ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ๏
วันนี้วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ครบรอบ ๑๓๖ ปี ชาตกาลหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดอรัญญวิเวก อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม / วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ "พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน" ท่านเป็นศิษย์องค์หนึ่งที่หลวงปู่มั่นไว้วางใจ และมักพูดกับสานุศิษย์ทั้งหลายว่า “ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ” หลวงปู่ตื้อ ท่านมีอุปนิสัยขวานผ่าซากในวาจา โผงผางไม่กลัวใคร มีเทศนาโวหารที่ไม่เคยไว้หน้าใครไม่ว่าคนมั่งมีหรือยาจก ท่านใช้คำพูดเหมือนกันหมด พูดตรงๆ ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง หลวงปู่ตื้อ ท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อ กับ หลวงปู่แหวน มักจะเดินธุดงค์ไปด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่อุปนิสัยของหลวงปู่ทั้งสององค์นี้ผิดกันไกล แต่ท่านก็ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นามเดิม "ตื้อ" นามสกุล "ปาลิปัตต์" ท่านถือกำเนิด ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๓๑ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีชวด ณ บ้านข่า ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
• #อุปสมบท
เป็นพระภิกษุในฝ่ายมหานิกาย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ ได้ ๑๙ พรรษา จึงญัตติเป็นพระภิกษุในฝ่ายธรรมยุตินิกาย
• #ญัตติเป็นพระธรรมยุต
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑ ที่วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมี ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ สิริจันโท) เป็นพระอุปัชฌาย์
• #สำรวจถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า
ครั้งหนึ่งหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้พาคณะศิษย์ออกธุดงค์ไปทางเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ไปถึงเขตอำเภอเชียงดาว ได้พำนักปฏิบัติอยู่ที่ถ้ำเชียงดาวระยะหนึ่ง
วันหนึ่ง หลวงปู่มั่นได้นิมิตเห็นถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า อยู่บนดอยเชียงดาวสูงขึ้นไป เป็นถ้ำที่สวยงาม กว้างขวาง สะอาด อากาศโปร่ง เหมาะที่จะเป็นที่พักบำเพ็ญเพียรภาวนามาก
ถ้ำนั้นอยู่บนดอยที่สูงมาก ยากที่ใครจะขึ้นไปถึงได้ ต้องใช้ความอดทนพยายามที่สูงมาก รวมทั้งมีพลังใจที่กล้าแข็งจริงๆ จึงจะขึ้นไปได้
หลวงปู่มั่นต้องการให้พระลูกศิษย์ขึ้นไปสำรวจถ้ำแห่งนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่า นอกจากหลวงปู่ตื้อแล้วยังไม่เห็นใครเหมาะสมที่จะขึ้นไปได้ จึงได้บอกให้หลวงปู่ตื้อเดินทางขึ้นไปสำรวจดูถ้ำแห่งนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว หลวงปู่ตื้อพร้อมกับพระอีก ๓ รูป ได้พากันออกเดินทางขึ้นสูยอดดอยเชียงดาว เพื่อสำรวจดูถ้ำตามภาระที่ได้รับมอบหมายจากพระอาจารย์ใหญ่
หนทางขึ้นสูยอดดอยสุดแสนจะลำบาก เพราะต้องปีนเขาสูง ไม่มีทางอื่นที่จะเดินลัดหรือเลาะเลี้ยวไปตามเชิงเขา ต้องปีนป่ายเหนี่ยวเกาะไปตามแง่หิน รั้งตัวขึ้นไป ซึ่งเสี่ยงอันตรายมาก
หลวงปู่ตื้อ เล่าให้สานุศิษย์ฟังว่า ยิ่งสายก็ยิ่งเหนื่อย บางแห่งทางแคบมากจริงๆ ต้องเดินเอี้ยวหลบเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น บางช่วงต้องปีนป่ายและห้อยโหนเพราะไม่มีทางเลี่ยงอื่น ต้องเสี่ยงชีวิตเอา
คณะของหลวงปู่ตื้อ ปีนป่ายถึงยอดเขาประมาณ ๕ โมงเย็น แต่ไม่มีวี่แววว่าจะพบถ้ำ และไม่ทราบว่าถ้ำอยู่ที่ไหน บริเวณรอบๆ ไม่ได้ส่อเค้าว่าจะเป็นถ้ำเลย
คณะต้องเดินอยู่บนเขาอีก ๔ ชั่วโมงกว่าๆ บนยอดเขามีลมพัดแรงมาก ตกกลางคืนยิ่งพัดแรงจนตัวแทบจะปลิวไปตามแรงลม จะหาถ้ำเล็กๆ พอจะหลบลมก็ไม่มี ในคืนนั้นไม่ได้หลับนอนกัน พระทุกองค์ต้องใช้เชือกตากผ้าที่เตรียมไป ผูกมัดตัวไว้กับต้นไม้ แล้วนั่งสมาธิภาวนากันทั้งคืน ยิ่งดึกลมยิ่งแรงดูผิดปกติธรรมชาติเป็นอย่างมาก
พอรุ่งเช้าได้อรุณแล้ว ปรากฏว่ามีญาติโยมจัดภัตตาหารมาถวาย คนพวกนั้นเป็นพวกชาวเขาแท้ อาศัยทำไร่อยู่บนยอดดอยอย่างถาวร เมื่อฉันเสร็จก็พากันเดินทางต่อไป แม้จะเดินบนหลังเขา หนทางก็ยากลำบากมาก เหมือนกับการปีนป่ายขึ้นมาในตอนแรก คณะหลวงปู่ตื้อเดินอยู่จนถึงเที่ยงวัน ก็ถึงบริเวณหนึ่งที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นที่ๆ ถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้าตั้งอยู่
บริเวณข้างหน้าเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ ต้องใช้ขอนไม้เกาะเป็นแพจึงจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ พระที่ไปด้วยกันไม่มีใครกล้าข้ามไป หลวงปู่ตื้อจึงอาสาข้ามน้ำไปดูเพียงองค์เดียว
ก่อนจะข้ามน้ำไป หลวงปู่ได้นั่งสมาธิดูก่อน ปรากฏเป็นเสียงคนพูดเบาๆ พอเสียงนั้นเงียบหายไป ก็มีอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “งูใหญ่ๆ” พูดอยู่ ๒-๓ ครั้ง แล้วปรากฏเป็นผู้ชายรูปร่างบึกบึน สูงใหญ่ ผิวกายดำทมึนมายืนพูดกับหลวงปู่ว่า “ท่านจะเข้าไปในถ้ำไม่ได้หรอกนะ ที่นั่นมีงูตัวใหญ่มากเฝ้ารักษาอยู่”
หลวงปู่ตื้อได้พูดกับชายผู้นั้นว่า “ที่พวกอาตมาขึ้นมาที่นี่ ไม่ได้มาเบียดเบียนใคร ไม่ได้มุ่งจะมาเอาอะไร แต่ประสงค์จะขึ้นมาดูถ้ำตามที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ใช้ให้มาเท่านั้น”
พอหลวงปู่กล่าวจบลง ชายผู้นั้นก็หายไป ท่านพิจารณาดูต่อไปเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรอีกแล้วจึงออกจากสมาธิ แล้วท่านก็จัดแจงหาขอนไม้มาทำเป็นแพ เอาเทียนจุดไว้ที่หัวแพ แล้วเกาะแพลอยข้ามน้ำไปยังฝั่งตรงข้าม ท่านลองหยั่งดูเห็นว่าน้ำลึกมากไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้
เมื่อหลวงปู่เกาะแพไปถึงอีกฝั่งแล้ว จึงได้พบถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า ตามที่หลวงปู่มั่นได้พบเห็นในนิมิต เป็นถ้ำที่ใหญ่โต กว้างขวางและสวยงามมาก อากาศโปร่งสบาย พื้นถ้ำสะอาดสะอ้านเหมือนกับมีคนดูแลปัดกวาดเป็นอย่างดี
หลวงปู่ตื้อได้เข้าไปสำรวจภายในถ้ำ ในถ้ำนั้นมีแสงสว่างอยู่ในตัว แม้เดินลึกเข้าไปก็ไม่มืด ถ้ำนี้มีลักษณะพิเศษกว่าถ้ำอื่นจริงๆ
ลักษณะของถ้ำกว้างและยาวลึกเข้าไปข้างในเขา ด้านหลังถ้ำออกไปมีแอ่งน้ำธรรมชาติ น้ำใสสะอาดน่าดื่มกิน ด้านนอกถ้ำออกไปข้างหลังมีป่าไม้ประเภทไม้ผลที่อุดมสมบูรณ์ ใบเขียวชอุ่มเหมือนได้รับการดูแลอย่างดี
ด้านนอกถ้ำที่อยู่สูงที่สุดเป็นหน้าผาที่สูงชันมาก คงไม่มีใครขึ้นไปได้ หรือว่าถ้าขึ้นไปได้แล้วก็คงไม่คิดลงมาอีก
หลวงปู่ตื้อได้นั่งสมาธิภาวนาอยู่นาน พบว่ามีพวกกายทิพย์เข้ามาหาท่าน และพบวิญญาณชีปะขาวน้อยรูปหนึ่ง เป็นผู้เฝ้าดูแลรักษาถ้ำแห่งนี้ ชีปะขาวน้อยบอกหลวงปู่ว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านไม่ได้อยู่ที่ถ้ำนั้นแล้ว แล้วชีปะขาวน้อยก็หายไปทางหลังถ้ำ
• #หลวงปู่มั่นบอกเรื่องบ่อน้ำทิพย์
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้พักบำเพ็ญภาวนาอยู่ภายในถ้ำพระปัจเจกพุทธเจ้า จนครบ ๕ วัน จึงได้พาหมู่คณะเดินทางกลับลงมาทางเดิม
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ถามคณะที่ไปสำรวจถ้ำว่าเป็นอย่างไร? น่าอยู่จริงไหม?
หลวงปู่ตื้อได้กราบเรียนว่า “ในถ้ำสวยงามน่าอยู่จริงๆ แต่ไม่มีบ้านคนเลย พวกกระผมฉันใบไม้ตลอด ๕ วัน บ้านคนไม่มี ไม่รู้จะไปบิณฑบาตที่ไหน อีกประการหนึ่งที่เป็นปัญหาสำคัญ คือลมพัดแรงมาก พัดหูพัดตาอยู่ลำบาก ถ้าหากอยู่ในถ้ำก็สบายดีมากขอรับ”
หลวงปู่มั่น ได้พูดขึ้นว่า “ทำไม่พวกคุณถึงไม่เลยพากันขึ้นไปดูบ่อน้ำทิพย์ ที่อยู่ข้างหลังถ้ำนั้นด้วยละ บ่อน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าหากใครได้อาบและดื่มเป็นการชุบตัวแล้ว จะมีอายุยืนถึงห้าพันปี สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วย”
หลวงปู่ตื้อ กราบเรียนท่านพระอาจารย์ว่า “กระผมขึ้นไปเหมือนกันขอรับ แต่พอขึ้นไปบนหลังถ้ำนั้นปรากฏว่าเป็นหน้าผาที่สูงและชันมาก สูงราวๆ ๑๐-๑๕ วา ขึ้นไปมิได้ขอรับ เพราะหน้าผาชันจริงๆ ทางอื่นที่จะขึ้นไปก็ไม่มี กระผมเดินดูรอบๆ ตั้งสองสามรอบ ถ้าหากขึ้นไปได้ ก็คงลงมาไม่ได้”
ท่านพระอาจารย์ใหญ่ จึงตอบว่า “พวกเราคงไม่มีบุญวาสนาบารมีที่จะเหาะได้ละมั้ง จึงได้พากันเดินลงมาจนเท้าแตกหมด ถ้าหากว่าขึ้นไปได้ก็คงลงมาไม่ได้ แต่ขึ้นไปได้และลงมาได้อย่างนี้ก็สามารถมากแล้วละ”
• #ปฏิปทาของหลวงปู่ตื้อ_อจลธมฺโม
(คัดลอกจากหนังสือประวัติพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป )
ปกติเวลาฉัน หลวงปู่ตื้อจะฉันองค์เดียว ไม่พร้อมใคร เมื่อเวลาบิณฑบาตกลับมา พระเณรที่ไปด้วยจะกลับมาเตรียมให้ท่าน แล้วต่างก็ฉันเลยไม่ต้องรอ เพราะหลวงปู่จะใช้เวลานั้นเดินจงกรมก่อน หากหลวงปู่พบว่ามีพระมารอฉันพร้อมท่าน ท่านจะบอกว่า “ขันธ์ ๕ ของใครก็ของมัน ท้องใครก็ท้องมัน ปากใครก็ปากมัน ฉันไปแล้ว อิ่มแล้วไปล้างบาตร แล้วไปภาวนา เราจะฉันวันไหน เวลาไหนก็เป็นเรื่องของเรา” เมื่อหลวงปู่ฉันเสร็จ พระอาจารย์เปลี่ยนเป็นผู้ล้างบาตร เทกระโถน แล้วนิมนต์หลวงปู่กลับกุฏิ
การต้อนรับแขกที่ไปหา หลวงปู่มักจะทราบล่วงหน้าว่า จะมีใครมาพบ แล้วจะนั่งรอจนกว่าเขาจะมาถึง ท่านจะเทศน์ สั่งสอนโดยไม่เกรงใจว่าใครจะโกรธ ใครจะฟัง ใครจะเชื่อหรือไม่ หลวงปู่ไม่สนใจ เพราะไม่ได้เทศน์เพื่อเอาของถวายจากเขา
หลวงปู่ตื้อจะเทศน์ให้พระอาจารย์เปลี่ยนพิจารณา ลมหายใจเข้าออก เมื่อหายใจเข้าแล้วไม่มีลมออกก็อยู่ไม่ได้ เมื่อลมหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตาย เมื่อตายแล้วไม่สามารถนําอะไรติดตัวไป สมบัติต่างๆ ที่สะสมไว้ ขณะมีชีวิตอยู่ก็ต้องทิ้งไว้ แขนขาเนื้อหนังกระดูกของตัวเราก็ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ ไม่มีใครสามารถนําติดตัวไปได้
ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะเอาไปกินก็ไม่ได้ สู้ขาหมูยังไม่ได้สามารถเอาไปขายได้ เอาไปกินได้ มนุษย์จะสวยแค่ไหน งามแค่ไหน ขายไม่ได้ สู้ไก่ยังไม่ได้ ร่างกายมนุษย์นี้ไม่มีประโยชน์อะไร จะไปหลงรักหลงชังอยู่ทําไม
เมื่อหลวงปู่เทศน์เรื่องอานาปานสติ พิจารณาลมแล้วพิจารณาความตาย แล้วต่อด้วยอสุภกรรมฐาน
หลวงปู่เตือนผู้เฒ่าผู้แก่ ว่าแก่แล้วทําไมไม่เอาพุทโธ เป็นพระมาบวชถ้าไม่เอาพุทโธ ไม่เอาภาวนา แล้วมาบวชทําไม ถ้าไม่เอาภาวนาก็จะเป็นพระหมา พระแมว พระวัว พระควาย
เมื่อร่างกายตายแล้ว เน่าเหม็นเอาไปไม่ได้ เราก็ต้อง เอาจิตเอาใจของเรา ต้องทําแต่ความดี จิตใจไม่ได้มีอะไรมาก มีอยู่แค่อันเดียว ไม่ต้องไปรู้ว่ามีจิตกี่ตัว ให้รู้ว่ามีแค่จิตเดียว เพราะว่ามีจิตหลายตัว จึงได้เป็นบ้าไปหมด
• #นิมิตในสมาธิ
ในพรรษานี้ พระอาจารย์เปลี่ยนเจริญในการปฏิบัติธรรมมาก ท่านสังเกตว่า หลวงปู่ตื้อมักจะทราบล่วงหน้าว่า ใครจะมาหา จากนิมิตเสมอ แล้วจะบอกพระอาจารย์เปลี่ยนให้ทราบด้วย ในตอนแรกพระอาจารย์เปลี่ยนยังไม่เชื่อ ก็จะคอยดู เมื่อถึงเวลาก็มี คนมาหาหลวงปู่ตามที่ท่านพูดจริง ทําให้พระอาจารย์เปลี่ยนพยายามที่จะเข้าสมาธิแล้วเห็นนิมิตให้เร็วที่สุด (คือฝึกการใช้อนาคตังสญาณ)
จนทําได้อย่างคล่องแคล่ว ท่านรู้ได้ทันทีว่ามีใครมา มากี่คน แต่งกายอย่างไร เสื้อสีอะไร ลวดลายอย่างไร มาด้วยวัตถุประสงค์อะไร อย่างมิตรหรืออย่างศัตรู เมื่อเห็นแล้วจะเล่าให้หลวงปู่ตื้อทราบ ซึ่งหลวงปู่ก็รู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว
หลวงปู่ตื้อเคยพูดถึงเรื่องพระหมา พระแมว พระควาย ฯลฯ ว่าเป็นเพราะจิตใจตกต่ำเหมือนสัตว์อย่างนั้น จึงแสดงออก มาให้เห็นสัตว์ต่าง ๆ พระอาจารย์เปลี่ยนได้ขอให้หลวงปู่อธิบายถึงนิมิตแปลก ๆ เช่น เห็นคนเดินมาแล้วเปลี่ยนเป็นสุนัข จากสุนัขเป็นแมว เมื่อเข้ามาใกล้ก็กลับกลายเป็นคนเช่นเดิมนั้น เป็นเพราะจิตมีหลายระดับ แทรกกันเข้ามาตามลําดับ และได้อธิบาย รายละเอียดเพิ่มเติมอีกคือ
- นิมิตเห็นคนธรรมดา นุ่งห่มด้วยสีเหลืองแสดงว่า จิตของผู้นั้นเป็นผู้มีสมาธิ มีใจเป็นพระ
- คนนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาว แสดงว่าจิตของผู้นั้น เป็น ผู้ที่มีศีลห้าเป็นปกติ มีใจเป็นเทพ
- คนนุ่งห่มด้วยชุดดํา แสดงว่าเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
- ถ้าชุดดําและเป็นเครื่องนุ่งห่มที่ขาด แสดงว่าจิต ต่ำลงไปกว่าความเป็นคน
นิมิตที่แสดงว่าต่ำไปเรื่อย ๆ ก็คือมาในรูปของควาย สุนัข ถ้าเป็นงูแสดงว่าต่ำหยาบช้าที่สุด
มีนิมิตของผู้เป็นพระในลักษณะต่าง ๆ ที่ท่านพบมาดังนี้
- นั่งสบงคลุมจีวร พาดสังฆาฏิ แสดงว่าท่านมีศีล สมาธิและปัญญาดี เรียกว่า เป็นพระที่สมบูรณ์
- คลุมแต่จีวรมา แสดงว่า มีสมาธิดี นั่งสบงใส่อังสะ แสดงว่ามีศีลบริสุทธิ์
- คลุมด้วยจีวรขาด แสดงว่า สมาธิที่เคยมีเสื่อมถอย
- ใส่กางเกง แสดงว่า มีศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่างพร้อย
ขณะที่พระอาจารย์เปลี่ยนอยู่วัดอรัญญวิเวก บ้านปง หากได้รับนิมิตพระดังกล่าวแล้ว ท่านมีเวลาว่างจะไปพบพระผู้นั้น เพื่อตักเตือนให้ประพฤติปฏิบัติดีขึ้น แม้จะอยู่คนละวัดก็ตาม
• #เส้นเกศาของหลวงปู่ตื้อ โดย หลวงปู่ลิ้นทอง
หลวงปู่รินทร์ทอง กิตติสัทโท หรือหลวงปู่ลิ้นทอง แห่งวัดพุทธิการาม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ท่านหนึ่งได้เล่าเรื่องเส้นเกศาของหลวงปู่ตื้อ ไว้ดังนี้
“เรื่องความเคารพครูบาอาจารย์”
“มีบางคนคิดพิเรนทร์เล่นแปลก ๆ ถึงกับเอาเส้นเกศาของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ที่ท่านโกนทิ้งแล้วเอาไปลองยิง ปรากฏว่า ยิงไม่ออก ! พอยิงดูปืนไม่ลั่น ก็มาบอกหลวงปู่ตื้ออีกเช่นกัน โดยหวังว่าจะให้หลวงปู่ตื้อท่านชม คิดว่าจะเป็นคุณความดีเกิดกับตัว
“หลวงปู่...หลวงปู่ครับ ! ผมลองเอาปืนยิงเกศาของหลวงปู่ดู มันยิงไม่ออกนะครับหลวงปู่”
หลวงปู่ท่านย้อนถามว่า “ผมของกูไปลักควายพ่อมึงหรือ ผมของกูไปนอนกับแม่มึงหรือ ! ”
แล้วท่านก็ว่าต่ออีกว่า “มึงเอาผมกูไปยิงทำไม ทำอย่างนี้แสดงว่าไม่นับถือกันน่ะสิ”
คำพูดของหลวงปู่ตื้อ แม้ท่านจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่สีหน้าอาการสงบเงียบ การดุด่าของท่านไม่ได้เป็นด้วยอารมณ์ปุถุชน แต่เป็นการกล่าวเตือนสติให้พิจารณาถึงสิ่งอันควรไม่ควร
ศิษย์ของท่านผู้นั้นถึงกับหน้าถอดสี รีบกราบแทบเท้าขอขมากรรม ให้สัตย์สัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว
อีกเรื่องหนึ่ง “เรื่องให้ของดี”
วันหนึ่ง...หลวงปู่ตื้อ ท่านกำลังปลงผมอยู่ ญาติโยมทางเชียงใหม่ กลุ่มหนึ่งมากราบท่านในเวลานั้นพอดี คุณนายท่านหนึ่งอยากได้เส้นผมของ หลวงปู่ จึงบอกกับศิษย์ของหลวงปู่ว่า
“ตุ๊เจ้า ๆ ช่วยเก็บเกศาของหลวงปู่ไว้ให้ด้วยนะ”
หลวงปู่ตื้อท่านได้ยิน จึงบอกคุณนายท่านนั้นไปว่า
“อย่าเลยนะคุณนาย เดี๋ยวอาตมาจะให้อะไรดีๆ ”
คุณนายท่านนั้นแสนจะยินดี เมื่อได้ยินหลวงปู่บอกจะให้อะไรดีๆ จึง ไม่ติดใจที่จะเอาเส้นเกศาของท่าน พอปลงผมเสร็จ หลวงปู่ท่านก็เอาน้ำราดให้เส้นเกศาที่โกนแล้วนั้น ไหลไปกับน้ำจนหมดสิ้น แล้วท่านก็ไปสรงน้ำ เรียบร้อยแล้ว จึงออกมา สนทนากับญาติโยม คณะชาวเชียงใหม่สนทนาธรรมอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควร เมื่อจะถึงเวลากลับ คุณนายท่านนั้นจึงได้ทวงถาม “ อะไรดีๆ ” จาก หลวงปู่
“ หลวงปู่เจ้าคะ ไหนหลวงปู่บอกว่าจะให้อะไรดีๆ แก่ดิฉันล่ะเจ้าคะ “
หลวงปู่ตื้อ ท่านยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวว่า “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ”
แล้วท่านก็อธิบายให้ฟังว่า “ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี่แหละเลิศประเสริฐแล้ว พระในประเทศทุกรูปจะต้องถือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แต่ถ้าพระองค์ไหนไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆแล้ว รู้ได้เลยว่าพระองค์นั้น เป็นพระปลอม ขนาดขึ้นบ้านใหม่ยังต้องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิเลย ”
แล้วคุณนายคนนั้นพอได้ฟังของดีของหลวงปู่ตื้อเช่นนั้น ก็พูดไม่ออก ไม่รู้จะเถียงท่านว่าอย่างไร ได้แต่ก้มกราบลาท่านกลับไป
• #มรณภาพ
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๑๗ เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกาเศษๆ สิริอายุ ๘๖ ปี พรรษาธรรมยุตินิกาย ๔๖ พรรษา
โอวาทธรรมคำสอน “..ธรรมะคือคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรามองข้ามไปเสียหมด อยู่ที่ตัวของเรานี้เองมิใช้อื่น พุทธะคือผู้รู้ ก็ตัวของเรานี้ เองมิใช้ใครอื่น เช่นเดียวกันกับไข่ ไข่อยู่ข้างในของเปลือกไข่ ทำให้เปลือกไข่แตกเราก็ได้ไข่ พิจารณาร่างกายของเราให้แตก แล้วเราก็จะได้ธรรมะ..”
-------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญที่มา FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น