ชีวประวัติ ปฏิปทาพระครูบาเจ้าศรีวิชัย


พระมหาโพธิสัตว์ในดวงใจ
วันนี้ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
น้อมรำลึก ๘๖ ปี การละสังขารขันธ์
พระครูบาหลวงศีลธรรม
ครูบาเจ้าศรีวิไชย สิริวิชโย
พระมหาโพธิญาณเจ้า 
กราบไหว้สาสักการะบูชา
เหนือเศียรเกล้าในทุ

วันนี้วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชย สิริวิชโย รำลึก ๘๖ ปี อาจาริยบูชาคุณ “นักบุญแห่งล้านนาไทย” ตามประวัติของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชยนั้น องค์ท่านได้เคยมีโอกาสพบกับท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต พระบูรพาจารย์สายพระกัมมัฏฐาน ซึ่งเป็นเหตุการณ์เมื่อภายหลังจากที่ครูบาเจ้าศรีวิไชยพ้นจากอธิกรณ์แล้ว ในการพบกันคราวนี้ ท่านพระอาจารย์มั่น ก็ถึงกับได้ออกปากชวนท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชยเลยทีเดียวว่า "โลกนี้มืดมนนัก.... น้อยคนจักเห็นแจ้งได้ ขอน้องเราท่านจงมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับผม เพื่อล่วงทุกข์ภัยในวัฏฏะไม่ต้องมาเกิด แก่ เจ็บ และตาย และวุ่นวายด้วยกิเลสตัณหาให้ได้รับทุกข์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยกันเถิด...” 

เมื่อได้ฟัง ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชยก็ได้ยกมือขึ้นวันทาไหว้สาท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระผู้เป็นทั้ง "เพื่อนสนิท”และ“พี่ชายที่แสนดี”ของท่านด้วยความซาบซึ้งใจอย่างนอบน้อมยิ่งก่อนกล่าววาจา "เปิดโลก”อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นในการไหน ๆ ทั้งสิ้น ที่เป็นเสมือนหนึ่งเป็นการเฉลยปริศนาแห่งมโนปรารถนา แห่งองค์ท่านมานานนับด้วยอสงไขยในกาลบัดนั้นทีเดียวว่า "ที่พี่ท่านกล่าวมาเช่นนี้ ก็ชอบอยู่โดยแท้ แต่สุดวิสัยอยู่แต่เพียงว่า อันตัวของข้าเจ้าผู้น้องนี้ หาได้บำเพ็ญบารมีธรรมทั้งปวงมา เพื่อจะหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้แต่เพียงลำพังก็หามิได้ แต่ข้าเจ้าได้บำเพ็ญธรรมตามจริยาอย่างพระโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาจะล่วงเข้าสู่พระพุทธภูมิอย่างสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งยังได้รับพระพุทธพยากรณ์ไว้แล้วด้วยว่า ข้าเจ้านี้เที่ยงแท้ที่จะได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือจะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคหน้าเที่ยงแท้มิแปรผัน...” 

นอกจากนี้ ครูบาศรีวิไชยเจ้าก็ยังได้กราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตต่อไปอีกด้วยว่า . . . “ด้วยเหตุเป็นเช่นนี้นี้ ข้าเจ้าผู้น้องจึงได้แต่จนใจนักที่มิอาจจักออกปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เพื่อล่วงสู่มหาปรินิพพานตามที่ท่านเจ้าได้กรุณาออกวาจาชักชวนเห็นปานนี้ได้ แม้จะเป็นพระคุณอย่างล้นเหลือ แต่ข้าเจ้าไม่มีอำนาจใดจักไปฝ่าฝืนพุทธพยากรณ์ที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้แล้วดังนี้ ฉะนั้น ขอพี่ท่านจงได้โปรดอดโทษแก่ข้าเจ้าผู้น้องที่มิอาจสนองความปรารถนาดีของพี่ท่านในกาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด...” 

เมื่อได้ฟัง ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็ได้ตระหนักแน่อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ไม่มีหนทางอันใด ที่จะแปรเปลี่ยนเส้นทางแห่งพระโพธิญาณของน้องชายที่แสนประเสริฐของท่านองค์นี้ไปได้อีกแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ก็ได้แต่กล่าวอนุโมทนากับท่านพระครูบาศีลธรรมเจ้าเป็นวาระสุดท้ายว่า . . . “ผมขออนุโมทนาในกุศลเจตนาอันเป็นมหาปณิธานของท่านไว้ในโอกาสนี้ด้วย...ขอน้องเราจงสำเร็จพระโพธิญาณสมดังมโนรถปรารถนาที่ได้ตั้งไว้โดยเร็วพลัน อย่าได้มีเภทภัยอันตรายใดๆมาแผ้วพานได้ตลอดไปด้วยเทอญ....สาธุ”

จากนั้น พระเถระทั้งสองก็ได้แยกจากกันไปเจริญธรรมตามหนทางแห่งตน โดยที่ไม่ได้ปรากฏหลักฐานใด ๆว่า ท่านพระอาจารย์ทั้งสองจะได้พานพบประสพกัน ณ. ที่ไหนอีกเลย และนี่ ก็คือการวิสาสะกันโดยตรงระหว่างท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชย สิริวิชโย เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

เพราะภายหลังจากนั้นอีกไม่นาน ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชย นักบุญแห่งล้านนาไทยก็ได้จาริกกลับไปยังบ้านเกิดของท่านที่บ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน และก็ได้”ละสังขาร”ลงในที่สุดเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๑ นับจากที่ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตในครั้งหลังสุด ก็เพียงประมาณปีเดียวเท่านั้น และจะถือเป็นเหตุบังเอิญ หรือด้วยความตั้งใจเป็นการส่วนองค์ของท่านพระอาจารย์มั่นเองอย่างใด ก็สุดที่จะคาดเดา เพราะภายหลังจากที่ท่านพระครูบาศรีวิไชยเจ้า ผู้ปานประหนึ่งเป็นทั้งน้องชาย และเพื่อนสนิทที่สุดองค์หนึ่งของท่านได้ทอดกายหลับตาลงลาลับจากโลกนี้ไปไม่เท่าไร ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ท่านก็ได้จาริกธุดงค์กลับมายังภาคอีสาน ซึ่งเป็นปิตุภาค มาตุภูมิแห่งท่านในมิพลันช้า โดยที่มิได้หวนคืนกลับไปยังผืนแผ่นดินล้านนาไทย แผ่นดินที่ท่านได้เคยท่องเที่ยวจาริกธุดงค์แสวงหาโมกขธรรมมายาวนานนับด้วยทศวรรษอีกเลย ตราบจนท่านได้ดับขันธ์ลง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ 

การเช่นนี้ ไม่น่าที่จะเป็นไปโดยไร้สาเหตุหรือลอย ๆ ไม่มีความหมายใดๆสักประการบ้างเป็นแน่ ออกจะเป็นการที่ง่ายและบังเอิญ จนเกินวิสัยแห่งพระผู้ทรงญาณ และปัญญาอันปรีชาอย่างท่านพระอาจารย์มั่น ที่จะกระทำการใดๆโดยไร้เหตุหามิได้อย่างยิ่ง หรือว่า พระอาจารย์มั่น ท่านจะหมดห่วงและสิ้นกังวลในเพื่อนแท้ รุ่นน้องของท่านอย่างพระครูบาเจ้าศรีวิไชย ที่ได้ผ่องพ้น ภัยพาล จากเรื่องราวที่ร้อนร้ายนานาด้วยประการทั้งปวงไปอย่างสิ้นเชิงแล้วอย่างนี้

ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถตัดใจในอันที่จะจากลาแผ่นดินล้านนา กลับคืนสู่บ้านเก่าที่แท้จริงของท่านได้โดยพลัน อย่างที่ไม่มีอะไรต้องค้างคาและอนาทรให้ต้องเป็นห่วงเป็นใยใดๆต่อไปอีก หรืออย่างไรกัน.. นี้นับเป็นปริศนาแห่งมิตรแท้ สองโลก ระหว่างท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กับท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชย สิริวิชโย ที่ซ่อนปมอยู่ในอัตตชีวประวัติของทั้งสองอย่างที่น่าจะได้นำไปลองคิดและพินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วนและลึกซึ้งจงหนักอีกเรื่องหนึ่งแล้วโดยแท้นี้ล้วนเป็นเรื่องจริง ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ทั้งโดยส่วนตัวของท่านทั้งสองเอง และแก่การพระศาสนาทั้งมวลโดยรวม แต่กลับถูกลืมเลือนและปิดบังจนแทบไม่เป็นที่ล่วงรู้หรืออยู่ในความรู้สึกนึกคิดจิตใจเป็นสาธารณะแก่ใคร ๆ เลยอย่างเหลือเชื่อและน่าประหลาดที่สุด แต่การดังกล่าว ก็ยังคงแจ่มแจ้งในหมู่ศิษยานุศิษย์ที่ใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งสองอย่าง”แท้จริงเท่านั้น อย่างมิลืมเลือนตราบเท่าถึงวินาทีนี้ ซึ่งศิษย์ใกล้ชิดที่รู้เรื่องนี้ดีของทางฝ่ายครูบาเจ้าศรีวิไชย อาจที่จะกล่าวได้ว่า แทบไม่เหลือต่อไปอีกแล้ว เพราะถ้าไม่หมดอายุตามสภาวะสังขารไป ก็ถูกจับสึก หรือหนีออกนอกประเทศ หลบหนีปฏิบัติการจองเวรเมื่อครั้งกระนั้นไปจนหมดแล้ว คงมีแต่คำบอกเล่าจากครูบาอาจารย์และพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยที่ทันเหตุการณ์รุ่นเก่าๆแต่เพียงเท่านั้น 
ส่วนพยานบุคคลทางสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระนั้น โชคดีที่ยังคงมีอยู่ ที่ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีที่สุดนั้น ก็เห็นจะเป็น ท่านเจ้าคุณพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี แห่งโครงการทอดผ้าป่าช่วยชาติ อันลือเลื่องไปทั่วประเทศองค์นั้น และอีกองค์หนึ่งก็คือ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ศิษย์รุ่นเก่าแก่ของหลวงปู่มั่น แห่งวัดภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี ผู้ได้รับมอบ "ทันตธาตุ”จากองค์หลวงปู่มั่นโดยตรง เมื่อครั้งยังดำรงสังขารอยู่นั่นเอง 

ท่านทั้งสองได้เคยปรารภและเล่าถึงเรื่องมิตรภาพและความสัมพันธ์อันแนบแน่นและลึกซึ้งของท่านพระอาจารย์ทั้งคู่นี้ไว้ทั้งเป็นการส่วนรวมและส่วนตัวเป็นหลายวาระโอกาสด้วยกัน นับเป็นพยานหลักฐานลำดับต้นที่มีน้ำหนักแห่งความน่าเชื่อถือสูงสุด อันใคร ๆ ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เลยอย่างแท้จริง 

เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ ก็อาจจะมีผู้สงสัยได้ว่า แล้วท่านพระอาจารย์มั่น มิทราบด้วยญาณหรอกหรือว่า อันท่านพระครูบาศรีวิไชยเจ้านั้น ท่านเป็นอะไรแน่ จึงได้ออกปากชวนเชิญให้ครูบาเจ้าศรีวิไชยได้ตัดตรงแต่พอตัวเช่นนั้น คำตอบย่อมมีว่า “ไม่รู้หามิได้”อย่างแท้ แต่โดยแท้จริงนั้น ก่อนหน้านี้ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เมื่อครั้งมาครองวัดเจดีย์หลวง และได้มีความคุ้นเคยกับท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชยอย่างสนิท อาศัยเมื่อคราวที่ท่านพระครูบาเจ้าฯมาช่วยแนะนำการซ่อมผนังพระวิหาร วัดเจดีย์หลวงที่พังทลายลงมาให้กลับคืนดีเป็นเหตุ ท่านเจ้าคุณอุบาลีก็ได้เคยสอบถามท่านพระอาจารย์มั่น ถึงจริยาปฏิปทานุวัตรของท่านพระครูบาศีลธรรมเจ้า ว่าเป็นไปในหนทางอันใด ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่น ก็ได้กราบเรียนชี้แจงการทั้งปวงถวายแด่ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯอย่างกระจ่างแจ้งที่สุดว่า "พระศรีวิไชยองค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพระโพธิญาณ ขณะนี้กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างสมบารมีธรรมอยู่..” 

นี่ก็ย่อมเป็นการแสดงให้ได้ประจักษ์ทั่วกันว่า โดยแท้จริง ท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็หยั่งรู้อยู่แน่ชัดแล้ว ว่าพระศรีวิไชยคือใคร และบำเพ็ญบารมีอะไรแบบไหน..อยู่ก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านได้ทำหน้าที่ของเพื่อนแท้”ที่ดี พึงแสดงน้ำใจไมตรีและความปรารถนาดีอย่างที่สุดต่อกันอย่างไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ ก็เท่านั้น

แม้การทั้งปวงนั้นจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงใดๆได้อีกก็ตามที นับเป็น”สมบัติผู้ดีที่หาได้การผิดแปลกหรือเสียหายใด ๆ ไม่ด้วยประการทั้งปวง ชอบแต่จะยึดถือไว้เป็นเนติแบบอันประเสริฐสุดทั่วกันอย่างแท้เท่านั้น 

จากรายละเอียดดังกล่าวข้างต้น จากจริยาวัตรทั้งหลายของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชยที่ได้เคยแสดงออกในที่ต่างๆ ย่อมวินิจฉัยได้อย่างไม่มีใดต้องสงสัยเลยว่า อันท่านพระครูบาฯนั้น ท่านได้เข้าสู่โค้งสุดท้ายแห่งโพธิวิถี สู่พุทธภาวะเป็นที่แน่ชัดแล้ว 

ด้วยการเปล่งหรือเผยมโนปรารถนาให้เป็นที่ปรากฏทั่วไปว่า เราหวังให้สิ้นภพสิ้นชาติ ขอให้เป็นพระโปรดโลกองค์หนึ่งในวันข้างหน้า คำว่า "พระ” ในที่นี้ แน่นอนเสียเหลือเกินว่า ย่อมมิใช่ “พระสาวกภูมิ”หรือ "พระปัจเจกภูมิ” ใด ๆอย่างแท้ แต่ย่อมหมายถึงความเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียวเที่ยงแท้เท่านั้น และอีกประการหนึ่งก็คือ “ต๋นข้า พระศรีวิไชยยาภิกขุ เกิดมาปี๋เปิ๊กยี พุทธศักราช ๒๔๒๐ จุลศักราช ๑๒๕๐ ตั๋ว ปรารถนาขอหื้อข้า ได้ตรัสรู้ปัญญาโพธิญาณเจ้าจิ่มเตอะ..” ซึ่งหากจะแปลเป็นภาษากลาง ก็ต้องว่า ”อาตมภาพ พระศรีวิไชยภิกขุ เกิดมาปีขาล พุทธศักราช ๒๔๒๐ จุลศักราช ๑๒๕๐ อาตมภาพขอตั้งสัจจาธิษฐาน ด้วยเดชะบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญมาทั้งปวงนี้ จะเป็นพลวปัจจัยให้อาตมภาพได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นด้วยเทอญ..” 

ด้วยเหตุและผลดังพรรณามานี้ จึงไม่มีอันใดต้องเคลือบแคลงสงสัยอีกแล้วว่า อันท่านพระครูบาศรีวิไชยเจ้า ผู้เป็นนักบุญแห่งล้านนาไทยนั้น โดยแท้แล้ว ท่านก็คือ "พระมหาโพธิสัตว์” ผู้เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกเป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลอันใกล้นี้อย่างแน่นอนแล้ว และแม้ในส่วนองค์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ก็ไม่มีอะไรจะต้องพักสงสัยด้วยเช่นกัน ก็หากความใสสกาว ราวรัตนมณีอันล้ำค่า แห่งอัฐิธาตุ คือเครื่องหมายแห่ง "พระธาตุ” อันจะมีได้เป็นได้แต่เฉพาะพระอรหันต์เจ้าแต่สถานเดียวเท่านั้นแล้วไซร้ แม้พระอาจารย์มั่น ท่านก็ถึงพร้อมด้วยอริยสมบัติ อันวิสุทธิ์วิเศษสุกใสเฉกเช่นนั้นดุจเดียวกันอย่างไม่มีอะไรจักต้องแคลงใจ และเรื่องราวดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ก็ได้ก่อให้เกิด ตำนานแห่งมิตรภาพของยอดคนระดับยอดสุดบนความแตกต่างอย่างที่สุดทั้ง เผ่าพงศ์ พวกพ้อง แนวทางและ ภูมิธรรม อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ แห่งมวลหมู่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นของชนชาติใด ภาษาใดและในกาลสมัยใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกแห่งศาสนาที่มีความแบบบาง และอ่อนไหวอย่างยิ่งด้วยแล้ว ยิ่งไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เฉกเช่นนี้มาก่อนเลย แม้แต่เพียงครั้งเดียว ไม่เคยมีเลยจริง ๆ ตรงกันข้าม เพราะอาศัยเพียงความแตกต่างในเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ตลอดจนศรัทธาและความเชื่อ คนเราได้พิฆาตฆ่าฟันกันอย่างไร้ความเมตตาปราณี จนเลือดนองท่วมทั้งแผ่นดินมาแล้วเท่าไรต่อเท่าไร ใครๆที่เคยได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกมาแล้วบ้าง แม้เพียงเล็กน้อย ก็น่าที่จะทราบคำตอบนี้ได้โดยไม่ยากอย่างแน่ 

"มิตรภาพ" ระหว่างท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กับท่านพระครูบาเจ้าศรีวิไชย สิริวิชโยนี้ จึงเป็นเรื่องจริงที่เหลือเชื่อแต่ก็เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ซึ่งสามารถสะเทือนได้ทั่วทั้งดินและฟ้าที่อากูลไปด้วยความถือเราถือเขาและการแบ่งแยกให้ทุกสรรพชีวิตกลับได้คิด อันจะพึงเป็นเนติแบบอันประเสริฐสุด ให้อนุชนรุ่นหลัง ทั้งทางฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักร ที่จะได้บังเกิดอุบัติขึ้นมาในภายภาคหน้าได้ซาบซึ้งและภาคภูมิใจ 

ตลอดจนยึดถือเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับการประพฤติปฏิบัติ เพื่อความสงบ และสันติสุขแก่สังคมส่วนรวมสืบต่อไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ตราบชั่วจิรกาล ขอพลังและอำนาจแห่งความรัก ความเมตตา และความปรารถนาดี ของเพื่อนแท้ สองโลก ที่เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งมิตรภาพอันแสนที่จะอบอุ่นและสะอาดใจบริสุทธิ์อย่างที่สุดยิ่งนี้ จงได้เอิบอาบซึมซาบลงในทุกดวงใจ ให้กลับได้คิด และใฝ่หาแต่ศานติ และความสงบอันสูงสุดเที่ยงแท้ ที่อยู่เหนือการแบ่งแยกใดๆ แต่นี้ไปเมื่อหน้า ตราบชั่วนิรันดร์...

ขออนุโมทนาบุญกับ คุณเนาว์ นรญาณ ผู้เรียบเรียงหนังสือ “มิตรแท้ สองโลก สะท้านปฐพี” สาธุครับ

................................................................
• #ประวัติและปฏิปทาท่านครูบาศรีวิไชย_สิริวิชโย “นักบุญแห่งล้านนาไทย”

• #ถิ่นกำเนิดของครูบา

ท่านครูบาศรีวิชัยเกิดที่บ้านปาง ต. แม่ตืน อ. ลี้ จ. ลำพูน ทางด้านทิศใต้ของหมู่บ้านมีลำธารชื่อ “ห้วยแม่ปาง” ไหลผ่านเหตุนั้นจึงชื่อว่า “บ้านปาง” ในสมัยนั้นมีบ้านเรือนที่อาศัยอยู่ประมาณ ๒๐ หลังคาเรือน มีอาชีพทำไรทำนาและหาของป่า บิดาของครูบาเป็นบุตรของพ่ออ้าย บ้านเดิมอยู่บ้านสันป่ายางหลวง ในเมืองลำพูน ชื่อของบิดาครูบาว่านายควาย ต่อมาได้ตกลงแต่งงานกับนางสาวอุสา แล้วพานางอุสามาอยู่ที่บ้านปาง อันเป็นถิ่นที่อยู่ของตน

ครูบาเป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควายและนางอุสา เกิดวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๑ จ.ศ. ๑๒๔๐ ปีขาล วันอังคาร เดือน ๙ (เหนือ) เดือน ๗ (ใต้) ขึ้น ๑๑ ค่ำ เวลาหัวค่ำคือพลบค่ำ อาทิตย์ อัสดง นายควายและญาติพี่น้องพร้อมด้วยแม่ช่าง (หมอตำแย) เฝ้าเอาใจใส่เพื่อให้นางอุสาบรรเทาอาการเจ็บ ทันใดนั้นท้องฟ้าอากาศที่สว่างโล่ง กลับวิปริตมือครึ้มลงไปพายุแรงพัดกระหน่ำพอเอาสายฝนเทโครมลงมาจากฟากฟ้า เสียงฟ้าร้องคำรน คำรามสนั่น ทันใดนั้นแผ่นดินก็ไหวสั่นสะเทือนไปทั่ว ในวินาทีนั้นทารกน้อยก็คลอดออกจากท้องแม่ พร้อมกันเสียงร้องไห้และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง พายุ สายฟ้า เสียงฝนก็หยุดนิ่งสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เวลานั้นเป็นเวลาพลบค่ำพอดี การตั้งชื่อท่านว่า “เฟือน” มีที่มาอาศัยเหตุการณ์ธรรมชาติอันวิปริตประหลาดนั้นถือเป็นนิมิตตั้งนามของบุตรว่า “ด.ช. เฟือน” เป็นภาษาล้านนาไทยแปลว่า “กระเทือน, กับปนาท”

บ้านปางในสมัยนั้นเป็นบ้านป่า ที่เรียกว่าไกลและกันดารมาก ไม่มีสถานศึกษา แม้แต่วัดประจำหมู่บ้านก็ยังไม่มี เด็กในหมู่บ้านนี้จึงเป็นเด็กที่ไม่ต้องเรียนหนังสือ เด็กๆ ในหมู่บ้านจึงอยู่กับป่า ล่าสัตว์และเลี้ยงวัว ควายไปตามธรรมชาติ ชีวิตในวัยเด็กของท่านครูบาก็เป็นเช่นเดียวกันเพื่อนทั้งหลาย

เข้าวัดเป็นขะยม คำว่า “ขะยม” แปลว่า “คนรับใช้” คนล้านนาไทยเข้าใจกันว่าเป็นศิษย์วัด คอยรับใช้พระและเรียนหนังสือด้วย นายเฟือนเป็นผู้สนใจการศึกษา มีใจใคร่จะศึกษาเล่าเรียนอยู่เป็นนิจ แต่ว่าบ้านปางในขณะนั้นไม่มีสถานที่ศึกษาและวัดวาดังกล่าว จึงปล่อยอายุเลยมาถึง ๑๗ ปี จึงได้เข้าเป็นลูกศิษย์พระ พอดีขณะนั้น มีครูบาองค์หนึ่งชื่อ ครูบาขัตติยะ เดินธุดงค์มาสู่บ้านปาง พักที่เชิงเขาทางทิศเหนือของวัดในปัจจุบัน

ชาวบ้านปางต่างก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงพากันมาทำบุญตักบาตรและนิมนต์ครูบาขัตติยะอยู่ประจำในหมู่บ้าน เมื่อมีพระมาอยู่ประจำในหมู่บ้านแล้ว หนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านที่สนใจในการศึกษา ต่างก็ปีติยินดีพาเข้ามาเป็นลูกศิษย์ ในจำนวนนี้มีนายเฟือนรวมอยู่ด้วย นายเฟือนได้ศึกษาอักษรล้านนาไทย ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้ทั่วไปในสมัยนั้น ครูบาขัตติยะก็สอนให้จนนายเฟือนอ่านออกเขียนได้ หัดเทศน์คัมภีร์พร้อมกับท่องสวดมนต์และคำขอบรรพชา ตลอดจนศึกษากินกรรมที่พระเณรจะพึงปฏิบัติ

• #บรรพชา 

เมื่ออายุ ๑๘ ปี ทางบิดามารดาและญาติพี่น้องเห็นว่าสมควรจะบรรพชาดาปอยลูกแก้วได้ จึงได้จัดการดาปอยลูกแก้ว บอกญาติพี่น้องมาร่วมอนุโมทนา นับเป็นปอยแรกของบ้านปางและอารามใหม่แห่งนี้ เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ศึกษาความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนากับครูบาขัตติยะ ซึ่งสมัยนั้นไม่มีโรงเรียน อาศัยศึกษาจากใบลานโดยมีครูบาคอยแนะนำอธิบาย
• #อุปสมบท 

ปี พ.ศ.๒๔๔๒ อายุของสามเณรเฟือนย่างเข้า ๒๑ ปี บิดามารดาและครูบาขัตติยะได้จัดให้มีงานอุปสมบทขึ้น ณ อุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน มีท่านครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่งหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “สิริวิชโยภิกขุ” แต่คนทั่วไปเรียกตามแบบล้านนาว่า “พระสีวิไชย” (พระศรีวิไชย) เมื่ออุปสมบทแล้วก็อยู่ศึกษาและปฏิบัติครูบาขัตติยะ พร้อมกันนั้นท่านครูบาเมตตาสอนสัพพวิชาให้กับพระศรีวิชัยโดยไม่ปิดบัง พระศรีวิชัยน้อมรับและศึกษาเวทมนต์คาถาจากครูบาขัตติยะผู้เป็นอาจารย์ด้วยความเคารพ

ครูบาขัตติยะอาจารย์องค์แรกของครูบาศรีวิชัยได้มรณภาพไปตามสภาพแห่งสังขาร พระศรีวิชัยได้นำในการทำบุญฌาปนกิจศพครูบาอาจารย์ของท่าน เป็นเจ้าอาวาสและย้ายวัด พระศรีวิชัยได้รักษาการเจ้าอาวาสแล้วพิจารณาเห็นว่าสถานที่ตั้งวัดในเวลานั้น เป็นภูมิประเทศไม่เหมาะอยู่ใกล้บ้านเกินไป ไม่เป็นที่วิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม จึงชวนศรัทธาชาวบ้านช่วยกันย้ายขึ้นไปอยู่บนภูเขาตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดศรีดอนชัยทรายมูลบุญเรือง” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดปาง” ตามเดิม ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด

เมื่อพระศรีวิชัยมีอายุย่างเข้า ๒๕ ปี มีใจฝักใฝ่ในการศึกษามากขึ้น จึงเดินทางไปขอคำแนะนำจากครูบาสมณะผู้เป็นอุปัชฌาย์ ครูบาสมณะผู้มีสายตาไกล จึงแนะนำให้ไปศึกษากับครูบาอุปละ วัดดอยแต ต. ทากาด อ. แม่ทา จ. ลำพูน (ปัจจุบันร้างไปแล้ว) เมื่อศึกษาจนเป็นที่เข้าใจและปฏิบัติได้ดีจึงกราบลาครูบาอุปละไปศึกษาต่อที่ครูบาวัดดอยคำเพิ่มเติมอีก แล้วกลับไปศึกษาต่อกับครูบาสมณะวัดบ้านโฮ่งหลวง พระอุปชฌาย์ของท่าน เมื่อได้ศึกษาทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติกับครูบาทั้ง ๓ ท่านแล้ว พระศรีวิชัยกลับมาสู่วัดบ้านปางของท่านด้วยความเป็นสมถะ มุ่งปฏิบัติในด้านสมาธิธรรมประการเดียว
 
• #กิจวัตร

พระศรีวิชัยได้อบรมสั่งสอนพระเณรแล้วเด็กวัดตามระเบียบของวัดในชนบท ปฏิบัติสืบต่อกันมาคือตื่นเช้าเวลา ๐๕.๐๐ น. ทำความสะอาดปัดกวาดบริเวณวัด แล้วสวดมนต์ตอนเช้ามืด จากนั้นเด็กวัดเรียนหนังสือ ส่วนพระเณรก็ลงไปบิณฑบาต ตอนกลางวันก็เรียนหนังสือ ค่ำลงก็ทำวัตรสวดมนต์ แล้วเด็กวัดก็เรียนหนังสือต่อ พระเณรก็ปฏิบัติในครองวัตรของสมณะเวียนวนกันอยู่อย่างนี้ พระศรีวิชัยปฏิบัติธรรมและอบรมกุลบุตรของชาวบ้านอย่างสม่ำเสมอทำให้เกียรติศัพท์เป็นที่เล่าลือมารไม่มีบารมีไม่แก่

พระศรีวิชัยมีชื่อเสียงเป็นที่เล่าลือจึงถูกกล่าวถึง ๓ ครั้ง คือ หาว่า “พระศรีวิชัยส้องสุมกำลังผู้คนคิดจะเป็นขบถต่อบ้านเมือง” เป็นต้น แม่จะถูกกล่าวหาเรื่องราวต่าง ๆ จนกระทั่งถูกปลดจากตำแหน่งเจ้าคณะหมวดและเจ้าอาวาส ก็ไม่สามารถจะสกัดกั้นความรุ่งเรืองของครูบาได้ ยิ่งมีเรื่องชะตาชีวิตของท่านก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นตามลำดับ เหมือนกันว่าที่ปะทะกับลมมีแต่จะถีบตัวให้สูงขึ้นฉันนั้น

ครูบาศรีวิชัยได้รับความยกย่องนับถือจากคนทุกเผ่า ไม่ว่าจะเป็นชาวป่าชาวเขา ชาวเมือง ต่างก็หลั่งไหลไปทำบุญกับครูบาศรีวิชัย ซึ่งท่านจากริกไปช่วยก่อสร้างในวัดต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดลำพูนเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย แพร่ แม่ฮ่องสอน
• #วาระสุดท้ายชีวิต

ผลงานชิ้นสุดท้ายของท่านคือ การสร้างสะพานข้ามลำน้ำปิง ระหว่างบ้านริมปิง จังหวัดลำพูน กับอำเภอหางดงจังหวัดเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ สะพานยังไม่ทันเสร็จ โรคริดสีดวงทวารของท่านกำเริบ จึงต้องไปพักที่วัดจามเทวี อำเภอเมือง จังหวัดลำพูนเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ ก็รับสั่งให้หาหมอดีๆ มารักษา แต่อาการก็ไม่ทุเลา ท่านจึงกลับวัดบ้านปาง อำเภอลี้ อาการของท่านมีแต่ทรงกับทรุดจนถึงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๑ เวลา ๐๐.๐๕ นาฬิกา กับ ๓๐ วินาที ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ สิริอายุนับได้ ๖๐ ปี ๔๐ พรรษา สรีระศพของท่านได้เก็บไว้ที่วัดบ้านปางเป็นเวลา ๑ ปี เมื่อวิหารที่วัดบ้านปางเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำศพของท่านแห่เป็นขบวนใหญ่กลับเข้าสู่วัดจามเทวี จังหวัดลำพูนเป็นเวลา ๗ ปี เพื่อให้ลูกศิษย์ได้พึ่งบารมีของท่าน ทำการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิงให้เสร็จตามคำสั่งของท่าน

จนถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ทางจังหวัดลำพูนจึงได้บำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพของท่านอย่างใหญ่โตถึง ๑๕ วัน ๑๕ คืน จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่องานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้นจึงได้มีการแบ่งอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่น ที่วัดจามเทวีจังหวัดลำพูน วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระแก้วดอนเต้า จังหวัดลำปาง วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และที่วัดบ้านปาง จังหวัดลำพูนเป็นต้น
------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญที่มา FB สันติ รักภักดี
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco