ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ทองศุข เหมโก วัดป่าสุขวราราม อ.บึงบูรพ์ จ.ศรีสะเกษ
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองศุข เหมโก
วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๑๑ ปี ชาตกาลหลวงปู่ทองศุข เหมโก (หลวงปู่ศุข พระกัมมัฏฐาน จังหวัดศรีสะเกษ) วัดป่าสุขวราราม อ.บึงบูรพ์ จ.ศรีสะเกษ ท่านมีโอกาสได้ศึกษาธรรมกับหลวงปู่มี ญาณมุนี แห่งวัดป่าสูงเนิน จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ฝ่ายมหานิกายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
หลวงปู่ทองศุข เหมโก นามเดิม ทองศุข สกุล จินาวัลย์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๕๖ ตรงกับวันขึ้น
๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู ที่บ้านเป๊าะ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดครีสะเกษ (ปัจจุบันคืออำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ)
บิดา มารดาชื่อ นายสังข์ และ นางสอน จินาวัลย์
มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน รวมทั้งหมด ๑๑ คน เป็น
ชาย ๘ คน หญิง ๓ คน ดังลำดับต่อไปนี้
คนที่ ๑ นายสิงห์ จินาวัลย์
คนที่ ๒ นายสี จินาวัลย์
คนที่ ๓ นางปี จินาวัลย์
คนที่ ๔ นางเสาร์ จินาวัลย์
คนที่ ๕ นายมี จินาวัลย์
คนที่ 6 เป็นหญิง ชื่อสุข จินาวัลย์ โตพอตั้งชื่อได้ก็เสียชีวิต
คนที่ ๗ พระครูไพบูลย์สุขวัฒน์ (หลวงปู่ทองศุข เหมโก)
คนที่ ๘ นายสูญ จินาวัลย์
คนที่ ๙ นายชื่อบัว จินาวัลย์
คนที่ ๑๐ เป็นชาย ชื่อพันธ์ จินาวัลย์ เสียชีวิตเมื่ออายุ ๗-๘ ปี
คนที่ ๑๑ นาย ชื่อเพียง จินาวัลย์
การศึกษาในวัยเด็ก (ปฐมวัย)
พระครูไพบูลย์สุขวัฒน์ (หลวงปู่ทองศุข เหมโก)
เมื่อเจริญวัยอายุได้ ๘-๙ ปี สมัยนั้นคุณพ่อสังข์ จินาวัลย์
ก็ได้นำพาไปฝากตัวเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นประถม
หรือ โรงเรียนประชาบาล วัดวิสุทธิโสภณ บ้านเป๊าะ
จนเรียนจบหลักสูตรของโรงเรียน คือจบชั้นประถมปีที่ ๓ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีชั้นประถม ปีที่ ๔
ท่านเป็นผู้มีนิสัยอ่อนโยนอ่อนน้อม ว่าง่ายสอนง่าย ขยันหมั่นเพียร เคารพต่อครูอาจารย์ ไม่ดื้อดึง และมักจดจำตำหรับตำราที่ครูอาจารย์สอนได้อย่างง่ายดาย
ครั้นเมื่อเรียนจบชั้นประถมแล้ว ก็ได้อยู่บ้านเป๊าะเพื่อช่วย
บิดามารดาทำนาอยู่ถึง ๒-๓ ปี
เข้าสู่ผ้ากาสาวพัสตร์
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๒ ท่านอายุได้ ๑๖ ปี ท่านก็ได้อำลาบิดามารดาออก บรรพชาเป็นสามณร ด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา โดยมี พระอุปัชฌาย์ลาด เป็นพระอุปัชฌาย์
ครั้นบวชแล้วก็ได้อยู่จำพรรษาที่ วัดวิสุทธิโสภณเป็นเวลา ๓ ปี คือ ปี พ.ศ. ๒๔๗๒-๒๔๗๔ ได้ศึกษา พระปริยัติธรรม และสอบนักธรรมชั้นตรีได้ ซึ่ง สมัยนั้นข้อสอบปริยัติธรรมสนามหลวงมี ๑๔ ข้อ แต่ปัจจุบันจะมีเพียง วิชาละ ๗ ข้อเท่านั้น
ย่างเข้าปีที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นปีที่เมืองไทยเปลี่ยนแปง
การปกครอง หลวงปูทองศุข (หรือสามเณรทองสุข) ก็ได้ย้ายจาก วัดวิสุทธิโสภณ บ้านเป้าะ อำเภออุทุมพรพิไสย (ปัจจุบันคืออำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ) ไปศึกษาพระปริยัติธรรม
ที่วัดทุ่งสว่าง ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
ในการไปครั้งนั้น ท่านได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ลาดไป
คือ ท่านอุปัชฌาย์ลาด มีธุระเดินทางไปเยี่ยมหลานชาย ซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา เลยเป็นเหตุจูงใจให้ท่านสามเณรทองศุข ได้ติดตามไปด้วย การเดินทางไปนครราชสีมาครั้งนั้น ต้องเดินด้วยเท้า เหนื่อยก็พัก ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น จากบ้านเป๊าะ อุทุมพรพิสัย จนถึงนครราชสีมาใช้เวลาเดินทางถึง ๘-๙ วัน ท่านกล่าว
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ท่านได้จำพรรษาที่วัดทุ่งสว่าง ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่ชานเมือง
ปีนั้นท่านศึกษา พระปริยัติธรรมชั้นโท
พอสิ้นปีไม่ได้เข้าสอบ เพราะไม่ได้ย้ายทะเบียนไป
และในปีเดียวกันที่ท่านเรียนนักธรรมชั้นโท ท่านก็เรียนบาลีไวยากรณ์ควบคู่ไปด้วย โดยเดินเท้าจากวัดทุ่งสว่างไปเรียนที่วัดพระนารายณ์ สิ้นปีปวารณาออกพรรษาแล้ว
ท่านได้กราบลาอุปัชฌาย์อาจารย์กลับบ้านเกิดเมืองนอน
คือกลับบ้านปิตุภูมิมาตุภูมิ คือบ้านเป๊าะ เพื่อกราบไหว้
ครูอาจารย์และ โยมบิดามารดา ที่อยู่วัดวิสุทธิโสภณประกอบกับปีนั้น คือ พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์สมควรที่จะ
ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ดังนั้นโยมบิดามารดาจึงได้เป็นเจ้าภาพอุปสมบทให้ในปีนี้เองท่านได้รับการอุปสมบท ณ.พระอุโบสถหลังเก่า วัดวิสุทธิโสภณ บ้านเป๊าะ
โดยมี พระอุปัชฌาย์ลาด เป็นพระอุปัชฌาย์
ท่านยาเจ้าคูน้อย เป็นกรรมวาจาจารย์
เป็นอนุสาวนาจารย์ ไม่ปรากฏนาม ได้รับฉายาว่า "เหมโก"
ครั้นอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้ลาอุปัชฌาย์อาจารย์ และญาติ
กลับไปนครราชสีมาเพื่อศึกษาพระปริยัติต่อ
การกลับนครราชสีมาครั้งนั้นกลับโดยทางเกวียน คือใช้เกวียนบรรทุกอาหารข้าวสาร ของขบฉันต่าง ๆ
ส่วนคนก็เดินตามเกวียนไป การเดินทางเกวียนนี้ช้ากว่าการเดินทางด้วยเท้า ท่านกล่าว คือต้องใช้
ถึง ๑๐-๑๑ คืน จึงถึงนครราชสีมา
อีกเที่ยวหนึ่งที่น่าประทับใจ ท่านเดินทางด้วยรถไฟจากอุทุมพรพิสัยถึงนครราชสีมา สมัยนั้นเก็บค่าโดยสารรถไฟ ค่าตั๋วครึ่งราคา จากอุทุมพรพิสัยถึงชุมทางถนนจิระ ค่ารถ ๓ บาท ๗๕ สตางค์ ท่านหลวงปู่มีเงิน ๔ บาท ซื้อตั๋วแล้วมีเงินเหลืออยู่ ๒๕ สตางค์ หรือด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นแรงจูงใจหลวงปู่หลังจากได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเสร็จแล้ว ท่านจึงไม่ยอมรับเงิน หรือทองเป็นวัตรตลอดชีวิตอวสานของท่าน ซึ่งเป็นเยี่ยงอย่างของสมณเพศที่ดีอันหนึ่งของท่าน
เมื่อหลวงปู่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุตามพระธรรมวินัยใน
พระศาสนาแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาและศึกษาเล่าเรียนเพื่อบำเพ็ญ ศาสนกิจในศาสนาดังต่อไปนี้
พรรษาที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จำพรรษาที่วัดทุ่งสว่าง
ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง นครราชสีมา
ไปศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกนักธรรม และบาลี
ที่วัดบูรพ์ นครราชสีมา และสอบนักธรรมชั้นโทได้
พรรษาที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบนักธรรมชั้นเอกได้(นธ.เอก) หลังจาก
นั้นท่านได้ย้ายจากวัดทุ่งสว่างไปจำพรรษาที่วัดบูรพ์ วัดเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมาในสมัยนั้น เนื่องจากหน้าฝนเดินทางไปเรียนหนังสือจากวัดทุ่งสว่างลำบาก
ศึกษาอยู่ที่วัดบูรณ์นี้ รวม ๒ พรรษา
พรรษาที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ สอบเปรี่ยญธรรม ๓ ประโยคไม่ได้
พรรษาที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ สอบเปรียญธรรม ๓ ประโยด
ซ้ำอีกก็สอบไม่ได้ บังเอิญปีนั้นหลวงปู่ศุข ได้เกิดเนื้องอกในจักษุ ทั้ง สองข้าง ต้องทำการผ่าตัดเนื้องอก จึงได้ไปรักษาโรคจักษุที่ โรงพยาบาลกรุงเทพ ฯ จากนั้นเป็นตันมาหลวงปู่ตั้งใจเลิกเรียนหนังสือ
พรรษาที่ ๕ ปี พ.ศ. ๒๔๘o ท่านได้ย้ายจากวัดบูรห์ นครราชสีมา ไปจำพรรษาที่วัดกุดผง (บ้านมะเกลือเก่า) อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
โดยมี พระอาจารย์กลันเป็นเจ้าอาวาส การอยู่จำพรรษาที่วัดกุดผงนี้ ท่านได้เป็นครูสอนภาษาไทยแก่เด็ก ช่วยเจ้าอาวาส และเป็นครู
สอนปริยัติธรรมนักธรรมชั้นโท รวมอยู่กุดผง ๒ ปี คือ
พรรษาที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๘๐
พรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๘๑
พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๘๒ ท่านได้ย้ายจากวัดกุดผง ไป
จำพรรษาที่วัดป่าสูงเนิน ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
โดยมีท่าน พระครูญาณโสภิต (อาจารย์มี) เป็นเจ้าอาวาส
ท่านพระครูญาณโสภิต
เป็นพระปฏิบัติที่เคร่งในพระธรรมวินัย และธุดงคคุณ มีความแตกฉาน ในด้านปริยัติ และชำนาญในด้านปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน มีอินทรีย์ผุดผ่อง สำรวม น่าเลื่อมใสยิ่งนัก
พระอาจารย์ทองศุข เหมโก หรือหลวงปู่ศุข จึงได้เข้ามอบกาย
ถวายตัวขอเป็นศิษย์เพื่อฝึกฝนสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อหาความสุขสงบเย็นแก่ชีวิต ท่านเป็นศิษย์ที่เคารพสักการะอาจารย์ อยู่ในโอวาท กตัญญูรู้คุณอาจารย์อย่างเคร่งครัด
ฝึกการนั่งสมาธิ เดินจงกรม การนั่ง การนอน การขบฉัน
ด้วยความสันโดษ มักน้อย สำรวม ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากหรือความอยากด้วยประการทั้งปวง ตั้งใจประพฤติอย่างเอาชีวิตเข้าแลกเป็นเดิมพัน ไม่ย่อท้อ ไม่เบื่อหน่าย ไม่ทอดธุระ จนเป็นที่ไว้วางใจและนิยมชมชอบของพระอาจารย์มีทุกประการ
หลวงปู่สุข ได้จำพรรษาอยู่วัดป่าสูงเนินนี้ ๔ พรรษา คือ
พรรษาที่ ๗ ปี พ.ศ. ๒๔๘๒
พรรษาที่ ๘ ปี พ.ศ. ๒๔๘๓
พรรษาที่ ๙ ปี พ.ศ. ๒๔๘๔
พรรษาที่ ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕
พรรษาที่ ๑๑ ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ หลวงปู่ได้กราบลาท่านพระครู
ญาณโสภิต วัดป่าสูงเนิน เพื่อกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และสร้างวัดป่า คือบ้านเป้าะ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดครีสะเกษ
(ปัจจุบันคืออำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ)
เพื่อเผยแผ่ธรรมะแก่ญาติโยม และช่วยเหลือชาวบ้านให้เกิดแสงสว่างในชีวิต ดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ชอบ ตรงต่อคำสอนของพระพุทธองค์ คือมุ่งความสุข สงบเย็น เป็นมรรคผล นิพพาน ไม่หลงยึดติดอยู่แค่จารีตประเพณี ฤกษ์ดียามดี เลิกละการถือผีสางนางไม้ รุกขเทวดา อารักษ์ พระภูมิเจ้าที่ เซ่นเจ้าเข้าผี ต้นไม้ใหญ่ ธรณี จอมปลวก เซ่นไหว้ผีปูย่าตายาย ให้หันมาเชื่อกรรม และทำดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ มายึดเอาพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดมา..
พระเถระผู้ใหญ่ที่มาพักสนทนาธรรมะปฏิบัติกับหลวงปู่ศุข ดังนี้..
* พ.ศ.๒๔๙๕ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เมตตามาพำนักกับหลวงปู่ศุข ๑ คืน โดยพักกุฏิรับรองสมเด็จชั่วคราว
* พ.ศ.๒๕๑๑ - ๒๕๑๕ สมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณณโก) มาพำนัก คราวละหลายวัน โดยพักกุฏิรับรองสมเด็จตึกสำราญนิเวศน์
* หลวงปู่กิ ธัมมุตตโม
* เจ้าคณะภาค ๑๐
* พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงปู่สุพีร์ สุสัญญโม มาขอบวช หลวงปู่ศุขได้ให้บวชเป็นตาผ้าขาวอยู่ ๑ ปี จึงอนุญาตให้อุปสมบทใน พ.ศ.๒๕๐๐
แล้วต่อมาหลวงปู่ศุขจึงได้ส่งหลวงปู่สุพีร์ มาอยู่ช่วยงานร่วมกับหลวงปู่ทา ช่วยเหลือและดูแลพระอาจารย์มี พระอาจารย์ของท่านที่วัดป่าสูงเนิน โคราช..
ผลงาน การก่อสร้างและพัฒนาวัดวาอาราม ทั้งพัฒนา
ศาสนา พัฒนาคน พัฒนาท้องถิ่นของหลวงปู่
เริ่มจากอายุในปูนมัชฌิมวัยตลอดไปถึงปัจฉิมวัย มีดังต่อไปนี้
พรรษาที่ ๑๑ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๖ ย้ายจากวัดป่าสูงเนิน
นครราชสีมา เข้ายึดปักกลดใต้ต้นกะบกใหญ่ในสุสานป่าช้าที่เผาศพของหมู่บ้านเป๊าะ ซึ่งเป็นป่ารกทึบต้นไม้ใหญ่และเถาวัลย์ขึ้นหนาแน่นอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บัานต่อมาได้ปัดกวาดใบไม้ บุกเบิกให้เป็นที่รื่นรมย์เหมาะแก่การอยู่วิเวก สงบสงัด ปราศจากสิ่งรบกวนเช่น รูป เสียงอื้ออึง เป็นต้น โดยอาศัยญาติโยมเป็นกำลังในการแผ่วถาง เพื่ออาศัยเป็นที่ปฏิบัติธรรม ไม่หวังในลาก ยศ สรรเสริญ สุข ไม่มักมากอยากใหญ่ในอามิส ถือเคร่งในพระธรรมวินัย และธุดงควัตรอย่างเข้มงวด
ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "ผู้ประพฤติล่วงวินัยเท่ากับคนศีรษะขาด"
ณ ที่นี้ท่านอยู่ปฏิบัติธรรม อบรมสั่งสอนภิกษุ-สามเณร ส่วนทายก ทายิกา ท่านให้ถือปฏิบัติในทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา จนปัจจับันขยายวัดวาเป็นถาวรวัตถุ มีผู้ศรัทธาเสื่อมใสแผ่ขยายไปทุกทิด โดยมีผู้ครัทธามาจากที่ต่าง ๆ ทั้งเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตกทั้งบรรพชิต และคฤหัสด์อย่างไม่ขาดสาย
อยู่ต่อมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๒ หลวงปู่ศุขจึงได้รับตราแต่งตั้ง
ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุขวรารามอย่างเป็นทางการ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับใบตราแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌายะ บวช
พระภิกษุ-สามเณร ได้ตามธรรมวินัย
ปี พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๒ ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครู-
สัญญาบัตรชั้นโท มีนามว่า "พระครูไพบูลย์สุขวัฒน์" ตามนามเดิมของท่าน
การก่อสร้างถาวรวัตถุเสนาสนะ
ที่สำคัญที่เป็นผลงานของท่าน
- ปี พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๑๙ ได้สร้างเมรุเผาศพ สิ้นเงินไป ๑ แสน ๒ หมื่นบาทเศษ สร้าง อยู่ ๒ ปี จึงแล้วเสร็จ
- ปี พ.ศ. ๒๕๑๙-๒๕๒๐ วางรากฐานศาลาพักศพ และปี พ.ศ.
๒๕๒๐ ก็สร้างเสร็จสิ้นเป็นเงิน ๑ แสนบาทเศษ
- ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ วัดป่าได้รับอนุญาตจดทะเบียนเป็นวัด โดยชื่อว่า "วัดป่าสุขวราราม" ตามนามเดิมของหลวงปู่ และได้รับ
ราชทานวิสุงคามสีมาในปีนั้นเอง
- ปี พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๗ ได้สร้างกำแพงแนวเขตรั้วรอบวัด
สร้างอยู่ ๒ ปีจึงแล้วเสร็จ สิ้นเงินค่าก่อสร้างไป ๔ แสนบาท
-ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รื้อศาลาหลังเก่าลง และสร้างศาลาหลังใหม่แทนศาลาเก่า เป็นศาลา ๒ ชั้น ข้างบนเป็นโรงพระอุโบสถเพื่อทำสังฆกรรม
ชั้นล่างเป็นศาลาเอนกประสรงการก่อสร้างได้ดำเนินเรื่อยมา จากปี พ.ศ. ๒๕๒๘ จนถึงปีจวบจนจะเสร็จอยู่แล้ว โดยได้อาศัยทุนทรัพย์จากชาวบ้านเป๊าะ และญาติโยมที่มีความเคารพบูชาหลวงปู่ ซึ่งอยู่ทุกทิศได้ฝากเงินธนาณัติมาถวายบ้าง มาด้วยตนเองบ้าง มาร่วมหมู่โดยจัดผ้าป่ามาถวายบ้าง
กฐินบ้าง เกือบจะเสร็จอยู่แล้วหลวงปู่ก็มามรณภาพไปก่อน ในขณะที่การก่อสร้างยังด้างคาอยู่
หลวงปู่ไม่ได้พัฒนาหรือก่อสร้างเฉพาะเสนาสนะ ถาวรวัตถุ
ภายในวัดแต่เพียงอย่างเดียว ยังได้นำชาวบ้านให้ไปช่วยกันปิดกั้นทำนบเหมืองฝ่าย เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในยามหน้าแล้ง เพื่อการเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ เช่น การปล่อยพันธุ์ปลาต่าง ๆ เช่น การนำชาวบ้านไปปิดกั้นทำนบกุดหล่ม และปิดกั้นทำนบกุดเฒ่ามณีอีกด้วยนี่เป็นเพียงผลงานแต่เพียงบางส่วนของหลวงปู่เท่านั้น ที่ยกมาเล่าไว้เป็นตัวอย่างแก่ท่านผู้อ่าน ต่อไปนี้จะเล่าถึงวัตรปฏิบัติ การเป็นปฏิปทาของท่าน
ที่ศิษยานุศิษย์และญาติโยมควรรู้ และยึดถือเปินแบบฉบับต่อไป
วัตรปฏิบัติของหลวงปู่
วัตรปฏิบัติหรือปฏิปทาของหลวงปู่ศุข นับว่าเป็นพระเถระที่
เคร่งครัดมากในธรรมวินัย มีความสำรวมระวังทั้ง กาย วาจา ใจพูดน้อย แต่มีความหมายลึกซึ้งมาก มีความสันโดษ มักน้อย อยู่อย่างสงบสงัดเรียบง่าย ถือเคร่งในวินัยและธุดงคคุณ คล้ายกับพระมหากัสสปะเถระในครั้งพุทธกาล ไม่เห่อเหิมในอามิสวัตถุ และถือธุดงค์ต่าง ๆ ตลอดชีวิต ดังนี้
๑. ถือผ้า ๓ ผืน คือไตรครองตลอดชีวิต
๒. นั่งอาสนะเดียวเป็นวัตร
๓. ฉันหนเดียวตลอดชีวิต
๔. ไม่รับเงิน และทองตลอดชีวิต
๕. อยู่ป่าช้าเป็นวัตรตลอดชีวิต
๖. นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต
ธุดงค์เหล่านี้ ท่านได้อธิษฐาน และถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ท่านพูดน้อย นอนน้อย ฉันน้อย มีความเพียรในทุกอริยบท มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายใช้ของประหยัด ของที่ใช้สอยแล้วขาดชำรุด ท่านจะไม่ยอมทิ้ง เช่นเมื่อจีวรขาด ท่านจะนำมาทำเป็นผ้าปูที่นอน เมื่อผ้าปูที่นอนขาด ท่านจะนำมาทำเป็นผ้าเช็ดเท้า หรือผ้าถูพื้น และอย่างที่นอนของท่าน ท่านก็จะไม่ยอมนอนบนที่นอนอันสูงใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี ใช้เสื่อขาด ๆ เก่า ๆ
ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันตราบเท่า
ทุกวันนี้ท่านชอบความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อย ญาติโยมเมื่อมาเยี่ยมนมัสการท่าน เมื่อนั่งไม่เป็นระเบียบ ท่านจะสั่งสอน และบางครั้งก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น การกราบไหว้ เป็นตัน
การพูดจาก็เหมือนกัน ท่านจะสอนให้สำรวม ระวังคิด
ขณะไดควรพูด ขณะใดไม่ควรพูด ไม่พูดสอดแทรกในขณะที่คนอืนยังพูดไม่จบ ถึงแม้ตัวท่านเวลาที่ลูกศิษย์ลูกหาพูด หรือญาติโยมท่านจะรับฟังโดยเรียบร้อย บางครั้งท่านจะหุบปากพูดเสียด้วยซ้ำใปหลวงปู่ท่านจะแนะนำสั่งสอนแม้การเดิน ยืน นั่ง นอนทอดสายตา หากเป็นผู้น้อยทอดสายตาสูงดูผู้ใหญ่ท่านก็ตำหนิ นอกจากนั้นท่านยังสอนลูกศิษย์ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน อย่ายกหูชูหาง หรือโอ้อวด อย่าตำหนิผู้อื่นโดยไม่รู้โทษของตนเองเหล่านี้เป็นต้นและมารยาทที่งดงาม
เรียกได้ว่าหลวงปู่ท่านมีวัตรปฏิปทาทั้งในเบื้องตัน ท่ามกลางและที่สุด อย่างหาที่ติมิได้
ก่อนหน้าที่ท่านจะได้มรณภาพ ประมาณ ๔-๕ วัน ผู้เขียน
ได้ไปเยี่ยมนมัสการท่าน ขณะนั้นท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ดี ท่านก็ได้พูดเป็นลางสังหรณ์ใจไว้ว่า "จะทำอะไรก็ให้รีบทำเสีย อย่าชักช้าลังเล สงสัย คาราคาซังอยู่เลย วันเวลาชีวิตไม่เคยคอยใครเมื่อมัจจุราชมาถึงก็ปลิดชีวิตเราโดยทันที ไม่เคยปราณีใคร คนเราเกิดมาแล้วต้องตายทุกคน พ่อของเราก็ตาย ปู่ก็ตาย พ่อของปู่ก็ตายตาก็ตาย พ่อของตาก็ตาย และใครต่อใครก็ตายทั้งนั้น ตายอย่างไม่มีใครฆ่าด้วย" ท่านกล่าว หลังจากนั้น ๔-๕ วัน ก็ได้ทราบข่าวว่าท่านได้มรณภาพไปเสียแล้ว
หลวงปู่ทองศุข เหมโก มรณภาพ วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๒
การสูญเสียในครั้งนี้...นับเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
นำความโศกสลดสังเวชใจมาสู่ชาวอำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีสะเกษ และศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เคารพนับถือกราบไหว้ท่านอย่างหาที่สุดมิได้ต่อแต่นี้ไป คงเหลือไว้แต่เพียงธรรมโอวาทต่าง ๆ ที่ท่านเคยแสดงไว้ สอนไว้เขียนไว้ หรือที่ได้ทำไว้เป็นแบบฉบับ
ก็ดีถือเป็น ครูอาจารย์สืบต่อแทนตัวท่านต่อไป โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านเน้นนักหนาเรื่องของความไม่ประมาท ท่านกล่าวอยู่เสมอว่า "สังขารเหล่าหยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตได้ดับแล้วในอดีตก็ตาม ได้เกิดในปัจจุบัน และดับอยู่ในปัจจุบันก็ตาม เกิดในอนาคตและจะดับในอนาคตก็ตาม ขอให้มีสติให้เต็มที่ ทำใจหยุดใจไว้ให้ได้ อย่าให้ใจไหลไปตามกระแสอารมณ์ต่าง ๆ จงรู้จักข่มจิต ฝึกฝนจิต ประดองจิต
ควบคุมจิต รักษาจิต อย่าได้ยินดี-ยินร้าย ในเวลาที่สายตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส ทำใจให้สะอาด หยุดคิด หยุดปรุงแต่งแล้วจะได้พบกับพุทธะ ธรรมะ สังฆะ และถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยแท้จริง ด้วยการมีสติ ธรรมทั้งหลายของพระพุทธองค์รวมลงที่สติ ..
โอวาทธรรม..
สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
อนุปาทา วิมุจฺจนฺติ
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น
สาธุชนทั้งหลาย จะหลุดพ้นก็เพราะความไม่ยึดมั่นถือมั่น
โดยเหตุว่าสิ่งทั้งสิ้นเป็นเพียงสภาวะ เป็นสภาพอันหนึ่ง เป็นของว่าง เป็นของสูญ เป็นอนัตตา สักว่า สักแต่ว่าเป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรมเท่านั้น..
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น