ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าน้ำภู (สันติธรรม) อ.เมืองเลย จ.เลย



ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม  
     วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๙๓ ปี ชาตกาล หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าน้ำภู(สันติธรรม) อ.เมืองเลย จ.เลย หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม สมณะผู้มีจิตตั้งมั่นทายาทธรรมหลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่พัน ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแห่งวัดป่าน้ำภู อ.เมือง จ.เลย เดิมทีท่านเคยเรียนวิชาคาถาอาคมจนชำนิชำนาญมาตั้งแต่เป็นสามเณร ต่อเมื่อบวชศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านก็ทิ้งวิชาเหล่านั้น ตั้งใจปฏิบัติตามแนวทางพระบรมศาสดา จึงขอน้อมนำประวัติและปฏิปทาเพื่อเป็นสังฆานุสติมาเผยแผ่เพื่อให้เป็นกำลังมจต่อผู้ปฏิบัติธรรม เพราะหลวงปู่พันเองเคยผ่านการมีครอบครัว ออกบวชเมื่อเริ่มมีอายุมากแล้ว แต่ท่านจริงจังในการปฏิบัติเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่สมควรแก่การกราบไหว้อย่างยิ่งครับ

• #ชีวประวัติหลวงปู่พัน_ฐิตธัมโม
หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๗๔ ที่บ้านนาโคก ต.นาอ้อ ปัจจุบันเป็น ต.ศรีสองรัก อ.เมือง จ.เลย โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายพา และนางเฟือย ไม่ทราบนามสกุล เป็นบุตรคนโตในจำนวน ๖ คน 

• #บรรพชาเป็นสามเณร
เมื่อตอนอายุยังน้อย ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่มหานิกาย ณ วัดโพธิ์ศรี บ้านนาโคก ในปี ๒๔๘๖ และเดินทางไปเรียนหนังสือที่วัดศรีจันทร์ บ้านนาอ้อ ต.นาอ้อ จ.เลย มีครูบามูลเป็นครูบาอาจารย์สอนหนังสือ

ซึ่งในระหว่างบวชเป็นสามเณร ท่านมีโอกาสได้เคยติดตามครูบามูล เดินทางไปที่เมืองทุ่ง จ.ล้านช้าง ประเทศลาว เพื่อไปศึกษาวิชาอาคมกับหลวงปู่ญาครูน้อย ในระหว่างที่อยู่กับหลวงปู่ญาครูน้อยนี้ ท่านได้ติดตามท่านไปโปรดญาติโยม ที่เมืองปลา ประมาณ ๑ ปี ก็เดินทางกลับจังหวัดเลยและสามารถสอบนักธรรมตรีได้

ในระหว่างที่ท่านติดตามหลวงปู่ญาครูน้อยไปที่เมืองปลา ประเทศลาวในครั้งนี้ ทำให้ท่านเห็นถึงความไม่ดี ไม่งามเกี่ยวกับการบูชาผี เพราะช่วงที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ญาครูน้อยนั้น ท่านได้พาสามเณรพัน ไปปราบผีที่เมืองปลาด้วยเหตุที่ว่า ในช่วงนั้นเกิดมีคนตายจำนวนมาก จึงมีศรัทธาชาวเมืองปลา มาขอบารมีหลวงปู่ญาครูน้อย ไปโปรดช่วยขับไล่ผีเจ้าที่ ที่มาเอาชีวิตคนในเมืองปลาแห่งนี้(ซึ่งในเมืองปลานี้คนบูชาผี) โดยมีคนมานิมนต์ท่านในช่วงนี้คือ สิบตรีจันทร์เป็นหัวหน้ามานิมนต์ท่านไป 

หลวงปู่ญาครูน้อย ในสมัยนั้นมีชื่อเสียงด้านวิชาอาคม เป็นที่เลื่องลือถึงขนาดได้รับนิมนต์ให้ไปนั่งอธิษฐานจิตวัตถุมงคลที่กรุงเทพ เพื่อแจกทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเลยทีเดียว ตอนท่านบวชเป็นเณรนี้ ท่านเล่าประสบการณ์ที่อยู่เมืองปลาว่า "ท่านเครียดแค้นและไม่ชอบการบูชาผี เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ยังมีโทษกับผู้บูชาอีก" ซึ่งในระหว่างบวชเณรนี้ หลวงปู่พันก็ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆ กับหลวงปู่ญาครูน้อยมาพอสมควร

ท่านกล่าวว่า..."การนับถือผีเป็นที่พึ่งนั้น เราพึ่งได้จริงหรือ ผีนำความสุขความเจริญมาให้เราได้จริงหรือ คนเราส่วนมากมักจะไม่เข้าใจ มักจะถือตามกันมา ฟังตามกันมา สืบต่อกันมา ปฎิบัติต่อกันมา การบูชาผีผลสุดท้ายก็ผีนั้นแหละ กินหัวตัวเอง กินลูกบ้านหลายเมืองของตัวเอง ถึงขนาดนั้น ก็ยังไม่รู้สึกสำนึกตัวเองได้ ยังพากันนับถืออยู่ อย่างที่บ้านเมืองปลาเป็นตัวอย่าง ผีเจ้าบ้านอยากกินอะไร ต้องการให้ทำอะไรแบบไหน ก็ทำตามหมดแต่ผีเจ้าบ้าน ยังมาทำให้ลูกบ้านหลานเมือง ล้มตายกันอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ของดี ผีนั้นคำว่าผีแล้ว พากันกลัวเอานักเอาหนา แต่ก็ยังเอาผีมาเป็นที่พึ่ง มากราบมาไหว้มาสักการบูชากันอยู่ อย่างนี้แหละที่ท่านว่าคนโง่พึ่งผี คนดีพึ่งธรรม..."

หลังจากเณรพัน(หลวงปู่พัน) ท่านกลับมาจากเมืองปลาแล้วท่านก็สามารถสอบนักธรรมตรีได้ จนท่านบวชเณรได้ ๒-๓ ปี จนอายุ ๑๕ ปี ท่านก็ได้ลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดา ทำไร่ไถนา จนอายุครบ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุครั้งที่หนึ่ง ที่วัดศรีจันทร์ บ้านนาอ้อ โดยมีพระครูวิจารณ์สังฆกิจ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์นำน้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชได้ ๑ พรรษา ท่านก็ได้ลาสิกขาออกมา และแต่งงานกับ นางคำพุ มีตา มีบุตรทั้งหมด ๓ คน คือ นางหนูหลั่น บุญมา นางบุญเรียน ดาสา และ นายวิเชียร วรินทรา

• #อุปสมบท
จนในปี พ.ศ.๒๕๑๕ นางคำพุ ผู้เป็นภรรยาได้เสียชีวิต รวมอายุ ๓๘ ปีเศษๆ นายพันได้เลี้ยงบุตรธิดาเรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.๒๕๒๐ นายพันได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกเป็นครั้ง ๒ ฝ่ายธรรมยุติ เมื่ออายุ ๔๖ ปี โดยได้อุปสมทบ ณ วัดศรีสุทธาวาส อ.เมือง จ.เลย มีพระเทพวราลังการ(หลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระสมุห์ไกรศรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการธีระพงศ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ฐิตธัมโม แปลว่า ผู้ตั้งอยู่ในธรรม"

• #อยู่ที่ถ้ำผาปู่กับหลวงปู่คำดี_ปภาโส
หลังจากที่ท่านบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ ฝึกอบรมกรรมฐาน ทำสมาธิ ภาวนาเดินจงกรมอยู่กับ หลวงปู่คำดี ปภาโส และ หลวงพ่อสีทน สีลธโร(ศิษย์ผู้ใหญ่หลวงปู่คำดี และเป็นพระพี่เลี้ยงท่าน) โดยหลวงปู่คำดีท่านให้โอวาทกับหลวงปู่พัน ครั้งแรกว่า "ท่านเคยเรียนวิชาอาคมอะไรมาก็ตาม ให้ทิ้งให้หมด หันมาสวดมนต์ ไหว้พระ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเท่านั้น" 

หลวงปู่พันในขณะเป็นพระภิกษุบวชใหม่นั้น ท่านก็ได้ละทิ้งวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาจาก หลวงปู่ญาครูน้อยทั้งหมด แล้วหันไปบำเพ็ญภาวนาเอา "พุทโธ" เป็นหลักใจในการภาวนาเพียงอย่างเดียว

ท่านเล่าว่าหลวงปู่คำดี ท่านจะสอนว่า... ให้ตั้งอกตั้งใจทำความเพียร นั่งภาวนาเดินจงกรมให้มากๆ เวลากลางคืนไม่ให้นอนก่อน สี่ทุ่ม เวลากลางวันไม่ให้นอนก่อนเที่ยง เวลาเช้าให้ตื่นตีสี ให้มีเวลาทำความเพียรให้มากๆ อย่าปล่อยให้วันคืนปีเดือน ล่วงไปเสียไป

หลวงปู่พัน ท่านก็ปฎิบัติตามคำสอนของปู่คำดี อย่างเคร่งครัด ตั้งหน้า ตั้งตาทำความพาก ความเพียรอย่างเต็มกำลัง ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ทั้งกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ก็พยามทำอยู่อย่างนั้น เพราะจิตใจของท่านเคยได้รับความทุกข์ ความทรมานในทางโลกมาอย่างหนักหน่วงมาแล้ว ท่านจึงได้มุ่งมั่น ต่อความพรากความเพียร ภาวนาพุทโธๆๆๆ เท่าไร จิตก็ไม่อยู่กับพุทโธ จิตใจมีแต่แล่นไปตามความคิดตามอารมณ์ อยู่อย่างนั้น

ท่านว่า..ด้วยครั้งบวชเข้ามาเริ่มปฎิบัติใหม่ๆ ท่านเกือบจะเป็นบ้าไปเลย อย่างนั้นแหละ เพราะจิตไม่ยอมอยุ่กับพุทโธ เสียทีเพราะอารมณ์ต่างๆที่เข้ามาขวางกั้นตันใจ พาให้จิตใจหลวงปู่ ท่านเศร้าหมอง

ซึ่งในช่วงนี้ท่านมีความกังวลอยู่สี่อย่างคือ....
๑.ห่วงหาอาลัยถึงอดีตโยมภรรยาที่ล้มหายตายจากไปจิตใจในช่วงนั้คิดว่ายังอายุน้อยๆไม่หน้าตายเลย
๒.ลูกยังเรียนไม่จบ ไม่หน้าหนีูกมาบวชเลย หน้าจะรอให้ลูกเรียนจบมีงาน มีการ เลี้ยงดูตนเองได้เสียก่อน
๓.โกรธแค้น ชิงชัง ขโมยที่มาเอาควายไป
๔.มีความรักในหญิง 

อารมณ์ทั้ง ๔ นี้ที่ทำให้ท่านอึดอั้นตันใจ ไม่เป็นอันภาวนา ไม่ให้จิตอยู่กับพุทโธจนเกือบจะเป็นบ้า แต่พอท่านปฎิบัตินานเข้าจิตของท่าน ก็เริ่มสงบลงปัญญาของท่านก็เกิดผุดขึ้นเกิดขึ้น คงเป็นเพราะวาสนาบารมีเก่าที่หลวงปู่พัน ท่านเคยได้สร้างสมอบรมมาแล้ว แต่ปุเรชาติหนหลังครั้งก่อน เขามาช่วยดลบันดาลให้จิตใจของหลวงปู่พัน ท่านคิดออกได้คิดแก้ไขจิตใจของท่าน ที่เป็นห่วง กังวนอยู่นั้นให้สิ้นไป....คือ

๑.อารมณ์ คิดห่วงอาลัยภรรยาที่ตายไป ท่านพิจารณาว่า เอ๋...แล้วเราจะไปเอาแน่อะไรกับความตายได้ เพราะคนเราทุกคนที่เกิดมา ย้อมต้องตายกันทั้งนั้น บางคนตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็มี หรือบางคนคลอดออกจากครรภ์แล้วตายก็มี หรือบางคนเป้นหนุ่มเป็นสาวแล้วตายก็มีแล้วจะเอาอะไรแน่นอนครับความตาย..

๒.อารมณ์ที่เข้ามาครอบงำจิตใจของท่านในตอนนั้น คือห่วงลูกว่าลูกงเล็กอยู่ ยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย ท่านกลับหนีมาบวชก่อน ท่านพิจารณาว่า .."เอ๋..แล้วบางผู้บางคน พ่อแม่เขาตายหนีต่กไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเป็นเล็กอยุ่เป็นกำพร้ากำพลอย อาศัยอยู่กับแม่ป้า น้าสาว ลุงอาชาวบ้าน เลี้ยงดูมาตั้งแต่เขาเป็นเด็ก เป็นเล็กอยู่ เขายังใหญ่มา เป็นผู้ เป็นคนได้ หากวาสนาเขาดี เขาเคยทำดีมาแต่ในชาติหนหลัง ก็คงเติบใหญ่มาได้เป็นคนดี แต่ถ้าเขาเคยทำไม่ดีมาก่อน ก็คงสุดแท้แต่วาสนาที่เขาทำมาก่อน เพราะทุกคนต่างมีเวร มีกรรมติดตามกันมาทุกคน"

๓.อารมณ์ที่มีความเครีดแค้น โกรธพวกขโมยที่มาลักควายไปนั้น ท่านก็พิจารณาแก้อารมณ์ใจว่า ...ถ้าเราไปฆ่าเขาทิ้งแล้ว ก็เหมือนฆ่าหมาตายนั้นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อันใด ลังแต่จะเป็นเวร เป็นกรรมสือต่อไปในภายภาคหน้าอีกไม่จบไม่สิ้น เราเองในชาติก่อนคงเคยไปลักขโมยของเขาไปชาตินี้เขาจึงมาจองเวร จองกรรมต่อ แล้วท่านก็อโหสิกรรมพร้อมทั้งแผ่นเมตตาไป..

๔.อารมณ์นี้หนักไม่น้อยเหมือนกัน คือรักชอบหญิง อารมณ์นี้คงเป็นเพราะวาสนาเก่า บุพเพสันนิวาสชาติเก่าก่อนภายหลังว่าคนเรานั้นเคยได้เป็นคู่ผัวตัวเมียกันมาที่เคยสร้างสมกันมาก่อน ท่านจึงพิจาณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องการเวียนวาย ตายเกิดมาพิจาณา ว่าถ้าเรายังหลงทาง ไม่เร่งรัดปฎิบัติ มัวแต่สนใจในเรื่องโลภ โกรธ หลงสุดท้ายเราก็ต้องมาเวียนเกิด เวียนตาย เวียนทุกข์อยู่ร่ำไป..

ด้วยอุบายธรรมที่เกิดขึ้นกับท่าน โดยแก้อารมณ์ใจที่กังวนได้สี่อารมณ์นี้ทำให้จิตของท่านเลิกฟุ้งซาน จิตใจเริ่มสงบลง..

ท่านจึงมาพิจารณาว่า... ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า ความจริง และ ความจำนั้นต่างกันมาก ความรู้ความเห็นที่ เห็นความจริงด้วยจิต ด้วยใจนั้นเราจะเชื่อเราจะซึ้งอย่างถึงจิต ถึงใจเราอย่างมั่นคงไปจนตาย ส่วนความจำนั้น คือว่าเราอ่านมา จำมาจากตำรับ ตำราหรือฟังจากครูบาอาจารย์นั้น ถึงจะเชื่อก็เชื่ออย่างไม่ซึ้งถึงจิตถึงใจจริง

• #เล่าเรื่องภาวนาให้พระเณรฟัง
เมื่อครั้งหลวงปู่พัน ปฎิบัติธรรมเริ่มเห็นความจริง เห็นอรรถเห็นธรรมแล้ว ท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้พระเณรฟัง เพราะมันกินใจ ลึงซิึงถึงใจท่านมาก ส่วนพระเณรพอได้ยินได้ฟังท่านเล่า ก็สักแต่ได้ยินเท่านั้น ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เพราะมิใช่เรื่องของคนอื่น

หลังจากหลวงปู่พัน ท่านได้ไปทำกิจวัตรประจำวาระ คือ ไปสรงน้ำและไปทำความสะอาดที่บริเวณกุฎิของหลวงปู่คำดี ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของท่าน วาระสรงน้ำให้หลวงปู่คำดีนั้น ๗ วันจะเวียนมาถึงหลวงปู่ครั้งหนึ่ง

พอสรงน้ำหลวงปู่เสร็จ หลวงปู่คำดีท่านมานั่ง วาระวันนั้น ว่างจากญาติโยมที่มากราบท่าน หลวงปู่คำดี ท่านจึงได้โอกาสอารมพระเณร คำพูดที่ท่านพูดเปรยๆ ออกมาทีแรกนั้น ท่านได้พูดขึ้นว่า.. "ผู้ใดนำเรื่องของตัวเองมาเว้า ผู้นั้นเอาความโง่ของโตมาขาย"

ท่านได้พูดขึ้นอย่างนี้แหละ พอหลวงปู่พันท่านได้ยินดังนั้น ในตอนนั้นท่านจึงเกิดความคิดขึ้นว่า เอ๋....ที่หลวงปู่คำดีพูดนั้น ท่านพูดให้ใครน่อ ท่านคงพูดให้เรากระมัง "เอ๋..แล้วเราก็ไม่เคยได้ไปเล่าให้ท่านฟัง แต่ท่านมารู้ได้อย่างไร หรือมีพระเณรไปเล่าให้ท่านฟังหนอ" และตั้งแต่นั้นหลวงปู่พัน ท่านก็ไม่เคยเล่าเรื่องผลการปฎิบัติของท่านให้ใครฟังอีกเลย เพราะเรื่องพวกนี้ ครูบาอาจารย์ท่านไม่เล่าให้ใครฟังง่ายๆหรอก เพราะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล

• #จิตได้ฌาน
พอจิตของหลวงปู่พัน สงบจากอารมณ์ ๔ อย่างที่ครบงำ ทำให้จิตใจของหลวงปู่เป็นทุกข์อยู่ในเวลานั้นได้จืดจาง บางเบาจากจิตใจลงไปแล้ว จึงได้นำเอาเรื่องจิตสงบนี้ มาสนทนากับพระสหมิตรธรรม ที่ปฎบิตัอยู่ด้วยกันฟัง

พอหมู่เพื่อสหธรรมิกได้ยินดังนั้นเข้า พระบางรูปก็ตอบว่า....จิตสงบไมได้เป็นอย่างนี้ จิตสงบนั้นต้องสงบแน่นิ่งไปเลยซิ 

หลวงปู่พันตอบว่า..แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมนั้นมันสงบจากอารมณ์ที่เข้ามาครอบงำจิต ที่ทำให้ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อย วุ่นวายใจ นั้นสงบลง

ซึ่งพระเพื่อนสหธรรมิตรนั้น ไม่เข้าใจในความสงบของหลวงปู่ เพราะไปเข้าใจว่าการสงบเกิดขึ้นจากอารมณ์สมาธิธรรมเท่านั้น แต่พอออกจากสมาธิแล้ว ความวุ่นว่ายก็เข้ามาเหมือนเดิม เมื่อตกลงกันไม่ได้เช่นนั้น ก็ตั้งสิ้นใจไปถามหลวงปู่คำดี เพื่อให้ท่านชี้แนะ หลวงปู่พัน กราบเรียนหลวงปู่คำดีว่า

เริ่มแรกปฎิบัตินั้น จิตใจของกระผมไม่มีความสงบเลย มีแต่ความวุ่นวายใจ แต่พอเริ่มปฎิบัติ จิตเริ่มพิจารณาธรรมหาอุบายะธรรมมาระงับ บางที่เดินจงกรมอยู่ เกิดนิมิต เหมือนตัวเองอยู่ด้านหน้า แต่พอเดินไป นิมิตนั้นกลับหายไป ซึ่งแรกๆก็เกิดความกลัวว่า ตัวจะหายไปแต่พอตั้งสติดู ก็รุ้ว่านี้คือนิมิต นิมิตนั้นก็หายไป

จากนั้นจิตกระผมก็สงบจากความวุ้นวาย ฟุ้งซานทั้งหลายได้ จิตของกระผมเป็นอย่างนี้แหละกระผม พอเล่าจบ... หลวงปู่คำดี ท่านก็พูดขึ้น พร้อมกับชี้นิ้วมือเข้ามาที่ตรงหัวใจท่าน แล้วท่านก็พูดว่า "มันเกิดจากนี้ ออกไปจากนี้ แล้วมันก็กลับมาอยู่นี้ดังนั้นแหละ"

ท่านเลยมาพิจารณาว่า..นี้แหละเราไม่เคยเกิด เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจึงเกิดอัศจรรย์ใจ ทั้งๆที่มันก็เกิดขึ้นจากใจเรานี้แหละ จากนั้นหลวงปู่คำดี ท่านพูดต่อว่า "เออ อย่างนี้แหละดี มาพูดให้ครูบาอาจารย์ฟัง ให้หมู่ให้พวกได้ยินได้ฟังนี้แหละ" แล้วหลวงปู่คำดีพูดต่อไปว่า "นั้นแหละมันบ่ตั้งใจเฮ็ด ตั้งใจทำกัน บ่เคยได้ยินพระเณร รูปใดองค์ใด มาพูด มาเล่าให้ฟังจักเทื่ออย่างนี้แหละ"
พอครูบาอาจารย์อธิบายให้ฟังแล้วเราถึงได้เข้าใจแล้วท่านยังได้พูดต่อไปอีกว่า "เออ....ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่า ได้ ญาณ แล้ว ให้รักษาไว้ให้ดี อย่าให้ฌานเสื่อมนะ"ฌาน" นั้นคือ ที่อยู่ของจิต จิตถึงมีที่อยุ่แล้ว..​"

• #เที่ยววิเวกขอฟังธรรมหลวงปู่เทสก์_เทสรังสี
ครั้งหนึ่ง องค์หลวงปู่คำดี ปภาโส ได้กล่าวกับพระเณรว่า พระสมัยนี้ ไม่เหมือนพระสมัยก่อน เวลาออกพรรษา จะเที่ยงธุดง ไปแสวงหาธรรม ตามป่า ตามเขา ไป ขอข้ออรรถ ข้อธรรม จากครูบาอาจารย์ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ขาว กัน....

หลวงปู่พัน เมื่อท่านได้ยิน เช่นนั้น ท่านก็ขอโอกาสอนุญาตหลวงปู่สีทน และ หลวงปู่คำดี ออกธุดงไปเพื่อแสวงหาธรรมะ จากครูบาอาจารย์สมัยนั้น โดยหลวงปู่พัน หลังจากได้รับอนุญาตจากครูบาอาจารย์ ทั้งสองแล้ว ท่านก็มุ้งหน้าเที่ยววิเวก ไปกราบนมัสการหลวงปู่เทศก์ เทสรังสี เพื่อขอข้อธรรมมาปฎิบัติก่อน

เมื่อครั้งถึงวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย เวลาบ่ายกว่าๆ พักผ่อนสรงน้ำ ตอนเย็นจึงเข้าไปกราบ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

หลวงปู่เทสก์ ท่านจึงถามไถ่ถึงที่มาที่ไป มายังไงจะไปที่ไหน หลวงปู่พันจึงกราบนมัสการเล่าให้หลวงปู่เทสก์ ฟังว่า..หลวงปู่คำดี ท่านแนะนำให้มาขอฟังธรรมจากหลวงปู่

เมื่อหลวงปู่เทสก์ ท่านได้ยินดังนั้น ท่านก็ถามหลวงปู่พัน เกี่ยวกับเรื่องสมาธิที่ทำอยู่ ว่าเดี๋ยวนี้จิตเป็นอย่างไร มันอยู่อย่างไร มันไปมาอย่างไร มันได้รับความสงบมากน้อยแค่ไหน

หลวงปู่พัน ท่านจึงเล่าตามความจริง ที่ท่านเป็นถวายให้หลวงปู่เทสก์ ท่านทราบทุกประการ และหลวงปู่เทสก์ ท่านก็ให้ข้อธรรมหลวงปู่พันว่า..จิตกับใจนั้นเป็นคนละอันกัน แต่ไปๆ มาๆ ก็อันเดียวกันนั้นแหละ จิตอันใด ใจก็อันนั้น เป็นข้อธรรมสั้นๆ แต่มีความหมายมากมายมหาศาล สำหรับพระที่มุ่งปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นทางจิตใจ เพื่อเอาใจออกจากทุกข์ จากวัฎฎสงสาร​

หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม วัดป่าน้ำภู(สันติธรรม) อ.เมืองเลย จ.เลย ละสังขารเมื่อเวลา ๐๓.๕๖ น. ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ สิริอายุ ๘๘ ปี ๒ เดือน ๒๒ วัน ๔๓ พรรษา 

คัดลอกจากหนังสือ ประวัติประสบการณ์ชีวิต ธรรมะ บารมี หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม ; พิมพ์ครั้งที่ ๑ ; ปี พ.ศ.๒๕๔๗ และหนังสือ ประสบการณ์ทางจิต ธรรมะจากใบลาน หลวงปู่พัน ฐิตธัมโม พิมพ์ครั้งที่ ๔ ; ปี พ.ศ.๒๕๕๖



ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco