ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่เดช ญานรโตวัดป่าหนองปลิง อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่เดช ฌานรโต
วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑ ปี การละสังขาร หลวงปู่เดช ฌานรโต พระสุปฏิปันโนแห่งวัดป่าหนองปลิง อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร พระอาจารย์เดช ฌานรโต เกิดเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๖ เมื่ออายุ ๑๘ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดป่าอุดมสมพร อยู่อบรมศึกษาธรรมกับพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ปี ๒๕๑๔-๒๕๑๖
ปี ๒๕๑๗ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ณ วัดป่าอุดมสมพร โดยมีพระราชคุณาภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์แปลง สุนทโร (ปัจจุบัน พระราชมงคลวชิรมุนี วิ. เจ้าอาวาสวัดป่าอุดมสมพร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์อุทัย สิริธโร (ปัจจุบัน พระราชวชิรญาณโสภณ วิ. เจ้าอาวาสวัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ปี ๒๕๑๘ ติดตามพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จำพรรษา ณ วัดถ้ำขาม กับพระอาจารย์เขี่ยม โสรโย
ปี ๒๕๑๙-๒๕๒๒ จำพรรษา ณ วัดป่าอุดมสมพร
ปี ๒๕๒๓ จำพรรษาที่วัดป่าผาแด่น จ.เชียงใหม่
ประมาณเดือนธันวาคม ในปี ๒๕๒๓ เกิดเหตุการณ์อันสำคัญคณะพระธุดงค์กัมมัฏฐานถูกคอมมิวนิสจับเข้าป่ารวมทั้งพระอาจารย์เดชด้วย ท่านเล่าถึงวินาทีชีวิต ระลึกถึงบารมีพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร จึงรอดกลับมาได้
• #ลำดับเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จับพระสงฆ์สามเณร จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์เดช ฌานรโต พระผู้อยู่ในเหตุการณ์
ย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๓ หลังจากงานวางศิลาฤกษ์เจดีย์และพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๓ เหล่าพระเณรต่างแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม
พระอาจารย์ปิ่น และพระอาจารย์เดช (ปัจจุบันหลวงปู่เดช ฌานรโต พำนักอยู่ที่วัดป่าหนองปลิง จ.สกลนคร) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ก็จะออกแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรมเช่นกัน โดยมีนายเซ็ง สกุลทอง เจ้าของร้านเซ็งพาณิชย์ ซึ่งขายของชำ ได้ไปรับพระอาจารย์ทั้งสอง ที่วัดป่าอุดมสมพร และไปส่งที่ท่ารถบ้านสร้างค้อ เพื่อจะขึ้นรถโดยสารต่อไปที่ถ้ำผากง ในเขตหมู่บ้านสานแว้ โดยไปอยู่ปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ทองฮวดและคณะระยะหนึ่ง จนใกล้วันครบรอบวันมรณภาพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
คณะพระเณรจึงได้ออกเดินธุดงค์โดยเลือกที่จะใช้เส้นทางมาที่บ้านแก้งนาง และผ่านไปที่บ้านนาหลัก เพื่อจะเข้าไปร่วมงานที่วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
โดยคณะพระเณรที่ออกเดินธุดงค์มานั้นประกอบไปด้วย
๑.พระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
๒.พระอาจารย์ทองฮวด ฐิตวัณโณ วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร
๓.พระอาจารย์ทับ ธมฺมปทีโป วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
๔.พระอาจารย์เดช ฌานรโต วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร (ปัจจุบัน วัดป่าหนองปลิง อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร)
๕.สามเณรพรชัย นิ่มสวัสดิ์ (เวช) วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร (ลูกศิษย์พระอาจารย์ทองฮวด)
๖.สามเณรสุพจน์ ................ วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร (ลูกศิษย์พระอาจารย์ทองฮวด เคยไปอยู่กับหลวงปู่อุทัย ที่วัดถ้ำพระภูวัว ภายหลังลาสิกขาแล้ว)
๗.สามเณรอุทัย จันใด วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร (น้องชายพระอาจารย์ทับ / ภายหลังลาสิกขาแล้ว)
พระสงฆ์-สามเณร จำนวนทั้งหมด ๗ รูป ได้ออกเดินทางจากบ้านสานแว้ ไปบ้านแก้งนาง ( ต.กกดุม กิ่งอ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ) และพักที่บ้านแก้งนาง ๑ คืน โดยได้พักที่ศาลาวัดประจำหมู่บ้าน ซึ่งในขณะนั้นหมู่บ้านละแวกนี้เป็นเขตพื้นที่อิทธิพลของพวก ผกค.(พื้นที่สีแดง) เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ (ตรงวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีวอก) พอฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านแก้งนางแล้ว จึงได้ออกเดินธุดงค์เพื่อไปที่บ้านนาหลัก
การเดินทางนั้นเดินทิ้งระยะห่างกันพอสมควร เพื่อจะได้สะดวกแก่การภาวนา มีบางช่วงก็หลงกันบ้าง จึงได้เป่ามือเป็นเสียงสัญญาณบอกกัน ซึ่งอาจทำให้พวก ผกค. เกิดความระแวงก็ได้ ว่าเป็นพวกทหารที่มาสอดแนม
ต่อมาในเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัด ซึ่งต้นเสียงนั้นอยู่ห่างไปประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เมตร แต่คณะก็ยังเดินทางต่อไปจนมาพบพวกผู้ชาย ๖ คนกำลังอาบน้ำอยู่(ซึ่งคาดว่าเป็นพวก ผกค.) พระอาจารย์ทองฮวด จึงได้สอบถามถึงเส้นทางที่จะไปบ้านนาหลัก เขาตอบว่า “ไปทางนี้แหละ ไม่ทันค่ำก็จะถึง”
พอเดินต่อมาได้อีกประมาณ ๑๐๐ เมตร พวกผกค. ที่อาบน้ำอยู่ก็ได้วิ่งตามมา และร้องบอกให้หยุด พร้อมกันนั้นก็มีพวก ผกค. ติดอาวุธจำนวนประมาณ ๒๐ คน ได้ออกมาจากที่ซุ่มและมาล้อมไว้ทุกด้าน แล้วได้ขอค้นตัวตรวจบริขาร ซึ่งพวก ผกค.ได้ยึดใบสุทธิพร้อมทั้งนาฬิกาพกของพระเณรทุกรูป และได้พูดขอให้คณะพระเณรพักค้างคืนกับพวกเขาหนึ่งคืน จากนั้นพวก ผกค. ได้พาคณะพระเณรเดินหลบไปข้างทางซึ่งไม่ไกลมากนัก และเขาให้พักรอบๆ จอมปลวกที่อยู่ในที่นั้นและจัดการกางกลดให้เรียบร้อย จวนเวลาพลบค่ำก็มี ผกค. ประมาณ ๑๐๐ คนเศษมาถึง
จากนั้นพวกเขาได้จัดน้ำร้อนและน้ำกาแฟน้ำตาลที่สามเณรถือมา ชงถวาย ในขณะที่กำลังฉันน้ำร้อนนี้ สังเกตเห็นพวกผกค.ส่วนใหญ่ได้ประชุมหารือกัน หลังจากฉันน้ำร้อนเสร็จ
พวกนั้นก็ประชุมกันเสร็จพอดี แล้วมีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เก็บกลดเลยสหาย” และพวกเขาก็จัดการเก็บกลดและบริขารอย่างรวดเร็ว
พวกหนึ่งก็มาจับมือพระเณรไพล่หลัง และมัดด้วยเชือกแต่ไม่แน่นมากนัก พอให้เดินได้สะดวก จากนั้นพวกเขาก็ให้สัญญาณเพื่อออกเดินทางในคืนนั้นเลย อาศัยไฟฉายของแต่ละคนเพื่อส่องทาง โดยมีพวกเขาเดินนำหน้าและตามหลังพระทุกองค์
ส่วนบาตรและบริขารเขาสะพายไปให้ ซึ่งทางที่เขาพาเดินไปนั้นเป็นทางป่า ต้องมุดบ้าง ข้ามกิ่งไม้บ้าง การเดินเป็นไปด้วยความเงียบสงบ แทบจะไม่มีเสียงพูดคุยกันเลย เดินกันอยู่นาน จนประมาณเที่ยงคืน
อาศัยสังเกตจากแสงของพระจันทร์ พวกเขาจึงสั่งให้พัก ซึ่งที่นั่งพักเป็นพลาญหินกว้าง โดยพวกเขาได้ปูผ้ายางให้นั่งห่างๆ กัน แต่ยังพอได้ยินเสียงกันบ้าง และทุกรูปจะมีคนของเขานั่งคุมและคอยซักถามด้วยหนึ่งคน
จากนั้นก็มีหัวหน้า ผกค. ๒ คน จะเดินมาสอบถามพระเณรทุกรูป โดยใช้เวลาซักถามไปประมาณ ๑ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็พาคณะพระเณรออกเดินทางต่อไป จนประมาณ ๐๔.๐๐ น.จึงได้หยุดพักและให้อยู่รวมกัน โดยพวกผกค.ได้ก่อกองไฟล้อมคณะพระเณรไว้
จนกระทั่งสว่าง ผกค.ส่วนใหญ่ก็หลบไป เหลืออยู่ประมาณ ๘-๑๐ คน ที่คอยควบคุมพระเณร
เมื่อสว่าง (เป็นวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔) ก็มีผกค.มาถามว่าจะฉันกาแฟ หรือนมไหม พระก็ตอบว่า “ ไม่ฉัน จะฉันข้าวครั้งเดียว ” ประมาณ ๐๘.๐๐ น. เขาก็จัดภัตตาหารมาให้ มีข้าวเหนียว ๒ กระติบ และยำปลากระป๋อง ๒ ถ้วย (สำหรับพระ ๑ ถ้วย เณร ๑ ถ้วย) ก็ฉันพออิ่ม หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ผกค.ก็มานิมนต์พระอาจารย์ทองฮวดไปคุยกับหัวหน้าของเขา พร้อมนำบริขารไปด้วยทั้งหมด
ต่อมาเวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ก็ได้มานิมนต์พระอาจารย์ปิ่น ไปคุยกับหัวหน้าอีก และนำบริขารของท่านไปด้วยเช่นกัน
โดยสังเกตว่าพระอาจารย์ปิ่นได้ถูกพาเดินไปเส้นทางเดียวกันกับพระอาจารย์ทองฮวด ในระหว่างที่นิมนต์พระอาจารย์ทองฮวดและพระอาจารย์ปิ่นไปนั้นได้มีพวก ผกค.ญ ทยอยมาพูดคุยสอบถามพระเณรที่เหลือเป็นชุดๆ ชุดละประมาณ ๑๐ คน
รวมทั้งหมดกะว่ากว่า ๑,๐๐๐ คน โดยเขาสอบถามแต่ละรูปเกี่ยวกับประวัติเรื่องโยมพ่อ โยมแม่ ว่าเคยเป็นตำรวจบ้างหรือไม่
พวกเขาได้เล่าให้ฟังถึงลัทธิอุดมการณ์ของเขา และพูดโจมตีนายกรัฐมนตรี และ สถาบันศาสนา พระมหากษัตริย์ และได้กล่าวหาโจมตีว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่าเป็นผู้นำแผ่นทองคำที่หุ้มยอดองค์พระธาตุพนมไปขาย (พระธาตุพนมหักเมื่อ ๑๔ ส.ค. ๑๘)
พอประมาณ ๑๖.๐๐ น. ก็ได้มานิมนต์พระอาจารย์เดช ฌานรโต (ขณะนั้น ท่านอายุ ๒๗ ปี พรรษา ๗) พระอาจารย์เดช ถามว่า “จะให้เอาบริขารไปด้วยไหม”
เขาตอบว่า “ไม่ต้องเอาไป ให้เอาแต่กระติกน้ำไป”
โดยนำท่านไปไม่ห่างจากบริเวณนั้นเท่าใดนัก และท่านได้นั่งคอยอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีหัวหน้าผกค.มา ๒ คนอายุประมาณ ๕๐ ปี ลักษณะน่าจะเป็นข้าราชการ ได้มาสอบถามท่านว่า “มาจากไหน บวชที่ไหน บวชเมื่อไร พ่อแม่เคยรับราชการตำรวจ ทหารไหม”
หลังจากที่ท่านตอบคำถามเขาแล้ว ตอนท้ายพระอาจารย์เดช ก็ถามถึงพระอาจารย์ปิ่นและพระอาจารย์ทองฮวด ว่าอยู่ที่ไหน เขาตอบว่า “ได้ส่งกลับวัดไปก่อนแล้ว
ส่วนท่านและคณะขอนิมนต์ให้อยู่พักค้างคืนกับพวกผมอีกสัก ๑ คืน พรุ่งนี้จะให้สหายไปส่ง”
จากนั้นเขาจึงพากลับมาที่พัก ซึ่งเวลาใกล้ค่ำแล้ว ก็มานิมนต์พระอาจารย์ทับ (ปัจจุบันเป็นประธานสงฆ์อยู่ที่วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร) ไปสอบถามอีก แต่ใช้เวลานานไม่เท่ากับพระอาจารย์เดช พอมืดก็พาพระอาจารย์ทับกลับมาที่พัก และพักอยู่ด้วยกันจนเช้า
เวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น. พวกผกค.ก็นำข้าวเหนียว ๒ กระติบกับแกงไก่ใส่กะหล่ำปลีมาถวาย ขณะที่กำลังฉันอยู่ ก็ได้ยินเสียงพวกผกค.พิมพ์เอกสารซึ่งภายหลังทราบว่า เป็นใบผ่านทาง และบัตรอวยพรวันขึ้นปีใหม่
เมื่อฉันเสร็จ แต่ละรูปก็ได้รับใบผ่านทางและบัตรอวยพร ซึ่งบัตรอวยพรนั้นให้ไปแจกใครก็ได้ พร้อมปัจจัยถวายรูปละ ๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่ารถเดินทาง แต่ทุกองค์ไม่รับปัจจัย เพราะไม่มีไวยาวัจกรถือปัจจัย เขาจึงนำปัจจัยกลับคืนไป
ระหว่างที่อยู่ในความควบคุมของผกค.ก็พูดคุยด้วยอัธยาศัยไมตรีไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด ก่อนออกเดินทางพวกผกค.ประมาณ ๒๐ คน ได้จัดแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง และยกมือไหว้คณะพระเณรทุกคน และได้จัดกำลังจำนวน ๑๑ คนเพื่อตามมาส่งที่หมู่บ้านพร้อมกับสะพายถุงบาตรมาให้ด้วย
ระหว่างทางพวกผกค.ได้เล่าให้ฟังว่ามีพวกผกค.ผู้หญิง และพวกเด็กๆ ตั้งแต่อายุ ๑๑ ปีอยู่ด้วย แต่พวกเขาไม่อนุญาตให้มาเจอพระ พอใกล้ถึงเขตหมู่บ้านได้ยินเสียงคนฟันไม้ พวกผกค.จึงได้ลากลับไป
เส้นทางที่ผกค.มาส่งนั้นไม่ใช่เส้นทางที่จะไปบ้านนาหลัก แต่เป็นเส้นทางที่จะไปบ้านค้อ ซึ่งอยู่ระหว่างอำเภอคำชะอี กับอำเภอมุกดาหาร เขตจังหวัดนครพนม(เมื่อก่อนมุกดาหารเป็นอำเภอหนึ่งยังไม่แยกเป็นจังหวัด) พระเณรจึงเดินทางต่อ
พอเกือบถึงหมู่บ้านก็มาพบรถ ๖ ล้อ ซึ่งไปขนฟืนที่ทุ่งนา จึงขอโดยสารมากับเขา และเขาได้มาส่งที่วัดซึ่งอยู่กลางทุ่งนาและมีกอไผ่อ้อม
เมื่อเข้าไปที่วัด ไม่พบว่ามีพระเณรอยู่ ทราบภายหลังว่าเจ้าอาวาสได้กลับไปเยี่ยมญาติ คณะได้พักอยู่ที่วัด ๑ คืน
ในตอนกลางคืนก็มีชาวบ้านประมาณ ๒๐ คนได้มาร่วมทำวัตรสวดมนต์ โดยมีพระอาจารย์ทับและพระอาจารย์เดชเป็นผู้พาทำวัตร
ส่วนเณรทั้งสามรูปป่วยเป็นไข้มาเลเรียมาตั้งแต่ก่อนถูกควบคุมตัว จึงพักอยู่ หลังจากทำวัตรเสร็จแล้วได้พูดคุยและบอกชาวบ้านว่า พรุ่งนี้จะเดินทางต่อไปยังมุกดาหาร ซึ่งชาวบ้านบอกว่ามีรถโดยสารที่จะไปอำเภอมุกดาหารเพียงเที่ยวเดียวและจะออกในตอนเช้า หลังจากนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จึงลากลับบ้าน เหลือพักค้างคืนที่วัดอยู่ประมาณ ๔-๕ คน
ตอนเช้าวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ พระเณรได้ออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่มีบ้านอยู่ประมาณ ๑๐๐ หลังคาเรือน
หลังจากบิณฑบาตเสร็จแล้ว ได้กลับมาฉันที่วัด มีชาวบ้านประมาณ ๑๕-๒๐ คน ได้ตามมาถวายจังหัน และเรี่ยไรปัจจัยเพื่อเป็นค่ารถ โดยปกติ แล้วรถโดยสารจะออกจากหมู่บ้านประมาณ ๐๖.๐๐ น.
แต่วันนี้รถได้รอรับพระเณรจนถึงเวลา ๐๙.๐๐ น. เพื่อไปส่งที่อำเภอมุกดาหาร โดยมีโยมในหมู่บ้านถือปัจจัยตามไปส่งถึงอำเภอมุกดาหารด้วย ๑ คน พอดีพระอาจารย์เดชมีตั๋วแลกเงินของไปรษณีย์อยู่ ๑ ใบ ราคา ๕๐ บาท
ท่านจึงให้โยมนำไปแลกที่ทำการไปรษณีย์อำเภอมุกดาหาร เพื่อนำไปใช้เป็นค่ารถจากอำเภอมุกดาหาร ไปสกลนคร ซึ่งค่าโดยสารในขณะนั้นคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๐ บาท ยังเหลืออยู่อีก ๒๐บาท โยมที่ติดตามมาจึงได้ฝากปัจจัยที่เหลือให้คนขับรถโดยสาร
รถโดยสาร(เป็นรถของบริษัทสหมิตร)ได้มาส่งที่สถานีขนส่งจังหวัดสกลนคร และได้เดินทางต่อด้วยรถโดยสารประจำทางสายสกลนคร-อุดรธานี
คณะพระเณรมาถึงวัดป่าอุดมสมพร ประมาณ ๑๕.๐๐ น. เห็นพระเณรที่วัดกำลังกวาดตาดกันอยู่ สอบถามได้ความว่า พระอาจารย์ปิ่นและพระอาจารย์ทองฮวดยังมาไม่ถึง
พระอาจารย์เดชได้พักรออยู่ที่วัดป่าอุดมสมพรและช่วยเตรียมงาน จนกระทั่งถึงวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร คือวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ ก็ไม่เห็นว่าพระอาจารย์ทั้งสองกลับมาที่วัด จึงได้กราบเรียนเหตุการณ์กับท่านพระครูอุดมธรรมสุนทร (พระอาจารย์แปลง สุนทโร เจ้าอาวาสวัดป่าอุดมสมพร)
จากนั้นพระอาจารย์แปลง จึงได้บอกผู้ใหญ่บ้านบะทอง เพื่อไปแจ้งให้ทางอำเภอพรรณานิคมทราบ เมื่อนายอำเภอทราบแล้ว จึงได้รายงานไปยังฝ่ายทหาร ค่ายกฤษณ์ สีวะรา
จากนั้นทางฝ่ายทหารได้ตามมาสอบถามที่วัด โดยนำแผนที่มาสอบถามเส้นทาง เพื่อหาข้อมูลสถานที่พระอาจารย์ทั้งสองหายตัวไป ซึ่งทราบว่าน่าจะเป็นบริเวณห้วยทราย หลังจากนั้น ๑-๒ วัน ก็ได้นิมนต์พระเณรทั้ง ๕ รูปไปที่ค่ายกฤษณ์ สีวะรา เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อฝ่ายทหารทราบเรื่องพระอาจารย์ปิ่น และพระอาจารย์ทองฮวด ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว
จึงได้นำเครื่องบินไปประกาศให้ฝ่ายผกค.ปล่อยตัว และทางการก็ได้นำมวลชนไปกดดันผกค.ที่บ้านสานแว้ ต่อมาการเดินขบวนได้ขยายจำนวนมากขึ้นทั่วทั้งจังหวัดสกลนคร
เป็นผลให้ผกค.สกลนคร สลายตัวและออกมอบตัวเพื่อพัฒนาชาติไทยตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น
ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างยุติลงแล้ว ท่านพระอาจารย์แจ๋ว ขนฺติพโล วัดถ้ำพระผาป่อง บ้านขัวสูง ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งวัดของท่านอยู่ในละแวกหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ท่านได้ติดตามหาข้อมูลจนมาพบกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า...
พวกผกค.ได้ลงมือทำร้ายหัวหน้าคณะพระธุดงค์ทั้งสอง ในวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยใช้ด้ามเสียมทุบตีที่บริเวณท้ายทอยจนถึงแก่มรณภาพ ท่านพระอาจารย์ทองฮวด มรณภาพลงสิริอายุ ๔๐ ปี พรรษา ๑๒ ส่วนท่านพระอาจารย์ปิ่น ท่านมรณภาพสิริอายุ ๓๙ ปีและบวชมา ๑๙ พรรษา
หลังจากทำร้ายทุบตีพระอาจารย์ทั้งสองรูปจนมรณภาพแล้ว จึงได้นำร่างของท่านทั้งสองไปฝังไว้ ในหลุมเดียวกันใกล้กับบริเวณน้ำตกห้วยเรา ซึ่งเป็นสาขาของห้วยทราย
หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไป พวกผกค.เกรงว่าจะมีคนมาพบหลักฐานจึงได้นำศพของท่านอาจารย์ทั้งสองขึ้นมาเผา และนำอัฐิที่เหลือของท่านทิ้งลงน้ำตกแห่งนั้น
ปี ๒๕๒๔-๒๕๕๒ จำพรรษา ณ วัดป่าถ้ำพระภูวัว จ.บึงกาฬ กับพระอาจารย์อุทัย สิริธโร ,พระอาจารย์เสถียร คุณวโร นานถึง ๒๙ ปี
ปี ๒๕๕๓ จำพรรษา ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)
ปี ๒๕๕๔-๒๕๕๘ จำพรรษา ณ วัดถ้ำขาม พรรณานิคม สกลนคร
ปี ๒๕๕๙-ปัจจุบัน จำพรรษา ณ วัดป่าหนองปลิง
ญาติโยมลูกหลานและคณะศิษย์ เห็นว่าท่านจากถิ่นฐานไปนานแล้วจึงได้นิมนต์กลับมาจำพรรษา ณ วัดป่าหนองปลิง บ้านโคกมะนาว ต.หนองปลิง อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของหลวงปู่ เพื่อโปรดญาติโยมในอดีตที่แห่งนี้เป็นที่พักสงฆ์ที่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เคยมาพักบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่นี้ และปรารกกับญาติโยมไว้ว่า ณ ที่แห่งนี้ต่อไปจะเจริญรุ่งเรืองเป็นที่พึ่งพาอาศัยของชาวบ้าน
ตั้งแต่หลวงปู่เดช มาจำพรรษาได้พาญาติโยมพัฒนา ปลูกต้นไม้นานาพันธุ์ และบูรณะเสนาสนะต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เมื่อแรกที่หลวงปู่เข้ามาท่านพักอาศัยอยู่กุฎิเล็กๆ เรียบง่าย ก่อนที่ศรัทธาญาติโยมจะสร้างกุฏิหลังใหม่ถวาย
พระอาจารย์เดช ฌานรโต ผู้นับว่าเป็นหน่อเนื้อนาบุญสืบทอดพระพุทธศาสนา สายพระป่าสายกรรมฐานอีกรูป ผู้ยึดถือปฏิบัติตามรอยบูรพาจารย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ตลอดมา
หลวงปู่เดช ฌานรโต พระสุปฏิปันโนแห่งวัดป่าหนองปลิง อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร ละสังขารตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี สิริอายุ ๗๐ ปี ๖ เดือน ๑๐ วัน ๕๐ พรรษา
“ ศาสนาแท้ คือการศึกษาพระธรรมวินัย แล้วปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ยิ่งจิตใจสงบ สงบอยู่ในศีล สงบอยู่ในธรรม ยิ่งถูกต้อง นี่แหละคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง “
โอวาทธรรมหลวงปู่เดช ฌานรโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น