ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล วัดเทพนิมิตสุดเขตสยาม อ.เชียงของ จ.เชียงราย


 ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล  
   วันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑ ปี การละสังขาร พระพรหมวชิรคุณ​ หรือ​ หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล ท่านมีปฏิปทาเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้านในเขตจังหวัดพะเยาและจังหวัดใกล้เคียง ท่านเป็นพระกัมมัฏฐาน มีความเคร่งครัดต่อการฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยกิตติศัพท์ แห่งคุณงามความดีที่ท่านได้ฟื้นฟูสภาพจากสำนักสงฆ์วิปัสสนาที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็นวัดที่โดดเด่น คือ วัดอนาลโยทิพยาราม จนเป็นที่นับถือเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป หลวงปู่หลวง กตปุญโญ ผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ไพบูลย์ ในสมัยที่หลวงปู่หลวง ยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยกล่าวยกย่องหลวงปู่ไพบูลย์ไว้หลายประการ เช่น 

๑.หลวงพ่อไพบูลย์ เป็นพระที่เก่งนิมิตจากการปฏิบัติธรรม แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงโปรดให้พระอาจารย์ไพบูลย์ แปลพระนิมิตที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมของพระองค์บ่อยครั้ง 

๒.หลวงพ่อไพบูลย์ เป็นพระที่เปี่ยมด้วยจาคะเสียสละด้วยการให้ ไม่ว่าจะเป็นให้ทาน ให้อภัย เป็นพระสุปฏิปันโนที่ปรารถนาพระโพธิญาณในอนาคตกาล

ชีวประวัติหลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล
หลวงปู่ไพบูลย์ ท่านมีนามเดิมว่า “ไพบูลย์ สิทธิ” เกิดเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๔๗๗ เป็นบุตรของคหบดีชาวอำเภอเกาะคา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายกองแก้ว และนางคำสิทธิ ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง และเป็นชาย ผู้มีฐานะสืบสกุล จึงออกจะเป็นที่สุดสวาทขาดใจของบิดามารดา จะกินจะนอนก็ได้รับการประคบประหงมฟูมฟักประหนึ่งไข่ในหิน ท่านเล่าว่าท่านนอนกับบิดามารดาสามคนพ่อแม่ลูกมาแต่เล็กจนโต กระทั่งถึงเวลาจะต้องแยกไปโรงเรียนประจำที่เชียงใหม่ ไปอยู่คนละเมืองห่างอกพ่อแม่ จึงแยกจากท่านทั้งสองได้ แต่เมื่อคราใดที่กลับจากโรงเรียนประจำมาเยี่ยมบ้านเวลาโรงเรียนปิดภาค ท่านก็กลับมานอนกับบิดามารดาใหม่ ในฐานะหนึ่ง ท่านก็ดูเป็น "ลูกรัก" เป็นที่น่าอิจฉาของพี่ๆ แต่ในอีกฐานะท่านก็ดูเป็น "ลูกแหง่" เป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนฝูงเหมือนกัน

อันที่จริง สาเหตุที่ทำให้บิดามารดาต้องดูแลประคบประหงมท่านมาก มิใช่เป็นเพราะท่านเป็นลูกคนสุดท้อง และเป็นลูกชาย เป็นลูกรัก แต่ประการเดียว หากมีเหตุผลสำคัญอื่นอีก ...และเมื่อพิจารณากันจริงๆ น่าจะเชื่อว่า นิสัยบารมีทางศาสนาได้ส่อเค้า...แสดงแววให้เห็นมาแต่ท่านยังเป็นเด็กอยู่แล้ว
                                         
เหตุผลอันสำคัญนั้นก็คือ ท่านไม่ทราบว่าตนเองเป็นอะไรมองเห็นทุกอย่างสว่างโร่ไปหมด แม้กลางคืนอากาศมืดสนิทแล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืนอย่างไร ก็เห็นแสงสว่างจ้าอยู่อย่างนั้น สว่างจนท่านร้องไห้ด้วยความกลัวไม่ทราบจะแก้ไขกันอย่างไร กลางคืนก็เลยต้องเปิดไฟนอน...ไหนๆ จะปรากฏแสงสว่างจ้าอยู่แล้วก็ให้สว่างเพราะแสงไฟฟ้า..จะได้ไม่รู้สึกน่ากลัว ! พ่อแม่ก็เลยให้ลูกน้อยมานอนด้วย เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจ ตัวท่านทั้งสองยอมทนความรำคาญ นอนเปิดไฟมาโดยตลอด
                                      
เมื่อเรียนถามว่า สภาวการณ์เช่นนี้เริ่มต้นมาเมื่อไรที่เห็นแสงสว่างตลอดนั้น ...ท่านบอกว่า เป็นมาตั้งแต่จำความได้ ...คงจะอายุ ๒-๓ ขวบ หรือน้อยกว่านั้น เริ่มที่จะรู้สึกเห็นแสงสว่างนั้น จะตั้งต้นจากการมองหน้าต่าง หรือรอยแตกของฝาไม้ เห็นแสงสว่างผ่านเข้ามา เป็นวง หรือเป็นลำแสงก็ตาม มองนิ่งต่อไปเพียงอึดใจเดียว จะเห็นสว่างวาบไปหมดทั้งห้อง
                                         
ในภายหลังเมื่อท่านบวชแล้ว และเรื่องราวบารมีธรรมของท่านเป็นที่โจษขานกันทั่วไป ในเรื่องการรู้เห็นติดต่อกับสิ่งลึกลับที่มิใช่มนุษย์ หากอยู่ต่างภพต่างภูมิกับเรา ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่พิจารณาพระน้อยผู้นี้ และวิเคราะห์กันว่า ท่านคงเป็นผู้หนึ่งซึ่งในอดีตคงจะบำเพ็ญบารมีทาง อาโลกกสิณ หรือกสิณทางแสงสว่างมามากเหลือคณานับสร้างสมอบรมบ่มนิสัยวาสนามานานหนักหนา แม้ในชาติปัจจุบัน เพียง อายุ ๒-๓ ขวบ ยังบังเกิดเค้าร่องรอยติดตามมาให้ปรากฏ อาโลกกสิณ นี้ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ทราบกันดีกว่าเป็นเครื่องอำนวยผลในทาง ทิพยจักษุ โดยตรง
                                        
อย่างไรก็ดี ในเวลานั้นไม่มีใครทราบเรื่อง ไม่มีผู้รู้ท่านใดจะอธิบายให้ครอบครัวพ่อหมอกองแก้วเข้าใจ ท่านทั้งสองจึงได้แต่ห่วงกังวลลูกชายน้อยให้นอนด้วยเพื่อจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด เวลาสะดุ้งผวาก็จะได้ปลอบโยนให้ความอุ่นใจ ท่านเกรงอยู่ลึกๆ ในใจว่าสติจะไม่ดี...อะไรกันอ้างว่าเห็นแต่แสงสว่าง...! กลางวันก็เป็น ถ้าปิดประตู ปิดหน้าต่างมีแสงสว่างปรากฏตามช่องลมหรือรอยแตก ก็จะร้องว่า อีกแล้ว...ห้องสว่างไปหมด ! กลางคืนยิ่งแล้วใหญ่...! พูดง่ายๆ กลายเป็นเด็กกลัวความมืดไป...! มิใช่กลัวความมืด ที่มันมืดสนิทไม่เห็นอะไร แต่กลัวเพราะความมืด...ไม่มี..! กลายเป็นความสว่างไปหมด ! 
ท่านว่า สว่างยิ่งกว่าจุดตะเกียงเจ้าพายุหลายดวงพร้อมกัน
                 
ครั้นถึงวัยที่ควรได้รับการศึกษา เพื่อนบ้านที่มีฐานะมักจะส่งลูกไปโรงเรียนถึงตัวจังหวัดลำปาง หรือไกลกว่านั้นส่งไปที่เชียงใหม่เลย บิดามารดาของท่านยังเป็นห่วงลูกชายคนเล็กอยู่มาก จึงให้ไปเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน จังหวัดลำปาง...โดยเฉพาะอำเภอเกาะคา มีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมน้ำตาลโด่งดังไปทั่วประเทศ น้ำตาลเป็นรายได้หลักของอำเภอ โรงงานน้ำตาลได้รับประโยชน์จากสินค้าที่ผลิตได้เป็นมูลค่ามหาศาล จึงอำนวยประโยชน์ตอบแทนให้แก่ท้องถิ่น ช่วยเป็นหลักด้านบริจาคต่างๆ รวมทั้งได้จัดตั้ง โรงเรียนน้ำตาลอนุเคราะห์ให้เยาวชนได้มีการศึกษาเล่าเรียนด้วย
                             
ท่านอาจารย์ได้ไปศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนน้ำตาลอนุเคราะห์นี้ท่านเป็นเด็กหน้าตาคมคาย ช่างคิด ช่างเล่น ช่างเจรจา เป็นผู้ที่บิดามารดาถนอมกล่อมเกลี้ยง รักและตามใจ จึงติดนิสัยออกจะเป็นผู้นำมาแต่เล็ก...นำเล่น นำเที่ยว นำออกความคิดแปลกๆ มาชวนเพื่อนเล่น ประกอบทั้งบิดาก็เป็นหมอที่ชาวบ้านรัก และความรักนั้นก็เจือจานมาถึงลูกรักของพ่อหมอด้วย เล่นซนอะไรกัน หนักนิดเบาหน่อย เพื่อนบ้านก็มักจะสั่งให้บุตรหลานของตนยอมตามลูกชายพ่อหมออยู่เสมอ ท่านว่าแม้จะได้รับการตามใจยกย่องอยู่ในทีเช่นนั้นน่าที่ท่านจะกลายเป็นเด็กก้าวร้าวอวดดี หรือเสียเด็กไปเลย โดยไปข่มเหงรังแกเพื่อน แต่การณ์กลับปรากฏว่า ท่านพอใจเพียงแค่การได้รับความยกย่องให้เป็นหัวหน้าผู้นำหมู่เพื่อนเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือ เป็น "หัวโจก" ของหมู่ ว่างั้นเถอะ เพียงแต่ว่า หัวโจก ผู้นี้ จะพาเพื่อนเล่นซนตามประสาเด็กในวัยคะนองเท่านั้น...!
                                      
วันหนึ่ง ท่านชวนเพื่อนออกไปวิ่งเล่นกันแถวบริเวณสนามบินซึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ด้านหนึ่งก็รกร้างอยู่ มีหญ้าสูงมีซอกมุม มีซากเครื่องบินทิ้งรกร้างอยู่ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเล่นซ่อนหาของหมู่เด็กๆ ท่านวิ่งแยกจากคณะหลบไปทางหนึ่ง ใจคิดว่าตนช่างฉลาดแท้ หาซอกมุมที่ว่องได้ลับตาเพื่อนอย่างแสนวิเศษ
                                  
หลบอยู่สักครู่ สายตาเด็กชายสอดส่ายมองไปโดยรอบตามประสาเด็ก ...รอบตัวราวกับมีฝาผนังมาห้อมล้อมเป็นที่กำบังไว้ จึงค่อนข้างมืด เห็นแต่แสงสว่างบนศีรษะลอดผ่านลงมา ท่านมองแสงสว่างนั้นไม่นานก็ประหลาดใจที่เห็นวัตถุอย่างหนึ่งลักษณะกลมแบนใหญ่โตมากลอยนิ่งอยู่บนฟ้า
                                                 
ดูไปสักครู่ ก็เห็น "สิ่ง" นั้น เคลื่อนตัวช้าๆ เหมือนลอยเลื่อนลงมา ท่านมองนิ่งอยู่ มีความคิดว่า "สิ่ง" นั้น ดูเหมือนจะลอยใกล้เข้ามา ท่านมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์ ได้แต่มองภาพ "สิ่ง" นั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาเอ๊ะ..นี่มันลอยตรงลงมาหาเรานี่ ! เป็นความคิดที่สว่างวาบขึ้นในใจ
                                              
ท่านกระพริบตาถี่ จะว่าฝันไป ลืมตาใหม่ก็เห็นชัดอย่างนั้นแถมอาการเคลื่อนตัวก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาก วัตถุลักษณะกลมแบนนั้นมีแสงสว่างรอบตัวของมัน ยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งสว่างจ้าขึ้นเพียงนั้น
                                                 
ท่านลืมนึกถึงเรื่องการที่จะต้องซ่อนตัวตามเกมการเล่นกับเพื่อนคิดอยู่อย่างเดียวว่า ต้องหนี... เผื่อมันตรงลงมาทับเรา จับเรา เราจะทำอย่างไร
                                             
ท่านกระโจนผึงออกจากที่ซ่อน วิ่งตื๋นไปตามสนามบิน และเมื่อเงยหน้ามองบนฟ้าก็ตกใจ เพราะวัตถุสิ่งนั้นก็ลอยตามท่านมาท่านวิ่งไปอีกทางหนึ่ง วัตถุนั้นก็เคลื่อนลอยตามไปอีก คราวนี้ท่านนึกได้ถึงพวกเพื่อน ก็ตะโกนเรียกเพื่อนลั่น... วิ่งล้มลุกคลุกคลานไป โดยมีวัตถุใหญ่ลักษณะราวยานอวกาศลอยตามอยู่

สุดท้ายท่านล้มลงนอนหงาย เพื่อนสนิทตามมาถึง เห็นเพื่อนร้องเอะอะก็ซักถาม ท่านจึงชี้ละล่ำละลักให้เพื่อนดู ทุกคนตกใจที่เห็นภาพดังนั้น ช่วงกันโห่ไล่ ทั้งกลัว ทั้งตกใจ น่าแปลกที่ว่าภาพวัตถุลักษณะดั่งยานอวกาศที่ลอยไล่ตามท่านมานั้น สุดท้ายก็หายไป...!                                                                                      
อาจจะเป็นจานบิน อาจจะเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างแดน... ไม่มีใครทราบได้ แต่ระยะเวลานั้นในโลกนี้ประเทศมหาอำนาจต่างๆยังไม่มีการคิดค้นเรื่อง ยานอวกาศ กันเลย แม้แต่ข่าวเรื่อง "จานบิน" ก็ยังไม่มีวี่แววปรากฏ

เด็กๆ ไม่กล้าเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟัง ด้วยเกรงจะถูกดุที่ไปชนไกลบ้าน จนถึงแถวสนามบิน เฉพาะตัว "หัวโจก" เจ้าความคิดนั้นปิดปากสนิท จนภายหลังความแพร่งพรายขึ้น ท่านจึงต้องสารภาพให้บิดามารดาฟัง ซึ่งต่างก็ฟังด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ...หาก "อ้ายนั่น" มันลอยทักลงมา...ลูกก็คงแหลกไหม้เป็นจุณวิจุณ หรือหาก "อ้ายนั่น" มันพาลูกไป...โอย...ไม่อยากจะคิด...!
เรื่องนี้ เมื่อพวกศิษย์ทราบเค้าเรื่อง ได้เรียนถามท่าน เพราะฟังดูประหนึ่งท่านจะเป็นผู้พบ "จานบิน" เป็นคนแรกในเมืองไทยท่านจึงเล่าให้ฟัง แล้วสรุปเล่นๆ ว่า.."น่าคิดเหมือนกันนะ มันมารับอย่างนั้น ถ้าตามไปด้วยจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ...!"

หลังจากนั้น บิดามารดาของท่านก็ส่งท่านไปอยู่ประจำในโรงเรียนกินนอนที่เชียงใหม่ คือ โรงเรียนปรินซ์รอแยล สาเหตุคงทั้งเพื่อให้เป็นไปตามสมัยนิยมที่ควรจะให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่จังหวัดใหญ่ อันเป็นคล้ายเมืองหลวงของภาคพายัพและทั้งคงจะเป็นการพรากห้บุตรได้ห่างไกลจากสิ่งแวดล้อมดั้งเดิมบ้าง เพื่อนเก่าดูออกจะตามใจลูกท่านมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะแนะจะชวนทำอะไร ก็เฮโลเชื่อฟังทำตาม พบเพื่อนชุดใหม่ลูกคงจะต้องปรับตัวใหม่

สมัยวัยเยาว์ ท่านก็ได้ประสบพบเห็นแต่สิ่งที่ชักจูงใจให้ใฝ่แต่การบุญ สิ่งที่ชวนให้พิจารณาทุกข์ของสัตว์โลกตลอดมา
             
เรื่องของการบุญทานการกุศลนั้น ท่านเล่าว่า ที่บ้านของท่านบิดามารดาใส่บาตรเป็นประจำทุกวัน เมื่อท่านยังเล็กมารดาก็จะอุ้มมา ใส่บาตรด้วย พอโตขึ้นหน่อยก็จะให้ยืนอยู่ข้างๆ คอยใส่ข้าว หรือหย่อนขนมลงในบาตรพระ ทุกวันพระบิดามารดาก็จะพาไปวัดด้วย สอนลูกให้รู้จักทำบุญแต่เล็กแต่น้อยท่านเล่าว่าใส่บาตรเป็นประจำทุกวัน และไปวัดในวันธรรมสวนนะทุกครั้ง...ไม่เคยขาด เว้นแต่เจ็บป่วยเท่านั้น ท่านสังเกตว่าของที่ใส่บาตรมารดาของท่านจะต้องจัดอย่างประณีต เลือกเฟ้นแต่ของที่ดีที่สุดในบ้านมาใส่บาตรก่อน ที่เหลือจึงจะให้สามีและลูกๆ ต่อไป ไม่ว่าเป็นอาหารคาวหวาน หรือสัมสูกลูกไม้ใดๆ ที่ปรุง หรือซื้อหามา แม้ของที่ญาติหรือเพื่อนให้มาก็จะต้อง "เก็บไว้ใส่บาตรเก็บไว้ถวายพระ" หากมีจำนวนมากพอดอก จึงจะเหลือให้ทางบ้านได้ลิ้มรส
               
ท่านเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักการบุญสุนทานอย่างถ่องแท้ พ่อแม่เพียงพามาทำ ก็ไม่เคยเห็นประโยชน์ประจักษ์ใจ มองดูการกระทำของมารดาอย่างรำคาญนิดๆ อิจฉาหน่อยๆ ....รำคาญ ที่ทำไมในบ้านจึงได้กุลีกุจอแต่การบุญ จะไปเที่ยววิ่งเล่น แม่ก็เรียกให้ถือของไปวัดเสียแล้ว ! ข้าวของอาหารอย่างดีเลือกสรรไปถวายพระหมด น่าที่บิดาจะห้ามปราม หรือมีทีท่าไม่พอใจ แต่ท่านก็กลับเออออเห็นด้วย บางครั้งช่วยเลือกให้เสียด้วยซ้ำ...."อิจฉา" นั้น ก็น่าคิดอยู่บ้าง เพราะของดีๆ อย่างนั้นน่าที่ให้ลูกได้กินได้ชิมบ้าง กลับไปทำบุญหมด ถวายพระนั้นลูกก็ไม่ว่า แต่ถวายหมด ถวายแต่ของดีๆ ความจริง...พ่อแม่นั่นแหละควรจะแบ่งไว้กินเองบ้าง
                   
คิดอยู่ในใจไม่นาน ปากก็อดเปรยออกมาไม่ได้สองสามครั้ง มารดาก็จะห้ามทุกครั้ง อย่าคิดอย่างนั้นนะลูก บาป...อิจฉาพระ..! หลายครั้งเข้า มารดาก็จะอธิบายต่อ...บุญมีซีลูก ถ้าไม่มี พ่อแม่จะทำไปทำไม ที่จริง ท่านก็มิได้จะตั้งใจค้าน เพราะจิตใจท่านเองก็พอใจการทำบุญอยู่มาก แต่ที่พูดไปนั้น ปรารถนาจะให้บิดามารดาได้กินอาหารดีๆ บ้างเท่านั้น วันนี้ก็คิดจะยอมแพ้แล้ว แต่วิสัยเด็กก็อยากจะใช้คารมอวดเก่งกับผู้ใหญ่บ้าง จึงแกล้งบ่น
                   
"บุญ...มีเป็นอย่างไร ไม่เห็นนี่ครับ ตัว บุญ เป็นอย่างไรจัดได้ ถูกต้องได้ไหมครับ" คิดว่าคงจะถูกมารดาเงื้อมือซัดสักผาง ซึ่งท่านตั้งใจจะกระโดดหนี แล้วพ่อแม่ลูกก็จะหัวเราะกันที่ลูกยั่วแม่สำเร็จ
                    
คราวนี้ผิดคาด ท่านทั้งสองสบตากัน อาจจะเป็นเพราะเห็นว่า ลูกชายมีวัยเติบโตพอจะรู้ความควรไม่ควรแล้ว ท่านจึงเล่าความให้ลูกน้อยฟัง ...บิดาท่านเองเป็นผู้เล่า
                    
ท่านเริ่มต้นว่า ดีแล้วที่ลูกพูดขึ้นมาเช่นนี้ ถามว่า "บุญ" ที่ว่ามี..มี นั้นเป็นอย่างไร ตัวบุญเป็นอย่างไร จับต้องได้ไหม ถูกต้องได้ไหม ตัวบุญ...นั้นแน่นอน จับไม่ได้ ถูกต้องไม่ได้ แต่ลูกลองฟังเรื่องนี้ดู....
            
ระหว่างนั้นบ้านเรายังไม่มีฐานะพอมีพอกินเช่นอย่างเดี๋ยวนี้ ถึงจะมีความรู้ทางหมออยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้เปิดร้านยาอาชีพหลักคือทำไร่ ทำสวน แต่ก็พยายามใส่บาตรทำบุญอยู่เป็นประจำ ฐานะแม้จะไม่ดีก็พยายามหาของใส่บาตรทุกวันส้มหน่วยกล้วยใบ ก็ใส่บาตรไปตามมี...มิได้ขาด วันหนึ่งมันเข้าตาจนจริงๆเงินไม่เหลือติดบ้านเลยสักสตางค์ ที่บางครั้งเคยมีคนมาขอซื้อยาบ้าง วันนั้นก็เงียบหาย รุ่งขึ้นเป็นวันพระตั้งใจจะไปทำบุญที่วัดไม่มีเงินเลยจะทำอย่างไร ทุกครั้งว่าลำบากๆ ก็ยังพอหยิบฉวยกล้วยอ้อยในสวนไปวัดได้บ้าง วันนี้อับจนไปหมด เคยทำบุญ เคยไปวัดก็ไม่ได้ไป มันคับแค้นแน่นใจจริงๆ บ่น ปรึกษากันจนตีหนึ่ง ตีสอง สองคนสามีภรรยารำพันว่า เกิดมาชาติหนึ่ง ทำไมจนเหลือเกิน อดีตเราคงไม่เคยทำบุญทำทาน หรือทำก็เล็กน้อยไม่สม่ำเสมอ ไม่เคยสงเคราะห์คนอื่น ชีวิตชาตินี้จึงได้ลำบากยากเข็ญนัก น้ำตาคลอร้องไห้กันด้วยความคับแค้นใจ ...เทวดาฟ้าดินไม่เห็นใจเราบ้างเลย เราอยากจะไปวัด ก็จะไม่ได้ไป !
          
รุ่งสว่าง บิดาก็คิดว่า ไปไร่อ้อยดีกว่า คิดเอาเสื้อมาใส่จะถีบจักรยานไปไร่ไปสวน พอหยิบเอาเสื้อจากที่แขวนข้างฝากระเป๋าเสื้อก็ดังกรุ๋งกริ๋งๆ ท่านก็ประหลาดใจว่า เสียงอะไรเหมือนเสียงโลหะกระทบกัน ขยับเสื้อ เสียงดังกรุ๋งกริ๋งก็ยังคงอยู่
           
บิดาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ได้เงินมา ๒ แถบ ! ...สมัยนั้นทางภาคเหนือยังใช้เงินแถบอยู่ ที่ลำปางก็เช่นเดียวกันท่านพลิกเงินแถบไปมาอยู่ในมือ เอ...มันก็เหมือนเงินแถบ ใช่ หรือเปล่านี่ รูปร่างก็เงินแถบจริงๆ เคาะ....ดีดก็ดังเหมือนเสียงโลหะเงิน เอ...เป็นเงินจริงหรือเงินปลอมกันนี่....เสียงก็คล้ายเงินจริงๆ ว่าแต่ว่า... ใครเอาเงินมาให้นะ แม่คำก็ไม่ใช้ บ่นอยู่ด้วยกันจนดึกดื่น คนอื่นจะเอามาก็ไม่มีทาง เสื้อตัวนี้แขวนอยู่ตั้งแต่เย็นตอนจะหาเงินไปซื้อของมาทำบุญก็แทบจะพลิกกระเป๋าตลบกลับออกดูไม่มีวี่แวว....ไม่มีเลย เราปิดประตูบ้านแต่หัวค่ำ เสื้อก็แขวนอยู่ตรงนั้นใครจะเอาเงินมาใส่ในกระเป๋าเสื้อได้....!
                                                        
สุดท้ายท่านก็นำเงินไปซื้อของ ใจไม่ค่อยดี เวลาเขาห่อของใช้แล้ว ท่านส่งเงินให้เขาเป็นการชำระค่าของ เกรงเขาจะคืนมา...แต่เอ...เขาก็รับเงินดิบดี ขายของให้เป็นปกติ
          
บิดาจึงได้เงิน ๒ แถบที่มาปรากฏในกระเป๋าเสื้ออย่างแปลกประหลาดนี้ เอาไปซื้ออาหารไปวัดได้ ได้เงินวันละ ๒ แถบ ทุกเช้าหยิบเสื้อมา จะมีเงินมาปรากฏขึ้นวันละ ๒ แถบ ให้ได้นำไปจับจ่ายซื้อข้าวของไปใส่บาตรไปวัด ท่านปิดปากเงียบ รู้อยู่คนเดียว ยังไม่กล้าเล่าให้ภรรยาฟัง เกรง จะว่า เพ้อ หรือ ฝันไป ได้เป็นเดือนเลย ทุกวัน ในที่สุดเย็นวันหนึ่งก็อดใจเก็บความลับอยู่ต่อไปไม่ไหว ก็เล่าให้คู่ชีวิตฟัง ในชนบทนั้นตกเวลาเย็นกลับจากไร่จากสวนก็จะกลับบ้านมาคุยกัน มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังเย็นวันนั้นท่านก็เล่าเรื่องเงินแถบแปลกประหลาดที่มาอยู่ในกระเป๋าเสื้อทุกเช้านี้ให้ฟัง เธอไม่ได้นำมาใส่ให้ไม่ใช่หรือ สุดท้ายถามซ้ำ ภรรยายืนยันว่า ไม่เคยนำมาใส่เลย ไม่ทราบด้วยซ้ำ ยังคิดเหมือนกันว่า หมู่นี้มีเงินทำบุญอย่าง ไม่ขาดแคลน คิดว่าคงจะขายอ้อยได้เงิน หรือก็มีคนไข้ให้เงินเป็นพิเศษ
             
ไม่ใช้หรอก เงินแปลก มาอยู่ในกระเป๋าเสื้อทุกวัน ไม่ทราบมาได้อย่างไร

มารดาท่านเป็นหญิงชนบท คงเคยได้ฟังนิทานเล่าต่อๆ กันมา เรื่องพระสังข์ทองที่ออกจากหอยสังข์ ไปเอาอาหารผลไม้มาให้ตายายที่อาศัยอยู่ด้วยทุกวัน แม่ก็เลยว่า เอ...พระสังข์ทองหอยสังข์คงจะไปขโมยมาให้กระมัง
            
พอว่า "ขโมย" รุ่งขึ้นก็หายไปเลย ล้วงในกระเป๋าเสื้อก็ไม่มี จากวันที่มารดาพูดล้อเล่นว่า คงจะไปขโมยมา จากวันนั้นก็ไม่มีอีกเลย บิดาเล่าแล้ว มารดาซึ่งนั่งอยู่ด้วยฟังบิดาเล่าความเก่าให้ลูกฟังก็เสริมว่า ...แม่เองปากไม่ดี พูดไม่เป็นมงคล เงินก็เลยไม่มีมาอีก
                    
แล้วทั้งบิดามารดาก็สรุปให้บุตรชายซึ่งนั่งฟังนัยน์ตาแป๋วว่า นี่แหละลูก บุญมีไหม ! จะจับไม่ได้จะถูกต้องไม่ได้ก็ตาม แต่หลังจากนั้น พ่อแม่ก็ยิ่งมีใจเชื่อมั่น มีศรัทธา พยายามทำบุญไม่ให้ขาด มีน้อย ทำน้อย มีมาก ทำมาก ฐานะบ้านเราก็ค่อยกระเตื้องขึ้น สบายขึ้น พอมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีฐานะอย่างที่ลูกเห็นอยู่นี้
                      
ท่านอาจารย์เล่าว่า ท่านก้มกราบแทบเท้าบิดามารดาด้วยความรักและเคารพอย่างสูง ต่อมาในภายหลัง เมื่อได้บวชเรียนท่องบ่นสวดมงคลกถา ตอนที่ว่า สุภาสิตา จ ยาวาจา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ...วาจาใดอันชนกล่าวแล้วด้วยดี ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด" คราใดท่านจะระลึกถึงพระคุณของโยมบิดาโยมมารดาอย่างซาบซึ้งครานั้นทุกครั้งไป
  
ในวาระนั้น เมื่อเล่าเรื่องเงินแถบซึ่งเกิดจากผลบุญกุศลแล้่วท่านทั้งสองก็ถือโอกาสอบรมบุตรน้อยต่อไป ให้รู้จักพูดจาแต่คำอันเป็นมงคล...เป็นมงคลแก่ผู้พูด...เป็นมงคลแก่ผู้ฟัง...ให้พูดแต่คำไพเราะอ่อนหวาน ซึ่งจะเป็นที่เจริญหูเจริญใจทั้งแก่ผู้พูดและผู้ฟัง...ให้พูดแต่ความดีของผู้อื่น อย่าพยายามพูดถึงความเลวของเขา คนเราย่อมมีทั้งดี ทั้งเลว เราต้องรู้สึกเลือกหยิบแต่ของดี เราก็จะได้แต่ของดี มีแต่ความดีในตัว มีความดีแวดล้อมห้อมล้อมตัวเราตลอดไป

ไม่แต่การพูด สำหรับการคิดการกระทำ ก็เช่นเดียวกันต้อง คิดดี ทำดี ท่านอบรมบุตรว่า คนทั่วไปมักจะย้ำแต่ให้ทำดีแต่ท่านว่า การคิดนั้นสำคัญยิ่งกว่า เพราะเป็นรากฐานของการกระทำ ถ้าคิดดี แล้วจะทำเลวไม่ได้ ต้องทำแต่สิ่งที่ดีเสมอ คิดแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่เป็นมงคล ก็จะกระทำแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่เป็นมงคล คิดแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นมงคล...รอบตัวเรา ห้อมล้อมตัวเรา ก็จะมีแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นมงคล
          
พ่อแม่อยากให้ลูกประสบแต่สิ่งที่ดี สิ่งที่งาม สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นมงคลตลอดชีวิตของลูก จึงเฝ้าเตือนอบรมพร่ำสอนเพื่อให้ สิ่งเหล่านี้ฝังลึกลงไปในจิตใจลูก เป็นสมบัติของลูกที่จะติดตามลูกไปพระท่านว่า คุณงามความดีตลอดจนบุญกุศลนี้จะตามเราไปทุกภพทุกชาติ...นั่นเป็นเรื่องของผลการบุญทานการกุศล ชวนให้ฝักใฝ่แต่การบุญ
 
ด้วยความที่โยมพ่อของท่านมีอาชีพเป็นแพทย์แผนโบราณ ทำให้เด็กชายไพบูลย์เกิดความเคยชินและคุ้นเคยกับภาพชีวิตที่วนเวียนอยู่กับ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครสามารถห้ามความตายหรือหนีพ้นความตายได้ 

ท่านเล่าว่าในช่วงนั้นจิตใจของท่านไม่รู้เป็นอย่างไร เพราะนอกจากท่านคิดอยู่แต่จะหาทางออก หาวิธีให้หลุดพ้นจากวงเวียนชีวิตแล้ว ท่านยังมีความสงสารไม่อยากเห็นความเจ็บ ไม่อยากเห็นความตาย ไม่อยากให้ใครเจ็บและไม่อยากให้ใครตาย ดังนั้นเมื่อท่านเห็นคนเจ็บมาให้พ่อของท่านรักษา ท่านก็จะรีบกุลีกุจอเข้าไปช่วย 

บิดาของท่านเป็นคนมีเมตตามากรักษาดูแลผู้ป่วยเหมือนญาติพี่น้อง คนเจ็บบางคนมาแต่ต่างตำบล ให้รักษาแล้วไม่มีที่จะไปออกปากขออาศัยบ้านพ่อหมออยู่รักษาตัว ท่านก็ไม่ขัดข้อง ว่าเขาทุกข์ยากมา ก็ต้องอาศัยเอื้อเฟื้อเจือจานกัน บางคนไม่ทันออกปากขออาศัย บิดาของท่านก็เป็นฝ่ายเอื้อเฟื้อบอกให้เอง
              
บ้านของท่านมิใช่เป็นเศรษฐีร่ำรวยเงินทอง เพียงพอมีอันจะกิน หรือเรียนให้ถูกก็คือ พอใช้สอยไปวันหนึ่งๆ ไม่ขาดแคลน แต่ใจก็ยังเมตตาเอื้อเฟื้อ คนไข้คนไหนมีเงินก็ได้ค่ายา ค่ารักษา แต่ถ้าจนยากนอกจากจะไม่ได้ค่ายาค่ารักษาแล้ว แถมบางครั้งบ้านพ่อหมอยังต้องเปิดบ้านให้คนไข้มากินอยู่ด้วย มาให้พ่อหมอและภรรยาช่วยรักษาพยาบาลให้
                        
อาหารการกินนั้น เรากินอยู่อย่างไร เขาก็กินอย่างนั้น ไม่รังเกียจว่า เขามาอาศัย ต้องกินอาหารหยาบกว่าเลวกว่า เราเป็นเจ้าของบ้านต้องกินอาหารประณีตกว่า ดีกว่า แต่ท่านให้คนไข้ได้กินด้วยกัน แบ่งปันกันตามมีตามได้ ยกเว้นที่ว่าหากคนไข้ต้องการอาหารอ่อน อาหารพิเศษ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก เช่นนั้นก็ต้องจัดการให้ ซึ่งต้องใช้เวลาจัดทำให้อย่างประณีตพิเศษกว่าเจ้าบ้านเสียอีก
               
ตั้งแต่เด็ก ท่านอาจารย์ก็เคยชินต่อการเห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดมา บางครั้งบิดามารดาเป็นห่วงใยอาการไข้ของคนเจ็บที่คุ้นเคย นำความมาปรารภกันที่บ้าน ...แม้แต่ในห้องนอน ท่านซึ่งเป็นลูกเล็ก นอนกับบิดามารดามาตลอด ก็พลอยได้รับรู้ความทุกข์กังวลของผู้ใหญ่ด้วย น่าสงสารเขานัก เจ็บครั้งนี้คงไม่รอด คงตาย..!
                   
ได้ยินบิดามารดารำพึงกัน ท่านก็พลอยทุกข์กังวลไปด้วย...."เจ็บ" ก็น่ากลัวอยู่แล้ว ท่านจำได้ คนเจ็บจะหน้าตาซูบเซียวตาลึก ลอย โกรธง่าย ฉิวง่าย มีอารมณ์ แม้บางคนมาอาศัยกินอยู่ฟรี รักษาพยาบาลฟรี เมื่อความเจ็บปวดรวดร้าวมีมากเกินทนทานได้ ก็ร้องโอดโอยอย่างไม่อับอายใคร บางเวลายังโกรธดุดันด่าว่าหมออย่างหยาบคายก็มี พอค่อยยังชั่ว รู้สึกตัว จะขอโทษขอโพยไม่ให้ถือสา.... ทั้งน่าสงสาร น่าอนาถ และน่ากลัว

ส่วน "ตาย" ท่านก็ได้เห็นบ่อย คนเจ็บที่ตายไป ญาติผู้ใหญ่ ที่ตาย บางคนแก่ถึงจะตาย บางคนยังหนุ่มสาว ยังเด็ก แต่ก็ตาย เหมือนกัน ไม่มีใครรู้แน่ว่าใครจะตายก่อนหลัง ความตายจะมาเมื่อไร ตายแล้ว ร่างซีดเซียว ภาพคนเจ็บนานๆ น่ากลัวอยู่แล้ว คนตายยิ่งน่ากลัวกว่า เสียงพระสวดเยือกเย็น ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงร้องไห้คร่ำครวญกัน ก็หาทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ไม่ ร่างที่เคยสวยงามน่ารัก หรือเป็นที่ระลึกถึง เป็นที่คร่ำครวญถึง ไม่นานก็ขึ้น มีกลิ่นเป็นที่รังเกียจ...ต้องนำเข้าบรรจุในโลง และเผาไปในที่สุด เหลือแต่กระดูกกองเถ้าถ่านกองเล็กๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่านั่นเอง คือ สิ่งที่เหลืออยู่....ของมนุษย์ ! และแม้แต่กระดูกกองเถ้าถ่านนั้น ก็จะเสื่อมสลายต่อไปอีก กลายเป็นดินทบท่าวลงในผืนธรณี
          
เจ็บ...ตาย ท่านไม่อยากจะได้ยินเลย มีอะไรไหมที่จะทำให้เราหนีพ้นจากความเจ็บ ความตายได้แล้ว "ความแก่ ล่ะ" ก็ไม่น่าดูเหมือนกัน ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเป็นพี่ป้าน้าอาของเรา ของเพื่อนเรา ต่างแก่เฒ่าร่วงโรยไป ผมเป็นสีขาว ฟันฟางเริ่มหัก หนัง...เหี่ยวย่น เสียงสั่นเครือ นั่งโอย...ลุกโอยต้องให้ลูกหลานประคอง

เราจะต้องเป็นอย่างนี้หรือ...ต่อไปข้างหน้าเราหนีความแก่ไม่ได้หรือ "การเกิดของเด็กทารก" พ่อแม่ญาติพี่น้องยิ้มแย้มแจ่มใส มีความชื่นบานที่ได้มีชีวิตใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกในครอบครัวแต่บางคนก็อาจจะมีความกังวลต่อไปด้วย แต่เดิมยังแทบไม่พอปากพอท้อง เมื่อเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชีวิต ความคับข้องในการหาเลี้ยงชีวิตจะเป็นถึงปานไหน สำหรับการเกิดในครอบครัวอันมีจะกินเป็นคหบดีเป็นเศรษฐี ก็อาจมีความสุขสบาย แต่ต่อไปเล่า ทารกนั้นเติบโตขึ้นก็ต้องก้าวไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เหมือนกัน...!
มันวนเวียนกันเช่นนี้ ทำอย่างไรจะตีฝ่าวงล้อมนี้ไปได้ให้หลุดพ้นจากวงเวียนชีวิตที่เป็นวังวนนี้ได้

ท่านเคยลองปรารภความคิดในใจนี้ เพื่อนฟังก็ว่า บ้า...คิดบ้าๆ ผู้ใหญ่ได้ฟัง ก็ทำท่าคล้ายสะดุ้งเกรง เตือนแต่ว่าอย่าคิดมาก คิดไปจะ.... ถึงจะไม่ได้ยินคำท้าย แต่ท่านก็พอเดาได้ว่าคำที่ยั้งไว้นั้นคงไม่แคล้วจากคำที่มีความหมายว่า บ้า หรือ เสียสติเป็นแน่แท้ ท่านก็เลยไม่ค่อยอยากพูดให้ใครฟังอีก คงเก็บไว้ภายในใจ
         
ท่านเล่าว่า จิตใจไม่ทราบเป็นอย่างไร นอกจากอยากจะหาทาง หาวิธีให้หลุดพ้นจากวงเวียนชีวิต ซึ่งต่อมาก็รู้จักในนามของวัฏวน หรือ วัฏจักร แล้ว ท่านยังมีความสงสารไม่อยากเห็นความเจ็บ ไม่อยากเห็นความตาย ไม่อยากให้ใครเจ็บ ไม่อยากให้ใครตาย คนเจ็บมาที่บ้าน ลูกชายพ่อหมอจะช่วยกุลีกุจอช่วยบิดาคนตาย...กลัวอยู่ แต่การใดที่พอช่วยได้ ก็ช่วยอยู่ห่างๆ หน่อยไม่หลบลี้หนีหายหน้าหายตาไปไม่ช่วยเหลือ ความเมตตาสงสารนี้มิได้หยุดอยู่เฉพาะแต่เพื่อนมนุษย์ แต่ได้ต่อเนื่องไปถึงสัตว์ด้วยท่านไม่ชอบการฆ่าสัตว์ ทารุณสัตว์มาแต่เล็ก เด็กบางคนจะชอบกัดจิ้งหรีด กัดปลา แต่ท่านจะชวนวิ่งเล่นวิ่งซนอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการรังแกชีวิตสัตว์เสียมากกว่า ไม่อยากให้สัตว์เจ็บ ไม่อยากให้สัตว์ตาย เวลาไปตลาด เมื่อท่านเห็นว่ามีชาวบ้านเอากุ้งหอยปูปลาใส่ข้องใส่กระบุงมาวางขาย ท่านก็จะรบเร้าแม่ของท่านให้ซื้อไปปล่อย 

ชะรอยพ่อแม่ของท่านคงจะจับสังเกตุอุปนิสัยของลูกคนเล็กมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้พบครูบาอาจารย์ พ่อแม่ของท่านจึงมักจะเล่าเรื่องถวายและขอความคิดเห็น ซึ่งความเห็นของแต่ละองค์ล้วนสอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกันว่า...
“ลูกชายคนนี้ต้องบวช เพราะวาสนาบารมีของเขาสร้างสมอบรมมาทางนี้” 

อย่างไรก็ตาม ด้วยปกติวิสัยของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมอยากเห็นลูกของตนได้ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าการออกบวชนั้นก็ดีและประเสริฐอยู่แล้ว แต่ก็หาสร้างความสบายใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่ได้ เพราะเหตุการณ์ข้างหน้ามีความเสี่ยงอยู่เสมอ 

ใครจะไปรับรองได้ว่าหากลูกของตนเกิดบวชไม่ตลอดรอดฝั่งและสึกออกมาใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา การเข้าไปต่อสู้ในโลกของฆราวาสที่ต้องแข่งขันกันนั้น มันจะเป็นการช้าไปหรือเปล่า ทางที่ดีคือควรจะเรียนหนังสือให้จบเรียบร้อยก่อนแล้วจึงบวช 

ด้วยเหตุผลนี้ เส้นทางชีวิตในทางโลกของเด็กชายไพบูลย์จึงดำเนินไปตามแนวทางที่พ่อแม่ของท่านได้วางไว้ คือเรียนหนังสือจนจบและออกไปทำงาน จนเมื่ออายุครบบวชท่านก็ได้บวชตามประเพณีของลูกผู้ชาย 

ในขณะที่พ่อแม่ของท่านมีความคิดว่าการบวชจะทำให้ท่านเป็น “คนสุก” ของสังคม เมื่อสึกออกมาจะได้ตั้งครอบครัวและมีบุตรสืบสกุลต่อไป ในทางกลับกันตัวท่านเองก็มีความคิดว่าการบวชครั้งนี้เป็นแค่การชิมลางถือเป็นการซ้อมใหญ่ไปในตัวเท่านั้น

ท่านได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์ จ.เชียงใหม่ เรียนจบชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ ๖ เพื่อนๆ ชวนเรียนเตรียมอุดมต่อ แต่ท่านไม่คิดว่าตนจะเอาดีทางการศึกษาในมหาวิทยาลัย ระหว่างการเรียนที่ผ่านมาซึ่งควรจะต้องมุมุ่งเรื่องการเล่าเรียน ในใจยังมีส่วนหนึ่งที่รู้สึกลึกๆ ถึงประสบการณ์ในวัยเด็กให้ติดตามและศึกษาต่อไปการที่เห็นแสงสว่างตอนเป็นเด็ก... สว่างแม้แต่ในเวลากลางคืน...สว่างตลอดวันตลอดคืน..จนต้องร้องไห้กลัวนั้น ในภายหลังเมื่อเจริญวัยขึ้น ก็เริ่มรู้จักวิธีช่วยตัวเอง...มันเป็นไปเอง...เหมือนคนกลัวสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนถึงที่สุด หลบก็ไม่ได้ หนีก็ไม่ได้ก็จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทั้งกลัวๆ เช่นนั้น สุดท้ายความกลัวก็เปลี่ยนเป็นความเคยชิน และกลายเป็นความมักคุ้นกันในที่สุด
                                                                               เติบโตขึ้น ท่านก็รู้จักคิดหาเหตุผล ลองลำดับความคิดย้อนไป อะไรคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดโอภาสแสงสว่างเช่นนั้น... ก่อนมันจะเกิด ก่อนมันจะเป็น เป็นเพราะอะไร มีอะไรก่อนหน้านั้น ท่านก็คิดได้ว่า เพราะตามองแสงสว่างที่ลอดมาตามประตู หรือช่องลมหรือลอยไม้แตก มองเพลินสักประเดี๋ยวแสงนั้นก็จะกลับสว่างไปหมดจับจุด "ต้นเหตุ" ได้ ท่านก็พยายามไม่มองตัว ต้นเหตุนั้น พยายามไม่มองนิ่งนานไป เพราะชักจะทราบว่าเป็นจุดอ่อนของท่าน ส่วนเวลากลางคืนที่เกิดแสงสว่างจ้า ก็เพราะถ้าจิตไปนึกถึงดวงกลมแสงสว่างตอนกลางวัน จิตประหวัดถึงเมื่อใด จะเป็นวูบเดียว ก็สว่างจ้าขึ้นทั้งห้องเหมือนกัน....
                                     
ตาไม่พยายามมองจุดที่ทำให้เกิดแสงโอภาส จิตไม่พยายามนึกถึงดวงแสงโอภาส ท่านเริ่มรู้จักผ่อนคลายความรู้สึก ให้จิตรู้สึกสบายๆ ไม่จรดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากไป ไม่ให้เป็นแสงสว่างจ้ามาก ให้สว่างนุ่มนวลพอสบาย.... ท่านรู้ว่ามันมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ มีบางอย่างที่ยังไม่กระจ่างมีอะไรที่สามารถจะใช้ประโยชน์ได้ จากภาวการณ์ที่ท่านประสบตลอดเวลานี้ แต่ท่านไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร วิธีใด จึงจะสามารถให้อยู่ในบังคับของจิตได้ กำหนดได้ สั่งมันได้ มันเหมือนรำไรๆ อยู่ เหมือนเส้นผมบังภูเขา

บางทีก็เหมือน "รู้" เหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้น บางทีเหมือนจะ อ่านใจ คนถูก ได้ยิน เขาพูด แต่เขาไม่ได้พูด บางที เหมือนจะ "เห็น" อะไรซึ่งอยู่ห่างไกลคนละบ้าน คนละเมืองเหมือน "รู้" เหมือน "เห็น" เหมือน "ได้ยิน" แต่ก็เพียงรำไรๆ เท่านั้น...! มันน่าลองค้นคว้าศึกษาดูจริงๆ ว่า สิ่งที่รำไรๆ นั้นคือ อะไรกันแน่...! แล้วชีวิตล่ะ...คืออะไร? คนเราทำไมต้องเกิดมา..? เกิดมาแล้วทำไมต้องตาย...? ก่อนตายทำไมต้องเจ็บ ต้องแก่...? ตายแล้วจะไปไหน...? จะมาเกิดใหม่ไหน...?
                                                 
ทารกที่ร้องอุแว้...อุแว้ เกิดใหม่ มาตามพ่อหมอบิดาท่านไปผูกมือสู่ขวัญให้บ่อยๆ นั้น มาจากไหน มาจากชีวิตที่ตายจากไปหรืออย่างไร...? ปัญหาเหล่านี้ ล้วนน่าขบคิด น่าคำนึงหาคำตอบ

ถ้าเรียนมหาวิทยาลัยไป จะได้คำตอบถึงสิ่งเหล่านี้หรือ...สิ่งซึ่งดูง่ายเป็นหญ้าปากคอก เพราะอยู่ใกล้ตัว จำเจอยู่กับเราทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เมื่อคิดไปจริงๆ สิ่งที่ดูง่ายนั้น แท้จริงยากจะหาคำตอบได้
                                       
ถ้าเรียนต่อเตรียมไปเข้ามหาวิทยาลัย จะมีวิชาอะไรที่สอนให้สูงพอจะให้คำตอบต่อข้อสงสัยของเราได้ วิชา ความร้อนแสง เสียง ตามตำรา มันไม่เหมือนที่เราประสบมา เลขคณิตล่ะ...? สองบวกสอง จะต้องเท่ากับสี่ จะเท่ากับอื่นไม่ได้หรือ ถ้าจิตจะให้มันเกินไปกว่านี้ล่ะ...? ทำไมคนเราจึงเกิดมาไม่เท่ากัน บ้างเป็นเศรษฐีมั่งมีศรีสุข บ้างเป็นคนทุกข์ยากอนาถาเข็ญใจ บางเป็นคนดี บางเป็นคนเลว บางคนสวยงาม บางคนขี้เหร่ขี้ร้าย บางคนเมตตา บางคนโหดร้าย บางคนพูดจาไพเราะ บางคนพูดโฮกฮากเหมือนสำราก ใครได้ยินก็อยากเดินหนี บางคนแข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้ แต่บางคนเจ็บไข้ได้ป่วยเกือบตลอดชีวิต ท่านพิจารณาเช่นนี้ จึงได้ออกมาทำงานใช้ชีวิตและดูประสบการณ์ทางโลก ก่อนไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตน 

จนอายุครบ ๓๐ ปี ท่านจึงได้ปิดฉากชีวิตในทางโลกด้วยการอุปสมบท ณ วัดป่าสำราญนิวาส อ.เกาะคา จ.ลำปาง เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฏาคม ๒๕๐๗ โดยมีพระครูธรรมวิวัฒน์ วัดเชตวัน จ.ลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “สุมังคโล” ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้มีมงคลดีพร้อม"

หลังจากที่หลวงพ่อได้จำพรรษาและศึกษาธรรมกับ “หลวงปู่หลวง กตปุญโญ” เจ้าอาวาสวัดป่าสำราญนิวาส จนเข้าถึงแก่นธรรมได้ระดับหนึ่งแล้ว ท่านจึงได้ขยายความเข้าใจเพิ่มเติมโดยการออกเดินธุดงค์ตามป่าเขาและตั้งใจทำความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว ท่านว่าเมื่อนั่งภาวนาและเกิดนิมิตผุดขึ้นมาในดวงจิต อย่าได้ตื่นเต้นคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ให้มีสติคุมรู้เท่าทันและพิจารณาด้วยหลัก ๒ ประการ คือ 

๑.ไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นทุกข์ ทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน 

๒.อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พิจารณาเหตุให้เกิดทุกข์ ธรรม เป็นเครื่องดับทุกข์และข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ 

หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล ท่านว่า… “สิ่งที่จริง ก็รู้เอง สิ่งที่ไม่จริง ก็แยกแยะได้” 

เมื่อมีความก้าวหน้าจากการปฏิบัติธรรมแล้ว ได้ออกท่องธุดงค์ไปจำพรรษาในภาคอีสาน และกลับธุดงค์ขึ้นมาแถบป่าเขาในเขตเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย

พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโลได้มีโอกาสไปร่วมงานถวายเพลิงศพพระอาจารย์สม ที่ อ.แม่เมาะ ได้พบกับ พระอาจารย์ทอง ที่เดินทางมาจากวัดอโศการาม จึงได้ชักชวนพระไพบูลย์ออกเดินธุดงค์หาความวิเวก คณะของหลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโลท่านได้ผ่าน มาถึง จ.พะเยา ได้พักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่วัดร้างและจำพรรษา ณ วัดร้างแห่งนี้ ชาวบ้านแถบนั้นได้มาทำบุญฟังเทศน์ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา พากันอาราธนาให้ท่านอยู่ ช่วยบูรณะวัดร้างขึ้นใหม่ อยู่ช่วยปฏิสังขรณ์วัดร้าง จากสภาพวัดร้าง จนมีสภาพดีขึ้นตามลำดับ พร้อมกันนี้ได้ยื่นหนังสือขอสร้างวัดไปยังกรมการศาสนา ได้รับอนุญาต ให้สร้างเป็นวัดในพระพุทธศาสนา มีนาม "วัดรัตนวนาราม"

ต่อมาได้มี ชาวบ้านจากบ้านสันป่าม่วง บ้านสันบัวบก บ้านสันป่าบง เข้ามาอาราธนาท่านไปดูสถานที่สำคัญ บนดอยสูง ฝั่งกว๊านพะเยาด้านตะวันตก เพื่อสร้างเป็นสำนักสงฆ์ไว้เป็นที่บำเพ็ญกุศลของชาวบ้าน ท่านเป็นพระป่ากรรมฐานที่เน้นการปฏิบัติและการพัฒนาควบคู่กันไปครับ โดยเฉพาะกับการอนุรักษ์ป่าเขาลำเนาไพรให้คงอยู่ในสภาพเดิมตามธรรมชาติท่านถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ท่านชอบบอกเสมอ ๆ ว่า… “รู้ไหม..พระพุทธเจ้าท่านประสูติในป่า ตรัสรู้ในป่า ทรงแสดงปฐมเทศนาก็ในป่า และท้ายที่สุดท่านเสด็จปรินิพพานก็ในป่าเช่นกัน” 

ในสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านยังทรงมีชีวิตอยู่เมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงสอนธรรมะแก่ผู้ใด หากพระองค์ทรงสังเกตุว่าบุคคลผู้นั้นยังเป็นผู้ที่มีความตระหนี่และความหวงแหนอยู่ในใจ พระองค์จะเริ่มสอนในเรื่องของการให้เป็นเรื่องแรก ทั้งนี้เพื่อเป็นการซักฟอกจิตใจของผู้นั้นให้มีความละเอียดสะอาดสดใสเสียก่อน จากนั้นพระองค์จึงจะแสดงธรรมที่ลึกซึ้งเป็นลำดับต่อไป 

“พวกกระผมไม่ขัดข้องที่ท่านจะมาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เพื่อบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าพระคุณเจ้าจะสร้างวัด ก็ขอให้สร้างเป็นวัดหลวงปู่ขาวเถิด พวกกระผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง” 

คำขอเพียงข้อเดียวของ “เจ้าพ่อดำ” เทพวิญญาณเจ้าที่ ณ ป่าเขาบริเวณนี้ 

เจ้าพ่อดำได้ขอความเมตตาจากหลวงพ่อเพียงหนึ่งข้อ หลังจากที่หลวงพ่อได้ตัดสินใจรับนิมนต์ชาวบ้านสันป่าบง ในการพัฒนาป่าเขาแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เขากล่าวว่าเขาเป็นใหญ่แถบนี้มานาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยยอมอ่อนน้อมให้ใคร แต่ที่ยอมลงให้หลวงพ่อก็เพราะเห็นในความตั้งใจจริงและยอมพ่ายต่อกระแสความเมตตาของหลวงพ่อที่แผ่ออกมา เขาว่ากระแสความเมตตาของหลวงพ่อเยือกเย็นนัก 

ก่อนหน้านี้ประมาณ ๓ ปี หลวงพ่อได้จำพรรษาและบำเพ็ญเพียรในฐานะประธานสงฆ์อยู่ที่ “วัดรัตนวนาราม” จนคืนหนึ่งหลังจากที่ท่านเสร็จสิ้นภารกิจต้อนร้บญาติโยมจากแดนไกล ท่านได้เข้าสมาธินั่งภาวนาตามปกติ ระหว่างที่กำลังเจริญภาวนาอยู่นั้น ท่านได้นิมิตเห็นทรายทองจำนวนมากกำลังไหลจากยอดเขาสูงลงมาสู่วัดรัตนวนาราม 

ท่านเล่าว่ารังสีแสงของทรายทองที่ไหลลงมาดั่งสายน้ำนั้นได้ท่วมท้นอาบวัดรัตนวนารามทั้งวัดจนกลายเป็นประหนึ่งวัดทองคำ และเมื่อท่านได้มองทวนรังสีแสงสีทองย้อนขึ้นไป ท่านจึงพบว่าแท้จริงแล้วทรายทองทั้งหมดนั้นได้ไหลลงมาจากยอดเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกว๊านพะเยานั่นเอง
ด้านทิศตะวันออกของกว๊านพะเยา เป็นที่ตั้งของ “วัดรัตนวนาราม” 

ด้านทิศตะวันตกของกว๊านพะเยา เป็นป่าเขาและมียอดดอยสูงชื่อว่า “ดอยม่อนแก้ว” 

ชาวบ้านสันป่าบงเชื่อว่า “ดอยม่อนแก้ว” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะที่นั่นชาวบ้านมักจะเห็นแสงสว่างเป็นดวงกลมล่องลอยไปมาอยู่บนยอดดอย แสงนั้นบางทีก็สว่างเรืองรอง บางทีก็สว่างจ้าเป็นสีเหลืองสดอาบทั้งดอยจนกลายเป็นดอยทองคำ และที่สำคัญคือเหตุการณ์แบบนี้ชอบที่จะปรากฏให้เห็นในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา 

นอกจากนี้ในบริเวณดังกล่าวยังได้ชื่อว่า “เป็นที่แรงและมีผีดุ” ชาวบ้านบางคนได้เล่าไว้ว่า หากพวกเขาไปทำไร่ทำนาในบริเวณนั้น พอถึงตอนเย็น พวกเขาจะต้องรีบกลับออกจากสถานที่แห่งนั้น เคยมีบางคนไม่เชื่อและไปเผลอนั่งหลับ ก็จะมีคนร่างกายสูงใหญ่ตัวดำ มากระตุกขาหรือคอยแหย่ให้ตื่น เล่นเอาบางคนตกใจถึงกับเสียสติ เจ็บไข้ได้ป่วยและบางรายก็ถึงกับเสียชีวิต 

สำนักสงฆ์อนาลโย สำนักสงฆ์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นจากการใช้เพิงผาเป็นที่ปฏิบัติธรรม ค่อยๆ ปรับปรุงโดยเพิ่มยกแค่ให้สูงพอกันสัตว์เลื้อยคลาน ต่อมาก็เป็นกระต๊อบ มีฝา มีหลังคา จนในที่สุดได้พัฒนากลายมาเป็น “วัดอนาลโยทิพยาราม” ในปัจจุบัน 

ทุกวันนี้นอกเหนือไปจากการมีชื่อเสียงในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่แล้ว ความสงบภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ความร่มรื่นของป่าเขาน้อยใหญ่ที่ยังสมบูรณ์ และความสวยงามของภูมิทัศน์รอบ ๆ ที่ได้พัฒนาให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ทำให้วัดอนาลโยทิพยารามแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหน้าเป็นตาของจังหวัดพะเยาด้วยครับ 

คำว่า “อนาลโย” เป็นฉายาของ “หลวงปู่ขาว อนาลโย” วัดถ้ำกลองเพล 

หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล กล่าวว่า หลวงปู่ขาวท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมอันสูงส่ง มีคุณธรรมอันล้ำเลิศ คนหูหนวกก็คงเคยเห็นท่าน คนตาบอดก็คงเคยได้ยินชื่อเสียงของท่าน คงจะมีแต่คนที่ทั้งหูหนวกและตาบอดเท่านั้นที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงและไม่เคยเห็นท่าน 

สำนักสงฆ์แห่งนี้ ในเวลาไม่นาน ได้รับการยกฐานะให้เป็นวัด ชื่อ “วัดอนาลโยทิพยาราม” ได้รับประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการ อนุญาตให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๐ 

แม้ทุกวันนี้ หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล วัดอนาลโยทิพยาราม จะดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ แต่วัตรปฏิบัติท่านยังคงเรียบง่ายดุจเดิม ยังคงให้การอบรมศีลธรรมแก่สาธุชนที่เข้ามาทำบุญฟังธรรม เน้นให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระ พุทธศาสนา ตามหลักเบญจศีล เบญจธรรม เป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้เป็นปกติสุขในสังคม แม้สังขารเริ่มโรยราไปบ้างตามกาลเวลา แต่จิตใจของท่านยังเข้มแข็ง เป็นบุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตที่ดีงามโดยแท้

เมื่อ​วันที่​ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๔​ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา พระธรรมวิสุทธิญาณ​ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง ในราชทินนามว่า 

พระพรหมวชิรคุณ วิบูลประชาพัฒนาการ ภาวนาวิธานโกศล วิมลศาสนกิจดิลก สาธกธรรมวิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดเทพนิมิตสุดเขตสยาม จังหวัดเชียงราย

ในพรรษาปีนี้ ๒๕๖๖ หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล ท่านพำนักจำพรรษาที่ วัดเทพนิมิตสุดเขตสยาม ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย

พระพรหมวชิรคุณ หลวง​ปู่​ไพบูลย์​ สุ​มัง​คโล
ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๑๗.๒๔ น.  
ตรงกับ​วันอังคาร​ที่ ๒๖ กันยายน​ ๒๕​๖๖  
ณ โรงพยาบาล​กรุงเทพ​ สิริอายุ ๘๙ ปี ๑ เดือน ๒๓ วัน


ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco