ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร วัดป่าสุนทราราม ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร


 ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร 
     ​วัน​ที่​ ๓​ กันยายน​ ๒๕๖๗ เป็น​วัน​คล้าย​วัน​มรณภาพ​ของ​หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร รำลึก​ ๔ ปี​ อาจาริยบูชาคุณ​ “พระมหาเถระผู้มีธรรมสว่างไสวเจิดจำรัส” อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร​ องค์ท่านเป็นศิษย์ หลวงปู่ดี ฉันโน และเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่เนย สมจิตฺโต องค์ท่านพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทุกครั้งที่ผมไปกราบท่าน จะต้องรอให้ท่านเดินจงกรมให้เสร็จก่อน ท่านว่าถึงแก่แล้ว แต่ก็ต้องทำข้อวัตรปฏิบัติธรรมตามแบบปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์ อย่างน้อยเดินจงกรมให้ได้วันละชั่วโมง ไม่ให้ขาดแม้นาทีเดียว จึงขอน้อมนำประวัติ และปฏิปทาขององค์ท่านบางส่วนมาเผยแพร่ให้ได้รับทราบ และเป็นแบบอย่างที่ดีที่ควรน้อมนำมาปฏิบัติกันครับ

#ประวัติและศุภนิมิตหลวงปู่สิงห์ทอง_ปภากโร
• #ชาติภูมิ

พระครูสุนทรศีลขันธ์ (หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร) นามเดิม ชื่อ สิงห์ทอง ได้กําเนิดในตระกูล ประมูลอรรถ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ ที่บ้านกลางใหญ่ ตําบลกลางใหญ่ อําเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โยมบิดาชื่อ นายบ่อง โยมมารดาชื่อ นางอูบ ประมูลอรรถ มีพี่น้องร่วมมารดา ๓ คน คือ

๑. หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร 
๒. นางรั้ว ประมูลอรรถ
๓. นางทองดํา ประมูลอรรถ (แม่ชีทองดํา) 

ก่อนที่จะมาปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น ในคือหนึ่งมารดานิมิตว่ามี ชายแก่คนหนึ่งเอางาช้างยาวใหญ่ขาวบริสุทธิ์มามอบให้ แล้วชายแก่คนนั้น สั่งกําชับว่า งาช้างนี้เป็นมงคล ขอให้รักษาไว้ให้ดีเพื่อเป็นมรดกของเจ้า ห้ามไม่ให้ผู้ใด ใครคนหนึ่งเอาไปเป็นกรรมสิทธิ์อย่างเด็ดขาด ไม่นานนัก มารดาก็ได้ตั้งครรภ์ และได้พยายามถนอมรักษาครรภ์เป็นอย่างดีจนครบ ทศมาส ๑๐ เดือน แล้วคลอดออกมา เวลาคลอดก็เอาก้นออกมาก่อน เป็นที่ลําบากของมารดา และเมื่อได้คลอดออกมาแล้วมารดาก็เจ็บปวด อย่างหนักแทบขาดใจถึงสลบ ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เอาผ้าถุงมาพัดโบกให้จนฟื้นเป็นปกติ หมอตําแยได้ตัดสายแห่ ล้างเช็ดตัวให้สะอาด เอาไปวางนอนในกระด้ง บิดา มารดา ได้เลี้ยงดูด้วย ความรักตลอดมา มีป้าตาลเป็นผู้อุปการะดูแล เปรียบเสมือนแม่อีกคนหนึ่ง เมื่ออายุได้ ๒ ขวบ ป้าตาลก็ตายจากไป บิดามารดาก็ได้เลี้ยงดูจนเติบโต เป็นผู้ใหญ่

พ.ศ.๒๔๗๑ บิดามารดา ได้อพยพครอบครัวมาอยู่บ้านกุดแห่ ตําบลกุดเชียงหมี อําเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี เนื่องจากเป็นพื้นที่ ที่อุดมสมบูรณ์ดีซึ่งบ้านเดิมนั้นที่นาเป็นที่ลุ่ม ทํานาไม่ได้ผล น้ำท่วมอยู่ตลอดในหน้าฝน และอีกเหตุผลหนึ่งที่ย้ายมาอยู่บ้านกุดแห่ เพราะป้าตุ่นที่เป็นพี่สาวโยมแม่ ได้มามีครอบครัวอยู่บ้านกุดแห่ก่อนแล้ว โดยมาแต่งงานกับ คุณลุงตา เถาที่ จึงทําให้ลุง และป้าชักชวนมาอยู่ด้วยและมีญาติพี่น้องจากบ้านกลางใหญ่อพยพมาตั้งรกรากหลายครอบครัว เช่นพ่อสี ทองมี พ่อลี บัวศรี การเดินทางมาบ้านกุดแห่สมัยนั้นเดินทางโดยพาหนะล้อเกวียน มาถึงบ้านกุดแห่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๑ เมื่อมาอยู่ที่นี่ ลุงและป้าทั้งสอง ให้ความเอ็นดูรักใคร่อาตมาเหมือนลูก อาตมาได้รับความเมตตา จากป้าตุ่น ลุงตา ป้าโส ลุงสอน โดยให้การอบรม เลี้ยงดูอย่างดี เหมือนพ่อแม่ผู้ให้กําเนิดคนหนึ่ง อาตมาเคารพนับถือเหมือนบิดามารดา ของข้าพเจ้าและร่วมกันทํานาเลี้ยงครอบครัวด้วยความสมบูรณ์ตลอดมา 

ครั้นพออาตมาอายุได้ ๑๕ - ๒๐ ปี ก็แบ่งนาให้ทํา ครอบครัวอาตมาก็ทําอยู่ทํากินด้วยดีตลอดมา

ปี พ.ศ.๒๔๘๗ ขณะนั้นอาตมาอายุได้ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดสําราญนิเวศ ตําบลทุ่ง อําเภออํานาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี โดย พระมหาดุสิต เทวีโร เป็นพระอุปัชฌาย์ และมาจําพรรษาที่วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ซึ่งมีท่านพระอาจารย์ดี ฉันใน เป็นเจ้าอาวาส บวชได้ ๑ พรรษา ก็ลาสิกขา มาประกอบอาชีพเลี้ยงบิดามารดาและน้องๆ เพราะบิดาป่วยเป็นโรคหืด ก่อนลาสิกขาพระอาจารย์ดี ได้สั่งไว้ว่า เมื่ออายุครบบวช เป็นพระแล้ว ให้มาบวชอีก อาตมารับปาก กับอาจารย์ว่า “โดยข้าน้อย” ต่อมาโยมบิดาเสียชีวิต โยมมารดามีความประสงค์ให้มีครอบครัว จึงไปสู่ขอให้แต่งงานกับนางพิมพ์ วัลลา อยู่กินร่วมกันไม่นานก็เลิกลากันไป จึงต้องหน้าตั้งตาทํานาเลี้ยงมารดาและน้องทั้งสอง อยู่ต่อมาไม่นานญาติผู้ใหญ่ อยากให้มีครอบครัวอีกเป็นครั้งที่สอง แต่มีกรรมดีบันดาลไม่ให้เป็นเช่นนั้น
ปี พ.ศ.๒๔๙๐ มีอยู่คืนหนึ่งนิมิตว่า มีคนแก่คนหนึ่งผมขาวทั่วศรีษะ ถือฆ้อนตระบองเพชรมีหนาม ไล่ฆ่าตั้งแต่บ้าน จนถึงนายแปลง ห้วยหินลับ วิ่งไล่ขึ้นไปบนเถียงนา อาตมาก็กระโดดลงจากเถียงนา ไปซ่อนตัวอยู่ในกองฟาง แล้วไปพบนายเผย ครูศรี เพื่อนสนิท เขาถามนายเผยว่า “แกเห็น เชียงสิงห์ทองวิ่งมาทางนี้ไหม” นายเผย ตอบว่า “ไม่เห็น” เขาก็เดินไปทางอื่น ข้าพเจ้าจึงหลบวิ่งหนีกลับถึงบ้าน ด้วยความกลัว ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมารู้สึกกลัว แล้วเหนื่อยหายใจไม่สะดวก เพราะวิ่งกลับไประหว่างบ้านห้วยหินลับ กับ นายแปลง เมื่อรู้สึกตัวตั้งสติได้ แล้วก็ได้ไหว้พระเจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เมตตาพรหมวิหาร ๔ เสร็จแล้ว ตั้งใจนั่งสมาธิ ตั้งแต่เวลาประมาณตี ๒ จนสว่าง จิตใจจึงมีอํานาจเข้มแข็ง หายใจสะดวกเป็นปกติ ตื่นเช้าได้ไป รดน้ำมนต์กับท่านพระอาจารย์ดี จึงรู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นก็ได้พิจารณาใคร่ครวญถึงความตาย ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่รอดความตายไปได้ มีความตาย เป็นเบื้องหน้า ความตายจะมาถึงเราเมื่อใด ไม่ทราบและได้เห็นเพื่อนๆ หลายคนได้ตายจากไป มากแล้ว จึงตัดสินใจที่จะละเพศฆราวาส เพราะเป็นสิ่งขัดข้องวุ่นวายอยู่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร คนเราเกิดมามีอยู่ ๒ อย่างที่ทําอยู่คือ ทําดี และ ทําชั่ว คนทําดีก็ได้รับผลดี คนทําชั่วก็ได้รับกรรมชั่ว คือเป็นทุกข์ไปตามการกระทํานั้นๆ เราก็เป็นทุกข์ คือ ทุกข์ด้วย ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข โทมนัส สุปายา สาปิทุกขา อัปปิเยหิ สัมปโยโคทุกโข ปิเยหิวิปปะโยโคทุกโข ยัมปิจฉงนะละ ภูติสัมปิทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธาทุกขา ฯ เหล่านี้ล้วนเป็นกองทุกข์ทั้งมวล

อาตมา จึงได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม รักษาศีล ในระหว่างเข้าพรรษาเป็นครั้งคราว ส่วนเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน เขายังติดอยู่กับความเพลิดเพลินในกามคุณ แม้อาตมาจะชักนําเข้าวัดก็ไม่มาด้วยอาตมาเดินไม่ได้มาหลายปี น้องสาวสองคน ก็ยังไม่มีครอบครัว พอที่จะดูแลโยมแม่ให้มีความสุขได้ จึงได้รอเวลาให้น้องสาวคนโต ได้มีครอบครัวก่อน

• #นิมิตปี พ.ศ.๒๔๙๓

อาตมา ได้นิมิตว่าตนเอง ถึงแก่ความตาย เขาได้บรรจุศพเข้าในหีบศพแล้ว หามหีบศพ เข้าไปเผาที่วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ เวลาจะเผาศพ ก็ไม่มีพระมามาติกาบังสุกุลเลย มีผู้ชายหามศพไป ๔-๕ คน พอถึงป่าช้า ก็หามเวียนเชิงตะกอน ๓ รอบแล้วก็ยกหีบศพวางบนกองฟอน (กองฟืน) ที่ใกล้ต้นตุมกา วิญญาณของอาตมาขึ้นไปอยู่บนกิ่งตูมกาใหญ่ แล้วมองดูเขาเผาศพอาตมาบนกองฟอนพอไฟลุกโพลงขึ้น อาตมาได้ตะโกนร้องลงไปว่า “สุเอากูมาเผากูก็ไม่ร้อนดอก” พอพูดเสร็จก็ไม่มีใครพูดตอบ คนที่หามอาตมามาเผาก็กลับบ้านไปทุกคนไม่มีใครอยู่กับเราอีกแล้ว ปล่อยให้เราอยู่คนเดียว ไฟได้เผาซากศพของเราจนหมดแล้ว จึงได้ลงมาจากต้นไม้ มาถึงในขณะนั้นไฟก็ยังลุกอยู่ พออาตมาเข้าไปที่กองฟอน ไฟที่เผาศพนั้นก็ดับสนิทไม่มีเชื้อเพลิงเลย จากนั้นก็ยืนดูอยู่ประมาณ ๓ นาที พิจารณาว่าไฟที่ลุกนั้น พอเราเดินมาใกล้ทําไมจึงดับสนิทไม่มีแม้แต่เชื้อ หลงเหลืออยู่เลย อาตมาได้ยืนพิจารณาด้วยความพิเคราะห์ คงจะเป็นด้วยบุญบารมีของเรากระมัง จากนั้นก็นั่งลงใกล้ๆ กับกองฟอน ในกองฟอนเหลือแต่เถ้ากับกระดูก จึงหยิบเอากระดูกที่เหลือจากไฟไหม้มากองไว้ทุกชิ้น จากนั้นก็นั่งคิดใคร่ครวญว่า เราจะทําอย่างไรหนอ ทันใดนั้นเองจิตก็ผุดคิดขึ้นได้ว่าเราจะเอากระดูกเรามาปั้นรูปพระ เราจะทําอย่างไร เมื่อกระดูกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ พอคิดอย่างนั้นแล้วจึงคิดหาครกและสากมา บดตําให้ละเอียด ครกและสากก็ผุดขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้ไปหา จากนั้นก็นํากระดูกลงตําจนละเอียด เอาน้ำสะอาดมาผสม แล้วเอามาปั้นเป็นรูปพระ เมื่อปั้นเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ที่ไหน คงจะทิ้งไว้ที่กองฟอน เป็นแน่แท้ จากนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝัน ใจก็คิดว่าเราตายแน่นอน แล้วพอรู้สึกตัวมีสติ แล้วได้แปลนิมิตว่าคงเป็นมงคลแก่เราแน่นอน เราคงตายจากเพศคฤหัสถ์แล้ว คงได้อุปสมบทในเร็ววันนี้เป็นแน่แท้ จิตใจก็คิดอยากจะบวชเรื่อยมา

ปี พ.ศ.๒๔๙๔ น้องสาวคนแรกมีครอบครัว ก็รู้สึกดีใจ บัดนี้คงเป็นโอกาสที่จะได้อุปสมบทเป็นแน่แท้ ไม่ต้องสงสัย อยู่มาอาจารย์ชวน ภาพูวงศ์ ได้ถึงแก่กรรม ในปีนั้นอาตมาได้ไปร่วมงานเผาศพ อาจารย์ชวนด้วย เพราะเคยเป็นลูกศิษย์ที่โรงเรียนบ้านกุดแห่ ในเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน พ่อใหญ่ สารวัตรนู ภาพูวงศ์ ปรารถนาจะทําบุญเพื่ออุทิศให้ อาจารย์ชวน ภาพูวงศ์ ต้องการนาคเพื่ออุปสมบทในงานบุญ ได้ข่าวว่าอาตมาอยากจะบวช จึงไปขอจากโยมแม่ และโยมแม่ก็ไม่ขัดข้อง จวบเหมาะกับที่น้องสาวก็มีครอบครัว พอที่จะช่วยเหลือแม่ได้แล้ว อาตมารู้สึกดีใจเป็นอย่างแน่นอน บัดนี้เราได้มีโอกาสแล้ว คงสมกับที่ได้ตั้งปณิธานไว้อย่างมาก จึงได้ตกลงใจเป็นนาค ให้กับพ่อใหญ่สารวัตรนู ภาพูวงศ์ ก่อนที่จะเข้าเป็นนาคที่วัด ก็ได้ลามารดาและน้องๆ และญาติมิตรสหายเรียบร้อย ทุกคนขอ อนุโมทนาด้วยและได้มอบสมบัติให้น้องสาว น้องเขยดูแลจนถึงทุกวันนี้

จากนั้น เจ้าศรัทธาสร้างกองบวชกองบุญก็ได้นํานาคไปมอบให้กับท่านพระอาจารย์กงแก้ว ขันติโก เป็นผู้รับ และเป็นผู้ฝึกอักขระจนช่ำชองแล้ว จึงได้อุปสมบทตั้งแต่วันนั้น คือ วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๙๔

• #การอุปสมบท

ท่านได้อุปสมบท เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๙๔ วันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะโรง เวลา ๑๔.๑๕ น. ณ อุโบสถวัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตําบลกุดเชียงหมี อําเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี มี พระครู ภัทรคุณาธาร วัดพรหมวิหาร เจ้าคณะอําเภอเลิงนกทา (ธ.) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี ฉันโน เจ้าอาวาสวัดป่าสุนทราราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์บุ จันทศิร วัดสําราญนิเวศ ตําบลทุ่ง อําเภออํานาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อมีอายุ ๒๕ ปี นายนู ภาพูวงศ์ และ นางสาน ภาพูวงศ์ บุตรสะใภ้ เป็นเจ้าภาพสร้างกองบวช อุทิศให้แก่นายชวน ภาพูวงศ์ ผู้เป็นบุตรชายที่ถึงแก่กรรม อยู่จําพรรษา และปฏิบัติพระอาจารย์ดี ฉันโน ที่วัดป่าสุนทราราม

• #นิมิตครั้งที่๒ ปี พ.ศ.๒๔๙๔

เมื่ออาตมาดํารงเพศเป็นบรรพชิต ได้อาศัยอยู่ที่ศาลาการเปรียญ หลังใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันยังมีความแน่นหนาถาวรอยู่ ที่ศาลามีที่พักสงฆ์อยู่ ๒ ห้อง ห้องทางทิศเหนือ คณะสงฆ์มอบให้อาตมาอยู่ประจําห้องทางทิศใต้ ท่านอาจารย์ใหญ่ดี ฉันโน เจ้าอาวาสอยู่ประจํา อาตมาได้อยู่อุปฐากท่าน อย่างใกล้ชิด ทั้งเช้า-เย็น และ ตอนกลางคืน ในคืนหนึ่ง ได้นิมิตเห็น คนแก่ผมขาว มือถือฆ้อนตระบองเพชร เดินรอบศาลา เพื่อค้นหาอาตมา อาตมาได้นั่งอยู่กับพระอาจารย์ดี ฉันโน คนแก่ที่ถือฆ้อนได้วางฆ้อน กระบองไว้ข้างนอกห้อง เดินเข้ามากราบพระอาจารย์ดี แล้วถามท่านว่า ท่านอาจารย์เห็นเชียงสิงห์ทองมาที่นี่ไหม ท่านอาจารย์ดี ตอบว่า

เชียงสิงห์ทอง บวชแล้ว นั่งอยู่กับอาตมานี่แหละ คนแก่คนนั้นเห็นอาตมา แกดีใจมาก แล้วประนมมือยกขึ้นเหนือศีรษะ กล่าวสาธุการว่า “สาธุๆ" จากนั้นก็หายตัวไป โดยไม่ร่ําลา พระอาจารย์ดีเลย

อาตมา สะดุ้งตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ได้พิจารณาไตร่ตรองในนิมิต คนผมขาวที่ถือฆ้อนตระบองเพชรไล่ล่า เราที่ในนิมิต ขณะเป็นฆราวาสซึ่ง เป็นเวลาห่างกันประมาณ ๔-๕ ปี แกตามหาเราจนพบตัวเมื่อเห็นเราบวช เป็นพระแล้ว ก็อนุโมทนา สาธุการด้วยอย่างเต็มศรัทธานึกแล้วก็พิจารณา เห็นว่าคนแก่คนนี้มีบุญคุณต่อเรามาก เขาหาอุบายให้เราได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา ไม่หลงอยู่ในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียงโผฏฐัพพะ และธรรมารมย์ ที่เราติดอยู่หลายภพหลายชาติ เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ จากนี้ไปก็จะได้ตั้งใจบําเพ็ญคุณงามความดี ตามที่พระอาจารย์ใหญ่ดี ฉันโน ที่ได้อบรมบ่มนิสัยในข้อวัตรปฏิบัติเช่น ธุดงส์ ๑๓ ขันธวัตร ๑๔ พร้อมทั้งการปฏิบัติพระธรรมวินัยตามแบบฉบับ พระอาจารย์ใหญ่ดี โดยเคร่งครัดในข้อวัตรตามแบบฉบับ พระธุดงส์สาย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานซึ่งเป็นพระอาจารย์พระอาจารย์ดี อีกทีหนึ่ง โดยมีความปราถนาเพื่อพ้นทุกข์ไปได้ หรือไม่นั้นก็แล้วแต่บุญกรรมจะพาไป

• #นิมิตที่ภูถ้ำพระ

ปี พ.ศ.๒๕๐๒ ซึ่งในปี ๒๕๐๒ ท่านอาจารย์ใหญ่ดี ฉันโน ได้นําพระเณร และญาติโยมชาวบ้านไปสร้างแท่นพระ อาตมาก็ได้ไปจําพรรษาอยู่ที่นั่นด้วย ขณะนี้ภูถ้ำพระได้ถูกพัฒนาเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่ง ของจังหวัดยโสธร อัฐิ ส่วนหนึ่งของท่านพระอาจารย์ดี ฉันโน ก็บรรจุไว้ที่ธาตุภูพระแห่งนี้

ในขณะที่พระอาจารย์ดีสร้างแท่นพระ ต่อมาท่านอาพาธ ญาติโยมลูกศิษย์ ที่อําเภอวารินชําราบ คือ พันเอกแปลง ได้มารับท่านโดยรถยนต์ นําไปรักษา โดยพักที่วัดแสนสําราญ อ.วารินชําราบ ก่อนที่จะเดินทางไปรักษาตัว ท่านพระอาจารย์ใหญ่ดี ได้เรียกญาติโยม และชาวบ้านกุดแห่ พร้อมพระสงฆ์มาประชุมโดยทั่วกัน และได้กล่าวในที่ประชุมว่า “วัดนี้ขอมอบให้ท่านสิงห์ทอง เป็นเจ้าอาวาส” ส่วนฉันเป็นเจ้าโอวาส อาตมา ได้เดินทางไปเยี่ยมท่านที่อําเภอวารินชำราบ เป็นครั้งคราวเพราะต้องดูแลการก่อสร้างพระไสยาสน์ ซึ่งนายอ่างเป็นช่างที่ภูถ้ำพระ ครั้นต่อมาไม่นาน สามเณรอุดม ซึ่งติดตามท่านอาจารย์ดี ไปวัดป่าแสนสําราญ ก็ได้มาแจ้งข่าวการมรณภาพ ของท่านพระอาจารย์ใหญ่ดี ฉันโน ซึ่งเป็นข่าวที่ยังความเศร้าโศกเสียใจมายังชาวบ้านกุดแห่ และบ้านใกล้เรือนเคียงที่ให้ความเคารพนับถือท่านอาจารย์ดี เป็นอย่างมาก ทางวัดป่าสุนทรารามก็ได้ ตีฆ้องกลอง ระฆัง ส่งเสียงดัง สะนั่นหวั่นไหว เป็นสัญญาณให้ญาติโยมได้รับรู้ จากนั้นชาวบ้านญาติโยมก็หลั่งไหลมาที่วัด ต่างก็มีใบหน้าที่เศร้าหมอง อาตมาได้ประกาศแจ้งข่าวให้ชาวบ้านญาติโยมได้ทราบ บัดนี้ท่านอาจารย์ใหญ่ดี ฉันโน ซึ่งเป็นเสมือน ร่มโพธิ์ ร่มไทรของพวกเราทั้งหลาย ได้จากพวกเราไปแล้ววันต่อมา ญาติโยมก็ได้ร่วมทําบุญถวายทาน อุทิศ ส่วนกุศลในงานศพท่านที่วัดป่าสุนทราราม จากนั้นอาตมาก็ได้กลับเข้าไปจําพรรษาที่ภูถ้ำพระ ได้มุงหลังคา ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง ภูถ้ำพระ เป็น สถานที่อันอุดมสมบรูณ์ มีป่าไม้หนาห่างไกลผู้คนมีความสงบเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การทําภาวนา อาตมาจึงหาที่ๆ สงบด้านเหนือมีก้อนหินใหญ่ ปกป้องแดด และลมอยู่ใกล้กับถ้ำเหมันต์ได้กางกลดไว้ใต้เงื่อมหิน มีเตียงสําหรับเป็นที่พักบําเพ็ญเพียรทําสมาธิภาวนาตามข้อวัตรปฏิบัติตาม แบบอย่างอาจารย์ใหญ่ดี ฉันโน อบรมสั่งสอนมาได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ส่วนมากจะหนักไปทางเดินจงกรม วันที่เกิดนิมิตนั้นได้เดินจงกรม ประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ก็เข้าพักผ่อนที่มุงกลด แล้วเข้าสู่วาระที่สองในการนั่งสมาธิ ชั่วขณะหนึ่ง จึงจําวัดเพื่อเปลี่ยนอริยาบท ไม่นานนักก็มีนิมิตว่าบุคคลหนึ่งยกมือขึ้น แล้วก็วางนิ้วมือลงบนหน้าผากหลายครั้ง พอจิตสํานึกได้พิจารณาดูคงเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ใหญ่ดี ซึ่งมีรูปภาพของท่านอยู่บนศีรษะหัวเตียง จากนั้นก็นั่งภาวนาต่อไป ประมาณได้ว่าช่วงระยะนั้นจิตสงบเป็นปกติดี เยือกเย็นทั่วสรรพทางกาย ประมาณเวลาได้ ๔ ชั่วโมงเศษๆ มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าสีดํารูปร่างใหญ่ หน้าตาสวย มานั่งลงข้างหน้า กราบลงสามครั้ง 

อาตมาถามว่า โยมมาธุระอะไร 
เขาตอบว่า “มากราบ ครูบาอาจารย์อยากได้มาเป็นคู่ครอง” 
อาตมาได้ตอบไปว่า “อาตมาเป็น ผู้ทรงศีล" มีระเบียบวินัย ไม่เหมาะสมอยู่ร่วมเป็นฆราวาสกับโยมได้ ขอให้กลับไปที่เดิมอยู่นานผู้คนจะเห็น จะถูกนินทาด้วยประการต่างๆ โยมอยู่ที่ไหนชื่ออะไร มาอยู่ที่นี่เพื่อประสงค์อะไร 
เขาตอบว่า ข้าน้อยชื่อ นางสาวเกลี้ยง ซึ่งพํานักอยู่บริเวณภูถ้ำพระมานานหลายศตวรรษแล้ว 
จากนั้นอาตมา ก็เทศน์ให้ฟัง หญิงคนนั้นก็เดินไปตรงถ้ำเกลี้ยง แล้วก็หายตัวไป จากนั้นอาตมาก็ได้จําวัดพักผ่อน ได้เกิดศุภนิมิตอีกครั้งในเวลาจวนจะสว่าง คล้ายกับว่ามีญาติโยมจํานวนมากมาชุมนุมกันบริเวณก้อนหินใหญ่ใกล้เงื่อมหินที่กางกลดนั้นเขาจะจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญบ่าว-สาว มีพาขวัญตั้งอยู่ตรงกลางลานหินต่อหน้าอาตมา คนเฒ่าคนแก่ทั้งชายหญิง ล้อมวงกันพอพิธีเสร็จ ก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งคลานไปกราบนิมนต์อาตมา ให้ไปเข้าพิธีสู่ขวัญ แต่งงาน อาตมาได้ขอร้องให้ญาติโยมเลิกพิธีได้ อาตมาเป็นพระจะมาแต่งงานไม่ได้ ต้องลาสิกขาเสียก่อน จึงจะแต่งงานได้ หญิงสาวคนนั้น ก็เศร้าโศกเสียใจ แสดงกิริยาไม่พอใจ แล้วก็วิ่งลงไปซ่อนอยู่ข้างหลังคนแก่ ผู้เป็นพราหมณ์ในการสู่ขวัญ จากนั้นหญิงคนนั้นก็ลุกหายตัวไปพร้อมกันทั้งหมดทุกคน

ภูถ้ำพระ ลักษณะเป็นเขาเตี้ยๆ ขนาดเล็ก ด้านตะวันออก เป็นพื้นราบ ด้านตะวันตกเป็นหน้าผาสูงชัน เหมาะแก่การชมทิวทัศน์ เบื้องล่างตั้งอยู่บนรอยต่อทางทิศตะวันออก จดบ้านคําไหล อําเภอนิคมคําสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ทิศตะวันตกอยู่ติดกับป่า และที่นาห่างจากบ้านกุดแห่ ประมาณ ๗ กิโลเมตร สภาพพื้นที่เป็นเขาเตี้ย ธรรมชาติปรุงแต่งอย่างสวยงาม มีถ้ำหลายถ้ำที่สําคัญคือ ถ้ำพระที่มีพระพุทธรูปอยู่ภายในถ้ำมานมนาน มีสํานักสงฆ์ซึ่งอยู่ในการปกครองของวัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ถ้ำภายในภูถ้ำพระมี ถ้ำเกลี้ยง ถ้ำจันทร์ ถ้ำเค็ง ฯลฯ ความศักดิ์สิทธิ์ของภูถ้ำพระแห่งนี้ มีการเล่าขานกันมาว่าเมื่อก่อนถ้ำพระมีผู้คนไปกราบไหว้ไม่ได้ขาด แต่ต้องระมัดระวังคําพูด และที่สําคัญอย่าได้ไปขโมยสิ่งของในภูถ้ำพระเด็ดขาด ขืนทําก็มีอันเป็นไปให้เห็นทันที มีครั้งหนึ่ง นายท่อน ไปเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ได้จับกบที่ถ้ำพระไปทําอาหารพอมาถึงบ้านก็ป่วย และตายไปในคืนนั้น

ต่อมาก็มีเจ็กใหญ่ที่มาค้าขายอยู่ที่บ้านกุดแห่ ได้ไปหยิบเอาพระทองคําในถ้ำพระ ๑ องค์ เพื่อเอามาบูชา พอมาถึงบ้าน นายสอง ลูกชายก็เจ็บป่วยกระทันหัน แล้วตายในวันนั้น ผู้เป็นพ่อต้องนําเอาพระพุทธรูปนั้น กลับไปไว้ที่เดิม มีหลายคนที่มาหยิบเอาพระพุทธรูปในภูถ้ำพระไปกลัวตาย ต้องนํามาส่งคืน ต่อมา นายกว้าง บัวศรี ได้ทําการล้อเลียน ทําเหมือนคนโฆษณาขายยา โดยเอาใบไม้ มาทําเป็นลําโพง พอกลับถึงบ้านรู้สึกคันๆ ที่ปากพอเอามือมาจับดูปากก็บิดไม่สามารถกลับคืนเหมือนเดิมได้ วันต่อมา ญาติๆ ได้นําดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา ปากก็กลับ คืนเป็นปกติดีเหมือนเดิม ความศักดิ์สิทธิ์ของภูถ้ำพระ ตามที่เล่ามานี้เป็นความจริงทุกประการ ปัจจุบันภูถ้ำพระ เจริญตามกาลเวลาการเดินทางไปภูถ้ำพระก็สะดวกรวดเร็ว ถนนหนทางดีกว่าแต่ก่อนมาก และมีผู้คนเข้าไปทำมาหากินในที่นาของตนเองมากขึ้น
(ภายหลังหลวงปู่สมหมาย จิตตปาโล ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดภูถ้ำพระอยู่หลายปี ก่อนจะย้ายไปวัดป่าอนาลโย ที่ อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และช่วงนี้ หลวงปู่วิเลิศ เขมิโย ได้มาพำนักอยู่ที่ภูถ้ำพระแห่งนี้ได้ ๒ พรรษาแล้ว/แอดมินท่องถิ่นธรรม)

• #ศุภนิมิตและการบําเพ็ญเพียรที่สํานักสงฆ์เลิศรังสี

เมื่ออาตมาได้มาจําพรรษาที่นี่ ได้เข้มงวดในการอบรม พระเณรพร้อม ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ให้รู้จักบําเพ็ญ ทานรักษาศีล และ ภาวนา มีญาติโยมมาจําศีลฟังธรรม ในวันธรรมสวนะ พอสมควร

ในพรรษาแรกที่ปฏิบัติธรรมที่สํานักสงฆ์แห่งนี้ ได้นิมิตเห็น ๒ พ่อลูก เดินตรงเข้ามาหา ขณะที่อาตมายืนอยู่ พ่อเด็กได้พูดว่า “เป็นอะไรหรือ” และฉายไฟดูจีวร อาตมามองเห็นเขา แต่เขาไม่เห็นอาตมา เขาไม่เคยเห็นพระมาก่อนเลย คืนต่อมาอาตมาจึงได้แผ่เมตตาให้พวกพระภูมิเจ้าที่ จากนั้นก็ไม่ปรากฏในนิมิตเห็น ๒ พ่อลูกอีกเลย

การบําเพ็ญเพียรที่นี่ เกิดความสงบเย็นได้มาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ ที่มีป่าธรรมชาติ ที่สงบร่มเย็น พื้นที่วัดประมาณ ๓,๕๐๐ ไร่ เป็นป่าธรรมชาติแห่งเดียวของอําเภอเลิงนกทา ที่ยังมีอยู่ให้เห็นต้นไม้ใหญ่มากมายหลายชนิด เป็นมรดกธรรมชาติตกทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงเป็นแหล่งปฏิบัติธรรม ที่ทําให้เกิดความสงบได้ดีอาตมาได้ปฏิบัติธรรมตามระเบียบ ที่ครูบาอาจารย์ใหญ่ดี ฉันโน อบรมสั่งสอนมา มีเดินจงกรม นั่งสมาธิ จิตสงบเย็น เห็นทางที่ถูกต้องตามอริยมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น มีสัมมาสมาธิ เป็นปริโยสาม สําหรับการประกอบ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ทั้ง ๓ ประการ ทําได้ดีมาก เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็แสวงหาป่า หาความสงบอย่างนี้ จึงได้น้อมนําคําสอนของพระองค์ท่านมายึดปฏิบัติโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และจะขอบวชในพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต จึงมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อยู่อย่างไม่ลดละ อยู่อย่างมีสติ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย รักษาระเบียบธุดงควัตร 

ในคืนหนึ่งขณะนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบถึงที่โดยละเอียดได้ปรากฏในนิมิต ผุดขึ้นเป็นรูปร่างสัตว์ก็ไม่ใช่ มนุษย์ก็ไม่เชิง ได้พิจารณาดู คงจะเป็นพระยามารมาทดสอบจิต ในครั้งนั้นยังมีความกลัว อยู่มากจนร่างสลายเป็นจุลเหมือนตายไปแล้ว ต่อมาไม่นานตั้งสติได้ และเอานิมิตนี้ ไปปรึกษาครูอาจารย์ ท่านให้ความเห็นว่าดีแล้ว หาได้ยาก เพราะถ้าเกิดตกใจลุกวิ่งหนี จะเกิดอันตรายถึงตาย

• #นิมิตเป็นมงคล

คืนหนึ่ง ในขณะจําวัดกลางคืน ขณะนอนตะแคงขวา เอามือขวาทับขมับขวา มือซ้ายทับตะโพกซ้าย ขาซ้ายทับขาขวา หลับตาตั้งจิตบริกรรม เอาพุทธานุสติเป็นอารมณ์ จนจิตสงบ ปรากฏมีชายคนหนึ่ง นุ่งผ้าสะโล่งเสื้อลาย เดินเข้ามาหาที่เตียงด้านปลายเท้า เสียงพูดกังวาน แกบอกว่า ถ้าอยากหมดกิเลสไม่ยากคือ ละกิเลสใหม่และกิเลสเก่าเสีย เป็นการสิ้นไป เมื่อพิจารณาใคร่ครวญ ผู้ที่มาเตือนเราให้สํานึกในการละกิเลส คงเป็นผู้วิเศษเพราะมีเสียงที่ไพเราะกังวาน คงเป็นท้าวสักเทวราช คือ พระอินทร์เป็นแน่แท้ บางทีก็นิมิตแปลงกายเป็น ตาปะขาว

ครั้งหนึ่ง ตามลําแขนขวาของอาตมา เป็นโรคประดง แขนตึงถึงยกไม่ไหว มีอาการปวด ต่อมาอีกคืนก็นิมิตมีตาปะขาวมานั่งอยู่ใกล้ๆ แขนที่เจ็บ แล้วถามอาการเจ็บปวดที่แขน แกได้ใช้มือจับแขนที่เจ็บยกขึ้น แล้วเอาเกลียวทองเหลืองคล้ายสว่านเจาะไม้ แทงลงไปที่แขนที่เจ็บจนทะลุออกมา เลือดที่เสียก็หยดออกมาไม่หยุด มีสีดําคล้ายเลือดปลิง อาตมาตื่นขึ้นมาคิดว่าเป็นความจริงเหมือนนิมิต เพราะแขนที่เจ็บปวดตึงนั้น หายเป็นปกติไม่เจ็บปวดเวทนาอีก คงเป็นยาวิเศษของพระอินทร์ อย่างแน่แท้

• #ประวัติความเป็นมาของวัดป่าสุนทราราม 

ครั้งในสมัย พระอาจารย์ดี ฉันโน เป็นเจ้าอาวาส วัดศรีบุญเรืองท่าแขก บ้านกุดแห่ ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร วัดเจริญรุ่งเรืองมากทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ พระนักพัฒนา และพระนักก่อสร้าง ได้นำพาคณะศรัทธาญาติโยมและชาวบ้านทำบุญตามประเพณีจริงๆ เช่น เดือน ๓ เอาบุญข้าวจี่ , เดือน ๔ เอาบุญพระเวสสันดรชาดก , เดือน ๕ ก็บุญสงกรานต์ , เดือน ๖ บุญบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสน เป็นต้น

แต่ก่อนใกล้จะถึงวันทำบุญ ได้มีการป่าวประกาศประชุมกันทำตูบ ทำปะรำสำหรับต้อนรับพระ ปัจจุบันใช้เต็นท์แทน ญาติโยมที่มาทำบุญใส่ฉลากมาเป็น ๖๐ กว่าหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านที่มาจะประกอบด้วยหนุ่มสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ พระเณรจะเดินทางมา บางวัดมีม้า พระจะขี่ม้ามา ญาติโยมหนุ่มสาวเดินตามหลังสนุกสนานร่าเริง พอไปถึงวัด เจ้าภาพจัดกันไว้เป็นคุ้มเป็นกลุ่ม คุ้มไหนรับบ้านไหนก็จะพาไปพักที่ตูบที่ประจำที่เตรียมไว้ ใครรับบ้านไหนจะตกลงกันในวันประชุมก็เป็นที่รับบ้านนั้น พอถึงเวลาแห่พระเวสก็จะไปรวมกัน มีกลองตุ้ม กลองหาง กลองเลง กลองกริ่ง มีวงระนาด ฆ้องวง มีหัวงิ้วหัวโขน เข้าขบวนแห่ สมัยนั้นถือเป็นของแปลกประหลาดมาก กลางคืนก็มีมหรสพ แต่ก่อนไต้กระบองไม่มีไฟฟ้า เครื่องเสียงไม่มี คนมาเที่ยวงานชมงาน ๑๐๐ กว่าหมู่บ้าน แออัดเต็มบ้านเต็มวัด คำว่าทะเลาะกันตีกันไม่มีเหมือนทุกวันนี้ มีแต่สนุกสนานร่าเริง คนหนุ่มสาวก็พูดเกี้ยวกันเป็นคำเว่าผญา แต่โบราณอาหารการกิน เลี้ยงกันเลี้ยงแขกที่มาเอาบุญอุดมสมบูรณ์ การทะเลาะวิวาทไม่มีเลย 

พระอาจารย์ในตอนนั้นท่านจะเป็นช่าง ทำอะไรเป็นหมด และให้ดีสมชื่อท่านด้วย ที่เห็นของเก่าที่ท่านทำไว้ก็ตู้เก็บคัมภีร์เทศนา ซึ่งจารึกด้วยตัวธรรมตัวขอมทั้งนั้นเลย ท่านมีม้าเป็นพาหนะ ท่านจะไปเทศนาบ้านกุดเชียงหมี บ้านไกลท่านจะขี่ม้า ญาติโยมก็เดินตามไป แต่ก่อนไม่มีรถเลย 

ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๖๖ พระอาจารย์ดี ฉันโน พร้อมน้องชายได้เดินทางออกจากวัดศรีบุญเรืองท่าแขก บ้านกุดแห่ ด้วยเกิดอยากไปเที่ยวหาเรียนวิชาอาคม หาของดีหาวิชาความรู้เพิ่มเติม จึงเดินทางท่องเที่ยวขึ้นไปทางเหนือไปทางจังหวัดสกลนคร นครพนม ด้วยคงเป็นบุญกุศลแต่ชาติปางก่อนหนุนส่ง จึงจำเพาะให้การเดินทางไปมืดค่ำลงที่บ้านสามผง ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ซึ่งในขณะนั้นที่วัดบ้านสามผง ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พักปฏิบัติธรรมอบรมญาติโยมอยู่ที่นั้นพอดี เมื่อพระอาจารย์ดีเข้าไปนมัสการกราบไหว้ ท่านพระอาจารย์มั่นได้ทักท้วงทักทายได้ถูกต้องเหมือนตาเห็น เป็นอัศจรรย์มาก พระอาจารย์ดีเข้าใจทันทีว่าท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้มีหูทิพย์ ตาทิพย์ สำเร็จแล้ว ท่านเป็นผู้วิเศษจริงๆ เมื่อมาพบของดีเข้าแล้วจึงขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ทันที ท่านพระอาจารย์มั่นก็แสดงธรรมให้ฟัง ชี้ทางประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๐ ท่านได้บวชญัตติเป็นพระสงฆ์คณะธรรมยุตใหม่อีกครั้ง ที่วัดสร่างโศก อำเภอยโสธร ในครั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันคือ วัดศรีธรรมาราม (พระอารามหลวง) วัดธรรมยุตวัดแรกในอำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อบวชแล้วก็ได้ออกเผยแผ่พระธรรมกรรมฐาน เป็นศิษย์เอกในสมัยบุกเบิกนั้นอย่างกว้างขวาง ท่านเดินทางกลับบ้านกุดแห่ หลังจากฝึกข้อวัตรปฏิบัติจากท่านพระอาจารย์มั่น ๑ ปี พระอาจารย์ดี ฉันโน ได้ไปพักอยู่ที่ดอนปู่ตา ปักกลดอยู่ดอนปู่ตา รื้อหอปู่ตาทิ้งปลูกกุฏิชั่วคราวขึ้น ปฏิบัติธรรมสั่งสอนประชาชนอยู่ ๑ เดือน ให้เลิกนับถือปู่ตา ให้เลิกนับถือผีฟ้า ให้นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกสูงสุด 

ครั้นต่อมา พระอาจารย์ดี ฉันโน พิจารณาเห็นว่าสถานที่ของวัดไม่เหมาะสมและไม่สัปปายะ จึงได้ย้ายจากดอนปู่ตาไปจับจองเอาดอนคอกวัวของ พ่อเฒ่าฝ่ายหน้า บุราณรัตน์ ซึ่งเป็นผู้บริจาคที่ดินแปลงนี้ให้เพื่อสร้างวัด พระอาจารย์ดี จึงสั่งคณะญาติโยมรื้อศาลากุฏิจากวัดศรีบุญเรืองท่าแขก บ้านกุดแห่ เอาไปปลูกสร้างไว้ที่วัดใหม่ดอนคอกวัวทั้งหมด วัดศรีบุญเรืองท่าแขกจึงเป็นวัดร้างแต่นั้นมา ปัจจุบันเป็นที่ธรณีสงฆ์ของ วัดป่าสุนทราราม ดอนปู่ตาก็เป็นบ้านดอนสวรรค์ทุกวันนี้ พระอาจารย์ดีท่านจะไม่ค่อยอยู่ประจำ แต่ไปๆ มาๆ เพื่อจัดหาทุนทรัพย์มาก่อสร้างเสนาสนะ ที่ดินทั้งหมดที่พ่อเฒ่าฝ่ายหน้า บุราณรัตน์ ถวายมีทั้งหมด ๖๐ ไร่ ๓ งาน ๒๐ ตารางวา 

สำหรับความเป็นมาของชื่อวัดนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๗๑ พระอธิการอินทร์ สุนทโร ซึ่งเป็นบิดาของพระอาจารย์ดี ฉันโน อุปสมบทมาหลายพรรษาแล้ว จึงนำเรื่องเสนอพระเถระ ต่อมาพระอธิการอินทร์ สุนทโร ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก จึงได้ตั้งชื่อวัดให้คล้ายกับนามฉายาของเจ้าอาวาสรูปแรก รูปปฐมฤกษ์ ว่า “วัดสุนทราราม” สภาพเป็นป่า เป็นวัดป่าสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สายปฏิบัติกรรมฐาน เลยเพิ่มป่าเข้าไปแล้วเรียกว่า “วัดป่าสุนทราราม” พระอธิการอินทร์ สุนทโร ได้พัฒนาก่อสร้างเสนาสนะ กุฏิ ศาลาการเปรียญ ฯลฯ วัดป่าสุนทราราม มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาไม่เคยขาดตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๑ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

แต่เดิม วัดป่าสุนทราราม สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ปัจจุบันสังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย โดยมี พระครูสุนทรศลีขันธ์ (หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร) เป็นเจ้าอาวาส

"..ความเคารพในความไม่ประมาท คือประมาทมัวเมาในชีวิตว่าจะไม่ตายง่าย วันเดือนปีนาทีโมง ผ่านไป ชีวิตของเราก็ร่วงไปจากเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่แก่เฒ่าไปในที่สุด เราอย่าได้ประมาทชีวิตเร่งสร้างคุณความดี มีการเข้าวัดฟังธรรมจำศีล เจริญเมตตาภาวนาบริจาคทานการกุศล เพราะความตายมันจะมาถึงเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ เมื่อมีเกิดก็มีตาย ขอให้พวกเราอย่าได้ประมาท ให้เป็นผู้มีสติไม่เผลอเลอ ระวังใจไม่ให้กำหนดยินดีในอารมณ์ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดเข้าครอบงำจิตใจและพร้อมที่จะรับการทุจริต แล้วประพฤติกายสุจริต อันนี้ได้ชื่อว่าเคารพในความไม่ประมาท.." โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร

หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร ท่านละสังขารอย่างสงบตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๓๘ น. ​ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น​ สิริอายุ ๙๕ ปี ๖ เดือน ๑๘ วัน ๗๐ พรรษา

#บรรณานุกรม​อ้างอิง​ : คัดลอกมาจากหนังสือ ประวัติและพระธรรมเทศนา ของพระครูสุนทรศีลขันธ์ หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร ; พิมพ์ครั้งที่ ๑ ; ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ; หน้า ๑ - ๑๕


ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco