จะไปปฏิบัติหน้าที่ซึ่งต้องรับผิดชอบในตำแหน่งเจ้าอาวาสที่วัดศรี รัตนาราม เขียนบัญชีพระเณรและเอกสารต่างๆ จนมือปวดมือแข็งด้านไปหมด ส่วนตอนกลางคืนก็จะกลับไปปฏิบัติธรรมเร่งความเพียรภาวนาตามลำพัง

แต่งานด้านการศึกษาเล่าเรียนก็ใช่ว่าจะทิ้งเสียทีเดียว คงหมั่นเพียรท่องจำศึกษาด้านนักธรรมควบคู่กันไปด้วยกับงานด้านการปกครองดูแล คณะสงฆ์ เรียกได้ว่าท่านคงหมั่นหาความรู้เข้าใส่ตัวอยู่เสมอ พร้อมทั้งความเพียรปฏิบัติภาวนาไปด้วย จนมีความก้าวหน้าทั้งสองด้านยิ่งขึ้นไป
 
๏ พบหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

หลวงปู่หลวง กตปุญโญ ในสมัยนั้น พอได้คิดว่าความสงบเท่านั้นที่จะนำพาความสุขเกิดขึ้นได้ จึงได้หาโอกาสฝึกฝนนั่งสมาธิภาวนาในยามค่ำคืน โดยบางครั้งก็หลบไปนั่งตามสถานที่เงียบสงบตามป่าใกล้หมู่บ้านอยู่เสมอ ช่วงกลางวันก็กลับมาทำหน้าที่ตามปกติ จนกระทั่งใกล้วันเข้าพรรษา หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ผู้มีศักดิ์เป็นญาติกับท่านและเป็นศิษย์กรรมฐานองค์หนึ่งของท่านพระอาจารย์ มั่น ภูริทฺตตเถระ พระอาจารย์ใหญ่สายกรรมฐานในยุคนั้น ได้กลับจากธุดงค์ผ่านมาเยี่ยมบ้าน และได้พักจำพรรษาที่วัดในบ้านเกิดของท่าน คือ วัดป่าหนองหญ้าปล้อง (ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น วัดสันติสังฆาราม) บ้านบัว ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะศึกษาธรรม และขอคำแนะนำหนทางการปฏิบัติ หลวงปู่หลวงท่านได้ไปกราบเยี่ยมและอยู่อุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่สิมอยู่หลาย เดือน และได้พักจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่สิมในปีนั้นด้วย เมื่อมีโอกาสก็ขอศึกษาอบรมกรรมฐาน ตลอดจนข้อวัตรปฏิบัติจากหลวงปู่สิม ซึ่งหลวงปู่สิมท่านก็ได้ทดสอบอารมณ์และจิตใจของหลวงปู่หลวง ดูว่ามีความตั้งใจและเหมาะที่จะเกิดในสายทางธรรมพระกรรมฐานได้ดีเพียงไร และได้มอบอุบายธรรมตามสมควรให้ด้วยเมตตาธรรม

ภายหลังจากที่หลวงปู่สิมท่านได้ทดสอบจนเป็นที่พอใจแล้วว่า หลวงปู่หลวงมีจิตใจมั่นคงและรู้แนวทางพอที่จะเอาตัวรอดได้แล้ว พอใกล้ถึงเวลาออกพรรษา หลวงปู่สิมได้ดำริว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านจะพาหลวงปู่หลวงออกเดินธุดงค์กรรมฐานสักระยะหนึ่ง เพื่อเป็นการหาประสบการณ์ โดยเลือกเอาป่าเขาภายในบริเวณจังหวัดสกลนครนั่นเอง เพราะสภาพป่าในสมัยนั้นยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ไม่ต้องไปไกลที่ไหนก็สามารถหาที่วิเวกเพื่อพักปฏิบัติได้ง่าย โดยหลวงปู่หลวงได้กระทำตามคำแนะนำและปฏิบัติข้อวัตรยามธุดงค์อย่างเคร่งครัด

ระหว่างนี้หลวงปู่หลวงได้กำหนดจดจำแบบอย่างและปฏิปทาของครูบาอาจารย์ โดยได้สอบถามและเรียนรู้จากหลวงปู่สิมในหลายๆ เรื่อง ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาในพระปฏิบัติกรรมฐานมากขึ้น เพราะแต่เดิมทีนั้นได้เรียนรู้ในภาคทฤษฏีและเรื่องราวของพระปฏิบัติในสาย กรรมฐานจากหนังสือตำราเท่าที่หาอ่านได้เท่านั้น พอได้พบและมีโอกาสออกธุดงค์ปฏิบัติร่วมกับพระกรรมฐานจริงๆ เข้า ก็ยิ่งนำพาความปลาบปลื้มปีติและตื่นเต้นเป็นล้นพ้น

หลวงปู่หลวงได้พยายามตักตวงหาความรู้ และขออุบายธรรมการปฏิบัติจากของจริง จากการปฏิบัติธุดงค์จริงๆ อย่างตั้งใจ ถึงแม้จะเป็นเพียงระยะแรกของการออกธุดงค์ ผลของการฝึกจิตยังไม่ได้ผลละเอียดดีนักก็ตาม แต่ก็เป็นแนวทางพอประคับประคองจิตให้อยู่ในความสงบได้ ต่อจากนั้นเป็นเรื่องของการฝึกตนเองเพื่อสร้างสมอินทรีย์ให้แก่กล้า ต้องบ่มตนเองทั้งกายและใจให้แข็งแกร่ง จะได้มีความอาจหาญที่จะสู้รบกับกิเลสทั้งหลายได้

เมื่อได้อยูปฏิบัติธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่สิมนานพอสมควร หลวงปู่สิมท่านเห็นว่าสมควรปล่อยให้หลวงปู่หลวงไปหาประสบการณ์ปฏิบัติภาวนา ด้วยตนเองได้แล้ว จะได้หาโอกาสพบครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ซึ่งยังมีอีกมากที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หากเกิดติดขัดในการปฏิบัติตรงข้อใด ก็ให้ไปแสวงหาคำตอบจากครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ บ้าง ซึ่งแต่ละท่านนั้นจะมีอุบายธรรมและประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป แต่หัวใจคือข้อธรรมที่เกิดขึ้นนั้นองค์สมเด็จบรมครู คือ ผู้มีพระภาคเจ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงเป็นผู้ค้นพบ และวางไว้เป็นแนวทางให้ยึดปฏิบัติตาม หลวงปู่สิมท่านจึงขอปลีกตนออกแสวงหาความวิเวกตามลำพังของท่านไปเรื่อยๆ
๏ พบครูบาอาจารย์

ระหว่างที่ท่องธูดงค์ไปเรื่อยๆ นั้น ก็มีโอกาสได้พบและได้เข้าฟังธรรมพร้อมทั้งฝึกวิปัสสนากับพระอาจารย์ในสาย กรรมฐานอีกหลายๆ รูป เช่น หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้น ถึงแม้ว่าขณะนั้นพระหลวง จะยังเป็นพระอยู่ในฝ่ายมหานิกายก็ตาม ครูบาอาจารย์เหล่านั้นก็ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจแต่ประการใด ทั้งยังได้เมตตาช่วยชี้แนะสอนสั่งให้อุบายธรรมและแก้ข้อปัญหาที่ติดขัดให้ อย่างดี เพราะท่านเหล่านั้นเห็นว่าพระหลวงมีความตั้งใจและสนใจในการปฏิบัติธรรมเพื่อ ความหลุดพ้น มีแววว่าต่อไปจะเป็นกำลังสำคัญช่วยเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนในทางสายวิปัสสนา กรรมฐานได้ ชาวบ้านจะได้มีที่พึ่งอันควรแก่การกราบไหว้เคารพบูชา ได้มีเนื้อนาบุญที่ดี (ซึ่งในกาลต่อมาก็เป็นเช่นดังนั้นจริงๆ)
 
๏ พระอาจารย์ใหญ่ละสังขาร 

ในราวปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ข่าวท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ อาพาธได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว บรรดาพระกรรมฐานที่เป็นศิษยานุศิษย์เมื่อได้ทราบข่าว ต่างพากันเดินทางมากราบเยี่ยมดูแลท่านมิขาดสาย ท่านพระอาจารย์มั่นถึงจะยิ่งใหญ่ในสายทางธรรมสักเพียงใด ท่านก็ยังไม่สามารถหลีกหนีพ้นจากกฎแห่งการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ไปได้ อันเป็นเรื่องธรรมดาของสังขาร 

ระยะสุดท้ายของชีวิตท่าน คือตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เป็นต้นมา ท่านพระอาจารย์มั่นได้ปักหลักพำนักเผยแผ่พระธรรมคำสอน อยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านโคกและที่บ้านนามน ต.หนองโขบ อ.เมือง จ.สกลนคร รวม ๓ พรรษา จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ท่านจึงได้ย้ายมาพักอยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร อีก ๕ พรรษา จนใกล้วาระสุดท้ายแห่งชีวิต ช่วง ๘ ปีสุดท้ายในวัยชรานี้ ท่านพระอาจารย์มั่นได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนบรรดาศิษยานุศิษย์เป็นประจำทุก วันอย่างปกติ จะพิเศษก็ตรงที่ใจความข้อธรรมที่ถ่ายทอดหลั่งไหลออกมานั้น จะบ่งชัดชี้แนะและมีความเข้มลึกซึ้งมากกว่าเดิม ท่านจะพูดเตือนพระเณรให้มีความตั้งใจเร่งปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะงานทางจิตภาวนาถือเป็นงานสำคัญที่ทุกคนจะต้องแก้ต้องทำ การอยู่ร่วมกันใช่ว่าจะจีรัง กายสังขารของเราก็เช่นกันอย่าคิดว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไป ความไม่แน่นอนนั้นเที่ยงแท้กว่าทุกสิ่ง เพราะท่านรู้ตัวเองว่ามีเวลาเหลือน้อยลงทุกวันแล้ว ทั้งยังได้เคยพยากรณ์ตนเองว่าจะมีอายุสังขารเพียง ๘๐ ปี ซึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ นี้ ท่านก็จะมีอายุครบ ๘๐ ปีพอดี 

ท่านยังเคยได้ปรารภต่อศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระผู้ใหญ่ว่า “หากท่านตายลง ณ บ้านหนองผือนี้ สัตว์ก็ต้องตายตามไม่ใช่น้อย ถ้าตายที่วัดป่าสุทธาวาส ก็ค่อยยังชั่วเพราะมีตลาด” 

จะเห็นได้ว่าท่านพระอาจารย์มั่นได้เล็งเห็นความสำคัญของชีวิตสัตว์ ที่จะต้องมาตายเพราะถูกฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาทำอาหารเลี้ยงดูพระและผู้คนในงาน ศพ ท่านจึงไม่ปรารถนาให้สัตว์ในเขตบ้านหนองผือต้องตายตกไปตามกันเพราะท่านเป็น เหตุ แต่ที่วัดป่าสุทธาวาส ซึ่งตั้งอยู่ในเขต อ.เมือง จ.สกลนคร นั้นอยู่ใกล้ตลาดสดมีการขายเนื้ออยู่เป็นปกติ หาซื้อได้ง่าย ไม่ต้องมีการฆ่าเพื่อเอาเนื้อมากมายนัก 

ดังนั้น เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นมีอาการอาพาธหนัก คณะศิษยานุศิษย์จึงได้ทำการเคลื่อนย้ายสรีระสังขารท่านมาพักรักษาที่เสนาสนะ ป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อม ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เพราะสะดวกต่อหมอในการมาตรวจรักษา และศิษยานุศิษย์ก็มากราบเยี่ยมถวายการปรนนิบัติดูแลได้ง่าย อาการของท่านก็มีแต่ทรงกับทรุด จะสงบระงับบ้างก็เพียงชั่วคราว ได้พักรักษาท่านที่นั่นประมาณ ๑๐ วัน 

ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ อาการป่วยของท่านก็เริ่มกำเริบ จึงได้จัดการเคลื่อนย้ายสังขารท่านมายังวัดป่าสุทธาวาสโดยทางรถยนต์ เพื่อเฝ้าดูอาการในระยะสุดท้าย บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายต่างห่วงใยเฝ้ารอฟังอาการของท่านด้วยความสงบแต่จด จ่อ ในที่สุดท่านพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์ใหญ่ในสายวิปัสสนาธุระอันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของทุกคน ก็ได้ค่อยจากไปด้วยอาการสงบ ท่ามกลางหมู่ศิษย์และผู้ใกล้ชิดทั้งหลาย สิริอายุได้ ๘๐ ปี ตรงตามที่ท่านได้เคยกำหนดไว้ ในเวลาราวตีสองกว่าๆ ตรงกับวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร 

กำหนดการถวายพระเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น ได้กำหนดให้มีขึ้นในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล ในช่วงปลายเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ คณะสงฆ์ผู้ใหญ่และหมู่ศิษย์ทั้งพระภิกษุสามเณรตลอดจนฆราวาสที่เคารพนับถือ ท่าน จากทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้-ไกล ได้พร้อมใจกันเดินทางมาร่วมงานในวันนั้นเพื่อเป็นการแสดงความระลึกถึงพระ เถระผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งกล้าเผชิญกับความตายโดยไม่หวาดหวั่น ไม่มีอาการสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย 

บรรดาศิษยานุศิษย์ผู้มั่นคงแก่กล้าในทางธรรม ถึงจะมีความสลดสังเวชขึ้นในใจ ก็ไม่ได้แสดงออกซึ่งอาการเสียใจให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะได้พิจารณาเห็นเป็นเรื่องธรรมดาของกายสังขาร ต้องมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ และต้องตายไปในที่สุด อันเป็นวังวนของวัฏสงสาร 

สำหรับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ผู้กล้าองค์นี้แล้ว บรรดาศิษยานุศิษย์ต่างเชื่อมั่นแน่ว่า ท่านพ้นแล้ว ไปดีแล้ว ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตาย-เกิดในโลกอันวุ่นวายนี้อีกแล้ว เพราะว่าท่านสามารถตัดและสละหลุดพ้นในวัฏฏะได้เป็นที่แน่นอนแล้ว ป่วยการที่จะมัวเศร้าโศรกเสียใจกับการจากไปของท่าน 

แต่ก็เป็นการยากสำหรับศิษยานุศิษย์บางท่านบางคน เพราะได้อยู่ใกล้ชิดคอยอุปัฏฐากปฏิบัติรับใช้ท่านมานาน ได้ยินได้ฟังและได้เห็นทั้งคำพูดคำสอน อันเป็นโอวาทและจริยาท่าทางการทำข้อวัตรของท่านอยู่เป็นนิจ ความผูกพันย่อมมีขึ้นได้มากอย่างสุดหัวใจ เหมือนดั่งพระอานนท์ที่คอยอยู่ถวายการอุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้า ในยามที่พระพุทธองค์จะทรงละสังขารเข้าสู่ปรินิพพานเป็นที่สุดนั้น พระอานนท์ยังอดไม่ได้ที่จะแอบร้องไห้ด้วยความอาดูรเป็นยิ่งนัก กว่าจะรู้สึกตัวตนทำใจได้ ท่านก็ต้องใช้เวลาพอสมควร 

ส่วนสำหรับผู้ที่ยังทำใจไม่ได้ โดยทั่วไปก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องโศการำพัน เพราะความที่ตนยังเข้าไม่ถึงธรรม ไม่เข้าใจในธรรมนั่นเอง

๏ แปรญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย 

ภายหลังจากที่เสร็จสิ้นงานประชุมเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ แล้วได้ประมาณ ๑๐ วัน พระภิกษุหลวง ขนฺติพโล ก็ได้เข้าไปกราบลาเจ้าคณะอำเภอพรรณานิคม โดยให้เหตุผลว่า “กระผมขออนุญาตไปศึกษาธรรมทางภาคเหนือ เพื่อเพิ่มพูนปัญญาในทางธรรม” ทางเจ้าคณะอำเภอท่านก็อนุญาตแต่โดยดี 

ราวต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๓ นั่นเอง หลวงปู่หลวงก็ได้เก็บข้าวของและนำไปเฉพาะเครื่องอัฐบริขารที่จำเป็นในการ ธุดงค์ แล้วออกรอนแรมเดินทางมุ่งสู่ภาคเหนือ โดยตั้งใจว่าจะไปกราบหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ซึ่งได้ข่าวว่าท่านพักจำพรรษาอยู่ที่ วัดสันติธรรม ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อไปถึง จ.เชียงใหม่ และได้ไปกราบหลวงปู่สิมที่วัดสันติธรรมสมความตั้งใจแล้ว หลวงปู่หลวงก็ได้ไปกราบเรียนปรึกษาถึงเรื่องการแปรญัตติใหม่ เพื่อเป็นพระในสังกัดธรรมยุติกนิกาย ซึ่งหลวงปู่สิมท่านเมตตาเห็นชอบด้วย อนุญาตและแนะนำให้ไปหาหลวงปู่แว่น ธนปาโล ที่ วัดถ้ำพระสบาย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง เพื่อที่จะเป็นธุระแทนท่านในการนี้ 

ทางหลวงปู่แว่นท่านก็ยินดี ได้จัดแจงเตรียมการเป็นธุระให้ในหลายๆ เรื่อง ส่วนตัวหลวงปู่หลวงนั้นได้ย้ายไปตระเตรียมเครื่องอัฐบริขารในการบวชที่ วัดป่าสำราญนิวาส ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง โดยได้ทำการตัดเย็บและย้อมผ้าสบงจีวรตลอดจนสังฆาฏิด้วยตนเองจนเสร็จเรียบ ร้อย โดยได้มีคณะศรัทธาญาติโยมใน อ.เกาะคา ร่วมเป็นเจ้าภาพ ได้ทำการแปรญัตติใหม่เป็นพระในสังกัดธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ ๙ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ณ พัทธสีมาวัดเชตวัน ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง โดยมีท่านพระครูธรรมาภิวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงปู่แว่น ธนปาโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ 

(ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ กำลังสร้างวัดสันติสุขขาราม อ.เถิน จ.ลำปาง) หลวงปู่หลวงท่านได้รับนามฉายาใหม่ว่า “กตปุญฺโญภิกขุ” มีอายุขณะนั้นได้ ๒๙ ปี เริ่มนับพรรษาใหม่ จากเดิมที่บวชเป็นพระในมหานิกายมาได้ ๘ พรรษา ในการบวชวันนั้นได้มี ท่านพระอาจารย์บัวไข สนฺตจิตโต (ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดสันติสังฆาราม จ.สกลนคร) มาร่วมบวชเป็นสามเณรด้วย 

๏ จากวัดป่าสำราญนิวาสถึงวัดถ้ำพระสบาย 

ขอแทรกเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของวัดป่าสำราญนิวาส และวัดถ้ำพระสบายไว้ ณ ที่นี้สักเล็กน้อย 

แรกเริ่มเดิมทีในราวก่อน พ.ศ. ๒๔๘๖ อยู่หลายปี ได้มีพ่อค้าขายของคนหนึ่งชื่อว่า นายวงศ์ เป็นคนบ้านหนองแหวน ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง ทำการซื้อของจากเมืองพม่าแล้วนำไปขายทางภาคอีสาน แถบ จ.นครราชสีมา เรื่อยไปจนถึงเขต จ.อุบลราชธานี จนไปมีครอบครัวอยู่ที่ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี จึงได้ตั้งหลักทำมาหากินอยู่ที่นั่นจนมีลูกหลานหลายคน 
ขณะนั้น ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ และท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถระ เป็นพระนักปฏิบัติพระกรรมฐานที่มีชื่อเสียงมากในเขต จ.อุบลราชธานี จ.สกลนคร และหลายจังหวัดด้านอีสานติดริมแม่น้ำโขง มีสาธุชนชาวบ้านจำนวนมากเคารพนับถือท่านพระอาจารย์ทั้งสอง ทั้งพระภิกษุ-สามเณร และฆราวาส ต่างพากันสนใจติดตามไปฟังธรรมจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาไปตามๆ กัน 

นายวงศ์ในขณะนั้น มีครอบครัวอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี เป็นผู้ที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากคนหนึ่งเช่นกัน เมื่อได้ยินข่าวว่าท่านพระอาจารย์ทั้งสองได้ธุดงค์กรรมฐานไปยังสถานที่ใกล้ๆ บ้าน ก็ได้หาโอกาสเข้าไปกราบและฟังธรรมพร้อมด้วยชาวบ้านญาติโยมจำนวนหนึ่ง

เมื่อได้ยินได้ฟังข้อธรรมคำสอนที่ท่านพระอาจารย์ทั้งสองได้ร่วมกันแสดงและ ตอบปัญหาธรรม ต่างก็รู้สึกกินใจและซาบซึ้ง โดยเฉพาะนายวงศ์ได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาอย่างมาก ถึงกับคิดจะละวางภาระทางครอบครัว ออกบวชปฏิบัติติดตามท่านพระอาจารย์ทั้งสองไปด้วย ได้บอกลาขออนุญาตลูกเมียเพื่อออกบวช ทางครอบครัวก็ไม่ขัดข้องแต่ประการใด จึงได้มาบวชปฏิบัติอยู่กับท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถระ ที่ วัดเลียบ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ได้รับนามฉายาว่า “ขนฺติสาโรภิกขุ” 
  
ครั้นอยู่มาได้ ๔ พรรษา หลวงพ่อวงศ์ ขนฺติสาโร ได้รำลึกคุณของบิดา-มารดาที่ตายไปแล้ว เกิดความปรารถนาที่จะทำบุญอุทิศให้แก่ท่านทั้งสอง หลวงพ่อวงศ์จึงได้ลาครูบาอาจารย์เดินทางกลับมายัง จ.ลำปาง บ้านเกิดถิ่นปิตุภูมิ-มาตุภูมิที่บ้านหนองแหวน ได้มาพักรุกขมูลอยู่ใกล้กับโรงงานน้ำตาลไทย และวัดไร่อ้อย 

เมื่อคณะศรัทธาชาวบ้านที่อยู่ที่โรงงานน้ำตาลไทย ได้เห็นมีพระธุดงค์มาปักกลดพักอยู่ ณ ที่นั้น จึงได้มาสนทนาด้วยจนกระทั่งเกิดความเลื่อมใสในตัวหลวงพ่อวงศ์ ด้วยเห็นว่าท่านเป็นคนบ้านดียวกัน คือเป็นคนถิ่นเหนือเมืองลำปางเช่นเดียวกัน จึงได้ช่วยกันบำรุงอุปัฏฐากเป็นประจำ โดยนิมนต์ให้พักอยู่ที่ตรงใต้ต้นฉำฉา (จามจุรี) ใกล้กับโรงงานน้ำตาลไทย (ทางด้านทิศใต้ของวัดป่าสำราญนิวาส ในปัจจุบันนี้) 

พอออกพรรษาในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ แล้ว หลวงพ่อวงศ์ ขนฺติสาโร ท่านจะออกเดินธุดงค์กรรมฐานต่อไป แต่คณะศรัทธาชาวบ้านในโรงงานน้ำตาลไทยเกิดมีศรัทธาแก่กล้าที่จะสร้างวัดถวาย เพื่อที่จะได้มีวัดฝ่ายปฏิบัติสักแห่งเกิดมีขึ้นในเมืองลำปางนี้ จึงได้นิมนต์ให้หลวงพ่อวงศ์ช่วยเป็นประธานในการสร้างวัดแห่งนี้ แต่ทางหลวงพ่อวงศ์ได้ปฏิเสธไปโดยบอกว่า “ท่านเป็นพระบวชเมื่อแก่ ไม่มีวาสนาบารมีพอที่จะสร้างวัดวาอารามขึ้นมาได้ หาก พวกญาติโยมต้องการจะสร้างวัดขึ้นมาจริงๆ ก็ให้ไปนิมนต์พระที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ซึ่งอยู่ที่วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ โน่นเถอะ” 

ขณะเดียวกันหลวงปู่แว่น ซึ่งในพรรษานั้นได้จำพรรษาร่วมกับหลวงปู่สิม ที่ วัดป่าโรงธรรมสามัคคี ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ในช่วงกลางพรรษาหลวงปู่แว่นได้ตั้งสัจจะอธิษฐานขึ้นว่า “ในภาคเหนือนี้จะมีที่ใดหนออันจะเป็นสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านจะได้ทำให้เกิดมีขึ้นสักแห่งหนึ่ง” 

๏ สร้างสำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต 

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ หลวงปู่หลวงได้ไปสร้าง “สำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต” ขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นวัดสาขาของวัดป่าสำราญนิวาส โดยสำนักสงฆ์ฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านทุ่งสามัคคี ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง โดยมีนายระวุฒิ แจ้งมงคล ซึ่งเป็นคนจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้ถวายที่ดินให้กับหลวงปู่ 

ครั้งแรกหลวงปู่ได้เดินทางกลับจากวัดป่าสำราญนิวาส ไปดูสถานที่ก่อน ซึ่งในขณะนั้นการเดินทางลำบากมาก ทางรถยนต์เข้าเกือบไม่ได้ เพราะเป็นทางรถเครื่อง (รถมอเตอร์ไซต์) ของชาวบ้านที่ไปหาของป่ามาขาย พอไปถึงหลวงปู่หลวงก็บอกว่า “เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการบำเพ็ญสมณธรรมมาก เพราะเป็นที่ห่างไกลจากหมู่บ้านพอสมควร และอากาศก็ปลอดโปร่งเย็นสบาย” 
หลวงปู่จึงได้จุดธูป ๕ ดอก บอกกับเจ้าที่เจ้าทางในสถานที่นั้นให้ได้รับทราบ จึงถือได้ว่าสำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ นี้เอง จากนั้นก็ได้มีการสร้างกุฏิและศาลาชั่วคราวหลังเล็กๆ พอที่จะเป็นที่อยู่อาศัยและทำวัตรไหว้พระสวดมนต์และเป็นที่ฉันเช้าได้ ต่อมาก็ได้มีการพัฒนา มีการก่อสร้างหลายๆ อย่างตามมา คือ สร้างกุฏิถาวร สร้างศาลาหลังใหม่ให้มั่นคงแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม และได้ทำการสร้างถนนลาดยางเป็นทางเข้าสำนักสงฆ์แห่งใหม่เป็นที่เรียบร้อย จนการเดินทางสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า 

หลวงปู่หลวงได้ไปอยู่จำพรรษาอย่างเป็นจริงเป็นจังที่สำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต เมื่อเข้าพรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยอยู่จำพรรษาติดต่อกันเป็นระยะเวลา ๓ ปี คือ ปี พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๓๙ แต่หลวงปู่หลวงจะกลับลงไปที่วัดป่าสำราญนิวาสบ้างในบางโอกาส เช่น เมื่อมีญาติโยมนิมนต์เพื่อทำบุญ มีการบวชพระ หรือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หรือเป็นวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หลวงปู่ก็จะไปเทศน์โปรดคณะศรัทธาญาติโยม แล้วพักค้างคืนหนึ่งคืน พอเช้าวันใหม่ฉันเช้าเสร็จแล้วก็จะกลับขึ้น วัดดอยฯ (หลวงปู่หลวงจะเรียก สำนักสงฆ์คีรีสุบรรพต ว่า วัดดอยฯ) เพื่อพักผ่อนและบำเพ็ญในกิจวัตร-ข้อวัตร 

ในช่วงแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ การเป็นอยู่ลำบาก โดยเฉพาะการเดินทางระยะทางจากหมู่บ้านเข้าไปถึงสำนักสงฆ์ฯ ยิ่งเป็นหน้าฝนการเดินทางก็สุดแสนจะยากลำบากเพราะถนนไม่ดี เป็นทางวัวควายเดินและชาวบ้านเดินทางไปหาของป่า ถนนหนทางเต็มไปด้วยโคลนตม มีอยู่หลายครั้งที่การเดินทางจะต้องเสียเวลาไปหลายชั่วโมงเพราะรถของหลวงปู่ ติดหล่ม เดินทางต่อไปไม่ได้ ต้องเรียกพระเณรในวัดมาช่วยกันเข็นรถขึ้นจากหล่มก่อนจึงเดินทางต่อไปได้ บางทีกว่าจะขึ้นได้ ต้องเสียเวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว 
ในช่วงปีแรกที่อยู่จำพรรษาไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่แทน ซึ่งใช้เฉพาะในกุฏิหลวงปู่ที่เดียว ส่วนของพระเล็กเณรน้อยต้องอาศัยจุดตะเกียงหรือจุดเทียนพอให้ได้แสงสว่าง 

สำหรับช่วงจำพรรษา ๓ เดือน เป็นฤดูฝนจะมียุงชุมมาก ขณะนั่งทำวัตร-สวดมนต์ไปก็ต้องไล่ยุงไปด้วย เพราะตอนนั้นมุ้งลวดยังไม่มีใช้ จุดยากันยุงก็ไม่หนี ถ้าจุดมากพระเณรก็เมายากันยุงกันเสียก่อนอีก หลวงปู่ท่านจึงมักพูดบ่อยๆ ว่าอยู่ที่วัดดอยฯ นี้ต้องอดทนทุกอย่าง 

ในระยะหลังจากนั้นมา จึงได้รับการพัฒนามาเป็นระยะๆ คือ ทำเรื่องของไฟฟ้าเข้ามาไว้ใช้ในวัด และจ้างบริษัทของเอกชนเข้ามาบุกเบิกทำถนนลาดยางเข้าวัด โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากทางราชการเลย แต่ด้วยอาศัยจตุปัจจัยกำลังทรัพย์จากคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่หลวงเองทั้ง นั้น ทั้งจากใน จ.ลำปาง กรุงเทพฯ และในจังหวัดต่างๆ เพราะเวลาหลวงปู่หลวงไปกิจนิมนต์ในที่ต่างๆ หลวงปู่ก็จะบอกคณะศรัทธาญาติโยมว่ากำลังก่อสร้างสิ่งนั้นๆ อยู่ คณะศรัทธาญาติโยมก็จะเป็นธุระช่วยกันสละทุนทรัพย์คนละเล็กละน้อยตามกำลัง ศรัทธา แล้วหลวงปู่ก็จะนำปัจจัยเหล่านั้นมาบำรุงพัฒนาภายในวัดให้เจริญก้าวหน้าต่อ ไปเป็นลำดับ
๏ การอาพาธและการมรณภาพ 

 พระครูการุณยธรรมนิวาส (หลวงปู่หลวง กตปุญฺโญ) ได้ละสังขารด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ เวลา ๐๑.๑๐ น. ซึ่งตรงกับวันปวารณาเข้าพรรษา ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพฯ สิริอายุ ๘๒ ปี
-----
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco