ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ทอง จันทสิริ วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
๏ ประวัติและปฏิปทา ท่านพ่อทอง จันทสิริ ๏
๒๘ เมษายน ๒๕๖๗ น้อมรำลึก ๙๒ ปี ชาตกาล หลวงปู่ทอง จนฺทสิริ อดีตเจ้าอาวาสวัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ทายาททางธรรมท่านพ่อลี ธมฺมธโร ท่านมีศีลาจารวัตรอันงดงาม เรียบร้อยโดยจริตธรรม ฉันภัตตาหารมื้อเดียวเป็นอาจิณ กิริยาสงบนิ่งเยือกเย็น วาจาชัดถ้อยคำเปี่ยมด้วยเมตตา พูดน้อยแต่หนักแน่น เทศนาปาฐกถาธรรมจับใจบรรดาคณะญาติโยมผู้ศรัทธา เป็นที่เลื่องลือของสาธุชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
#ชีวประวัติปฏิปทาพระญาณวิศิษฏ์
พระญาณวิศิษฏ์ หลวงพ่อทอง จันทสิริ ก่อนที่จะบรรพชาอุปสมบท ท่านมีนามเดิมว่า “ขุนทอง” เกิดในสกุล “นารีวงษ์” เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (ตรงกับวันพระ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕) ณ บ้านวังใหญ่ ตำบลวังใหญ่ (ปัจจุบันเป็นตำบลพนมรอก) อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ เป็นบุตรของนายล้อม และนางคำ นารีวงษ์ ท่านเป็นบุตรคนที่ ๖ ในบรรดาพี่น้อง ๙ คน เป็นหญิง ๕ คน ชาย ๔ คน ครอบครัวของท่านมีอาชีพทำนาทำไร่ตามฤดูกาล ท่านเรียนหนังสือจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนประชาบาลบ้านวังใหญ่ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนวังวิทยา การเรียนสมัยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากอยู่ในภาวะสงครามและเกิดภัยธรรมชาติน้ำท่วมใหญ่ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้ช่วยเหลือครอบครัว จนกระทั่งย่างเข้า ๑๙ ปี
เมื่อหลวงพ่อทอง ท่านมีอายุย่างเข้า ๑๙ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านพ่อลีเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ขากลับแวะนครสวรรค์ จึงได้มาโปรดโยมพี่ชายคือ นายล้อม (บิดาหลวงพ่อทอง) เป็นเวลา ๗ วัน ทำให้โยมพ่อของท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง และได้ถวายหลวงพ่อทอง (ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้บวช) ให้เป็นลูกศิษย์ตั้งแต่นั้นมา ท่านพ่อลีได้นำหลวงพ่อทองไปพักค้างแรมที่ริมบึงบอระเพ็ด ๑ คืน ครั้นรุ่งเช้าก็พาขึ้นรถไฟไปพักที่วัดมณีชลขัณฑ์ จ.ลพบุรี ๘ วัน จากนั้นไปพักที่อยุธยาเมืองเก่า บริเวณโบสถ์วัดมงคลบพิตร ๙ วัน จึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่ระยะหนึ่ง ท่านพ่อลีได้ส่งหลวงพ่อทอง ไปยังวัดป่าคลองกุ้ง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี และได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุครบ ๑๙ ปี ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔ ณ วัดจันทนาราม ตำบลจันทนิมิต อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี รวมเวลาบวชเณร ๒ ปี จึงได้ญัตติเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๕ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ พัทธสีมาวัดจันทนาราม ตำบลจันทนิมิต อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยมีพระอมรโมลี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูปลัดเฟื่อง โชติโก เป็นพระกรรมาวาจาจารย์ พระครูสังฆรักษ์มงคล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ แล้วท่านก็สอบได้นักธรรมตรีในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนี้
ในช่วงปลายปี ๒๔๙๕ ท่านพ่อลีได้มาพำนักอยู่ที่วัดบรมนิวาส พระที่อุปัฏฐากท่านพ่อลีในขณะนั้นมีความประสงค์จะไปวิเวกเพื่อปฏิบัติธรรม ทางเจ้าอาวาสวัดป่าคลองกุ้งพิจารณาเห็นว่า หลวงพ่อทองเหมาะสมที่สุด (ซึ่งขณะนั้นท่านเพิ่งสอบนักธรรมตรีผ่านไปได้เพียง ๒-๓ วัน) จึงได้ส่งหลวงพ่อทองมาแทน ท่านเล่าให้ฟังว่า... “ท่านได้ออกเดินทางจากจันทบุรี ตอนตี ๔ ด้วยรถโดยสาร อากาศตอนนั้นหนาวมาก จนเจ็บฟันไปทั้งปาก ไม่สามารถเคี้ยวทอฟฟี่ได้ถึง ๗ วัน มาถึงระยองตอนเช้า ตัวชาไปหมด เนื่องจากช่วงนั้นเป็นต้นฤดูหนาว” จากนั้นเดินทางต่อ
พอถึงวัดบรมนิวาสก็เข้าไปกราบท่านพ่อลี พำนักอยู่กับท่านได้ประมาณ ๗ วัน ท่านพ่อลีก็ได้เรียกเข้าไปพบ และกล่าวกับหลวงพ่อทองว่า “จะมาดูแลเราหรือ” แล้วพูดต่ออีกว่า “การอุปัฏฐากดูแลครูบาอาจารย์ ถ้าทำดีก็เสมอตัว ทำไม่ดีก็ขาดทุน นอกนั้นมีแต่เสีย” ก็ไม่ทราบว่าท่านจะลองใจเราหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ หลวงพ่อทองได้พิจารณาคำของท่านพ่อว่า ทำไมจึงพูดกับท่านเช่นนั้น ท่านได้คิดพิจารณาตามกำลังสติปัญญาของตนว่า “ตัวเราเป็นคนต้อนรับแขก ส่วนท่านพ่อลีเป็นผู้รับแขก ในเมื่อ (ตัวเรา) ต้อนรับญาติโยมที่มากราบท่านพ่อลี หากเราต้อนรับไม่ดีอาจจะถูกตำหนิ ที่สำคัญจะเสียถึงครูบาอาจารย์ที่ท่านได้มอบความไว้วางใจ จึงคอยระวังสำรวมอยู่ตลอดเวลา จากนั้นท่านพ่อได้แสดงปาริสุทธิศีล ๔ (ศีลที่ทำให้เกิดความบริสุทธิ์) ให้ฟัง และท่านพ่อได้อธิบายย่อๆ และให้ตั้งใจศึกษาปฏิบัติด้วยตนเอง ไม่ต้องห่วงกังวลกับท่าน เมื่อหลวงพ่อทองได้ฟังโอวาทโดยย่อแล้ว จึงตัดสินใจกลับไปศึกษาต่อที่จันทบุรี โดยไม่กังวลกับครูบาอาจารย์
ปี พ.ศ.๒๔๙๖ หลวงพ่อทองได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว จังหวัดจันทบุรี และได้มีโอกาสศึกษาธรรมกับหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท เมื่อออกพรรษาแล้ว จึงกลับมาอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง และได้ศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง จนกระทั่งสอบนักธรรมโทได้ ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ และสอบนักธรรมเอกได้ใน พ.ศ.๒๔๙๙ โดยในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงพ่อทองได้ไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ นับเป็นการจำพรรษาครั้งแรกกับท่านพ่อลี ซึ่งการจำพรรษาในครั้งนี้ หลวงพ่อทองได้เล่าให้ฟังว่า.....
“เราได้กลับมาศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีอีกครั้งหนึ่ง เหตุมาจากในเวลาก่อนพรรษา เป็นธรรมเนียมของพระภิกษุที่จะต้องไปคารวะพระเถระผู้ใหญ่” ท่านพ่อลีจึงได้พาเราพร้อมทั้งคณะไปคารวะพระเถระผู้ใหญ่ในกรุงเทพ เพื่อถวายเครื่องสักการะ ซึ่งตอนนั้นท่านพ่อลีได้พาไปหลายที่ และที่สุดท้ายคือวัดบรมนิวาส ไปกราบคารวะท่านเจ้าอาวาส เมื่อถวายเสร็จแล้ว ท่านพ่อลีได้ปรารภกับท่านเจ้าอาวาสว่า “มีพระองค์หนึ่งเห็นว่าพอเป็นไปได้ อยากจะฝากเรียนภาษาบาลีด้วย” เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสได้ตอบรับ ทั้งนี้ตารางเรียน เช้า ๙.๐๐ น. เรียนภาษาบาลี บ่ายเรียนนักธรรม ตอนนั้นหลวงพ่อทองอยู่ที่วัดอโศการาม ถ้ามาเรียนก็จะไม่ทัน จึงอนุโลมให้สัตตาหะ (สัตตาหะ คือ พระภิกษุสามารถไปค้างแรมในที่อื่นในภายในพรรษาได้ ๗ วัน แต่ต้องมีเหตุอันสมควร) เมื่อจบหลักสูตร ท่านได้กลับมาที่วัดอโศการาม มาครั้งนี้ ท่านพ่อลีได้มอบหมายให้เป็นหัวหน้างานควบคุมการสร้างที่พักของพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา เพื่อเตรียมงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เริ่มตั้งแต่เดือน ๑๒ ถึง ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปี พ.ศ.๒๕๐๐
ปี พ.ศ.๒๕๐๐ – ๒๕๐๒ หลวงพ่อได้ไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์บ้านสันกอเก็ด ต.สันห่าว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นเวลา ๓ ปี และได้มีโอกาสพบกับกัลยาณมิตรคือ หลวงพ่อเจริญ ญาณวุฑโฒ ซึ่งปัจจุบันท่านคือเจ้าอาวาสวัดถ้ำปากเปียง จ.เชียงใหม่
ปี พ.ศ.๒๕๐๓ หลวงพ่อทองได้กลับมาจำพรรษากับท่านพ่อลี ที่วัดอโศการามเป็นครั้งที่ ๒ และได้ช่วยงานท่านพ่อลี จนกระทั่งท่านพ่อลีได้มรณภาพในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๔ ที่ประชุมสงฆ์โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฐายี) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดอโศการาม เป็นประธานสงฆ์ มีบัญชาให้เก็บสรีระท่านพ่อลีไว้ ยังไม่ถวายเพลิง และให้บำเพ็ญกุศลอุทิศถวายท่านพ่อลีทุกคืนที่ศาลาทรงธรรมเป็นระยะเวลา ๒ ปี เมื่อครบกำหนดแล้ว จึงได้มีการประชุมอีกครั้งระหว่างคณะสงฆ์วัดอโศการาม และบรรดาลูกศิษย์ว่าจะเก็บสรีระท่านพ่อลีไว้ หรือจะประชุมเพลิง และในที่สุดได้มีมติให้เก็บสรีระท่านพ่อลีไว้ จนกระทั่งปัจจุบัน
ปี พ.ศ.๒๕๐๖ หลังจากเสร็จภารกิจทางวัดแล้ว หลวงพ่อทองรู้สึกเหมือนขาดที่พึ่งทางใจ จึงตัดสินใจไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ศึกษาธรรมะกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากออกพรรษาช่วงประมาณเดือนมีนาคม ถึงเมษายน อธิบดีกรมศาสนา ชื่อมหาปิ่น มุทุกัณต์ มีโครงการขออาราธนาพระกรรมฐานภาคอีสานเป็นพระธรรมทูตไปเผยแผ่ธรรมะอบรมประชาชน ๑๖ จังหวัดภาคอีสาน โดยแยกกันไปคนละอำเภอ แต่ท่านไป ๒ อำเภอ คืออำเภอหนองหาร และกิ่งอำเภอบ้านดุง ท่านได้ปฏิบัติงานพระธรรมทูตจนเข้าพรรษา จึงได้เดินทางไปวัดถ้ำกลองเพล เพื่อกราบหลวงปู่ขาว อนาลโย และอยู่ศึกษาธรรมะกับท่านอยู่ระยะหนึ่งถึงกลางเดือน ๗
ปี พ.ศ.๒๕๐๗ หลวงพ่อทองเดินทางต่อไปยังวัดถ้ำขาม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ร่วมกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหลวงพ่ออุทัย สิริธโร เป็นต้น หลังออกพรรษา เมื่ออนุโมทนากฐินแล้ว จึงลงจากวัดถ้ำขาม ไปพักที่วัดป่าธรรมรังสี บ้านโคกสะอาด ก.ม. ๑๐๐ อ. (ปัจจุบันคือ จ.อำนาจเจริญ) พักอยู่ระยะหนึ่ง ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ จึงเดินทางกลับไปวัดถ้ำกลองเพล เพื่อกราบลาหลวงปู่ขาว และเดินทางจากวัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี โดยรถยนต์ไปพักที่วัดป่าวิเวกธรรม อ.เมือง จ.ขอนแก่น เป็นเวลา ๓ วัน
จากนั้นโดยสารรถยนต์ไปยัง จ.ชัยภูมิ พักในเมือง ๓ วัน ๓ คืน และออกไปชานเมืองที่ อ.บ้านฟ่าว ประมาณ ๑ อาทิตย์ จากนั้นจึงออกธุดงค์ทางเท้า ขณะนั้นมีพระติดตาม ๑ องค์ โยม ๑ คน คือโยมเสาร์ (ปัจจุบันคือหลวงพ่อเสาร์ วัดอโศการาม) เดินทางจากจังหวัดชัยภูมิ ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ เข้าจังหวัดนครสวรรค์ อำเภอท่าตะโก พักที่บ้านวังใหญ่ แวะเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ จากนั้นจึงเดินธุดงค์เข้าวัดอโศการาม ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้านาน ๑๖ วัน ตลอดระยะเวลาดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน ท่านได้วิเวกปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานตามสถานที่ต่างๆ ตามแต่โอกาส
• #สมณศักดิ์
ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี มีสมณศักดิ์เป็น “พระครูสุวรรณธรรมโชติ” และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอโศการาม)
ปี พ.ศ. ๒๕๓๔
ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดอโศการาม หลังจากรักษการได้ ๓ เดือน ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการาม และได้เป็นพระอุปัชฌาย์ในเวลาต่อมา จนถึงปัจจุบัน
ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ในวโรสกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๕ รอบ (๖๐ พรรษา) ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระราชาคณะว่าที่พระญาณวิศิษฏ์” หลังจากที่ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระราชาคณะว่าที่พระญาณวิศิษฏ์” แล้ว ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลอีกด้วย
นับตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๕๓๔ ที่หลวงพ่อทองได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการาม จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา ๒๕ ปี ท่านได้ทำนุบำรุงพุทธศาสนามากมาย ทั้งภายในวัดอโศการาม และวัดอื่นๆ เช่น วัดวังใหญ่ จังหวัดนครสวรรค์, วัดป่าฐานสโมบูชา จ.เลย รวมถึงวัดสาขาต่างๆ ของวัดอโศการามทั้งในและต่างประเทศ
• #มรณภาพ
หลวงปู่ทอง จันทสิริ ละสังขารตรงกับวันพุธที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙ เวลาประมาณ ๐๔.๑๕ น. สิริอายุรวม ๘๓ ปี ๑๐ เดือน ๑๖ วัน ๖๒ พรรษา
"..การละสังขารนั้น เป็นไปตามคติธรรมดาของโลก แล้วก็พากันมาไว้อาลัย เรามาไว้อาลัย เราไม่ได้เศร้าโศกร้องไห้ ไปตามประสาคนหลงหรือคนเมา หรือคนบ้า แต่เรามาไว้ทุกข์ ด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดี.." โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่ทอง จนฺทสิริ
"..สังขารวิบากมันยังมีอยู่ ก็ต้องประคองกันไป มันเป็นธรรมชาติของมัน จะไปเอาอะไรกับมัน ถึงเวลามันก็หยุด ก็แตกดับไปเอง.." โอวาทธรรมคำสอนพระญาณวิศิษฏ์ (หลวงปู่ทอง จันทสิริ)
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น