ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่มหาจิต จิตตวโร วัดภูเขาล้อม(ควนจง) อ.นาหม่อม จ.สงขลา
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่มหาจิต จิตตวโร ๏
วันนี้วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่มหาจิต จิตฺตวโร วัดเขาล้อม (ควนจง) อ.นาหม่อม จ.สงขลา รำลึก ๑๐ ปี อาจาริยบูชาคุณหลวงปู่มหาจิต จิตฺตวโร ท่านเป็นศิษย์ท่านพ่อลี ธัมมวโร แห่งวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ เดิมทีวัดควนจง (ภูเขาล้อม) ท่านพ่อลี ท่านมาวางรากฐานไว้แล้ว สถานที่พักเป็นป่าช้าบ้านควนจง ควนหมายถึงเนินเขาเล็ก ๆ ไม่ถึงกับว่าเป็นภูเขา จากนั้นหลวงปู่มหาจิต จึงได้มาอยู่บำเพ็ญสมณธรรมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันมากกว่า ๕๐ ปีแล้ว หลวงปู่มหาจิต ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง องค์ท่านมีจริยาวัตรงดงาม ชอบมักน้อย สันโดษ และเป็นพระที่มีเมตตามาก หลวงปู่มหาจิต มักเรียกผู้คนที่ไปวัดว่า "ลูกหลาน" ท่านเป็นที่พึ่งพิงเป็นร่มโพธิ์ธรรมให้กับชาวจังหวัดสงขลาและศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศที่เคารพศรัทธามาช้านาน
องค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านคุ้นเคยดีอยู่กับหลวงพ่อมหาจิต ดังคำที่ท่านเคยกล่าวไว้ดังนี้ “..หาดใหญ่นี่ หลวงตาเคยไปพักแล้วที่วัดควนจง อยู่ไหล่เขา ไปพักอยู่ที่นั่นสบายดี สงัดเงียบ อยู่ตีนเขา ส่วนมากพระท่านชอบอยู่ตีนเขาไม่ค่อยชอบขึ้นหลังเขา ก็ดีอยู่ สงบสงัดเงียบ ไปบิณฑบาตตามสวนเขา (วัดนี้อยู่อำเภอนาหม่องค่ะหลวงตา) วาสนามีแค่นั้นกุดด้วนเลย ไม่ได้ไปอีก ไปสงขลา หาดใหญ่นี้ดูว่าตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ มัน ๒๐ ปีแล้วมัง ลูกศิษย์ทางหาดใหญ่เขาก็มาเยี่ยมอยู่นี้ เขามาต่อว่าว่าเราไปแล้วไม่ไปอีกเลย นี่เขาพึ่งกลับไป เขาอยู่ตลาดหาดใหญ่ เขามาต่อว่าว่าเราไม่ไปหาดใหญ่อีก...มหาจิตอยู่ที่วัดควนจงนั้นคุ้นกันมานานแล้วแหละ มหาจิตอ้วนๆ อยู่วัดสถานีควนจง ท่านเป็นสมภารอยู่นั่น ได้ถามถึงท่านอยู่ ท่านก็พอเป็นพอไป..” จากพระธรรมเทศนาเรื่อง “โลกเวลานี้เหือดแห้งธรรม” เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
หลวงปู่มหาจิต หรือนายสมจิตต์ วงศ์สุคนธ์ ท่านถือกำเนิดตรงกับวันอังคารที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ปีฉลู ที่ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา หลวงปู่เป็นลูกโทนของนายชุณห์ และนางซุ้ยถั้น วงศ์สุคนธ์ บิดาท่านรับราชการ กรมโลหะกิจ กระทรวงเกษตร นายสมจิตต์เป็นนักเรียนเรียนดี และได้รางวัลหมั่นเรียนในปี พ.ศ.๒๔๗๗ และปี พ.ศ.๒๔๗๙ จังหวัดสงขลา จนจบชั้น ม.๘ และสอบได้เตรียมแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เรียนได้ ๑ ปี ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่เรียนได้ ๑ ปีก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงได้ย้ายไปเรียนที่อยุธยา
หลังจากนั้นได้กลับมาที่สงขลาทำงานที่โรงน้ำแข็งที่ข้างวัดโพธิ์ (เป็นโรงน้ำแข็งของหลวงประธานราษฎร์นิกร) นายสมจิตต์ ในขณะนั้นเป็นคนที่เกเร มีเงินเดือน ๑๐๐๐ บาท แต่ใช้ ๑๐๐๐ บาท เอาเงินไปเที่ยว ชอบเที่ยวในบาร์ที่มีเหล้าขายและมีสหายสนิทในโรงเรียนชื่อ คุณประพันธ์ สาลิฟา หรือบังแอ ขณะเที่ยวได้นำเงินในบริษัทไปใช้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วนายสมจิตต์ ก็ได้หนีไป ในที่สุดพ่อของนายสมจิตต์ก็ได้นำเงินมาชดใช้ให้จนหมด การเป็นหนี้จำนวนนี้ทำให้นายสมจิตต์เกิดอาการเบื่อโลก น้าช้องที่เป็นป้าของนายสมจิตต์ ได้ขอร้องให้บวช ๑ เดือน นายสมจิตต์ยอมบวช ทำให้พ่อและแม่ของนายสมจิตต์ดีใจมากที่ลูกจะได้รับการขัดเกลาในทางธรรม
จนปี พ.ศ.๒๔๙๙ ท่านพ่อลี ธัมมธโร มาจำพรรษาที่วัดควนมีด ตำบลควนมีด ท่านได้ทักทายว่า"ยังไม่ตายทีหรือ"กับหลวงพ่อ ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีการบวชพระและเณร ๒,๕๐๐ รูป เนื่องในงานพระพุทธศาสนาครบ ๒๕ ศตวรรษ พร้อมด้วยผ้าขาวและอุบาสกอุบาสิกาผู้ถือศีลทั้งหมดหลายร้อยหลายพันคน บวชที่ชายทะเลสมุทรปราการ โบสถ์ ๑ บวช ๑ โดยเอาเรือทำเป็นอุโบสถกลางน้ำ จนกระทั่งการบรรพชา ได้ลุล่วงไป มีเงินเหลือมากถึง ๓-๔๐๐,๐๐๐ บาท จึงได้คิดสร้างอุโบสถขึ้นเพื่อเป็นที่ประกอบสังฆกรรมต่าง ๆ จากนั้นหลวงพ่อทั้งสองก็แยกกัน โดยหลวงพ่อจิตต์ได้กลับได้กลับมาอยู่ที่วัดควนจงหลายพรรษา
ตอนที่หลวงพ่อบวชที่วัดกลาง พวกเพื่อนนักเลงสุราพากันคิดว่าพอออกพรรษาแล้วหลวงพ่อจะสึก พากันมานัดแนะกันว่าจะไปกินสุราที่ไหน เที่ยวกันที่ไหนดี กับหลวงพ่อในวัด พอสหายแยกจากกันหลวงพ่อก็เดินเข้าไปนั่งสมาธิในโบสถ์ ในวัดกลางตอนใกล้ๆ เที่ยง นั่งประมาณ ๒-๓ ชั่วโมง พอลืมตาก็ถึงเวลาทำวัตรเย็น หลังจากนั้นทุกวันพอฉันเช้าเสร็จหลวงพ่อก็นั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์หลายๆ ชั่วโมง มีกิจวัตรแบบนี้อยู่หลาย ๆ วัน ก็รู้สึกว่ามีเสียงกระทบจนต้องหนีไปอยู่ในป่า หลวงพ่อก็ได้ขึ้นรถยนต์จากหน้าวัดกลางมาลงที่ตำบลควนหิน(ตำบลควนหินเป็นจุดกลางระหว่างอำเภอหาดใหญ่กับ จังหวัดสงขลา ระยะทางประมาณ ๒๕-๓๐ กิโลเมตร) จากนั้นท่านก็เดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จนถึงตำบลนาม่วง พบตาผ้าขาวชื่ออาบ แกได้พามาอยู่ตำบลควนจง ที่นั่นไม่มีพระเลย หลวงพ่อจึงได้อยู่กับตาผ้าขาว ๒ คนหลวงพ่อได้เอาบาตรมาด้วย ๑ ลูกตอนเช้าออกบิณฑบาตพบตาเซ็งเอาข้าวเหนียวมาให้ ๑ ก้อนทำให้หลวงพ่อยังชีพอยู่ได้เวลานอนท่านก็ไม่ได้นอนที่กุฏิยอมนอนที่ใต้ต้นไม้มีชาวบ้านเอาเสื่อมา ให้ท่านก็นอนทำสมาธิ
พ.ศ.๒๕๐๓ - ๒๕๐๔ ท่านพ่อลี ธัมมธโร จะฝังลูกนิมิตที่วัดอโศการาม จึงได้เขียนจดหมายบอกหลวงพ่อจิตต์ให้มาช่วยกันตามธรรมเนียมของพระป่า เมื่อท่านพ่อลีอาพาธ หลวงพ่อจิตต์ได้รับอนุญาตให้ดูแลท่านพ่อลี ขณะที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า เมื่อท่านพ่อลีหายป่วย หลวงพ่อก็ได้กลับมาที่วัดควนจง กลับมาได้ไม่นานสหายธรรมก็ส่งข่าวมาว่าหลวงพ่อลีสิ้นแล้ว จึงได้ไปช่วยงานที่วัดอโศการาม ที่ผ่านมาหลวงพ่อจิตต์ก็ไม่ได้อบรมกับท่านพ่อลีนานเท่าไรนัก แต่ทางโลกเขาได้สมมุติว่าหลวงพ่อเป็นศิษย์ท่านพ่อลี บางครั้งที่วัดควนจงเกิดไฟไหม้หมายถึงการเกิดกิเลสในหัวใจทำให้ความปกติของภิกษุหายไป ใจของเจ้าของนั้นไม่สามารถรู้ว่าตั้งแต่บวชมานี้ ได้มีสมาธิเกิดเท่าไร
เรื่องทุกข์เป็นเรื่องที่ละเอียด หลวงพ่อไม่เคยรับคำพูดจากท่านพ่อลี เพราะเวลาเช้าตอนอยู่กับท่าน ท่านก็ไม่ได้คุยอะไร (ครูบาอาจารย์จะพูดอะไรสักคำหนึ่งยากมาก เอาของจริงมาพูดก่อนดีกว่า ศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ท่านต้องมีความดีพิเศษรู้ว่าลูกศิษย์คิดอย่างไร ถ้าสอนไปแล้วคำพูดนี้จะได้ผลหรือไม่ ลูกศิษย์มีความดีที่จะละทุกข์หรือยัง เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ครูบาอาจารย์จะทำได้แต่ละองค์)
หลังจากที่ท่านพ่อลี ธัมมธโร มรณภาพแล้ว เงินทองที่ได้จากการทำบุญก็ได้นำมาสร้างเจดีย์จนเสร็จสมบูรณ์ตามประสงค์ของท่านพ่อลีทุกประการ ชีวิตของหลวงพ่อที่ไม่มีท่านพ่อลี หลวงพ่อก็มาอยู่ที่วัดควนจงต่อไป แต่เมื่อไม่มีพี่เลี้ยงคอยชี้แนะ จึงหลบหนีออกจากวัดไปอยู่ในป่าในเขา เพื่อเอาความดีเอาชนะความทุกข์ที่ใจเป็นเวลาหลายปี ต้องการที่จะรู้ทุกข์เห็นทุกข์เห็นความจริงว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ จะรู้ความจริงนี้ได้ต้อง อาตาปี สัมปชาโณ คือการทรมานความทุกข์ที่ปิดบังอยู่นั้นให้ออกจากใจ หากจะเอาชนะยอดทุกข์ คือความกลัวตาย ต้องเอาความดีเข้าแลก เอาความดีที่สะสมนี้มาเอาชนะความทุกข์
บางครั้งเพื่อให้เห็นทุกข์ กายที่สบายอยู่นี้ ปิดบังไม่ให้เห็นความกลัวคือไม่สบาย เมื่อร่างกายได้รับความทรมาน เช่นการไม่กินข้าวหลายวัน เนื้อน้อยลง จะเดินเหินก็ไม่สะดวก ร่างกายไม่มีอาหารก็เกิดอาการอ่อนเพลีย เพื่อให้เห็นความจริงที่ว่า ร่างกายนี้เป็นก้อนทุกข์เป็นความจริง เรียกว่าไล่หลงตรงพุทธก็เลิกกันไป ถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะไม่สบาย ล้มลุกคลุกคลานมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน ในภาษาพระจะเรียกว่า มีปิติในธรรมที่เห็นความจริง ซึ่งต้องต่อสู้กันก่อนจิตจึงค่อยรู้ความจริง จิตเก่าเราสู้ไม่มีถอย ความดีก็ชนะความทุกข์ได้เหมือนกัน
ในที่สุดก็ happy ending คำนี้มิใช่จะเกิดได้กับทุกดวงใจโดยฉับไว แต่ต้องคอยอำนาจเหตุดี กำลังของเหตุดีสมบูรณ์เมื่อไรจึงจะค่อยพิชิตได้ การต่อสู้ครั้งนี้ต้องมีหลักใจ คือ ไล่หลงตรงพุทธ บริสุทธิ์แน่นปั๋ง ตราบใดที่กลัวความทุกข์ ความหลงทุกข์ยังอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป โดยการไล่หลงที่ความทุกข์ให้ความสำคัญมั่นหมายว่าไม่สบาย พวกเราได้สร้างความดีมามากน้อย ขอให้ตั้งใจ ตั้งชัยชนะที่ดวงใจ ก็ละทุกข์สมปรารถนาเทอญ
หลวงพ่อพระมหาจิต ท่านได้ภาวนาอยู่ทางภาคเหนือกับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น เช่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชอบ โดยมักพักภาวนาในเขต อำเภอแม่ริม, อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านไปมา เชียงใหม่ กับควนจง (เขตนาหม่อม จ.สงขลา),ควนมีด(เขต อ.จะนะ จ.สงขลา )
มรดกของโยมพ่อโยมแม่ ที่ให้ในส่วนของ หลวงพ่อมหาจิต ท่านได้นำมาสร้างอุโบสถ วัดควนจงขึ้นในระแวกป่าช้าควนจง
มีตำนานเล่าเกี่ยวกับที่ตั้งปัจจุบันของวัดควนจง มีผู้ประสงค์จะครอบครองที่วัด เพราะคิดว่ามีแร่ดีบุก (เคยมีราคาสูงในอดีต) ในเขตที่จะสร้างวัดได้นำปืนมายิงขับไล่ หลวงพ่อพระมหาจิต ให้ไปอยู่ที่อื่นเสียหลายครา แต่ทานไม่เคยกลัวและไม่เคยหนี สุดท้ายผู้ประสงค์ร้ายใจบาปโดนกฏแห่งกรรมจัดการตายทุกราย
หลวงพ่อพระมหาจิต ได้ชาวควนจงและศรัทธาชาวหาดใหญ่ ร่วมก่อสร้างพระอุโบสถ จนสำเร็จในช่วงปี พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๑๕
ในช่วงประมาณปี พศ.๒๕๒๕ ศิษย์วัดควนจง ที่เป็นศิษย์หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ได้นิมนต์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนมาวัดควนจง โดยทั้งหลวงพ่อพระมหาจิตและหลวงมหาบัว ต่างก็รู้จักกันดีมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ที่ช่วยงานวัดอโศการาม
การเดินทางของหลวงตามหาบัว มาวัดควนจง มีอุปสรรคสำคัญ คือ รถยนต์ที่เดินทางมาจากอุดรธานี มีความไม่ปกติตั้งแต่ก่อนเดินทาง แต่ลูกศิษย์ที่เดินทางมาด้วยแปลกใจ สังเกตุสิ่งที่หลวงตาไม่นิยมทำมาก่อน คือ ท่านหลวงตามหาบัว ได้จัดการทำน้ำมนต์ ประพรมที่เครื่องยนต์ ก่อนเดินทางมาหาดใหญ่ เมื่อถึงหาดใหญ่ทันที ท่านหลวงตามหาบัวแจ้งให้ลูกศิษย์หาดใหญ่ รีบนำรถยนต์ไปซ่อม ช่างเครื่องยนต์สงสัยไม่หายว่า อาการเสียชำรุดมากวิ่งมาถึงหาดใหญ่ได้อย่างไร
หลวงพ่อมหาจิต ท่านนิยมพักภาวนาในป่าเขา จังหวัดสงขลา เชียงใหม่ และในช่วงปี พ.ศ.๒๕๓๐-๒๕๓๑ ท่านได้รับนิมนต์มาพักที่จังหวัดชุมพร บ้านนากะตาม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร อบรมสมาธิภาวนาให้ผู้ศรัทธาในพื้นที่และมีลูกศิษย์จากหาดใหญ่ และ กรุงเทพฯ ตามไปให้ท่านสอนภาวนา กรรมฐานเป็นระยะ แต่ท่านอยู่เพียงปีเดียว เท่านั้น ก็กลับๆไปพักภาวนา ที่สวนยาง และ บนเขา ที่บ้านโต้นนท์ ตำบลคลองทราย อำเภอนาทวี ซึ่งท่านบอกลูกศิษย์ว่า เขตแดนนั้นมีกระแสบารมีของหลวงปู่ทวด
หลวงพ่อพระมหาจิต ท่านมีปฎิปทาเมตตา ศิษย์มาก ตามแบบฉบับท่านพ่อลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการภาวนากรรมฐาน สมัยที่ท่านสังขารแข็งแรง ท่านได้นำการภาวนา ศฺิษย์อย่างใกล้ชิด ท่านนั่งเฝ้ากำกับการภาวนาในอุโบสถวัดควนจง จากห้าโมงเย็น จนถึงตี ๑ จึงค่อยปล่อยให้พัก ในช่วงที่ท่านยังอายุ ๖๐ กว่า ได้ฝึกทรมาน ความหลงสบายกลุ่มศิษย์ โดยท่านนำการถอดรองเท้า เดินบนถนนลูกรังของรพช. ท่ามกลางแดดร้อนระยะทาง ๓-๔ กิโลเมตร ที่เขตบ้านคลองทราย อำเภอนาทวี
มีครั้งหนึ่งลูกศิษย์รับใช้ใกล้ชิด ที่ทำสวนยางหลายคน ท่านฉีกจีวรเก่า บอกให้เอาไป ผูกปลายไม้ทำเป็นธงที่มุมที่ดินสวนยาง สี่ด้าน หลังจากนั้นไม่นานมีลมพายุเข้าพัด สวนยางคนอื่น ต้นยางล้มมากเสียหายมาก แต่ของลูกศิษย์ท่านไม่มีเสียหายเลย
ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๐ ทางเขตหาดใหญ่มีพายุลมแรงเป็นระยะ ท่านได้เมตตาสั่งลูกศิษย์ไปเย็บธงมา ท่านจะเมตตาทำธงปัดเป่าพายุให้ ก็สามารถป้องกันความเสียหายแก่ บ้านที่นำธงของท่านไปใช้
ในปี พ.ศ.๒๕๕๖ หลวงปู่คูณ สุเมโธ แห่งวัดป่าภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ก่อนท่านละสังขารเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ท่านได้เข้ากราบนมัสการหลวงปู่มหาจิต จิตตวโร ครั้นเมื่อท่านไปถึงหาดใหญ่ก็เข้าไปกราบหลวงปู่มหาจิต จิตฺตวโร ณ วัดภูเขาล้อม (วัดควนจง) ต.นาหม่อม อ.นาหม่อม จ.สงขลา หลวงปู่จิตก็ถามว่า จิตจ้าบ้อ (จิตสว่างรึเปล่า) หลวงพ่อคูณตอบว่า จ้าครับผม
หลวงปู่มหาจิต จิตตฺวโร ได้ละสังขารอย่างสงบตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗ เมื่อ ๐๖.๔๐ น. ณ วัดภูเขาล้อม (ควนจง) อ.นาหม่อม จ.สงขลา สิริอายุ ๘๘ ปี ๕ เดือน ๑๒ วัน
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB pageพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น