ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ทวี จิตตคุตโต วัดป่าอรัญญวิเวก(ป่าลัน) ต.ดงน้อย อ.ดงหลวง จ.เชียงราย
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทวี จิตตคุตโต ๏
วันนี้วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นวันเจริญอายุวัฒนะมงคลครบ ๘๔ ปี ๖๒ พรรษา หลวงปู่ทวี จิตตคุตโต วัดป่าอรัญญวิเวก(ป่าลัน) ต.ดงน้อย อ.ดอยหลวง จ.เชียงราย พระอริยสงฆ์แห่งภาคเหนือ สุดยอดแดนสยาม ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
#ประวัติและปฏิปทา
#ชาติภูมิ
หลวงปู่ทวี ถือกำเนิดที่บ้านสูบ ต.น้ำสรวย อ. เมือง จ. เลย บิดาชื่อ นายดี สุรสิงห์ มารดาชื่อ นางบัวผัน มะลิเวิน มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๘ คน คือ
๑. นายทวี (พี่คนโต)
๒. เด็กหญิงบัวลี (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
๓. เด็กหญิงจันทร์ศรี (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
๔. นางบุญมี
๕. เด็กหญิงกองหลี (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
๖. เด็กหญิงคำแปลง (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
๗. นางจำปี
๘. นางหนูจร (เสียชีวิตแล้ว)
สรุปแล้วยังมีชีวิตอยู่ ๓ คน
#ชีวิตเมื่อเยาว์วัย
หลวงพ่อทวี เกิดเมื่อ วันจันทร์ ที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ปีมะโรง พอเกิดมาก็ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา คุณแม่ได้พูดให้ฟังว่า ก่อนที่จะตั้งครรภ์ เด็กชายทวี ได้ฝันเห็นคนแก่คนหนึ่งเอา ช้างดอมาให้ (ช้างดอ คือช้างตัวผู้ที่ไม่มีงา ) แล้วพูดว่า “อีนางเอย พ่อจะให้ช้างตัวนี้แก่เจ้าเน้อ ให้เจ้าจงรักษาเอา” นี่คือ ผู้หญิงทั้งหลาย เมื่อแต่งงานแล้ว เวลาจะได้ลูกคือความฝัน ที่จะเป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคล คือลูกที่เกิดมาในครอบครัวนั้น แม่พูดให้ฟังว่า เราเกิดมาแล้วมีแต่ร้องไห้อยู่ทุกเวลา แม่ก็ได้อุ้มเราไปหาหมอที่ไหนๆ ก็ไม่หายจากการร้องไห้ แม่จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
#ลูกชายคนนี้จะให้บวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา
พอตั้งจิตอธิษฐานจบลง เด็กชายทวีก็หยุดร้องไห้ทันที ในคืนนั้นแม่ก็ได้ฝันเห็นลูกชายคนนี้ว่า ไดนั่งอยู่ในป่าขมิ้นเหลืองอร่ามเลย ลูกหยุดร้องไห้ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา
นี่แหละลูกเอ๋ย ที่แม่ได้เลี้ยงลูกมา เวลาลูกร้องไห้ แม่ก็ต้องร้องไห้ เวลาลูกหัวเราะ แม่ก็ต้องหัวเราะสนุกสนานไปกับลูกด้วย อันนี้คนเราเกิดมากับพ่อแม่ เราเป็นผู้มีพ่อแม่คนเดียวเท่านั้น เราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ก็ควรให้รู้จักกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อพ่อแม่ อย่าไปดุดันดื้อรั้นต่อพ่อแม่
ให้กลัวต่อบาปกรรมจะมาถึงเรา ถ้าเราทำกับพ่อแม่ไว้อย่างไร เราก็จะได้รับอย่างนั้น อันนี้แหละ พวกเราที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ เมื่อยังเด็กอยู่นั้นว่าเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านซักผ้าขี้ตีผ้าเยี่ยว ลูกเจ็บไข้ได้ป่วยแม่ก็ต้องกินยา เมื่อลูกป่วยไข้แม่ก็ต้องป่วยไข้ไปด้วย เมื่อลูกป่วยไข้ ยังกินยาไม่เป็น ยาก็ต้องผ่านทางน้ำนมของแม่
ทีนี้เราจะได้ดูผลกรรมของเราที่ได้เกิดมาในภพนี้หรือชาตินี้ เรามีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว พอเราเกิดมาได้อยู่ประมาณ ๖ - ๗ ขวบ พ่อก็ได้เอาไปฝากไว้กับครูที่โรงเรียน พ่อก็ได้ไปทำทางจากจังหวัดเลยไปที่ด่านซ้าย ในยุคสมัยสงครามญี่ปุ่นในสมัยนั้น ทางหน่วยราชการก็ยังไม่มีเครื่องจักรกลอันใดเลย ใช้แต่ชาวบ้านเป็นกำลัง ก่อนผู้เป็นพ่อจะไปทำงานนั้น พ่อก็จะขุดหลุมเพาะไว้ให้ลูกและภรรยา เด็กชายทวี (หลวงพ่อทวี) เป็นผู้มีความว่องไว ไม่ได้เป็นคนอืดอาด เพราะมีจิตใจระวองระแวง (ระแวดระวัง) อยู่เป็นนิจ เมื่อมีเครื่องบินมาแต่ละครั้งแม่ก็จะเรียกให้วิ่งลงหลุมเพาะทันที มีเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่บ้านใกล้กัน เป็นคนอืดอาดมาก เวลานอนกลางคืนเรียกไม่ค่อยจะตื่น เวลาเครื่องบินมาแต่ละครั้ง แม่ก็ดึงขามาลากไว้ที่ประตู แม่ก็วิ่งลงหลุมเพาะ พอแม่กลับมาก็ยังนอนเฉยอยู่ทีเดียว พอต่อมา พ่อที่ไปทำทางก็ได้ไปติดไข้ป่า ทำงานกับเขาไม่ได้ ก็ได้ลักหนีมา (แอบหนีมา) เจ้าหน้าที่เขาก็ตามจับไปติดคุกอยู่ ๖ เดือน พอพ้นจากคุกมาแล้วก็ป่วยหนัก จนถึงแก่ความตาย ต่อมาแม่ก็ได้มีพ่อใหม่อีกคนหนึ่ง ที่บ้านตาดช่อ อ.เชียงคาน จ.เลย ชื่อนายแก่น บุดดา
#จิตใจโน้มน้าวไปสู่ธรรมตั้งแต่วัยเด็ก
ตอนนี้อายุของเราได้ ๘ ขวบ จึงได้เข้าเกณฑ์อยู่ในโรงเรียน การเรียนก็ได้เอาใจใส่ต่อการเล่าเรียน การไปโรงเรียนก็ไปไม่ขาด การสอบก็ได้ที่ ๒ ที่ ๓ มาโดยตลอด ผู้ที่เป็นอาจารย์เขาก็รักเรามาก พร้อมทั้งให้เราเป็นหัวหน้าหมู่นำร้องเพลงชาติและไหว้พระในตอนเช้า มีการสอบตกอยู่ ๒ ปีเพราะว่าตอนนั้นป่วยเป็นไข้ เมื่อเรียนจบชั้น ป.๔ แล้ว กำลังรอฟังข้อสอบอยู่นั้นก็คิดที่อยากจะบวช ก็มีพวกคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกพี่สาวของพ่อ กำลังคุยกันเล่นตอนหัวค่ำ ผู้เป็นพ่อก็คอยฟังอยู่ ผู้เป็นแม่กำลังทำอาหารอยู่ยังไม่เสร็จ ตัวเราเองก็ได้พูดเปรยๆขึ้นว่า “เมื่อเราสอบไล่ได้แล้ว เรามาพากันไปบวชเณรบ่ เราคิดอยากจะบวชเหลือเกิน” ผู้เป็นพ่อได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถ้าพวกโตอยากจะบวชก็จะเอาไปบวช ให้ไปอยู่กับอาที่บ้านโพนนาซ่าวนั่นถ้าสอบไล่ได้ ถ้าสอบไม่ได้ก็ต้องเรียนต่อ” เมื่อเราพูดว่าอยากจะบวชนั้น พอตอนกลางคืนมา ก็ฝันเห็นพระองค์หนึ่งมาอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านนั้น เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กิริยามารยาทน่าเลื่อมใส ความคิดที่อยากจะบวชนั้นยิ่งทวีคูณขึ้น ที่ท่านอยู่นั้นมีกระต๊อบอยู่ที่หัวทางเดินจงกรม มีหนังสือพระไตรปิฎกอยู่ ๓ เล่ม พระองค์นั่นท่านไปบิณฑบาตที่ป่า เรามองดูที่บาตรนั้นก็มีแต่ใบไม้ผลไม้เต็มบาตร แล้วก็มีกลิ่นหอม คิดอยากจะทานกับท่าน ที่พระองค์นั้นท่านไปบิณฑบาต วันธรรมดาจะไปที่ป่า ถ้าเป็นวันพระจะไปที่หมู่บ้าน พอตื่นเช้ามาก็ได้พูดกับพ่อว่า “เมื่อคืนผมได้ฝันเห็นพระองค์หนึ่งได้มาอยู่ที่ป่าตรงนั้นนะพ่อ” พ่อก็เลยว่าให้สอบไล่ได้เสียก่อน จะเอาไปบวชอยู่กับอาโน่นแหละ พอต่อมาไม่นาน พ่อเลี้ยงก็มาตายเสียอีก แม่ก็ได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เดิมคือ ที่บ้านสูบอีก ก็ได้ทำนาทำไร่อยู่กินกับตายาย
#พบองค์หลวงปู่คำดี_ปภาโส
พออายุได้ ๑๗ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นั้น แม่และคุณตา กับญาติพี่น้องด้วยกันหลายคน ได้ยินข่าวว่ามีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาอยู่ที่ถ้ำผาปู่ บ้านนาอ้อ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของยายกับแม่นั่นเอง ยายเป็นคนบ้านนาอ้อ ต. นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย พ่อของเด็กชายทวีเป็นคนบ้านฟากเลย ต. ในเมือง จ.เลย ชื่อนายดี สุรสิงห์ แม่กับคุณตาและญาติก็ได้ไปที่ถ้ำผาปู่ ได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่คำดี ปภา-โส แล้วก็ได้ซาบซึ้งในธรรมะของหลวงปู่คำดี ก็ได้มาที่บ้าน พากันหาที่จะสร้างวัดขึ้นมา พอได้ที่แล้วก็พากันสร้างกุฏิชั่วคราวขึ้นมา แล้วก็ได้พากันไปนิมนต์หลวงปู่คำดีมาที่บ้าน ตอนนี้แม่ก็ได้ให้เราไปปฏิบัติหลวงปู่คำดี เป็นคนรับใช้ท่านเมื่อเราเห็นปฏิปทาข้อประพฤติปฏิบัติของหลวงปู่คำดีแล้ว ก็ยิ่งคิดอยากจะบวชอย่างแก่กล้าเลยทีเดียว
#สู่เพศพรหมจรรย์
อยู่มาวันหนึ่ง เราได้ช่องได้โอกาสแล้ว ก็ได้พูดกับหลวงปู่คำดีว่า “กระผมอยากจะบวชหลายๆ หลวงปู่ทำอย่างไรกระผมจึงจะได้บวช” แล้วก็เล่าเรื่องที่เราฝันเห็นในคราวนั้นให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่คำดีท่านก็พูดออกมาเปรยๆ ว่า.... เด็กคนนี้มีอุปนิสัยในพระพุทธศาสนา หลวงปู่คำดีก็ได้พูดกับเราว่า “ถ้าเธออยากจะบวชจริงๆ ก็ให้ไปขออนุญาตจากแม่เสียก่อน เมื่อแม่อนุญาตให้แล้วก็จึงมาบวช” ตัวเราก็ได้มาปรึกษาแม่ดู แม่ก็อนุญาตให้บวช แล้วได้มีหมู่พวกได้ไปเข้านาคในคราวนั้นมีอยู่ด้วยกัน 6 คน คือ 1. นายทวี 2. นายเหมือน 3. นายเปลี่ยน 4.นายคำ 5. นายปุ่น 6. นายบัวล้น ที่ได้บวชกันจริงๆมี 5 คนเท่านั้น คนที่ 6 ทนต่อการอดข้าวแลงไม่ได้ ( ข้าวแลง หมายถึง ข้าวเย็น ) ได้หนีมาก่อน เมื่อเราได้บวชเป็นเณรแล้วเราเองก็ได้ตั้งอกตั้งใจทำความพากเพียร ประพฤติปฏิบัติโดยไม่ลดละหมั่นไปอบรมศึกษากับหลวงปู่คำดีอยู่เป็นเนืองนิตย์ และเราก็ได้เป็นเณรปฏิบัติรับใช้อยู่กับหลวงปู่คำดีอยู่ตลอด ตอนที่เราบวชเป็นเณร หลวงปู่คำดีท่านได้อยู่ถ้ำสูงบนรอยพระบาทนั้น ส่วนตัวเราเองก็ได้อยู่กุฏิใต้รอยพระบาท มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่คำดี ท่านได้ชวนเราไปเที่ยวบนหลังเขาถ้ำผาปู่นั้น หลวงปู่ท่านได้สัญญากับเราว่า ใครจะขึ้นไปบนหลังเขานั้นได้ก่อนกัน เมื่อสัญญาแล้ว ท่านก็ยื่นมือเอาย่ามจากเรา แล้วท่านก็ไปทางหนึ่ง ผลสุดท้ายหลวงปู่ท่านไปถึงบนหลังเขาก่อนเราเป็นครึ่งชั่วโมง เราเป็นเด็กยังสู้คนแก่ไม่ได้ พอเราไปถึงหลวงปู่แล้ว พอเราหายเหนื่อยแล้วท่านก็อบรมธรรมะแก่เราว่า... “ทวีเอ๋ย....เมื่อเราได้เข้ามาบวชแล้ว ให้เราตั้งอกตั้งใจศึกษา แล้วเรียนธรรมวินัยให้ได้ ให้มันคล่อง แล้วก็ปฏิบัติ นั่งสมาธิภาวนาไปด้วย เพื่อทำจิตของเราให้เข้มแข็ง ต่อสู้กับกิเลส เพราะเรามันเด็กอยู่ ราคะตัณหาก็ยังไม่แก่กล้า การประพฤติปฏิบัติก็จะไปง่ายและรวดเร็ว ให้ดูกาย กรรมฐาน 5 ที่สอนเอาไว้นั้น ให้หมั่นทำหมั่นพิจารณา ให้แยบคายว่า ผม ขน เล็ก ฟัน หนัง เนื้อ พิจารณามันลงไปจนถึงมุตตัง น้ำมูตนั้นว่ามันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นธาตุ เป็นอนัตตาอย่างไร มันเป็นของปฏิกูล มันเกิดมาจากอะไร เพราะอาการสามสิบสองมันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากเพ็ชรจากพลอยแก้วแหวนเงินทอง เกิดมาจากกองปฏิกูลนับตั้งแต่ กลละ อัมพุฌชะ ขะนะ เปสิ ปัญจะสาขา คือกามธาตุทั้งนั้น เมื่อเราพิจารณาอยู่อย่างนี้บ่อยๆ จิตมันจะคลายความกำหนัดยินดี ออกจากมันมาเรื่อยๆ เพราะจิตของเรามัน หลงอยู่กับร่างกายนี้ ว่าเป็นเขาเป็นเราอยู่ เพราะขาดจากการพิจารณา มัวเพลิดเพลินจิตใจไปทางอื่น” หลวงปู่เทศน์ให้ฟังอยู่ประมาณชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็ค่อยเดินไปตามสันเขากลับมาถึงวัดเวลาบ่ายสามโมงพอดี จะขอรวบรัดตัดตอนไว้ก่อน เพราะว่าเขียนไปให้หมดก็จะมากเกินไป
#ตอบแทนคุณผู้บังเกิดเกล้า
เมื่อออกพรรษาแล้ว ประมาณเดือนธันวา – มกรา ก็มีญาติคนหนึ่งมาพูดให้ฟังว่า แม่ของเณรนั้นเดี๋ยวนี้มันทุกข์ พวกน้องๆ เขาด่าเขาว่าเอาจนน้ำตาไหลอยู่ไม่ขาด เวลาทำไร่ทานานั้นเบื้องต้นมันก็ดี แต่เมื่อมีหมากมีผลแล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่งอยากจะขอให้เณรนั้นออกไปช่วยแม่เสียก่อนเถิด ในตอนนี้จิตใจของเราเกิดความว้าวุ่นขึ้นมาแล้ว ทั้งจิตใจหนึ่งก็ไม่อยากจะลาสิกขา เพราะจิตใจยังดูดดื่มอยู่ในธรรมของพระศาสนาอยู่มาก ส่วนแม่ก็เป็นทุกข์จริงๆ ก็ได้นำเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหลวงปู่คำดี หลวงปู่คำดีท่านก็ช่วยเมตตาเรามาก ท่านพูดออกมาว่า ถ้าเณรสิกขาลาเพศไปเสียก่อนก็ได้ พอถึงเวลาอยากจะกลับมาอีกก็ได้ เมื่อท่านพูดอย่างนี้แล้วตัวเราก็ลาสิกขาออกไปเลี้ยงดูแม่ อายุของเราตอนนั้นย่างเข้า 18 ปี แล้ว ก็มีจิตมานะขึ้นมาว่า.... เราเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง อวัยวะของเราก็มีครบทุกส่วน ดูไม่มีสิ่งใดได้บกพร่องไป เขาก็คนเราก็คนเหมือนกัน จะไปขอกินน้ำย้อยศอกเขาทำไมวา ตัวเราเองก็ได้ตั้งอกตั้งใจทำงานเลี้ยงแม่และน้องจนน้ำตาของแม่เหือดแห้ง ไปทีนี้บุคคลที่เขาอิจฉาแม่นั้น กลับกลายเป็นคนทุกข์ยาก จนไปกว่าเราเสียอีก เขาก็ได้มาพึ่งพาอาศัยเรา เราเองก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าเราเองเป็นคนชนะเขาแล้ว
#กลับสู่เพศพรหมจรรย์อีกครั้ง
พออยู่ต่อมาอายุได้ประมาณ 22 ปีแล้วมีคืนหนึ่ง ตอนนั้นเราเองได้ไปนอนอยู่ที่ไร่ ได้ฝันเห็นพระอริยเจ้าพระองค์หนึ่งได้เสด็จลงมาที่กลางไร่นั้น เราก็ได้เข้าไปกราบไว้ แล้วจะขอรับบริขารจากท่าน เพื่อที่จะนิมนต์ท่านขึ้นไปที่กระต๊อบในไร่นั้น ท่านก็พูดออกมาว่า.. “เธอจะบวชไหม ถ้าเธอไม่บวชเราก็จะไม่ให้รับบริขารนี้เป็นอันขาด” เราก็ตัดสินใจไปว่า “กระผมจะบวชขอรับ” พอนั้นท่านก็ยื่นบาตรและบริขารให้เรา แล้วท่านก็กลับกลายหายตัวไปเลย ตั้งแต่นั้นมาเราก็ปริวิตกคิดแต่อยากจะบวช ดูน้องสาวก็ใหญ่โตพอเลี้ยงแม่ได้แล้ว เขาก็มีสามีแล้ว ต่อนั้นมาประมาณสักอาทิตย์ผู้เป็นป้าก็อยากให้เรามีครอบครัว มีแม่ของหญิงสาวและพี่ชายใหญ่ของหญิงสาวมาติดต่อกับป้าของเรา เขาอยากจะเอาไปเป็นลูกเขยของเขา ป้าจึงได้พูดกับแม่ของเราว่า “วันนี้ให้บักเซียง (เณรที่สึกแล้วเรียกเซียง ) มันไปหาป้าแหน่เด๊อ จะพูดอะไรให้มันฟังสักอย่าง” เมื่อเรากลับจากไร่ถึงบ้านได้ทานข้าวเย็นเสร็จแล้วเตรียมตัวจะไปเที่ยวสาว ( ไปจีบสาว ) แม่ก็เลยบอกว่า “บักเซียง จะไปที่ไหนก็ให้ไปหาป้ามึงเสียก่อนเน้อ ป้ามึงจะพูดอะไรก็ไม่รู้ แม่ถามแล้วแต่ป้าไม่บอก” เมื่อเราไปหาป้าแล้วป้าก็พูดว่า “ป้าจะหาสาวให้ โตจะเอาบ่” ตัวเราก็ย้อนถามออกไปว่า “ใครเล่าป้า” ป้าก็บอกว่าคนนั้นๆ เพราะว่าเขาอยากได้โตเอง ทุกสิ่งเขาจะไม่ให้ยุ่งยากอะไรหรอกนะ ทรัพย์สมบัติเขาก็ยกให้โตเองหมดทุกอย่าง ผู้สาวที่โตได้ไปพูดนั้นป้าก็ไม่อยากจะให้เอาหรอกนะ ป้าไม่เห็นดีด้วย ตัวเราเองก็นั่งคิดตรึกตรองดู สักพักหนึ่งก็เลยพูดออกมาว่า “ให้ไปถามแม่ดูเสียก่อน ท่านจะว่าอย่างไร” ต่อจากนั้นเราก็ไปเที่ยวสาวตามเคย จนดึกประมาณห้าทุ่มถึงหกทุ่มจึงกลับบ้าน พอตื่นเช้ามาก็เลยพูดกับแม่ว่า ป้าจะหาสาวให้จะให้เอาบ่ ว่าคนนั้นๆ แม่ก็ถามเราว่า โตรักเขาบ่ ถ้าโตรักเขาจะเอาก็เอา เราเองก็ตอบว่า ก็รักเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่ามันคือจะทุกข์แท้จะเอาเมียนะ ลูกอยากจะบวชนะแม่ แม่ก็เลยพูดว่า ดีแล้วลูกเอ๋ย แม่ก็ดีใจด้วยถ้าลูกบวชให้แม่ตอนที่ลูกบวชเณรนั้นแม่ก็ดีใจอยู่ดอกนะแต่ยังไม่อิ่มพอ ถ้าหากว่าลูกได้บวชให้แม่ๆ ก็จะได้ไม่เสียใจ เพราะว่าการมีลูกมีเมียนั้นแม่ก็จะไม่ได้อาศัยลูก ถ้าหากว่าลูกได้บวชเป็นพระอยู่ไปได้ตลอด แม่ก็จะได้อาศัยลูกไปจนถึงวันแม่ตายนั่นแหละ การมีลูกมีเมียนั้น จะนอนตื่นสายก็ไม่ได้ ต้องตื่นดึกลุกแต่เช้า หลังตากฟ้าหน้าตากฝน ฝนตกแดดออกก็ไม่ได้อยู่ มันไม่เหมือนอยู่กับแม่นะ อยู่กับแม่จะตื่นเวลาไหนก็ตื่น แม่ก็ได้พูดถึงเรื่องตัวเราเกิดมาตั้งแต่เล็กว่า แม่ได้ลูกคนนี้มาก็แสนยากลำบากจริงๆ ลูกเกิดมาก็มีแต่ร้องไห้ เมื่อแม่ยังเป็นสาวอยู่ แม่ไม่เคยรู้จักหมออยู่ พอได้ลูกมาแล้ว ลูกร้องไห้ ยามดึกดื่นเที่ยงคืนก็ต้องอุ้มลูกไปหาหมอ ลูกร้องไห้แม่ก็ต้องร้องไห้ ลูกหัวแม่ก็ได้หัว ( ลูกหัวเราะแม่ก็ได้หัวเราะ ) แม่จึงได้บนบานศาลกล่าวเอาไว้ว่า ลูกชายคนนี้ เมื่อใหญ่โตขึ้นมาแล้วจะให้บวชในพระพุทธศาสนา ไม่ให้มีลูกมีเมียจะเป็นเศรษฐีกฎุมภีอย่างไรก็ไม่เอา พอจบคำบนบานศาลกล่าวคำนี้ลง ลูกจึงได้หยุดการร้องไห้ตั้งแต่นั้นมา เมื่อแม่ท่านพูดอย่างนี้ให้เราฟังแล้ว จิตใจของเรายิ่งอ่อนลงๆ ป้า..ก็เลยไม่ไปบอกให้รู้ สาวก็ไม่ไปหา ตัวเราเองก็ได้คิดถึงคราวได้พูดกับพระอริยเจ้าตอนที่อยู่ที่ไร่นั่นแล้ว แล้วก็คิดถึงหมู่พวกที่มีเมียแล้ว เราก็ได้ไปเยาะเย้ยเขาตอนที่เมียเขาคลอดลูกนั้น เขาได้เอาผ้าถุงของเมียและผ้าอ้อมของลูกไปซัก เพื่อนเขาจองกรรมเอาไว้ เขาก็จะมาเย้ยเราอีก เพราะว่าในสมัยนั้น การคลอดลูกจะต้องคลอดที่บ้านใครบ้านมัน ไม่ได้คลอดที่โรงพยาบาลเหมือนทุกวันนี้ ในปีนั้นมี พระอาจารย์จันทร์ดา กสฺสโป ไปจำพรรษาที่บ้านนั้น พอออกพรรษาหมดเขตกฐินแล้ว ท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปที่ขอนแก่น แล้วเราเองก็ได้ติดตามท่านมาบวชที่วัดศรีจันทร์จังหวัดขอนแก่น การบวชของหลวงพ่อทวี จิตฺตคุตฺโต ในวันที่ 3 มกราคม 2505 ที่วัดศรีจันทร์ จ.ขอนแก่น พระอุปัชฌาย์คือ พระวินัย สุนทรเมธี พระกรรมวาจาจารย์ พระครูศรีธรรมาลังการ พระอนุสาวนาจารย์ พระมหาศรี ต้นสังกัดอยู่ที่วัดป่าวิเวกธรรมเหล่างา ต.พลับ อ.เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น
พรรษาที่ 1 วัดป่าทรงธรรมจังหวัดอุดรธานี ( พ.ศ. 2505 )
เมื่อได้อุปสมบทแล้วก็ได้เดินธุดงค์ไปตามทางรถไฟ ได้ไปพักอยู่ที่ บ้านหนองแดง อ.กุม-ภวาปี จ.อุดรธานี ได้ประมาณสัก 1 เดือน ก็ได้เดินทางต่อไปที่ วัดป่าทรงธรรม บ้านดอนแคน ต. พันดอน อ.กุมภวาปี จ. อุดรธานี ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้เป็นพรรษาแรก 1 พรรษา ในพรรษาปีนั้นได้เกิดมีอาการป่วยอย่างหนักเลย เพราะว่าเราเคยอยู่อากาศดง แล้วมาอยู่อากาศทุ่ง เลยเป็นโรคไข้แพ้อากาศ ในลำตัวแข็งกระด้างทั้งตัวเลย ไม่ได้ฉันยาอะไรเลย เพราะไม่มียาจะฉัน ( เนื่องจากที่นั่นเป็นที่ทุรกันดารมาก คนยากจน มีคนไปจังหันมากแต่พระ 5 องค์ ฉันไม่อิ่ม ) มีแต่ธรรมโอสถอย่างเดียวเท่านั้น ตัวเราเองก็ได้แต่พิจารณากรรมฐาน อยู่ในอาการ 32 อยู่เป็นเนืองนิตย์ไม่ได้ขาด ผลที่สุดก็ได้มีจิตรวมถึงอัปนาสมาธิ เห็นร่างกายนี้เป็นสัดส่วนมีกระดูกทุกส่วนเห็นหมด มีหนัง มีเนื้อในอาการ 32 ทุกส่วน ก็เห็นหมด ต่อจากนั้นอาการไข้ก็หายไป แต่มีอาการซึมๆอยู่ อาจารย์ก็ได้มาฉีดยาให้ ทีนี้กรรมเวนเอ๋ย..มันก็เกิดเป็นฝีหัวเข็ม นอนหงายก็ไม่ได้เป็นกรรมแท้ๆ จิตใจทำไมมันไปติดเอาแต่กรรมที่ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเป็นฆราวาสอยู่นั้น คือเราได้ไปยิงเก้งตัวหนึ่งตาย ได้ยิงถูกหน้าขา ไปผุดอยู่ที่บั้นท้ายขาหลัง ( ทะลุขาหน้า ไปตุงอยู่ที่บั้นท้ายขาหลัง ) จิตใจมันก็ไปติดอยู่ตรงนั้นแหละ พิจารณากรรมฐานอย่างไรก็ไม่หาย วันนั้นเป็นวันอุโบสถ คือวันแรม 15 ค่ำ เดือน 8 อาจารย์ก็ไปลงอุโบสถที่วัดจอมศรี ( บ้านน้ำฆ้อง ) ยังไม่มา
#เทพธิดามาขอสรงน้ำ
เราเองก็ได้นิมิตเห็นเทพธิดาลงมาหา เห็นเขาหาบเครื่องไทยทาน มีผลไม้ทุกชนิด มีผ้าเหลืองเป็นผ้าไตรจีวร เต็มไปหมดที่ศาลานั้น เราก็ได้ไปถามเขาดูว่าเขามาทำอะไร เขาก็ตอบออกมาว่า เขาจะมาหดสรงเรา ( หดสรง หมายถึง เอาไม้ไผ่ผ่าซีกยาวประมาณ 2 เมตร ทำเป็นรางน้ำอยู่บนหลัก 2 หลัก ลาดเอียงเล็กน้อยเพื่อให้น้ำไหลสะดวก พระนุ่งผ้าอาบน้ำนั่งบนเก้าอี้ทางที่น้ำไหลลง ญาติโยมพากันเอาน้ำที่ผสมน้ำอบ น้ำหอม ขมิ้น ไพล ส้มป่อยและเครื่องหอมต่างๆ ตักน้ำเทลงที่หัวรางให้น้ำไหลลงไปอาบพระรูปนั้น จากนั้นก็เอาผ้าไตรจีวรชุดใหม่ให้ท่านนุ่งห่มแทนชุดเก่า ประเพณีอย่างนี้เรียกว่า “หดสรง”) เราเองก็ตอบเขาไปว่า เราเองยังไม่รู้ธรรมเห็นธรรม เรายังไม่ให้หดสรง ตอนนั้นจิตมันออกจากร่างกายไปทางทุ่งนา มองเห็นแต่พวกเทวดาพากันเหาะมาบนอากาศเป็นทิวแถวเหมือนกับหมู่แมลงเม่าออกจากรู ดูหน้าดูตาใครก็เป็นเหมือนกันกับหนุ่มสาวที่เราได้อยู่ด้วยกันมานานหลายสิบปี เห็นเทวบุตรแก่ๆ องค์หนึ่งพาเขามา แต่เราก็หนีเขาไปไม่กลับมา เราก็ไปเห็นหนองน้ำใหญ่หนองหนึ่ง แล้วก็เห็นวัด เป็นวัดทางมหานิกาย เห็นเป็นไฟลุกไหม้อยู่ทั้งหมดวัดเลย แล้วก็เห็นพระเณรเขามาแก้สบงจีวรแล้วก็กระโจนลงหนองน้ำนั้น แล้วก็ไม่เห็นโผล่ขึ้นมาสักองค์เลย ต่อจากนั้น เราก็ได้เดินข้ามสะพานไป ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาพูดออกมาว่า ท่านอย่าไปนะให้ท่านรีบกลับ เดี๋ยวหัวหน้าใหญ่ผมมาแล้วท่านจะต้องตายนะ พอเขาพูดอย่างนั้นแล้ว เราก็หันหน้ากลับวัด ตอนนี้ก็พอดีอาจารย์กลับมาจากลงอุโบสถ ท่านเรียกเราอยู่ตั้งนานก็ไม่ตื่น พอเรารู้ตัวขึ้นมาท่านก็ดุเอา ต่อแต่นั้นมาโรคที่ป่วยอยู่นั้นก็ค่อยหายมาเรื่อยๆ แต่สภาพจิตก็ยังคิดเห็นเก้งตัวนั้นอยู่เป็นนิจ ทีนี้เราเองก็เลยตั้งจิตอธิษฐาน แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลที่เราได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี้ จะมอบแก่เก้งตัวนั้น เราก็ยอมรับสารภาพการกระทำที่เราทำไปนั้น เพราะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอเก้งตัวนั้นจงอโหสิกรรมให้เราด้วย ตั้งแต่นั้นมาจิตใจก็จืดจางหายไป ในเดือนต่อมาตรงกับการทำทาน วันทานสลากหรือวันสารทนั่นเอง ในคืนวัน 14 ค่ำ เดือน 10 นั้น ก็ได้นิมิตเห็นจ่ายมบาลต้อนพวกเปรตทั้งหลายให้มารับผลทานจากญาติในวัน 15 ค่ำ เดือน 10 เห็นจ่ายมบาลเอาไม้ค้อน ( ไม้กระบอง ) ตีต้อนมา เหมือนกับบุคคลที่เขาต้อนหมูไปฆ่า ดูแล้วน่าสังเวชเอาจริง พอมาถึงวันงานเวลาที่ญาติโยมเขาถวายทานอยู่นั้น เห็นพวกเปรตทั้งหลายเข้ามาแย่งกินที่บาตรและอาสนของเรานั้นทั้งหมด ไม่เห็นไปกินของพระองค์อื่นเลย แล้วก็มีโยมคนหนึ่งเอาน้ำใส่ขวดมาถวายเราเอง 4 ขวด แต่เราเห็นเป็นโอ่งมังกร เปรตทั้งหลายก็พากันมาแย่งกินน้ำในโอ่งนั้นจนหมด แล้วนายยมบาลก็ได้ต้อนพวกเปรตทั้งหลายนั้นไปที่นรกอีกเหมือนเดิม วันนั้นตัวเราเองก็ปรากฏว่าฉันอาหารไม่รู้จักอิ่มเลย อาหารในบาตรก็หมดสิ้น ตัวเราเองก็ต้องอิ่มเอาเอง ที่ได้จำพรรษาปีแรกนั้น ได้เห็นทั้งเทวดาและเปรต เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า คนเราทำทั้งบุญและบาป บุคคลทำบุญแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นเทวบุตร เทวดา มีแต่ความสุขสบาย บุคคลที่ทำบาปชั่วไม่ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ก็ได้ไปเป็นเปรต ถูกนายยมบาลต้อนตีไปเหมือนกับเขาต้อนหมูไปฆ่า นี่แหละคนเราไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อผลของกรรม คนไม่เชื่อถึงคราวมันก็ต้องเชื่อ แต่เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เราเองจะแก้ไขอย่างไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราต้องแก้ ก็ต้องตอนเมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น การที่ญาติทำบุญอุทิศไปให้ก็เพียงแค่ที่เห็นมาตามที่เขียนมาแล้วข้างต้นนี้เท่านั้น การที่เราทำบุญกุศลอุทิศส่งไปให้แก่ญาตินั้นเมื่อญาติรับแล้วจะได้ไปเกิดดีมีสุขนั้น เป็นเพียงแต่เราคิดเอาเดาเอาเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะไม่มีผู้รับประกัน ลัทธิอื่นศาสนาอื่นที่เขาเขียนป้ายโฆษณาอยู่ตามเสาไฟฟ้าก็ดี อยู่ตามต้นไม้ที่สูงๆก็ดี เขาสอนให้คนทำแต่บาปความชั่ว แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะไปไถ่บาปเอาหมด มันเท็จจริงแค่ไหนใครจะไปรู้ได้ ของที่มันไม่เห็นตัวเห็นตน คนลัทธิอื่นที่ไปได้รับโทษต่างๆ พระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่มาช่วย มีแต่ผัวเมียนั่นแหละมาช่วย ผัวเมียกันนั้นเป็นพระผู้เป็นเจ้าอันแท้จริง ที่เขียนป้ายโฆษณานั้นเป็นของหลอกลวง ไม่ใช่ของจริง พระผู้เป็นเจ้าแต่งสัตว์ให้เกิดนั้นมันเท็จจริงอย่างไรก็ให้ใคร่ครวญดูเอาให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงเชื่อ แม่ของเราไปนอนกับพระผู้เป็นเจ้าหรือ ไม่ได้นอนอยู่กับพ่อของเราหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่าพ่อบ้านไม่มีน้ำยาละซิ ธรรมะของหลวงพ่อทวีนี้เผ็ดร้อนยิ่งกวาพริกแต้ หรือว่าพริกขี้หนูนั่นแหละ มันเผ็ดร้อนก็ไปตามเหตุตามผลของมัน เหตุผลของเขาที่พูดออกไปนั้นก็ต้องคิดนึกตรึกตรองดูให้ดีเสียก่อน ที่มันเดือดร้อนกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าขาดความไม่มีศีลธรรมนั่นเอง แม้แต่พ่อแม่ก็ยังให้ฆ่าได้ ( หมายถึงให้ลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่ได้ ) ที่เป็นครูสอนศาสนาสอนให้ทำอย่างนั้น ก็ไม่คิดว่าว่าตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่ของเขาแล้วลูกของเรามาฆ่าเรา แล้วเราจะคิดอย่างไรทำไมไม่ตรึกตรองดูให้ถ่องแท้เสียก่อนเล่าทั้งที่การศึกษาก็สูง ปัญญาวิชาความรู้อันนั้นมันไปไหนกันหมดจึงมีความงมงายถึงขนาดนั้น คนมีความรู้แต่มาใช้วิชาเลวทราม มันจึงทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนกันไปหมดทั้งประเทศ เพราะขาดความเป็นผู้ไม่มีศีลห้านั่นเอง แม้แต่ผัวเมียกันเอง ถ้าไม่มีศีลห้าแล้ว ก็อยู่ด้วยกันยาก ย่อมฆ่าทุบตีกันอยู่เป็นนิจ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ทะเลาะกันอยู่ไม่ขาด ฉะนั้นจึงขอให้ผู้ที่ได้ศึกษาเรียนสูงแล้ว จงใช้วิชาความรู้อันนั้นมาวิจารณญาณดูให้ถ่องแท้แล้วช่วยแก้ไขประเทศชาติบ้านเมืองให้ได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขบ้างเถิด
#โปรดโยมมารดา
เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน เพราะว่าน้องสาวเขียนจดหมายส่งไปหาว่าแม่ป่วย พอมาถึงแม่ก็ป่วยอย่างหนักเหมือนกัน แม่ได้พูดให้ฟังว่า มีผู้หญิงสี่คนได้มารับเอาไปอยู่เป็นเพื่อนเขา แต่มีเสียงเราดังออกไปเหมือนกับเสียงฟ้าร้องผู้หญิงสี่คนนั้นเลยรีบกลับ อันนี้แม่ได้พูดให้เราฟังตัวเราเองก็ได้เทศน์แนะนำแม่ ให้ตั้งอกตั้งใจทำความพากเพียรให้มาก เพราะอัตภาพสังขารร่างกายของเราก็เป็นอยู่อย่างนี้ และลูกก็ได้ป่วยเป็นไข้เหมือนกัน แทบเอาตัวไม่รอด ได้อบรมแม่ให้ได้รับความเข้าใจในธรรม แล้วในคืนหนึ่งนั้นแม่ได้นิมิตเห็นว่า มีผู้เอาแพไม้ไผ่ห้าลำมาให้แม่นั่งไป เรือแพนั้นโดยไม่ต้องถ่อไม่ต้องพาย เรื่อแพไม้ไผ่นั้นก็พาขึ้นไปเหนือน้ำจนสุดขุนเขาแล้วมีทางขึ้นเขาไปจนถึงยอดเขา มีผู้บอกว่า นี่แหละที่อยู่ของเจ้า แม่ก็ดูแล้วมีแต่พระเจ้าพระสงฆ์น่ากราบไหว้ เมื่อเรารู้เหตุรู้ผลอย่างนี้แล้ว เราเองก็ได้ลาแม่กลับมาหาอาจารย์ที่ อ.กุมภวา-ปี นี้อีกครั้ง ต่อมาอาจารย์ก็ได้พาไปที่บ้านท่าสองคอน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
#นิมิต
ที่อยู่บ้านท่าสองคอนนี้ได้นิมิตขึ้นมาวันหนึ่งในตอนเช้า หลังจากฉันอาหารเสร็จแล้วก็เข้าทางเดินจงกรมได้ชั่วโมงหนึ่ง แล้วก็ขึ้นไปที่กุฏินั่งสมาธิอยู่ก็นิมิตเห็นโยมผู้ชายคนหนึ่งเอาเครื่องบินมารับเอาไป เขาบอกว่าขอนิมนต์ ท่านไปกับผมเพราะว่าเวลานี้สงครามเกิดขึ้นแล้ว ถ้าหากว่าท่านไม่ช่วยพวกผมแล้ว พวกผมต้องตายแน่ ตัวเราเองจึงตัดสินใจไปกับเขา เราเองตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้ขึ้นเครื่องบินสักที เขาก็เรียกให้ไปนั่งติดกับคนขับเครื่องบิน เราก็ดูว่าเขาขับกันยังไง คนขับเครื่องบินนั้นเขาก็พาขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่ง เป็นหินทั้งแท่ง ภูเขาลูกนั้นสูงจนเครื่องบินเอาหัวจิกกับหน้าผาอยู่เพื่อพักเอาแรง แล้วก็ขึ้นไปถึงบนยอดเขา เราก็ลงจากเครื่อง คนขับเครื่องบินนั้นเขาก็บอกว่า นี่แหละที่อยู่ของท่าน แล้วเขาก็กลับลงมา ส่วนตัวของเราก็ได้อยู่บนนั้น ก็เห็นตู้พระ-ไตรปิฏกหลังหนึ่งอยู่บนก้อนหิน ตัวเราเองก็ได้เปิดตู้พระไตรปิฎกนั้นดู แต่ก็อ่านไม่ได้ เพราะว่าเป็นตัวขอม ก็เลยปิดตู้เอาไว้ ที่บนนั้นมีกระต๊อบ ทางเดินจงกรม กับตู้พระไตรปิฎก มีป่าไม้ชาติเท่ากับต้นขานี่ ขึ้นอยู่เรียงรายเต็มไปหมดในพื้นที่นั้น ได้ยินเสียงครูบาอาจารย์ที่มรณะไปแล้ว ได้สนทนากันอยู่ว่า มีใครบ้างที่ยังอยู่ พอตัวเรากลับลงมาประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงเมืองเมืองหนึ่ง มีความเจริญมาก แล้วก็มีหญิงคนหนึ่งมาต้อนรับเรา หญิงคนนั้นมีหน้าตาผิวพรรณสวย ได้จัดให้เราขึ้นเสลี่ยงทองคำ หามแห่เรารอบเมืองนั้น...พอถึงเวลานั้นก็ได้ยินเสียงพระเณรตีระฆังกวาดตาดเราก็จึงออกมาดูนาฬิกา เป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี
พรรษาที่ 2-3 พบแก้ววิเศษ ( พ.ศ. 2506-2507 )
อยู่บ้านท่าสองคอนนั้นประมาณสักเดือนหนึ่งก็ได้ไปที่ วัดป่ายอดแก้ว บ้านบะฮี ต. สว่าง อ. พรรณนานิคม จ. สกลนคร จากนั้นก็เทียวไปเทียวมาอยู่วัดนี้ครั้งละเจ็ดวัน มีวันหนึ่งที่อยู่บ้านบะฮีนั้น มันเกิดความกลัวตาย เพราะว่าอาจารย์ก็พูดให้ฟังแล้วว่า อาจารย์ได้ป่วยนอนอยู่บนเตียง ถูกพวกภูมิเขาปิ้นขาเตียงเอา ( ปิ้นขาเตียง หมายถึง คว่ำเตียง เช่น รถพลิกคว่ำหงายท้องจะพูดว่า รถปิ้นหงายท้อง ) พอเราได้ยินดังนั้นแล้ว ตัวเราก็ระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ เร่งความเพียรอยู่ตลอด มีวันหนึ่งตอนหัวค่ำหลังจากเดินจงกรมแล้วขึ้นไปบนกุฏิ ไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วก็เข้าสมาธิ ก็มีเสียงดังขึ้นที่พื้นกุฏิดังอุดอิดๆ ก็ออกจากสมาธิได้ลงมาดูก็ไม่เห็นอะไร คิดว่าคงจะเป็นเสียงหนูมากกว่า แล้วก็ขึ้นไปทำสมาธิต่อได้ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นที่หลังคากุฏิ เสียงไม้ลากที่หลังคากุฏิ ก็ได้ลงมาดูที่ลานกุฏิ ก็ไม่เห็นกิ่งไม้ต้นไหนที่จะใกล้หลังคากุฏิก็ไม่มี เดือนก็หงายแจ่มแจ้งดี พอลงมาดูแล้วก็ไม่เห็น ก็เลยคิดได้ขึ้นมาดูว่าคงจะเป็นพวกภูมิกระมังหนอ ก็ขึ้นไปทำสมาธิต่อ ที่นี้เกิดขนพองสยองเกล้าขึ้นมาเต็มตัวไปหมดแล้วก็กำหนดดูว่าที่มันเกิดขึ้นมานี้ด้วยเหตุอันใด ก็ได้รู้ขึ้นมาว่า มันกลัวตายแล้ว จิตมันก็น้อมเข้าไปว่า เอ๊....การเกิดขึ้นมานี้แล้ว ใครเล่าจะไม่ตาย จะลี้ซ่อนอยู่ที่ไหนว่ามันจะไม่ตาย แล้วจิตมันก็น้อมไปหาผู้กลัวตายว่ามันอยู่ตรงไหน ผู้กลัวตายก็ค้นหาลงไปตั้งแต่ผม ขน เล็บ ลงไปจนถึงมูตตังน้ำมูต กลับไปกลับมาอยู่ที่กายนี้สภาพจิตก็ไม่ไปไหน ก็เรียกจิตมีสมาธิความตั้งมั่นดี เพราะจิตมันกลัวตาย อยู่ตรงไหน หาที่ไหนก็ไม่เห็น เห็นแต่ตัวที่มันตาย ตัวที่มันตายกลับไม่กลัว ตัวไม่ตายกลับกลัวตาย ก็คือจิตวิญญาณนั่นเอง จิตตัวนี้เองที่มันกลัวตาย ผู้ตายไม่กลัว ผู้กลัวไม่ตายแล้วก็เห็นนิมิตว่ารูปกายของเรานี้นอนตายอยู่ข้างหน้าห่างจากที่นั่งสมาธินั้นประมาณสองเมตร เราเองก็ได้รับการอบรมมาจากหลวงปู่คำดีมามากแล้วพอสมควร เราก็จึงได้กำหนดลอกหนังของตัวเอง เอาหนังไปกองไว้ที่หนึ่ง แล้วกำหนดปาดชิ้นเนื้อเอาไปไว้ที่หนึ่ง กำหนดปาดกระดูกไปกองไว้ที่หนึ่ง กำหนดปาดตับไตไส้พุงเอาไปกองไว้อีกที่หนึ่ง แล้วก็หมดแล้วทีนี้ แล้วก็กำหนดก่อเชิงตะกอนขึ้นมา ก็เห็นเชิงตะกอนขึ้นมา แล้วก็กำหนดเอาอวัยวะทั้งหลายที่ปาดกองไว้นั้นสู่เชิงตะกอน แล้วก็กำหนดเอาไฟเผา ตอนนี้กำหนดอย่างไรไฟก็ไม่ติด ก็มีตาปะขาวคนหนึ่งมาช่วย ขนเอาอวัยวะต่างๆ นั้นมาใส่ครกตำ พอตำไปตำมาก็เห็นเป็นขี้เถ้าไปหมด ตรงนี้ก็เห็นแต่จิตดวงเดียวที่มีแสงสว่างอยู่ที่ตรงหัวอกนี้ ใสเหมือนกับหลอดไฟลูกตุมกา ( หลอดไฟกลม ) นั้นอยู่ตลอดมา จะมีผู้คนจะไปจะมาก็รู้ได้หมด จะมีเหตุเกิดขึ้นแก่ตัวก็รู้ได้ตรงนี้เหตุที่จะเกิดขึ้นก็รู้ได้ว่าจะช้าหรือเร็วนั้น จะสังเกตได้ตอนเห็นนิมิต นิมิตตอนหัวค่ำนี้จะนานเป็นเดือน ถ้านิมิตในตอนเช้าก็จะเร็วขึ้นประมาณอาทิตย์และไม่เกิน 3 วัน ลักษณะบุคคลที่จะมาหานั้น ให้ดูสีเครื่องแต่งตัวของคนนั้น เขาจะทำกับเราได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่นิมิตนั้น ตัวเราเองก็ได้จำพรรษาที่วัดป่าบ้านบะฮีนั้น 2 พรรษา คือปี 2506-2507 พออยู่ต่อมาก็ไม่รู้ว่ากี่เดือน ก็ได้เห็นนิมิตมีพระเถระองค์หนึ่งเอาแก้วมาให้ แก้วนั้นเป็นแก้วที่วิเศษมาก พอเราออกจากสมาธิแล้ว ก็เปิดไฟส่องดู ก็เห็นเป็นก้อนหินอยู่ข้างนอกที่นอนก็เลยเอาขว้างทิ้งเข้าป่าไปตั้งแต่วันนั้นแหละโดยไม่รู้ว่าเป็นพระธาตุหรือไม่ แต่ที่วัดนั้นวันดีคืนดีจะมีแสงออกมาลอยเคลื่อนที่ไปมา แล้วก็ได้นิมิตเห็นเทพเจ้าองค์หนึ่งนั่งอยู่หง่าคบ ( คาคบไม้หรือกิ่งไม้ที่แตกออกจากลำต้น แนวขนานกับพื้นดิน คนสามารถขึ้นไปนั่งได้ ) ของต้นรังที่ติดกับพระเจดีย์นั้น อยู่มาวันหนึ่งได้ไปช่วยงานปั้นดินอิฐสร้างกุฏิของหลวงปู่แว่น ที่บ้านบัว ถ้ำพระสบาย อ.พรรณานิคม จ. สกลนคร
#ธรรมะโอสถ
อยู่ช่วยงานได้ประมาณสักเดือนกว่าๆ ก็กลับวัดป่าบ้านบะฮี ทีนี้เกิดโรคกระเพาะขึ้นมาอย่างแรงทีเดียว เพราะว่าฉันหน่อไม้เปรี้ยว หลวงปู่แว่นท่านเอาอาหารมารวมกันหมด เราเลือกทานไม่ได้ พอมาถึงวัดแล้วก็มีแต่ถ่ายท้อง ท้องร่วงอย่างแรง โยมได้นิมนต์ไปตรวจโรคที่โรงพยาบาล อ.พรรณานิคม หมอบอกว่าเป็นโรคกระเพาะอย่างแรง หลวงพี่ต้องสึกจึงจะหาย หมอเขาให้ยามาฉัน แต่โรคนั้นก็ไม่ทุเลาลง มีแต่กำเริบขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งนั้นเป็นวันพระ ได้เทศน์อบรมญาติโยม แล้วก็ได้ขอลาญาติโยมไปพักที่กุฏิ ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ในใจว่า....ถ้าหากข้าพเจ้านี้ มีบุญวาสนาที่จะได้ช่วยพระพุทธศาสนาอยู่นั้น ก็ขอให้โรคนี้หายไปเสีย ถ้าหากว่าไม่มีบุญวาสนาที่จะไม่ได้ช่วยพระพุทธศาสนานั้น จะตายก็ขอให้ตายในผ้าเหลืองนี้ อย่าไปตายนอกผ้าเหลืองเลย... พออธิษฐานจบแล้ว ประมาณสักเที่ยงคืนเท่านั้นก็ได้เห็นตาปะขาวเอายามาให้สามเม็ด แล้วเราก็ได้ทานยานั้นลงไป ก็ปรากฏว่ามันเย็นลงไปตั้งแต่ลำคอนี้ซาบซ่านไปหมดทั้งตัว โรคกระเพาะก็ได้หายตั้งแต่คืนนั้นและมาจนถึงทุกวันนี้ ต่อมาไม่กี่วันก็มีตาปะขาวคนเก่านั้น ได้เอาหนังสือพระไตรปิฎกชนิดใบลานนั้นมาให้อ่านดู ตัวเราเองก็ได้ให้ตาปะขาวนั้นอ่านให้ฟัง ตาปะขาวก็ตอบว่าผมอ่านไม่ได้ ขอให้ท่านอ่านเอาเอง เราก็ได้อ่านดูว่า
....อาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น ได้เป็นนกเจ่าแก้วเข้าสู่เมืองทอง ฝูงหมู่นกน้อยนอนกองกันตาย นำลูกระเบิด ไผผู้เปิดโลกได้เห็นแจ้งพระนิพพาน.... ( นกเจ่าแก้ว คือ นกยาง นำลูกระเบิดหมายถึง ตายด้วยลูกระเบิด ไผผู้เปิดโลก หมายถึง ใครผู้เปิดโลก )
ที่วัดป่าบ้านบะฮีนี้ ที่อยู่มาก็รู้สึกว่าเป็นมงคลดีสำหรับนักปฏิบัติ ถ้าเอาใจใส่ในการภาวนา สถานที่ก็เป็นมงคล ชาวบ้านก็เป็นมงคล ในเรื่องปัจจัยสี่ก็พอเป็นไปได้ แต่สมัยปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ในระหว่างที่เราอยู่ที่นั่นรู้สึกว่าดีมาก ได้นิมิตเห็นญาติโยมมาหาทุกสานุทิศ เห็นเอาต้นเงินต้นทองมาด้วย แต่คนอื่นไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เฉพาะในเรื่องนี้มันเกี่ยวแก่บารมีของใครของมัน ที่ตัวเราเองไม่อยู่ในครั้งนั้นก็เพราะว่าในฤดูแล้งน้ำก็อดๆ อยากๆ เฉพาะน้ำในตุ่มนั้นก็ไม่มีขาด แต่ก็เห็นอกเห็นใจชาวบ้านกลางคืนดึกดื่นก็พากันตักน้ำอยู่กลางทุ่งนั้น ในคราวที่เราจากเขามาญาติโยมก็พากันร้องห่มร้องไห้กันทุกคน มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เวลานอนกลางคืนได้ฝันว่า เห็นตัวเราเองไปลาโยมคนนั้นว่า อาตมาจะขอลาไปก่อนนะพอได้ยินเสียงดังนั้น ก็ร้องไห้ขึ้นมาทันทีจนแตกตื่นกันทั้งบ้านเลย
สู่จันทบุรี (พรรษาที่ 4-5 พ.ศ. 2508-2509)
พอต่อมาไม่กี่วัน ก็มีอาจารย์จันทร์ดา กสฺสโป ที่กลับมาอยู่ที่บ้านดอนแคน กุมภวาปี นี้ ได้เขียนจดหมายส่งไปให้กลับมาหาท่าน ว่าอาจารย์จะพาไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ แล้วลงไปที่จันทบุรี เมื่อเราได้อ่านจดหมายอาจารย์แล้ว ตอนเช้าฉันอาหารเสร็จแล้วก็ได้พูดกับญาติโยมว่า อาจารย์จะพาไปเที่ยวกรุงเทพ แล้วลงไปจันทบุรี เพราะว่าท่านอาจารย์จันทร์ดา ท่านได้พูดคุยกับท่านอาจารย์บุญจันทร์แล้ว อาจารย์บุญจันทร์ก็อยู่วัดป่าชัยวรรณขอนแก่น พอด็ยินคำนี้ญาติโยมก็พากันร้องไห้ ตัวเราเองก็ได้ปลอบใจญาติโยมว่า ถ้าหากว่าฟ้าใหม่ฝนใหม่ตกลงมาแล้วก็อาจจะกลับมาหาอีกเพราะอยู่ไปก็ยากลำบากกับน้ำ อาตมาเองก็สงสารคนตักน้ำให้ ตัวของอาตมาเองพรรษาก็ยังอ่อนอยู่ ยังไม่เหินห่างอาจารย์เท่าไรนัก เมื่อพูดอย่างนี้แล้วญาติโยมเขาก็อนุญาตให้เราไปกับอาจารย์ เราเองก็ได้มาหาอาจารย์ที่วัดป่าบ้านดอนแคนนั้น แล้วต่อมาก็ลงไปที่ขอนแก่น วัดป่าชัยวรรณประมาณสักเดือน แล้วอาจารย์จันทร์ดากับอาจารย์บุญจันทร์ก็เรียกหมู่ที่จะไปด้วยกัน ก็มีอยู่ด้วยกันแปดองค์ แม่ชีสองคน แล้วก็สัญญากันว่า ถ้าไม่ถึงแปดปีจะไม่ให้แยกจากกันถ้าใครจะไป ต้องมารับคำสาบานกันเสียก่อแล้วจึงไป ทุกองค์ก็ต้องมารับด้วยกันหมด ถ้าหากใครหนีก่อนคนนั้นก็ต้องมีอันเป็นไป แล้วก็พากันเดินทางลงไปที่กรุงเทพฯ ได้ไปพักอยู่ที่วัดหลวงพ่อวิริยัง วัดธรรมมงคล ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วก็ได้มาพักอยู่ที่วัดเกาะแก้วของหลวงพ่อเจี๊ยะได้ประมาณอาทิตย์หนึ่งแล้วก็ได้ไปที่วัดเขาตรานก ต. เขาบายศรี อ. ท่าใหม่ จ. จันทบุรี ก็ได้จำพรรษาที่นั่นสองปี ที่เราได้มาพักอยู่ที่วัดนี้ได้ประมาณสักอาทิตย์ ก็ได้นิมิตเห็นบุคคลคนหนึ่งแบกไม้ยางมาทั้งต้น เพื่อจะเอามาทับตัวเรา แต่ไม้ยางขอนนั้นไม่สามารถที่จะออกจากบ่าเขาคนนั้นได้ แม้แต่ตัวเราเองเข้าไปจับยกออกจากบ่าเขาก็ยังเอาออกไม่ได้ บ่าของเขายังติดอยู่กับไม้นั้น อันนี้คือตัวทิฐิของเขาไม่ยอมปล่อยวาง พอต่อมาก็นิมิตเห็นไฟในวัดลุกลามออกไปไหม้ในบ้าน เห็นไฟในบ้านลุกลามเข้ามาในวัด แต่ก็ทำอะไรกับเราไม่ได้มีแต่เอาอัปราชัยไป เหมือนพวกพญามารไปต่อสู้กับพระพุทธเจ้าอย่างไรก็เหมือนอย่างนั้น การที่เราได้อยู่จำพรรษาที่วัดนี้สองปี การภาวนาก็ไม่เป็นไปมีแต่ความง่วงเหงาหาวนอนอยู่เป็นนิจ เพราะว่ามันเกี่ยวกับอาหาร ส่วนญาติโยมเขาก็กินเหล้าเป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งในวัดก็ยังเอามากิน ศีลก็รับเหล้าก็เอามากิน อันนี้เราได้มามาปลงธรรมสังเวชตัวเราเองว่า ถ้าหากพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ต้องติเตียนเรามากทีเดียว ก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งเข้าไปหาเราเขาพูดกับเราว่า ท่านๆ....ท่านบวชแต่เมื่อยังเป็นหนุ่มอยู่ มันเป็นบาปนะ เราก็ถามเขาว่ามันเป็นบาปอย่างไร เขาก็ตอบว่าสัตว์ทั้งหลายเขาไม่ได้เกิดกับท่าน ตัวเราก็สวนเขาไปว่า อาตมานี้ไม่ใช่ผู้หญิง อาตมาเป็นผู้ชาย จะให้เขาเกิดที่ไหน เข้าที่ไหน ออกที่ไหนมันไม่มีที่จะเข้า เข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหาร ตัวตืด(พยาธิ)ก็จะซ้อม (เจาะ,ห้อมล้อม)กินหูกินตาไปหมดละซิ พอเราตอบไปอย่างนี้ ดูหน้าดูตาเขาก็หน้าแดงไปหมด บุคคลนี้เขาถือพระเยซู
มีอยู่คืนหนึ่ง ได้นิมิตไปสถานที่ในป่าแห่งหนึ่ง ได้เห็นพระประธานองค์หนึ่ง เป็นพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เห็นบุคคลเขาไปกราบไหว้แล้ว ปรารถนาอันใดก็ได้สมประสงค์ทุกคนไป ตัวเราเองก็ได้เข้าไปกราบไหว้แล้วปรารถนาว่า ....ขอให้ข้าพเจ้านี้ได้ช่วยประกาศพระศาสนานี้ ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ขอจงอย่าได้ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมาอิจฉาพยาบาทแก่ข้าพเจ้าเลย ถ้าใครมาอิจฉาก็ขอให้บุคคลนั้นจงมีอันเป็นไปเทอญ......ท่านก็ได้ให้พรแก่เราว่า เอวัง โหตุ เอวัง โหตุ เอวัง โหตุ ถึงสามครั้ง แล้วเราก็ได้กลับออกมา แล้วก็ได้เห็นตามความประสงค์ของเรา ต่อมาไม่นานก็มีหลวงตาองค์หนึ่ง ช่างเอาเรื่องในบ้านเข้ามาในวัด เอาเรื่องในวัดออกไปในบ้าน แต่ญาติโยมบางคนก็เข้าใจได้ดีในเรื่องนี้ ญาติโยมเขาก็ฟังดูพฤติการณ์ของหลวงตาองค์นั้น พอเห็นท่าจะไม่ไหวแล้ว พระอาจารย์บุญจันทร์ก็ได้พาไปเที่ยวที่เกาะหมากได้ประมาณหนึ่งเดือน
#ได้พบหลวงพ่อหนู
ก็ได้ขึ้นมาที่ลำปาง ในงานศพของพ่อสล่า กองแก้ว (คำว่าสล่า หมายถึง คนเป็นช่าง เช่น ช่างไม้ ช่างก่อสร้าง ) พ่อของอาจารย์ไพบูลย์ แล้วก็ได้พบหลวงพ่อหนูเป็นครั้งแรก หลวงพ่อหนูก็ได้ถามว่า ท่านเดิมอยู่ที่ไหน เราก็ตอบว่าอยู่ที่จังหวัดเลย หลวงพ่อหนูก็บอกว่า หลวงปู่แหวนก็คนจังหวัดเลย ก็อยู่กับผมที่ดอยแม่ปั๋งนั่นแหละ พอหลวงพ่อหนูพูดให้ฟังอย่างนี้แล้วก็อยากไปกราบไหว้หลวงปู่แหวน ตัวเราเองก็ได้ไปกราบหลวงปู่บุญจันทร์เพื่อขออนุญาตจากหลวงปู่บุญจันทร์ ว่าอยากอยากจะไปกราบหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ปั๋งกับพระอาจารย์หนู หลวงปู่บุญจันทร์ท่านก็อนุญาตให้ไปกับหลวงพ่อหนูวัดดอยแม่ปั๋ง พอตกกลางคืนมาก็ได้นิมิต เห็นหลวพ่อหนูได้พาไปที่วัดดอยแม่ปั๋ง แล้วเวลาไปบิณฑบาต ท่านก็ชี้บอกบ้านของคู่บารมีเรา ว่านี่เขาอยู่ตรงนี้ เราเองก็แปลกใจ ทำไมจึงมานิมิตอย่างนี้ แต่เราเองก็คิดอยู่ในใจว่ามันจะเท็จจริงแค่ไหน เมื่อเราเดินทางไปกับหลวงพ่อหนูแล้วก็ได้ไปพักอยู่ที่วัดสันติธรรมเชียงใหม่คืนหนึ่ง ตอนเช้าฉันอาหารเสร็จแล้วก็ขึ้นรถโดยสารไปทางเชียงดาว เข้าอำเภอพร้าว
#พบองค์หลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ
แล้วก็เดินเท้าเข้าไปที่แม่ปั๋ง พอถึงวัดแล้วก็ได้สรงน้ำหลวงปู่แหวนแล้วก็ได้สนทนากับหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนพูดว่า “แม่ของผมก็คนบ้านนาอ้อนั้น และอยู่แถวคุ้มนั้น...” และเราเอง (หลวงพ่อทวี) ก็ตอบท่านว่า “ยายของกระผมก็อยู่นั่นแหละชื่อแม่บุตรา” หลวงปู่แหวนก็พูดต่อว่า... “น้าของหลวงปู่ก็อยู่ตรงนั้น ที่ไปรับเอาผมกลับมาในคราวนั้นเมื่อผมไปถึงบ้านแล้วผมก็ป่วย แต่ไม่มีใครมารักษา เฮาก็คิดอยู่ในใจว่า เมื่อกูหายแล้วจะหนีไป ไม่มาเหยียบมันซ้ำอีกหลอก บ้านเนี้ย ผมก็เลยไม่ไปมันเท่าทุกวันนี้...” อันนี้หลวงปู่แหวนท่านพูด หลวงปู่แหวนท่านก็ถามหลวงพ่อหนูว่าเอาทวีไปไว้กุฏิไหน หลวงพ่อหนูตอบว่า เอาไปทดลองกุฏินั้นเสียก่อนจะอยู่ได้ไม่อยู่ได้ในคืนนั้นไม่มีอะไรปรากฏขึ้นเลย พอตื่นเช้ามาก็ไปบิณฑบาต เราเองก็สังเกตดูว่าในนิมิตที่อยู่ลำปางนั้นเท็จจริงแค่ไหน เราก็ดูไปตามทางนิมิตนั้น มันเหมือนกับว่าเรามาเห็นไว้ก่อนแล้ว อะไรก็ไม่ผิดสักอย่าง ผู้หญิงสาวคนนั้นก็ลงมาใส่บาตรพอดี ส่วนจิตใจของเราในตอนนั้นมันก็มิแปลกแตกต่างอะไรก็ยังเป็นธรรมดาอยู่ ที่เราพักอยู่กุฏินั้นคืนหนึ่งก็ไม่มีอะไร คืนสองก็ไม่มีอะไร คืนที่สามนี้ได้นิมิตเห็นบุคคลทั้งหลายนั่งอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่ต้นไทรไปจนถึงหน้ากุฏินั้น เขาพากันนุ่งขาวห่มขาวกันทุกคนแล้วมีป้ายติดอยู่ที่หน้าอกนั้นทุกคน เราก็ได้อ่านว่า มีแต่ ช.ม. ทั้งนั้น (ช.ม. หมายถึง เชียงใหม่) แล้วเขาก็ได้นิมนต์ให้เราอยู่ช่วยบูรณปฏิสังขรณ์ เพราะว่าวัดนี้มีความทรุดโทรมมาก พวกกระผมจะช่วยเอง พวกกระผมจะพากันหามาให้ ขอให้ท่านช่วยเป็นภาระให้พวกกระผมด้วย เขาก็เอาทรัพย์มากองไว้อยู่ตรงหน้านั้นเท่ากับจอมปลวกใหญ่ๆ เขาพูดว่าอันนี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งยังมากกว่านี้เราเองก็ตอบรับเขาว่า ถ้าอย่างนั้นอาตมาเองก็จะรับเป็นภาระให้ พอเรารับนิมนต์เขาแล้ว เขาก็หายไปเลยเราเองขึ้นไปอยู่ดอยแม่ปั๋งครั้งแรกเดือนพฤศจิกายนหรือว่าเดือนธันวาคม 2509 เพราว่าในวันปีใหม่ ได้นิมิตเห็นไฟไหม้บ้านญาติตัวเองที่แถวตลาดวโรรสและตลาดลำไยนั้น พอถึงเดือนมีนาคม 2510 ก็ได้นิมิตเกี่ยวกับคู่บารมีเจือเข้าทุกๆ วัน (บ่อยๆ เข้าทุกวัน) คืนหนึ่งก็นิมิตเห็นพญานาคมาขอกินเรา อีกคืนหนึ่งก็นิมิตเห็นควายตัวเมียมาไล่กวด อีกคืนหนึ่งก็นิมิตเห็นไฟไหม้กุฏิ ไหม้จีวร บิณฑบาตมา เขาเอาไปกินหมด ไม่เหลืออะไรสักอย่างเลย เราเองก็คิดตรึกตรองอยู่ในใจว่าถ้าเราขืนอยู่นี่ก็ต้องสึกแน่ๆ เพราะเวลาบุญวาสนามันเข้าหากันแล้วคงหลีกไม่พ้น เราเองจำเป็นต้องหนีไปให้มันห่างไกลเสียก่อน พอให้เขาได้มีสามีก่อน แล้วจึงกลับมาช่วยเทพเจ้าเขาที่เราได้รับนิมนต์เอาไว้แล้ว เมื่อถึงตอนค่ำแล้วหลังจากกวาดวัดสรงน้ำเสร็จแล้วก็เข้าไปหาหลวงปู่แหวนและหลวงพ่อหนู แต่เราก็ไม่ได้เปิดเผยในนิมิตนั้นให้หลวงปู่ฟัง เพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวจึงเก็บความลับเอาไว้ ตัวเราเองก็ได้สอบถามหลวงปู่แหวนว่า หลวงปู่ได้เที่ยวธุดงค์ไปในที่ต่างๆ มีที่ไหนบ้างว่าเป็นสิริมงคลแก่เราผู้ปฏิบัติ หลวงปู่ท่านก็แนะนำให้ว่า ที่ป่าเมี่ยงแม่สายก็ดี อยู่ป่าเมี่ยงแม่ปั๋งก็ดี หลวงปู่แหวนท่านพูดว่า “ป่าเมี่ยงแม่สายนี่ พวกภูมิเขาเก่งนะมันฆ่าพระตายไปแล้วองค์หนึ่ง” เราเองก็ย้อนถามหลวงปู่ว่า ทางไหนที่ไปป่าเมี่ยงแม่ส่าย หลวงพ่อหนูท่านก็ช่วยชี้แนะนำหนทางให้ หลวงพ่อหนูก็พูดกับหลวงปู่แหวนว่า “ตุ๊วี (พระวี) มันกลัวผีแล้ว มันจะไปแล้วนะหลวงปู่” หลวงปู่ก็พูดว่า “จะไปก็ไปเสียก่อน อยากจะกลับก็ค่อยมาที่หลัง” พอหลวงปู่พูดอย่างนั้นแล้วเราก็โล่งอกโล่งใจไปมากทีเดียว พอตอนเช้าฉันอาหารเสร็จแล้วเราก็เตรียมจะไป จะไม่บอกให้หญิงสาวคนนั้นรู้ ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมันรู้ได้อย่างไรก็ไม่รู้ พอเราสะพายบาตรออกจากกุฏิ เราจะไม่ให้มันเห็น มันก็เห็นเราจนได้ มันซ่วนลัดทางข้างหน้า (พยายามดักหน้า) นั้นพอดี ผูหญิงคนนั้นมันก็มานั่งร้องไห้อยู่ที่นั้น เราเองก็พูดปลอบใจหญิงคนนั้นว่า “โลกนี้มันกลมเหมือนกับล้อรถนั่นแหละ มันก็ไปก็มาอยู่ ถ้าไม่ตายจากไปก่อนก็คงจะได้พบกันอีกครั้ง เวลานี้อยากไปหาภาวนาเสียก่อน”แล้วเขาก็กราบไว้ แล้วก็หันหน้าเช็ดน้ำตากลับไปไม่พูดอะไร จิตของเราตอนนี้มันเห็นแต่กองทุกข์ ถ้ามีครอบครัว
ป่าเมี่ยงแม่สาย (พรรษาที่ 6 พ.ศ. 2510)
เราธุดงค์เลาะตามขุนห้วยแม่สูน ขึ้นไปจนถึงสุดยอดแม่สูน ข้ามดอยผาข้างเคียงลงก็ถึงป่าเมี่ยงแม่สายพอดีค่ำ ในปี 2510 ได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าเมี่ยงแม่สายนั้น ในเดือนเมษานั้นก็ได้นิมิต ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 16-17 ปี พากันร้องไห้ขึ้นมา ก็มีเสียงออกมาว่า ขอให้ท่านออกไปจากที่นี่ ถ้าท่านไม่หนีท่านก็ต้องตายในวันออกพรรษานั้น และตัวเราเองก็คิดอยู่ในใจว่า เราจะตายหรือว่ากิเลสมันจะตาย เราเองก็ได้ตัดสินใจจำพรรษาแล้ว นั่นเพราะว่ามีผู้มาเตือนเราแล้ว เราก็ต้องรีบเร่งทำความเพียรให้แก่กล้าขึ้นไปอีกเรื่อยๆ โดยไม่ต้องนิ่งนอนใจ การประพฤติปฏิบัติในทางสมาธิจิตก็ลงได้ง่าย ปัญหาก็เกิดได้ดี พิจารณาในอาการสามสิบสองก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ดี วันหนึ่งเรากำลังเดินจงกรมอยู่ ตอนหัวค่ำก็ได้พิจารณาในเรื่องนิมิตที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นของจริงอยู่ทุกครั้ง แต่เรื่องของกิเลสตันหาในทางจิตใจของเราก็ยังมีอยู่มาก นิมิตนี้มันก็ใช่ของจริง แต่มันเป็นแต่ของใช้ของเล่นของสมณะเท่านั้น เราจะไปสำคัญเป้าหมายเอาว่าเราเป็นผู้รู้เป็นพระอริยะเจ้า ไม่ใช่นะ เราดูกิเลสที่มันเกิดขึ้นจากจิตจากใจของเรานี้มันยังมีอยู่ทั้งนั้น พอเราพิจารณาอยู่อย่างนี้ อาการความร้อนก็ปรากฏร้อนขึ้นมาพื้นเท้าไปจนถึงบนศีรษะ เราก็พิจารณาเข้าไปเรื่อยทีนี้ความร้อนที่อยู่บนศีรษะก็ลดลงมาเรื่อยๆความเย็นนั้นก็ตามลงมาจนถึงปลายเท้า สภาพจิตตัวนี้มันก็มีแต่ความสุข ไม่มีความเดือดร้อนอะไรเลย จิตมันอยู่คนละโลกกับเมื่อเรายังมีกิเลสอันหนาแน่นอยู่ สภาพจิตที่เรามีกิเลสอยู่บนหัวใจเรานี้ มันเหมือนกับว่าตัวเราเป็นคนรับใช้เขาหรือเป็นทาสเขานั่นเอง หรือว่าอีกอย่างหนึ่ง เหมือนช้างกับควาญช้างนั่น เมื่อควาญช้างมันอยากจะไปทางใด ควาญช้างก็จะไสคอช้างให้ไปทางของควาญช้างนั้นจิตใจที่มีกิเลสอยู่ในหัวใจนั้น ใครจะว่ามันมีความสุขเล่า มีแต่ปุถุชนเท่านั้นว่ามีความสุข ส่วนพระอริยะเจ้านั้นจะเห็นว่ามันเป็นทุกข์อย่างเดียว หนึ่งไม่มีสองคืออริยะสัจธรรมทั้งสี่นั้น มันเป็นของจริงโดยแท้
#บริสุทธิ์เพราะธรรม
ต่อไปนี้เราจะต้องวัดดูจิตใจของเราให้รู้แน่ เราจะเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัดดูในดวงขจิตดวงใจของเราเล่า เครื่องวัดก็คือ กุศลมูลห้า อกุศลมูลห้า กุศลมูล คือ จิตเป็นกุศล อกุศลมูล คือ จิตที่เป็นบาป นี่เป็นเครื่องวัดดูจิตใจของเรากุศลมูลห้าอย่างได้แก่อะไร คือ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง ความไม่มีจิตใจแข็งกระด้าง เป็นบุคคลที่มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ส่วนที่เป็นอกุศลมูลห้าอย่างนั้นคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นผู้มีมานะแข็งกระด้าง ความเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิเห็นผิดเป็นถูกนี่เป็นฝ่ายอกุศลมูล
#ต่อไปเราจะต้องวัดความลึกซึ้งของจิต
ข้อที่ 1 เมื่ออดิเรกลาภเกิดขึ้นแก่เราแล้ว สภาพจิตนั้นมีความยินดีอยู่หรือไม่ หรือว่าจิตของเรามันเฉยๆ อยู่ ถ้าจิตของเรายังมีความยินดีอยู่ ก็เรียกว่าจิตของเรายังมีกิเลสอยู่ ถ้าจิตของเรามันเฉยๆอยู่ ไม่มีความกระตือรือร้น ก็เรียกว่าจิตขงเรามันหมดจากตัวโลภะ
ข้อที่ 2 คือความโกรธ ถ้าหากว่าเมื่อจิตของเราไปประสบเหตุการณ์ขึ้นมา ถูกเขาด่าเขาว่าเรา หรือว่า เขาใส่ร้ายป้ายสีเราอะไรต่างๆ นานา จิตของเรามันแสดงความโกรธขึ้นมาให้เห็นหรือไม่ หรือว่ามันเฉยๆ อยู่ถ้ามันแสดงความโกรธขึ้นมาก็ เรียกว่าจิตของเรายังมีกิเลสอยู่ ถ้าจิตของเรามันเฉยๆอยู่ มีแต่คิดเมตตาสงสารเขา เห็นเขาสร้างบาปกรรมอันนี้เอาไว้ใส่ตัวเองหนอ ถ้าจิตของเราเห็นเป็นเช่นนี้ เรียกว่า จิตของเราหลุดพ้นจากความโกรธแล้ว
ข้อที่ 3 ก็คือตัวความหลง คือความไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อผลของกรรมนั่นเอง เอาแต่จะได้จะมีอย่างเดียวเท่านั้นไม่คิดถึงกรรมที่จะตามมาภายหลังเมื่อเราเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรมแล้ว ก็เรียกว่า เราละความหลงได้แล้ว
ข้อที่ 4 คือตัวมานะ ความถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะ จิตใจแข็งกระด้าง เราเห็นบุคคลอื่นที่เขาอาวุโสกว่าหรือว่าภันเต เรามีจิตใจต่อบุคคลเหล่านั้นอย่างไร เมื่อจิตใจเราทำตัวตีเสมอท่านหรือว่าข่มเหงรังแกท่านเหล่านั้นอยู่ก็เรียกว่าจิตของเรามีกิเลสอยู่ เมื่อจิตของเรามีความเคารพในผู้ที่แก่กว่าเราๆ ก็ถือว่าเป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่มีอายุเสมอกับเราๆ ก็เรียกว่าสหายของเรา ผู้ที่อ่อนกว่าเราก็ถือว่าเป็นน้องหรือว่าเป็นลูกของเรา มีจิตใจอยู่ด้วยความเคารพในกันและกันอยู่ อย่างนี้ก็เรียกว่า ผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม
ข้อที่ 5 ความเป็นมิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นถูกเห็นถูกเป็นผิด โดยไม่ใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อนแล้วจึงเชื่อ เมื่อเขาเห็นถูกก็ว่าถูกไปตามเขา เขาเห็นผิดก็ว่าผิดไปตามเขา อันนี้เขาเรียกว่างมงาย คนเช่นนี้เรียกว่าเอาตัวไม่รอด
#ภูติ
พออยู่มาถึงวันออกพรรษาในวันเพ็ญเดือนสิบเอ็ดนั้นก็ได้ทำอุโบสถปวารณาออกพรรษา แล้วก็ได้ลาหมู่พวกไปที่กุฏิ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจจะดูความตายว่ามันจะเป็นอย่างไร ตอนหัวค่ำนั้นก็ได้เดินจงกรมอยู่ประมาณสักชั่วโมง แล้วก็ขึ้นไปบนกุฏิ ไหว้พระสวดมนต์ เข้านั่งสมาธิได้ประมาณสักชั่วโมงก็ได้ยินเสียงขึ้นมาในหูว่า..กูจะฆ่ามันให้ตายละวันนี้ เสียงพูดอยู่อย่างนี้ตลอดที่พื้นกุฏินั้น พร้อมทั้งเอาหลังดันกุฏินั้นจนแป้นพื้น (กระดานปูพื้น) นั้นดังอัดๆ แล้วก็เห็นในนิมิตนั้น รูปร่างนั้นใหญ่สูง ตัวแดงเหมือนฝรั่งเราเองก็เพ่งดูจิตอยู่ตลอดไม่ขาด ว่ามันจะทำอะไรกับเราในเวลาไหน ต่อมาก็ได้ยินเสียงขึ้นไปบนกุฏิๆ ก็สั่นสะเทือนไปหมด จิตขิงเราก็เพ่งดูตัวมันอยู่ตลอด มันก็พูดอยู่แต่ว่า กูจะฆ่ามันละวันนี้ อย่างนั้น แต่ก็ไม่เห็นมันทำอะไรกับเรา ตัวเราเองก็รำคาญก็จึงได้แผ่เมตตาให้ มันก็ยังไม่รับ เราเองก็ระลึกได้ที่เราดูในพระไตรปิฎกในเรื่องของพระยาเวสสุรรณนั้น ได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า หมู่ของพระสาวกของพระองค์ได้ไปประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่าย่อมมีพวกภูติทั้งหลาย บางตนก็มีจิตใจโหดร้ายมาก บางตนก็มีจิตใจดีต่อพวกสมณะ แต่ละบุคคลก็ไม่เหมือนกันถ้าหากว่าภูติพวกไหนมีจิตใจโหดร้ายกับสมณะก็ให้สมณะเหล่านั้นท่องบ่นสาธยายมนต์ของข้าพระองค์นี้เถิดพระเจ้าข้าพระพุทธเจ้าก็ถามคาถามนต์ของพระยาเวสสุวรรณนั้นว่าอย่างไร พระยาเวสสุวรรณก็เล่าคาถานั้นให้ฟังว่า คาถา อาฏานาฏิยะปะริตตังคาถา วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะสิริมะโต.......ผู้เขียนบอกไว้แต่หัวข้อเท่านั้นผู้ที่จะท่องบ่นสาธยายให้จนจบนั้นให้ไปหาเอาในเจ็ดตำนาน และผู้เขียนก็ได้สวดพระคาถานี้ แล้วภูติตัวนั้นก็ได้ร้องขึ้นมาโดยทันทีว่า..ผมกลัวแล้วๆ ๆ...แล้วก็กระโดดกุฏินั้นลงไป วิ่งไปหาต้นทองหลางที่มันอยู่นั่นได้ยินเสียงมันบ่นพึมพำว่า...กูนี่ตายแล้ว กูจะต้องได้รับโทษแล้ว.. เราเองก็ได้ต่อสู้กับภูติตัวนั้นจนถึงตีสองมันจึงพ่ายแพ้เราไป ภูติตัวนี้มันฆ่าพระมาองค์หนึ่งแล้ว คือพระอาจารย์มหาทองสุด ที่เป็นพี่ชายของอาจารย์ประสิทธิ์ที่เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดนั้น ในปัจจุบันนี้เอง พอเสร็จจากงานต่อสู้กับภูติตัวนั้นแล้ว
#ช่วยหลวงปู่บุญจันทร์
เราเองก็ได้ลงไปที่จันทบุรี ไปหาหลวงปู่บุญจันทร์อีก ได้ไปช่วยเย็บผ้ากฐินให้ท่าน พอรับกฐินแล้วไม่นาน พระหลวงตาองค์นั้นก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมา เอาไฟข้างนอกเข้ามาเผาในวัด ก็เลยมีเรื่องระหองระแหงกันขึ้นมา หลวงปู่บุญจันทร์ก็ได้พาขึ้นไปที่ลำปาง
วัดถ้ำแจ้ง ( พรรษาที่ 7 พ.ศ. 2511 )
ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้าแจ้ง บ้านสันต้นเปา ในปี 2511 เมื่อออกพรรษาแล้วอาจารย์ไพบูลย์ก็ได้นิมนต์มารับกฐินที่วัดรัตนวราราม อำเภอพะเยา ในตอนนั้นจังหวัดพะเยายังเป็นอำเภออยู่ วัดรัตนวรามนี้กำลังสร้างใหม่ๆอยู่ ตัวเราเองก็ได้อยู่วัดนี้จนถึงเดือนสี่เพ็ง ( กลางเดือนสี่ หรือวันเพ็ญเดือนสี่ ) เราก็ได้มารำลึกถึงพวกเทพพวกภูมิที่เขาได้นิมนต์เราเอาไว้นั้น ผู้หญิงคนนั้นเขาคงจะเอาสามี ( มีสามี ) แล้วกระมัง แล้วก็คิดถึงหลวงปู่แหวน เพราะท่านก็แก่แล้ว มีแต่หลวงพ่อหนูปฏิบัติอยู่คนเดียว เวลาหลวงพ่อหนูได้รับนิมนต์ไปที่อื่น หรือว่าหลวงพ่อหนูลงไปกรุงเทพฯ กลวงปู่แหวนก็ต้องอยู่คนเดียว
กลับสู่ดอยแม่ปั๋ง ( พรรษาที่ 8-25 พ.ศ. 2512-2528 )
ปี 2512 นี้ ได้ออกจากหลวงปู่บุญจันทร์ไปอยู่กับหลวงปู่แหวนตั้งแต่นั้นมาจนถึงปี 2528
ปี่ที่หลวงปู่แหวนมรณภาพ ในปี 2512 นั้นได้จำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋ง มีพระสี่องค์ด้วยกัน คือ หลวงปู่แหวน หลวงพ่อหนู ตุ๊ทวี ตุ๊กวาง ในพรรษาปีนั้นเกิดแปลกประหลาดขึ้นมา คงจะมีโชคลาภที่จะทำให้วัดดอยแม่ปั๋งนั้นมีความเจริญขึ้นมาแล้วกระมัง มีวันหนึ่งเราเองก็ได้ออกไปต้มน้ำตั้งแต่เช้ายังไม่สว่าง พอสว่างก็ไปทำกิจวัตรของปู่แหวน เสร็จแล้วก็ลงมาที่หอฉัน ได้ยืนพิงฝาที่หอฉันนั้นอยู่ ก็ได้ลงไปที่ล้างบาตร ก็ได้ไปประสบเอาเห็นดอกกล้วย ลำต้นมันแห้งตายมาแล้วไม่รู้ว่ากี่เดือน ทุกๆวันที่กำลังล้างบาตรอยู่นั้นก็ไม่เห็น เห็นแต่ก้านกล้วยที่มันแห้งนั้นเกาะอยู่กับต้นอื่นๆอยู่ ในวันนั้นได้เหลือบตาไปเห็น ก็เลยได้ไปบอกกับหลวงพ่อหนูว่า.... หลวงพ่อๆ จงมาดูดอกกล้วยนั่นซิ มันจะได้ศาลาใหม่ท่านกวางที่ยืนอยู่ด้วยกัน ก็พูดออกมาว่า “นั่นแหละมันขึด” (มันเป็นเสนียดจัญไร) หลวงพ่อหนูก็ตอบออกไปว่า “มันขึดที่ปากมันนั่นแหละ” หลวงพ่อหนูกับท่านกวางนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน ไม่ถูกจริตกันเอาเสียเลย แต่ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างนั้นแหละ พอต่อมาไม่นานก็มีพวกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาทอดผ้าป่าให้ ได้ปัจจัยประมาณ 8000 กว่าบาท ก็ได้เริ่มสร้างวิหารไม้หลังนั้นเป็นครั้งแรก กำลังปูพื้นวิหารอยู่นั้น เราเองตอนกลางคืนก็ได้นิมิตเห็นเป็นช้างเผือกมาเป็นฝูงเข้าไปกราบพระประธานที่วิหารนั้น เราเองก็ได้พูดกับหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ๆผมได้นิมิตเห็นช้างเผือกมาเป็นฝูงๆหมู่เข้าหมู่ออก” หลวงปู่ก็พูดว่า “เฮย....คนผู้หลักผู้ใหญ่เขาจะมา” เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ฉลองวิหารแล้ว ในต้นเดือนมกราคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปพักแรมที่เชียงใหม่ ท่านก็ได้เสด็จไปกราบหลวงปู่แหวนในปี 2514 นั้นเป็นต้นมาทุกๆพระองค์
เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ หลวงปู่ก็บอกว่า “หลังนั้นเสร็จแล้วก็ได้สร้างขึ้นอีกหลังหนึ่ง เป็นปูนนะทีเนี้ย” แล้วก็ได้สร้างจริงๆด้วย การก่อสร้างอะไรทุกสิ่งก็ปรากฏว่าในเรื่องปัจจัยนั้นไม่มีปัญหา มีแต่หลั่งไหลมาอยู่ตลอด การสร้างวิหารไม้หลังแรก หลวงพ่อหนูก็เริ่มทะเลาะกับคนงาน ผลสุดท้ายชาวบ้านที่มาทำงานช่วยนั้นก็หนีไปหมด ผลสุดท้ายก็เหลือแต่เรากับหลวงพ่อหนู เมื่อไม่มีใครที่จะดุจะด่า ก็มาดุมาด่ากับเรา เราเองก็ได้หนีมานอนพักที่กุฏิ พอถึงเวลาทำกิจวัตรของหลวงปู่แล้ว ก็ไปทำกิจวัตรหลวงปู่ ละให้หลวงพ่อหนูทำงานอยู่คนเดียว มีวันหนึ่งหลวงพ่อหนูทำงานคนเดียว เกิดพลั้งเผลอไปหลงจับไม้ที่ตีเพดานอยู่นั้นเกือบพลาดตกลงมา แต่มือก็คว้าจับไม้ไว้ทัน เมื่อหลวงปู่ได้รู้เรื่องเข้าท่านก็พูดออกไปว่า สอนแต่คนอื่นให้มีสติแต่ตัวเองก็ไม่มีสติ มีแต่สอนคนอื่นตัวเองไม่ทำตาม ตัวเราเองเมื่อหายจากความรำคาญแล้วก็จึงไปช่วยทำการก่อสร้าง ต่อมาก็ได้จ้างเหมาให้ชาวบ้านเขามาทำเอง หลวงพ่อหนูก็ยังไปทะเลาะกับเขาอีก บางคนก็ทนได้ บางคนก็หนีไป พอต่อมาก็มีพระอาจารย์คำบ่อเข้าไปช่วยงานก่อสร้าง ก็รู้สึกมีการเบาใจขึ้นมา
มีอยู่ครั้งหนึ่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลฎีกา ไปกล่าวโทษหลวงปู่แหวนว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์ สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นที่วัดดอยแม่ปั๋ง ก็ไม่พบศาสตราวุธอะไรสักอย่าง พอกลับกรุงเทพฯ มาถึงจังหวัดแพร่ รถก็คว่ำตายในที่นั้น นี่แหละคนเรา อยู่ดีๆไม่ชอบ หลวงปู่ท่านก็บวชตั้งแต่ยังเด็ก อายุได้สิบขวบเท่านั้น จะไปรู้จักปืนและระเบิดได้อย่างไร
ปรากฏการณ์กลางอากาศกับเหรียญหลวงปู่แหวนรุ่นแรก
ครั้นต่อมาก็มีทหารอากาศ พันเอกจำรัส เทียนทอง กับทหารอากาศฝรั่ง บินลาดตระเวนตรวจดูพื้นที่ ได้บินผ่านไปตรงที่วัดดอยแม่ปั๋ง พอใกล้จะถึงดอยแม่ปั๋ง ก็ได้มองเห็นพระรูปหนึ่งนั่งอยู่บนก้อนเมฆนั้น ก็เลยขับหลีกเว้นไปที่อื่น พอกลับมาถึงฐานทัพแล้ว ก็ได้นั่งรถตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ ถามหาว่าที่หมู่บ้านตรงนั้นมีพระอาจารย์อะไรอยู่ที่นั่น ชาวบ้านเขาก็ตอบว่า พระอาจารย์แหวนอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนั่น เมื่อพันเอกจำรัส เทียนทอง ได้รู้แล้ว จึงได้ไปกราบหลวงปู่ แล้วถามหลวงปู่แหวนว่า “พระอาจารย์แหวนขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนเมฆได้อย่างไร” หลวงปู่แหวนก็ตอบว่า “บ่ได้ขึ้นไปดู๋ มันมีแต่มาบินข้ามหัวตุ๊เจ้านี้ ว่าตุ๊เจ้าเพิ่นนั่งภาวนาอยู่ ก็เอาเสียงมารบกวนตุ๊เจ้า มันเป็นบาปน่า..” พอผู้การจำรัส เทียนทอง ได้ยินดังนั้นแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส ได้มอบตัวเป็นลูกศิษย์ ต่อมาก็ได้ขอทำเหรียญหลวงปู่รุ่นแรก คือ ผู้การจำรัส เทียนทอง เรียกว่ารุ่นทหารอากาศ ก็ได้แจกจ่ายทหารที่ทำสงครามกับพวกคอมมิวนิสต์ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์แตกทัพไปไม่เป็นกระบวนกันเลย ต่อมาก็ได้ทำเหรียญรุ่นเราสู้ รุ่นนี้ก็ไม่แพ้กับรุ่นแรก
#ยอดคนแห่งแผ่นดินกับกำเนิดเหรียญรุ่น
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอสร้างไปแจกทหาร ตำรวจ เรียกว่า รุ่น ภปร. สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีขอสร้าง เรียกว่ารุ่น สก. เอาไปแจกทหาร ตำรวจ เข้าฟ้าชายก็ขอสร้าง เรียกรุ่น มวก. ฟ้าหญิงสิรินทรขอสร้าง เรียกรุ่นสิรินทร ล้วนแต่ไปแจกตำรวจ ทหาร ทั้งนั้น สงครามคอมมิวนิสต์จึงได้ลดน้อยถอยลงไปจนไม่มีเหลือ ตัวของข้าพเจ้าที่ได้อยู่กับหลวงปู่แหวนมา เห็นหลวงปู่แหวนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานี้ มีความรักกลมเกลียวกันมากทีเดียว ในตอนนั้นชอบมีการปฏิวัติกันบ่อยครั้ง หลวงปู่ท่านก็ได้แผ่เมตตาให้ในหลวงได้อยู่ตลอดปลอดภัยแล้วก็ได้แผ่เมตตาไปให้พวกที่กำลังปฏิวัติกันอยู่นั้นให้เลิกรากันไป หรือไม่อย่างนั้นก็ให้หนีไปลี้ภัยในต่างประเทศเสีย การแผ่เมตตาของหลวงปู่แหวนส่งไปให้พวกปฏิวัติมีแต่พ่นควันบุหรี่ลงไปทางที่เขาปฏิบัติกันอยู่นั้นทุกครั้ง เมื่อหลวงปู่ท่านรู้ภายในจิตของท่านแล้ว ท่านก็จะพูดออกมาว่า พวกเขาเหล่านั้นยอมรับเมตตาแล้ว อยู่มาไม่นานก็มีเสียงประกาศออกมาทางวิทยุทันทีว่า เขาขอลี้ภัยแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พระเจ้าอยู่หัวของเราได้เสด็จไปอยู่ที่โคราชนั้น คราวนั้นหลวงปู่เป็นทุกข์มาก เพราะว่าแผ่เมตตาให้มันไม่ยอมรับเอาเสียเลย ท่านพูดออกมาว่า คนๆนี้มันบอกดื้อนะอีตาสันเนี่ย หลวงปู่ท่านก็ยืนอยู่หัวทางจงกรมของท่าน แล้วท่านก็สูบบุหรี่ แล้วพ่นควันไปที่เขากำลังปฏิวัติกันอยู่นั่น ผลที่สุดพันเอกสันติ์ก็ยอมรับ หลวงปู่พูดว่ามันรับแล้วละทีเนี้ยต่อมาไม่นานก็มีเสียงประกาศออกมาทางวิทยุดังออกมาว่า ขอยอมออกนอกประเทศ แล้วหลวงปู่ท่านก็ยื่นก้นบุหรี่มวนนั้นให้กับเราๆก็ได้เก็บเอาไว้ถวายในหลวง ตอนที่ท่านขึ้นมากราบทูลหลวงปู่ เราเองก็ได้เอาถวายในหลวงไปทุกครั้ง พระภิกษุสามเณรก็ได้หลั่งไหลเข้ามาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋ง แต่ละปีก็มีอยู่ประมาณ 30-40 องค์ อาหารก็ฉันอดๆอยากๆ เพราะอาศัยชาวบ้านเขาก็ไม่ไหว ในปี 2516 นั้น โยมโสภี อินทรทัต ได้เข้าไปปวารณาตัวเป็นลูกของหลวงปู่แหวน รับเป็นภาระในทางโรงครัว ทำอาหารเลี้ยงพระอยู่ตลอดปี จนถึงปีพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่แล้วจึงได้หยุด ค่าอาหารแต่ละวันนั้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ของอย่างอื่นอีกนับจำนวนราคาไม่ได้ โยมโสภีเป็นเจ้าของบริษัทเทวกรรมโอสถ ได้เป็นหัวเรือใหญ่คนหนึ่ง ได้ช่วยให้พระภิกษุสามเณรรอดพ้นจากความอดอยากไปได้ ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่นั้น โยมโสภีนี้ไม่เคยมีว่าจะได้อะไรจากทางวัดเลย มีแต่เสียสละอย่างเดียว ไม่เหมือนคนอื่นๆ ตนอื่นเขามีแต่วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง ตัวของเราเองได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มา ได้เป็นปีๆ ก็ไม่เคยได้อะไรเลยจากวัดดอยแม่ปั๋ง แม้แต่พระรูปเหมือนของหลวงปู่ก็ยังได้บูชาเอามาไว้กราบไหว้ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เราได้รับความอิจฉา เพราะว่าเราเองก็ได้รู้เหตุการณ์ได้ดี หลวงปู่ท่านก็ได้แนะนำให้เราว่า อย่าไปยุ่งกับเขานะเรื่องเงินเรื่องทอง ให้ยุ่งกับปู่นี่แหละก็พอแล้ว เราเองก็ได้ตรึกตรองดูตัวเราเอง แล้วศรัทธาญาติโยมผู้ที่เลื่อมใสเรา เขาถวายส่วนตัวก็พอได้ใช้จ่ายอยู่ไม่ขาด และก็ยังได้ใช้ให้กับหลวงปู่ด้วยเป็นบางครั้ง หลวงปู่เจ็บเข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ก็มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โปรดจ่ายให้ทุกครั้ง เพราะว่าหลวงปู่เป็นคนไข้ของในหลวง หลวงปู่แหวนท่านเป็นคนโบราณจริงๆ เงินแบงค์สิบแบงค์ยี่สิบท่านก็ไม่รู้ หลวงปู่ท่านเห็นเงินแบงค์กระดาษนั่น ว่าเป็นใบโฆษณาขายสินค้าเขา แล้วเอารูปของภูมิพ่อใส่ไปเป็นเครื่องอ้าง ในตอนนั้นเราเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นคุณหลุยหรือว่าคุณหมอสุพจน์ก็ไม่รู้ ได้เอาย่ามใส่พร้อมอัฐบริขารไปถวายท่าน เมื่อหลวงปู่รับแล้ว เราเองก็ได้เอาไปไว้ที่ที่นอนของท่าน เมื่อหลวงปู่เข้าไปที่นอนของท่านแล้ว ท่านก็ได้จับของในย่ามนั้นออกมาดูหมดทุกอย่างแล้วก็เมื่อล้วงลงไปที่กระเป๋าใบเล็ก ก็ไปเจอแบงค์สิบแบงค์ยี่สิบพอดี ท่านก็เอาออกมาว่า เป็นใบโฆษณาสินค้าอะไรเขาเนี่ย เอารูปของภูมิพ่อใส่ไปเป็นเครื่องอ้างเสียด้วย ตัวเราเองก็รู้ว่าเป็นแบงค์สิบ แบงค์ยี่สิบ นับดูแล้วก็มีอยู่สี่สิบ เราเองก็ได้เอาไปให้โยมเขาซ้อก๋วยเตี๋ยวกินเสียเพราะว่าหลวงปู่ท่านจับแล้ว แต่ว่าเงินค้อ เงินฮาง เงินเบี้ยนั้น ท่านรู้ดี แต่ตัวเราเองกลับไม่รู้ว่าจะใช้จ่ายได้อย่างไร
ทีนี้จะย้อนกลับเข้ามาเรื่องของหลวงปู่แหวนกับในหลวงอีก เพราะว่าท่านทั้งสองมีความรักกลมเกลียวกันมาก ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อาพาธหนัก หลวงปู่เองท่านก็ได้แผ่เมตตาไปให้ในหลวงอยู่ตลอด ตัวผู้เขียนเองนี้ก็ได้ฟังข่าววิทยุอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมากราบเรียนหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็ได้ทำของท่านอยู่ไม่ขาดสาย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านได้หายจากอาพาธแล้ว ก็ได้ขึ้นมาพักแรมที่เชียงใหม่ ในหลวงท่านก็ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน เล่าเรื่องอาพาธของท่านให้หลวงปู่ฟัง ในหลวงท่านบอกว่า อาพาธครั้งนี้หนักจริงๆ ที่เขาออกข่าวอยู่นั้นกระผมแทบเอาตัวไม่รอด เขาก็ออกข่าวปลอบใจประชาชน ไม่ให้ประชาชนตกใจมาก กระผมได้สุบินนิมิตว่า ได้ขึ้นไปอยู่ที่ป่าเขาแห่งหนึ่งมีป่าไม้ร่มรื่นดีมาก แล้วก็เห็นหลวงปู่นั่งอยู่บนศีรษะของกระผม กระผมก็กราบไหว้หลวงปู่แหวน จนอาการอาพาธนั้นได้หายสร่างออกๆ ถ้าไม่ได้เห็นหลวงปู่นี้คงจะมรณะแน่ๆ หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า..อือ.. การเจ็บไข้ได้ป่วยมันก็เป็นธรรมดานั่นละก้า มีทวีละก้าบอกข่าวอยู่ทุกวันๆ หลวงปู่แหวนท่านพูดกับในหลวงท่านก็พูดแบบธรรมดา เพราะว่าสมเด็จพระราชินีท่านก็ได้กราบเรียนหลวงปู่อย่างนั้น
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB pageพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น