น้อมรำลึกวาระมรณกาล ๗๕ปี หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถร ๑๑ พ.ย.๒๕๖๗
วันที ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
ครบรอบ ๗๕ ปี วัน อนุปาทิเสสนิพพาน ของ
ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ” ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ พูดขึ้นพร้อมดูนาฬิกาเป็นเวลา ๒ นาฬิกา ๒๓ นาที หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถึงแก่อนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ อายุ ๗๙ ปี พรรษา ๕๖
หลวงตาทองคำ จารุวณฺโณผู้อุปฐากองค์หลวงปู่มั่นในช่วงอาพาธได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่องค์ท่านมรณภาพไว้ในหนังสือ "บันทึกวันวาน" ไว้ดังนี้
"... จากพรรณานิคม ถึงวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร เกือบ 12 นาฬิกา เพราะทางหินลูกรังกลัวจะกระเทือนมาก ท่านฯ ก็หลับมาตลอด นำท่านฯ ขึ้นกุฏิ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดก็มี ผู้เล่า ท่านวัน ท่านหล้า ผู้จัดที่นอนให้ท่านฯ ได้ผินศีรษะไปทางทิศใต้ ปกติเวลานอนท่านฯ จะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก ด้วยความพะว้าพะวัง จึงพากันลืมคิดที่จะเปลี่ยนทิศทางศีรษะของท่านฯเวลาประมาณ 01.00 น. เศษ ท่านฯ รู้สึกตัวตื่นตื่นขึ้นจากหลับ แล้วพูดออกเสียงได้แต่อือๆ แล้วก็โบกมือเป็นสัญญาณ แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านฯ ประสงค์สิ่งใด มีสามเณรรูปหนึ่งอยู่ที่นั้น เห็นท่าอาการไม่ดี จึงให้สามเณรอีกรูปไปนิมนต์พระเถระทุกรูป มีเจ้าคุณจูม พระอาจารย์เทสก์ พระอาจารย์ฝั้น เป็นต้น มากันเต็มกุฏิ เท่าที่สังเกตดู ท่านใกล้จะละสังขารแล้ว แต่อยากจะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก ท่านพลิกตัวไปได้เล็กน้อย ท่านหล้า (พระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต) คงเข้าใจ เลยเอาหมอนค่อยๆ ผลักท่านไป ผู้เล่าประคองหมอนที่ท่านหนุน แต่ท่านรู้สึกเหนื่อยมาก จะเป็นการรบกวนท่านฯ ก็เลยหยุด ท่านฯ ก็เห็นจะหมดเรี่ยวแรง ขยับต่อไปไม่ได้ แล้วก็สงบนิ่ง ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ต้องเงี่ยหูฟัง ท่านวันได้คลำชีพจรที่เท้า ชีพจรของท่านเต้นเร็วชนิดรัวเลย รัวจนสุดขีดแล้วก็ดับไปเฉยๆ ด้วยอาการอันสงบ..."
“ผู้ถือไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มากมายเข้าแล้ว แผ่นดินนับวันแคบ
มนุษย์แม้นจะถึงตายก็นับวันมากขึ้น
นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันประชันขันแข่งกันขึ้น
พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม
เป็นไร่เป็นนา จะไม่วิเวกวังเวง
ศาสนาทางมิจฉาทิฐิ ก็นับวันจะแสดงปาฏิหาริย์
คนโง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคและกระบือ ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย
ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายจงรีบเร่งปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
เหมือนไฟกำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด
ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร
ทั้งโลกภายในคือ หนังหุ้มอยู่โดยรอบ
ทั้งโลกภายนอกที่รวมลงเป็นสังขารโลก
ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณาติดต่ออยู่ ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ประสงค์
ก็ต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคาย ด้วยจะเป็นสัมมาวิมุตติ
และสัมมาญาณะอันถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก
พระธรรมเหล่านี้ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ ทรงอยู่ในปัจจุบันจิต ในปัจจุบันธรรม
ที่เธอทั้งหลายตั้งไว้อยู่ที่หน้าสติ หน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั่นแหละ”
ปัจฉิมโอวาทองค์อัครเถราจารย์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
...............................
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต “ผู้ให้ปัญญา ผู้แจกจ่ายความฉลาด”
องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
สำเร็จธรรมชั้นโสดาบัน ในพรรษาที่ ๓ ขององค์ท่าน ในปี พ.ศ.๒๔๓๘ ณ วัดเลียบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
สำเร็จธรรมชั้นสกิทาคามี ในพรรษาที่ ๘ ขององค์ท่าน ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร
สำเร็จธรรมชั้นอนาคามี ณ ถ้ำสาริกา จ.นครนายก ในช่วงประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๕ ในพรรษาที่ ๑๙ ขององค์ท่าน
สำเร็จธรรมชั้นอรหันต์ ณ ถ้ำดอกคำ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในปีพ.ศ.๒๔๗๘ อันเป็นพรรษาที่ ๔๒ ขององค์ท่าน
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านพักภาวนาอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ถ้ำดอกคำ บ้านสหกรณ์ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ฟังดังนี้
คืนนั้นเวลาประมาณตีสามกว่า หลวงปู่ชอบท่านนั่งภาวนาอยู่ที่พักของท่าน จิตท่านในเวลานั้นสว่างไสวใสงามมาก แต่แล้วจู่ๆ ความสว่างไสวของจิตเกิดดับวูบลงไปอย่างกะทันหัน พร้อมกับมีเสียงกึกก้องกัมปนาท สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขา.. ท่านเปรียบเทียบว่า เสียงนี้ไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณูมาระเบิดอยู่ข้างๆ ตัวเรา จนท่านเกิดอาการสั่นไหวในจิต คล้ายกับผืนแผ่นพสุธาจะแตกสลายกลายเป็นจุล... อาการเหล่านี้เกิดขึ้นภายในจิตของท่านเท่านั้น แต่สิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายนอกก็เป็นปรกติทุกอย่าง ตั้งแต่ท่านภาวนามาก็ไม่เคยประสบพบเจอกับอาการแบบนี้ของจิต ท่านจึงพิจารณาดูภายในว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตของตน พิจารณาดูจิตก็ไม่เห็นผิดปรกติตรงไหน.. ท่านจึงพิจารณาดูภายนอกว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พอดึงจิตออกมาดูข้างนอก จิตท่านก็พุ่งตรงไปที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นทันที.. ท่านเห็นเทวดาพากันมาห้อมล้อมองค์ท่านหลวงปู่มั่นจำนวนมาก เทวดาพากันมาจากทุกสวรรค์ชั้นภูมิ จนเต็มพื้นดินแผ่นฟ้านภากาศ ครั้งนั้นท่านว่า เทวดามาหาองค์ท่านหลวงปู่มั่นมากถึงสิบโกฏิ (หนึ่งโกฏิเท่ากับสิบล้าน) รัศมีบารมีเทวดาเปล่งประกายเจิดจ้าจนทำให้ทั่วบริเวณถ้ำดอกคำสว่างไสวด้วยรัศมีของเทพเจ้าเหล่าเทวดา.. แต่รัศมีของเทวดาทั้งหลายยังไม่เท่ากับรัศมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่น รัศมีธรรมขององค์ท่านสว่างไสวกว่ารัศมีเทวดามากมายจนเกินประมาณ.. หลังจากชื่นชมรัศมีบารมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านก็ถอนจิตออกมา ท่านรำพึงในใจว่า “เหตุการณ์นี้ต้องสำคัญกับท่านอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน ”..
ข้ามอีกวัน เวลาประมาณสี่โมงเย็น หลวงปู่ชอบท่านเข้าไปเตรียมน้ำสำหรับสรงองค์ท่านหลวงปู่มั่น ขณะที่ท่านผลัดผ้าให้กับองค์ท่านหลวงปู่มั่นนั้น หลวงปู่มั่นถามท่านว่า... "ท่านชอบตอนนี้การภาวนาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง...? "
ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า "การภาวนาของข้าน้อยตอนนี้เป็นปรกติดีขอรับ เพียงแต่เมื่อคืนวาน มีเหตุการณ์หนึ่งทำให้จิตของข้าน้อยดับวูบลงไป มีเสียงดังกัมปนาทเหมือนระเบิดขนาดใหญ่มาแตกอยู่ข้างๆ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ ข้าน้อยก็ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะกำลังภาวนา.."
องค์ท่านหลวงปู่มั่นถามว่า " เรื่องนี้ท่านพิจารณาเห็นเป็นเช่นไร.."
หลวงปู่ชอบท่านตอบว่า "...ข้าน้อยพิจารณาดูภายในจิตก็ไม่เห็นอะไรผิดปรกติ พอถอนจิตออกมาดูภายนอก เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์มีรัศมีสว่างไสวสดใสงดงามมาก รัศมีของพ่อแม่ครูอาจารย์สว่างไสวกว่าทุกครั้งที่ข้าน้อยเคยเห็นมา... มีเทวดาจากทุกชั้นภูมิพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์มากที่สุดเท่าที่ข้าน้อยเคยพบเห็น... แต่ข้าน้อยไม่ทราบว่าที่เทพเจ้าเหล่าเทวดาพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมากถึงขนาดนี้เพราะเหตุจากอะไร.."
องค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดขึ้นมาว่า "...ที่ท่านชอบเห็นเทวดามาหาเราจำนวนมากนั้น พวกเทพเทวดาเขาพากันมาร่วมอนุโมทนาที่เรา “ บรรลุธรรมธาตุ ” พ้นทุกข์แล้ว... จากนี้ต่อไปการเกิดของเรา จะไม่มีอีกแล้ว..ทุกอย่างของเรา มันขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว.. พระอรหันต์ท่านสิ้นกิเลสเช่นไร เราก็สิ้นกิเลสแล้วเช่นนั้น.. เสียงดังเหมือนเสียงระเบิดที่ท่านได้ยินนั้น...เป็นเสียงอนุโมทนาของเทพเจ้าเหล่าเทวดา... เสียงอนุโมทนาของเทวดาเป็นเสียงเทวฤทธิ์ไปกระทบกับจิตของท่านในขณะนั้นพอดี... จึงเป็นเหตุทำให้จิตของท่านสะเทือน จนถอนออกจากสมาธิอย่างกะทันหัน.."
สิ้นคำพูดที่องค์ท่านหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบท่านบอกว่า “ เราถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เราเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องราวแบบนี้ คำว่า “ ธรรมธาตุ ” ตั้งแต่เราเกิดมาพึ่งจะได้ยินคำนี้ในวันนั้นเอง.. จนเราเกิดปีติอย่างแรงกล้า น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่รู้ตัว..."
ท่านว่า ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกมา เพื่อให้สมกับฐานะธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เรากราบลงแทบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น โดยห้ามการกระทำของตนเองไว้ไม่อยู่ ก้มมองดูเท้าของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น แล้วร้องไห้ออกมา เพราะตื้นตันใจที่องค์ท่าน “ บรรลุธรรมธาตุ ” เป็น “ พระอรหันต์ ” อย่างสมภูมิ..
หลวงปู่ชอบท่านว่า “เราร้องไห้แบบไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนเองได้อย่างไรในตอนนั้น มันเป็นนามธรรมเกินที่จะอธิบายให้ทราบได้ ถึงตอนนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่นจะดุด่าอย่างไรเราก็ยอม แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไรเรา ท่านปล่อยให้เราแสดงความรู้สึกออกมา พอความรู้สึกผ่อนลงแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์จึงว่าให้เราว่า "...ฮ่วย..มันเป็นถึงขนาดนี้หรือท่านชอบ ปีตีกระแทกจิตแรงจนบ่อน้ำตาแตกเลยหรือท่าน .."
ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า "..ข้าน้อยตื้นตันใจที่รู้ว่า พ่อแม่ครูอาจารย์จบกิจในพระพุทธศาสนา พ้นทุกข์แล้ว เหลือแต่ข้าน้อยเท่านั้นที่ยังต้องปฏิบัติกิจในพระศาสนาอีกต่อไป ชาตินี้ข้าน้อยขอปรารถนารู้เห็นธรรมเหมือนกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์.."
องค์หลวงปู่มั่นบอกกับท่านว่า "...ถ้าท่านอยากสำเร็จมรรคผลนิพพานในชาตินี้ ท่านอย่าละความเพียรที่เคยบำเพ็ญมา ท่านอย่าท้อถอยเป็นอันขาดให้ปฏิบัติตามที่เราอบรมสั่งสอนมา... ถ้าท่านทำตามนี้แล้ว เรารับรองให้เลยว่า ชาตินี้ท่านจะได้มรรคผลนิพพานสมใจอย่างแน่นอน..."
ซึ่งจะเห็นได้ว่า องค์ท่านกว่าจะปฏิบัติภาวนาจนได้ธรรมชั้นสูงสุด ต้องใช้เวลาถึง ๔๒ พรรษา แต่หลังจากที่องค์ท่านได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้ว องค์ท่านซึ่งเป็น “ครูผู้ยิ่งใหญ่” ได้นำแนวทางที่องค์ท่านปฏิบัติมา เพื่ออบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้เดินไปตามแนวทางที่ถูกต้อง ทำให้บรรดาลูกศิษย์ขององค์ท่านสำเร็จธรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อันเป็น “ทางพาดำเนิน” ที่องค์ท่านมอบให้แก่บรรดาลูกศิษย์
หลวงปู่พรม จิรปุญโญ เป็นลูกศิษย์ขององค์ท่านที่บรรลุธรรมเร็วที่สุด หลังจากนั้นก็ได้มีบรรดาลูกศิษย์องค์สำคัญๆ ได้สำเร็จธรรมชั้นสูงสุดเจริญรอยตามองค์ท่านอีกหลายองค์ด้วยกัน
พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ก็ได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดในพรรษาที่ ๑๖ ขององค์ท่าน ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร ถึงแม้นจะบรรลุธรรมหลังจากหลวงปู่มั่น นิพพานไปแล้ว ก็หลวงตา ก็ได้นำแนวทางที่หลวงปู่มั่น พาดำเนินนี้ จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสและสงสารวัฏได้
หลังจากนั้น องค์หลวงตา ก็ได้นำแนวทางพาดำเนิน (ถอดแบบ) ข้อวัตรของหลวงปู่มั่น มาอบรมสั่งสอนพระภิกษุ สามเณร ญาติโยม ตราบจนกระทั่งองค์ท่านละขันธุ์ไปด้วยเช่นเดียวกัน
...................................
อ้างอิงข้อมูลและภาพจากหนังสือ ภูริทัตตะ อัครเถราจารย์ และประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต โดยหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสิริวัฒนภักดี
จากเพจ
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระธัมมธโร ครูบาแจ๋ว
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น