ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.อุดรธานี
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ท่อน ญาณธโร ๏
วันนี้วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย รำลึก ๖ ปี อาจาริยบูชาคุณ "พระอริยสงฆ์ผู้ทรงไว้ซึ่งญาณวิสัย" แห่งวัดศรีอภัยวัน ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย หลวงปู่ท่อน ท่านเป็นพระเถราจารย์ผู้ใหญ่สายวิปัสสนาธุดงค์กัมมัฏฐาน เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตตภาวนา การเทศนาธรรม และวิทยาคมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสพบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า และได้รับโอวาทอันทรงคุณค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้จากหลวงปู่มั่น “ให้เร่งทำความเพียร มิให้ประมาท ชีวิตนี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตาย”
หลวงปู่ท่อน ยังได้มีโอกาสไปกราบเยี่ยมครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เป็นต้น
หลวงปู่ท่อน ท่านถือกำเนิด ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ณ บ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ท่านถือกำเนิดในครอบครัวสายสกุล "ประเสริฐพงษ์" บิดาชื่อ นายแจ่ม มารดาชื่อ นางทา ท่านเป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้องร่วมบิดามาดา ๑๙ คน
• #เหตุที่ชื่อว่าท่อน
ด้วยเหตุที่หลวงปู่เกิดมาเป็นคนอ้วนท้วนสมบูรณ์ ตัวใหญ่ราวกับท่อนไม้ โยมพ่อและโยมแม่จึงตั้งชื่อว่าท่อน แต่ถ้ามีใครมาถามหลวงปู่ถึงชื่อเสียงเรียงนามของท่านแล้ว ท่านจะตอบติดตลกแฝงข้อคิดว่า.. “มีคนมาถามเราว่า ทำไมเราชื่อว่าท่อน เราจึงตอบแบบเชาวน์ว่า ท่อนนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับใคร ตัดด้านต้นออก ตัดทางปลายออก นี้ก็เรียกว่าท่อนแล้ว ตัดรากตัดเหง้าออก ตัดอะไรออก มันไม่มีอะไร ก็ชื่อว่าท่อนแล้วนิ
ชื่อว่าอย่างไร ชื่อว่าตัดขาดแล้ว เขาถามหลวงพ่อชื่อว่าอะไร อาจารย์ชื่อว่าอะไร ชื่อว่าตัดขาดแล้ว ไม่ได้อวดอุตรินะ มันเป็นความจริง ก็ตัดขาดออกแล้ว ไม่มีราก ไม่มีเหง้า ไม่มีกิ่งก้านสาขา มีแต่ตรงกลาง เขาก็เรียกว่า ท่อนซุง ท่อนไม้ ถ้าเอามาทั้งกิ่งก้านสาขา มันก็ไม่เป็นท่อนนะ ตอบแบบห้วน ๆ เลยว่าเป็นท่อน ครูบาอาจารย์พากันหัวเราะ เราก็มาตัดอย่างนี้ ตัดไม่มีเรา ไม่คิดจะสร้างรากสร้างฐาน ไม่คิดว่าจะตั้งรากตั้งฐานใด ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่บ้านเราก็มีสิทธิ์อยู่ ไร่นาสาโทก็ยกให้เขาไปหมดแล้ว เราก็ไม่เกี่ยวข้องแล้ว ทิ้งไปหมดแล้ว ไม่ได้ไปแบ่งไปปันเอามรดกกับเขาแล้ว อย่างนี้หมดแล้ว นี้ก็เป็นท่อนเหมือนกันนะ เอาเรื่องนี้มาเตือนสติก็ได้อยู่ เพราะตัดขาดแล้วจึงชื่อว่า ท่อน
ถ้ามีเหง้ามีรากอยู่หรือเอาสมมตินี้มาสอนตัวเองก็ได้อยู่ มันขาด เป็นบางอย่าง ที่ไหนไม่ขาดก็พยายามให้มันขาด รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ให้มันขาด ถ้ามันขาดก็เป็นท่อนละ ถ้ามันมีกิ่งมีก้านอยู่ก็ไม่เรียกท่อนละ ถ้ามีแต่ส่วนกลางอยู่ก็เรียกว่าท่อน นี้ตอบแบบเชาวน์ๆ นิ ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น”
• #ความทรงจำอันวิเศษ
ในขณะที่หลวงปู่อายุ ๑๒ - ๑๓ ขวบ ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่อุปนันท์อยู่นั้น เป็นเวลาประจวบกับช่วงออกพรรษาพุทธศักราช ๒๔๘๒ ก่อนเข้าพรรษากาลพุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งเป็นปีที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หรือ พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต ผู้ที่พระกรรมฐานสายอีสานทั้งปวงยกย่องให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ ได้กลับมาจากการจาริกแสวงหาโมกขธรรมในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือตามคำนิมนต์ของศิษยานุศิษย์ทางภาคอีสาน นำโดย พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ท่านได้เดินทางโดยรถไฟจากเชียงใหม่มาพักที่วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร แล้วได้เดินทางต่อมายังจังหวัดนครราชสีมา เพื่อมาพักที่วัดป่าสาลวัน ซึ่งมี พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ หรือ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่อุปนันท์ได้พาท่านไปต้อนรับหลวงปู่มั่นที่สถานีรถไฟนครราชสีมา เหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำอันวิเศษของหลวงปู่ คือความภาคภูมิใจในฐานะพระกรรมฐานสายอีสานที่ได้มีโอกาสประสบพบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์กรรมฐานสายอีสาน ไม่ว่าจะเป็นการได้กราบนมัสการ หรือแม้ได้พบเพียงชั่วครู่ ก็ปีติเป็นที่สุดแล้ว หลวงปู่ท่อนกล่าวว่า “มีบุญเหมือนถูกหางเลข” เพราะมีโอกาสได้กราบหลวงปู่มั่นอยู่ห่างๆ ที่สถานีรถไฟ หลวงปู่มั่นท่านมองเห็นก็ยิ้ม ยิ้มให้แล้วก็กล่าวเตือนจิตใจว่า .. “เออ ๆ ... ดีใจหลาย อ้าว... พากันตั้งใจเน้อ ตั้งใจ ตั้งใจให้มาก ๆ ไม่งั้นไม่ไหวนะ ตั้งอกตั้งใจ...”
แค่นี้... ที่ท่านพูดเตือน ท่านสั่งให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ทำความพากเพียรภาวนา ให้เร่งรีบมาก ๆ ครั้งนั้น ท่านตื่นเต้นมากเพราะยังเป็นสามเณรน้อย แต่หลวงปู่มั่นก็เมตตาหันมามอง และให้โอวาทที่ลึกซึ้งกินใจว่า “เณรน้อยนี้รูปงามนัก อย่าให้ใครเด็ดไปชมก่อนกาลอันควรเด้อ” โอวาทธรรมครั้งนั้นประทับแน่นในดวงใจของท่านเสมอมา แม้ว่าสามเณรน้อยจะได้ลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตทางโลกระยะหนึ่ง แต่เมื่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ยามใดที่จิตใจมันหวั่นไหวสั่นคลอน โอวาทธรรมของหลวงปู่มั่นในครั้งนั้น ก็จะผุดขึ้นกลางจิตให้คิดตรึกตรอง จนสามารถเร่งความเพียรผ่านพ้นมาได้ในที่สุดหลวงปู่เล่าว่า “การที่ได้กราบท่านเท่านี้ เรียกว่าถูกแบบหางเลข โอวาทของท่านเป็นคำพูดประโยคน้อยๆ นั้น มีคุณค่าแก่ผู้ที่ได้กราบหลวงปู่มั่นในวันนั้นมาก ท่านให้สติ ท่านให้เร่งทำความเพียร มิให้ประมาท ชีวิตนี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตาย แม้ตอนที่บวชใหม่ๆ ก็มีเหมือนกัน ใจมันวอกแวก แต่พอนึกถึงคำหลวงปู่มั่นทีไร ก็ทำให้ใจมันฮึดขึ้นมา จนตัดอารมณ์เหล่านั้นออกไปได้ ไม่งั้นก็คงจะมีแต่นายท่อน ไม่มีหลวงปู่ท่อนแล้ว” ทั้งปวงนี้เป็นความทรงจำอันวิเศษของหลวงปู่ ที่ประทับใจ และเป็นกำลังใจในการตั้งความเพียร เจริญจิตภาวนา มาตลอดชีวิตของหลวงปู่
• #ชีวิตฆราวาสในวัยหนุ่ม
ภายหลังเมื่อท่านสึกเป็นฆราวาส จึงใช้ชีวิตในวัยหนุ่มเป็นชาวโลกทั่วไป พออายุ ๑๘ เข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัวท่านได้ฝึกฝนศิลปะการชกมวยจนสามารถเป็นนักมวยขึ้นชกตามเวทีต่อยหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ในระยะหนึ่งทีเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านใดประสบอุบัติเหตุจากการซ้อมมวยจนดั้งหัก ทำให้จมูกของท่านมีลักษณะเบี้ยวบ้างเล็กน้อยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากชกมวยแล้วท่านยังชอบดนตรี ได้นำกระป๋องสีบางๆ มาประดิษฐ์เป็นซออู้ซอด้วงเอง ท่านได้ฝึกฝนจนชำนาญเนื่องจากท่านมีความสามารถในการเล่นดนตรีไม่ว่าจะเป็นพิณ แคน ซอ ระนาด นอกจากการเล่นดนตรีแล้วท่านยังสนอกสนใจในศิลปะการแสดงด้วยการเข้าไปเล่นลิเก โดยเข้าร่วมวงลิเก ทำให้ท่านได้รับบทแสดงเป็นพระเอกบ้าง พระฤาษีบ้าง เสนาบดี เป็นพระ เป็นคนจีนบ้าง และเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม ท่านเริ่มติดเพื่อนฝูง ตามประสาชายหนุ่ม เมื่อมีสังคมเพื่อนก็ชักชวนกันกินเหล้าเมายา ตามประสาชายหนุ่มในวัยเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่การเที่ยวตะเวนจีบสาวตามบ้านต่างๆ ที่อยู่ในละแวกนั้นซึ่งทำให้โยมพ่อโยมแม่ของท่านเป็นห่วงมิใช่น้อยด้วยเกรงว่าลูกชายจะเสียผู้เสียคนท่านทั้งสองจึงปรึกษาหารือกันว่าเห็นทีจะต้องให้บวชจะได้เลิกนิสัยขี้เหล้าเมายา
• #ศุภนิมิต
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่มีอายุได้ประมาณ ๑๙ ปีเศษ ท่านได้ฝันไปว่ามีงูใหญ่ตัวหนึ่งตามไล่ท่านจากป่าจนมาถึงบ้าน พอมาถึงบ้าน งูใหญ่ตัวนั้นก็กลายเป็นชายชราผมขาวเดินขึ้นบันไดมา บอกว่าจะมายกลูกสาวให้สองคน แล้วก็จัดขบวนแห่พาท่านไปส่ง ในขบวนมีผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านหลายคนร่วมขบวนด้วย ขบวนแห่พาหลวงปู่เข้าไปในป่า พอถึงจอมปลวกใหญ่ ก็พากันเอาหลวงปู่ขึ้นวางบนจอมปลวก แล้วเอาหญ้ามามุงหลังคาให้ มองลงไปข้างล่างก็เห็นผู้หญิงสองคน นั่งเจียนหมากจีบพลู ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็สั่งเสียว่าอยู่ที่นี่แหละ เข้าบ้านไปไม่ได้แล้ว จากนั้นก็พากันกลับไป พอท่านรู้สึกตัวตื่นขึ้น ก็มีแต่ความไม่สบายใจ ด้วยเป็นกังวล เพราะไม่ทราบว่านิมิตนั้นจะทำให้มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของท่านหรือไม่
ประมาณ ๒ สัปดาห์ให้หลัง ผู้เฒ่าโสดา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในเมืองขอนแก่น ก็ได้มาหาโยมพ่อของท่าน ซึ่งโยมพ่อก็ได้ปรารภให้ฟังว่า ตนมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ชอบเที่ยวเล่น เกรงว่าจะเสียคน ผู้เฒ่าโสดาก็เลยเอ่ยปากขอว่าจะให้ไปปรนนิบัติหลวงปู่คำดี ปภาโส ซึ่งเป็นพระกรรมฐาน ขณะนี้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าชัยวันในตัวจังหวัดขอนแก่น
โยมพ่อกับโยมแม่ของหลวงปู่ก็ดีใจอย่างยิ่ง และไม่ขัดข้องเลย แต่ต้องขอถามลูกชายของตนในเช้าวันพรุ่งนี้ดูก่อน ฝ่ายหลวงปู่เองก็ได้แอบฟังการสนทนานั้นอยู่ ทำให้คืนนั้น ท่านนอนไม่หลับ เพราะมัวแต่คิดหนักทั้งคืน คิดไปสารพัดว่า ถ้าบวชแล้วจะนอนคนเดียวได้ไหม กินข้าวมื้อเดียวได้ไหม ใจก็ตอบว่าได้ คนอื่นไม่ตาย เราก็ต้องอยู่ได้ คงไม่ตาย ขนาดผ้าขาวน้อย สามเณรน้อย ๆ ยังอยู่ได้ เราเองก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน จึงตัดสินใจที่จะบวชในคืนนั้น
รุ่งเช้าโยมพ่อจึงถามความสมัครใจจากหลวงปู่ ว่าจะให้บวชแล้วไปอยู่กับหลวงปู่คำดี ที่วัดป่าชัยวัน ท่านจึงตอบตกลงทันที โยมพ่อกับโยมแม่ก็ยกมือขึ้นอนุโมทนาสาธุ ทางบ้านจึงตระเตรียมพาตัวท่านไปถวายตัวกับหลวงปู่คำดี ปรากฏว่าผู้ที่ไปส่งท่านในครั้งนั้น ก็เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ตรงตามที่ฝันทุกประการ
พอไปถึงวัดป่าบ้านหนองบัว ทางวัดกำลังบูรณะหลังคาศาลา ผู้ที่ไปส่งก็ช่วยกันมุงหลังคาศาลาคล้ายคลึงกับความฝันมิผิดเพี้ยน ตอนกลับผู้เฒ่าผู้แก่ก็สั่งเสียหลวงปู่ว่า ให้หลวงปู่อยู่ที่นี่แหละ เข้าบ้านไม่ได้แล้ว ส่วนผู้หญิง ๒ คน หลวงปู่เข้าใจว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่จะปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่
• #หลวงปู่คำดีลองใจ
เมื่อโยมพ่อพาท่านไปกราบหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่วัดป่าชัยวัน ได้กราบเรียนถึงมูลเหตุที่จะนำลูกชายมาฝากบวช เมื่อหลวงปู่คำดีได้ฟังดังนั้น คงจะด้วยวาสนาต้องกัน ท่านก็ออกปากรับในทันทีแต่มีข้อแม้อยู่ว่า “มาบวชที่นี่ต้องบวชตลอดไปนะ เอาหรือ” และ “ก่อนบวชจะต้องเป็นผ้าขาว รักษาศีล เจริญภาวนา กินข้าวมื้อเดียว ไม่น้อยกว่า ๓ ปี อยู่ได้ไหมล่ะ”
นายท่อนก็ตอบอย่างไม่ลังเล และหนักแน่นด้วยศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายว่า “ได้ครับ”
หลวงปู่คำดีก็ถามย้ำอีกว่า “ผ้าขาวนั้นต้องโกนหัวด้วยนะ นุ่งผ้าขาวทำความสะอาดวัดวาถนนหนทางให้งามตา อย่างนี้น่ะทำได้ไหมล่ะ”
ท่านก็ย้ำคำตอบเดิมอย่างมั่นใจว่า.. “ได้ครับ โกนผมก็เอา ทำอะไรก็เอาทุกอย่างล่ะ”
ท่านจึงได้เป็นผ้าขาวสมใจ และตัดอารมณ์สนุกสนานทางบ้านที่เคยสำมะเลเทเมาได้อย่างสิ้นเชิง จนไม่มีความอยากจะหวนกลับไปอีก
• #คำสบประมาทก่อนจะบวช
ในสมัยที่หลวงปู่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่กำลังสนุกสนานและดื้อรั้นตามประสาของหนุ่มอีสาน เมื่อหมู่เพื่อนรู้ว่าท่านจะบวช พ่อใหญ่ชาได้เอ่ยคำสบประมาทขึ้นว่า “โอ้ย...คั่นบักท่อนมันบวชได้ กูสิงึดหลายเติบ กูย่านมันบวชบ่ได้พอเจ็ดมื้อ เชิญมันบวชโลด คั่นมันบวชได้สิให้มันขี้ใส่ปาก” (หากไอ้ท่อนมันบวชได้ถึงเจ็ดวัน กูจะให้ขี้ใส่ปากกูเลย) พอผ่านมาได้หลายปีจนหลวงปู่บวชมาได้หลายพรรษาแล้ว เพื่อนของหลวงปู่ได้มากราบก็ได้พูดว่า “โอ้ย...ผู้ข้าก็ว่าตั้งแต่กี้ ผู้ข้ากะว่าแม่นหลวงพ่อสิบวชบ่ได้ดื้อฮ้ายดื้อขาดเฮ็ดใด๋ว่าสิบวชได้” (โอ้ยตัวฉันก็นึกว่าแต่ก่อนหลวงพ่อจะบวชไม่ได้เพราะซนมากเหลือเกิน จะบวชได้อย่างไรกัน) พอพ่อใหญ่ชาพูดจบหลวงปู่ก็เลยพูดบอกเพื่อนแบบติดตลกว่า “มาแม้ มาแม้ มาให้ขี้ใส่ปากแม้” (มาสิ ๆ มาให้เราขี้ใส่ปากเลย)
อีกรายคือคุณยายแพง ซึ่งเป็นโยมแม่ของพระอาจารย์ทวี วัดป่าห้วยเดื่อ ซึ่งเคยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่ โดยปกติแล้วหลวงปู่เป็นผู้มีลักษณะผิวพรรณงดงามหน้าตาดี ในสมัยนั้นพระอาจารย์ทวีเล่าให้ฟังว่าคุณยายแพงกลับมาจากทำไร่ทำนาเห็นหลวงปู่ท่อนเข้านาคเป็นผ้าขาวอยู่ ก็เลยได้พูดหยอกเย้าหลวงปู่ท่อนว่า “โอ๊ย นาคหล่อขนาดนี้ จะบวชได้นานถึง ๑๐ วันไหมน้อ” มาถึงยุคสมัยที่หลวงปู่ท่อนท่านสร้างวัดศรีอภัยวันแล้ว คุณยายแพงก็ได้ไปอยู่ที่วัดด้วย ได้ไปภาวนารักษาศีลอยู่ที่วัดศรีอภัยวัน หลวงปู่ท่อนเจอคุณยายแพงทีไรหลวงปู่ก็มักจะพูดแซวคืนไปว่า “ได้พอ ๑๐ มื้อบ่ ได้พอ ๑๐ มื้อบ่” แล้วก็หัวเราะกันทั้งสองฝ่าย
• #ผ้าขาวท่อน
หลวงปู่บวชเป็นผ้าขาว ติดตามหลวงปู่คำดี ปภาโส ไปอยู่วัดป่าศิริธรรม จังหวัดขอนแก่น ท่านได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่คำดี ปภาโส ทุกวันมิได้ขาดตกบกพร่อง โดยตื่นแต่เช้าไม่เกินตีสี่ครึ่ง ล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน ต้มน้ำร้อน เตรียมน้ำอุ่นไปถวายหลวงปู่คำดี บางครั้งก็นั่งภาวนารออยู่ข้างนอกกุฏิอย่างสงบ เพราะเกรงจะไปกระทบกระเทือนสมาธิของท่าน จนได้ยินเสียงกระแอมหรือไอเป็นสัญญาณว่าออกจากสมาธิแล้ว จึงค่อยเปิดประตูเข้าไปถวายน้ำล้างหน้าและแปรงสีฟันให้ท่าน
ขณะที่หลวงปู่คำดีทำธุระส่วนตัวอยู่นั้น ผ้าขาวท่อนก็จะทำหน้าที่เทกระโถน ปัดกวาดเช็ดถู สลัดผ้าปูนอน แล้วปูใหม่ให้เรียบร้อย ไม่ให้ย่นหรือยับเป็นอันขาด แล้วนำบริขารตามหลวงปู่คำดีไปยังศาลา เมื่อถึงศาลาก็จะปูผ้านิสีทนะ วางกระโถนไว้เป็นที่ พอหลวงปู่คำดีนั่งกราบพระเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ประเคนย่าม กาน้ำ ของเคี้ยว ของฉัน ประเคนจนหมดทุกอย่าง
การเป็นผ้าขาวนั้น หลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านสอนให้ปฏิบัติสมาธิภาวนา เดินจงกรม รักษาศีลไปด้วย
เมื่อพระภิกษุ สามเณร ผ้าขาว แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา มาพร้อมกันหมดแล้ว หลวงปู่คำดีก็จะพาทำวัตรเช้า จบแล้วจึงเตรียมตัวออกบิณฑบาต ท่านเป็นนาคผ้าขาว ก็ออกบิณฑบาตตามหลังครูบาอาจารย์เหมือนกัน
เวลาบิณฑบาต หลวงปู่คำดีจะสอนให้รักษาความสงบ ไม่ให้คุยกัน ให้กำหนดจิตใจไป อย่าเหลวไหล ให้เดินเหมือนกับเวลาเดินจงกรม ทำความเพียรภาวนา
เมื่อเดินจนสุดเขตหมู่บ้าน หมดคนใส่บาตร นาคและสามเณรก็รับบาตรจากครูบาอาจารย์ รีบเดินกลับให้ถึงวัดก่อน วางบาตรเรียบร้อยแล้วก็มาคอยรอล้างเท้าให้ครูบาอาจารย์ คนหนึ่งเอาน้ำล้าง อีกคนหนึ่งเอาผ้าเช็ดเท้า อีกคนหนึ่งช่วยปลดจีวร สังฆาฏิ พับให้เรียบร้อยแล้วจึงถวายคืน ถ้ามีเหงื่อก็ผึ่งแดดให้แห้ง แล้วจึงพับนำส่ง
สำหรับการแจกจ่ายอาหารเป็นหน้าที่ของภัตตุเทสก์ พอฉันเสร็จหลวงปู่ก็ล้างบาตร เช็ดบาตร มัดสลกบาตรให้เรียบร้อย แล้วจึงไปทำกิจวัตรส่วนตัวของตนเอง
พอตกเย็นประมาณบ่ายสี่โมง ก็ต้มน้ำสำหรับถวายสรงน้ำหลวงปู่คำดี ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว ฤดูฝน หรือฤดูร้อนก็ตาม ทำอยู่อย่างนี้มิขาดตกบกพร่องเลย แล้วก็ช่วยกันปัดกวาด ตีตาด กวาดลานวัด ตักน้ำใส่ตุ่มน้ำล้างเท้าทุกกุฏิ ศาลา ที่ล้างบาตรให้เต็มไว้ทุกวัน จึงจะได้ไปอาบน้ำ แล้วกลับมาถวายการสรงน้ำให้หลวงปู่คำดี
ท่านเล่าว่า เวลามีพระมาหลายรูป ก็สนุกดีมาก แบ่งกันไปปรนนิบัติ สรงน้ำเสร็จ รับบริขารจากครูบาอาจารย์ไปส่งที่ศาลาพร้อมกัน ทำวัตรเย็น รับฟังโอวาทจากหลวงปู่คำดีทุกวัน วันไหนเป็นวันพระก็ได้ฟังเทศน์ร่วมกับญาติโยมเป็นเวลานาน บางวันก็ถึงเที่ยงคืนเลยทีเดียว
ท่านเล่าว่า ก่อนที่หลวงปู่คำดีจะอนุญาตให้ไปอุปสมบทนั้น ท่านได้สอนว่า “จิตใจเป็นเรื่องสำคัญมาก ใครก็ตามหากได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้ดีแล้ว การเป็นพระจะไม่ทำให้หมู่คณะหนักใจ” หลวงปู่ได้ทำกิจวัตรปฏิบัติดังกล่าวมาอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด จนกระทั่งได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ แม้จะได้บวชแล้วก็ยังคงปรนนิบัติวัตถากหลวงปู่คำดีอยู่อย่างเดิมมิเปลี่ยนแปร แต่ก็มิได้กีดกันผู้ที่ประสงค์จะปรนนิบัติหลวงปู่คำดีบ้าง เมื่อท่านเป็นพระผู้ใหญ่ขึ้นก็ทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงให้แก่พระนวกะผู้บวชใหม่ ดังพี่ดูแลน้อง ฉะนั้น
• #อุปสมบท
หลวงปู่ท่อน ท่านอุปสมบท เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๑ ณ วัดศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมี พระเทพบัณฑิต(หลวงปู่มหาอินทร์ ถิรเสวี) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูคัมภีรนิเทศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุพจน์ อุตฺตโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ญาณธโร” มีความหมายว่า “ผู้ทรงไว้ซึ่งญาณความรู้”
ภายหลังอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินทางไปพำนักจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำดี ณ วัดป่าชัยวัน โดยหลวงปู่คำดีเป็นอาจารย์กัมมัฏฐาน คอยสอนให้ทำภาวนา นั่งสมาธิกัมมัฏฐาน เน้นเรื่องสติ สมาธิ และปัญญา ระยะเวลาผ่านไปนานพอสมควร ท่านได้ช่วยครูบาอาจารย์แบ่งเบาภาระในการสอนคนที่จะมาบวช ด้วยการสอนขานนาค เป็นต้น ครั้นถึงช่วงออกพรรษา ได้เป็นหัวหน้าออกเดินธุดงค์เข้าป่าเป็นกิจวัตร
• #รับใช้ครูบาอาจารย์
การที่ท่านได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติวัตถากหลวงปู่คำดี ปภาโส นั้น ทำให้ท่านได้มีโอกาสประสบพบพานปรนนิบัติและรับฟังโอวาทธรรมจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูป นับตั้งแต่ พระญาณวิศิษฏ์ สมิทธิวีราจารย์ หรือพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา หลวงปู่เคยไปช่วยงานหลวงปู่สิงห์อยู่เสมอ ๆ ไม่ว่างานที่กำหนดขึ้นจะเป็นงานในเขตไหน หลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านจะสั่งว่า.. “ท่อนเอ้ย...สีทนเอ้ย...ไปช่วยอาจารย์เถอะไป ผมช่วยอาจารย์ท่านไม่ไหวแล้ว ไปช่วยอาจารย์หน่อย ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อนะ อย่าลืมพระคุณของท่านล่ะ...”
หลวงปู่กล่าวว่า “พวกเราเป็นพระกำลังสองก็ไปช่วยกันอย่างเต็มที่ งานผูกพัทธสีมาก็ดี งานฉลองศาลาการเปรียญก็ดี ไปช่วยกันเต็มที่ ไม่ต้องออมแรงกันล่ะ”
ครูบาอาจารย์รูปสำคัญอีกรูปหนึ่ง คือ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ แห่งวัดป่านิโครธาราม จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่เล่าว่า“หลวงปู่อ่อนท่านเป็นหัวแรงใหญ่ หามเสา หาบปูนกันเองนะ พระป่าสมัยนั้นต้องช่วยกันทุกอย่างละ แล้วก็ใครมี ฝีมือช่างก็ว่ากันเต็มที่ วัดจะได้ไม่ต้องเสียค่าแรงงาน”
ท่านพระอาจารย์สิงห์ หลวงปู่ก็นับว่าได้ใกล้ชิดท่านพอสมควร เพราะว่าหลวงปู่คำดีท่านชราภาพแล้วท่านไม่สามารถเดินทางมาสนองงานท่านพระอาจารย์สิงห์ได้ (ท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่คำดี) หลวงปู่คำดีจึงให้หลวงปู่มาช่วยงานครูบาอาจารย์แทนท่าน ช่วงนั้นเป็นช่วงสุดท้ายบั้นปลายชีวิตของท่าน หลวงปู่จึงได้มีโอกาสรับใช้ช่วยเหลือกิจของท่านอย่างเต็มกำลังความสามารถ
“สำหรับหลวงปู่กับพระอาจารย์สีทน (พระครูอดิสัยคุณาธาร หรือหลวงปู่สีทน สีลธโน) นี่นะ ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน ไปทำภารกิจแทนครูบาอาจารย์ สำหรับการผูกพัทธสีมานั้นหลวงปู่ก็ได้รับมอบหมายให้สอนนาคประมาณสิบรูป เพราะจะบวชเนื่องในวันฉลองอุโบสถ ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) ท่านมีบัญชาให้สอน เอ้าสอนก็สอน...สอนไป จนกระทั่งได้บวชนั่นแหละ”
สำหรับครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ นอกเหนือจากหลวงปู่คำดี ผู้ที่หลวงปู่เคารพยกย่องเป็นอย่างมากอีกองค์หนึ่งก็คือ หลวงปู่ชอบ ญานสโม ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสรูปสำคัญของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่เคยมีโอกาสได้ไปช่วยงานของท่านเป็นบางคราว เพราะว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ผู้มีอุปการะให้ธรรมอุบายต่าง ๆ แก่ท่าน
หลวงปู่เล่าว่า “หลวงปู่ชอบจะสั่งให้คนขับรถมารับหลวงปู่ไปเทศน์ในงาน เราคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ หลวงปู่ชอบก็หัวเราะ ถ้าบ่ไป ปีไหนบ่ไปนะ หลวงปู่ชอบก็จะบอกคนให้คนขับรถมารับ ไปเอามา ไปเอามา ไปเอาอาจารย์ท่อนมา มันเหงา ไปเอาอาจารย์ท่อนมาเว้าแก้เหงาได้อยู่ หมู่ก็เลยตามมารับเอาหลวงปู่ไป เมื่อหลวงปู่เข้ามาถึง ก็ได้เข้าไปกราบหลวงปู่ชอบ แล้วกล่าวว่า มาแหล่วครับ มาแหล่วครับ หลวงปู่ชอบก็ยิ้มถูกใจ”
ในสมัยก่อนหลวงปู่ก็ได้รับมอบหมายจากครูบาอาจารย์ให้เป็นหัวหน้าหมู่คณะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารหมู่คณะ การเทศนาว่าการสั่งสอนต่าง ๆ นานา หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ซามา (หลวงปู่ซามา อจุตฺโต วัดป่าอัมพวัน) ก็จะมอบหมายให้หลวงปู่ทำหน้าที่พูดคุยธรรมะมาตลอด
นอกจากนี้ก็จะมี หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่เคยไปอยู่กับท่านที่ถ้ำมโหฬาร หลวงปู่กล่าวถึง การไปปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่หลุยว่า “การปฏิบัติก้าวหน้าดีเหลือเกิน ยิ่งลำบากมาก ยิ่งมีเวลาภาวนามาก คืออยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ กันนะ”
ในสมัยที่ไปพักอยู่ที่ถ้ำมโหฬารกับหลวงปู่หลุย หลวงปู่หลุยได้ถามหลวงปู่ท่อนว่า ทำไมจิตของหลวงปู่จึงแดงเหมือนพระอาทิตย์ แล้วหลวงปู่หลุยก็ถามเน้นอีกครั้งว่า “ท่านพ้นแล้วหรือ” หลวงปู่ก็ได้ตอบด้วยความติดตลกว่า “โอ้ย ! ที่มันแดงบ่แม่นจิตนรกดอกว้ากระผม” หลวงปู่เล่าว่า “เพิ่นย้อง (ชื่นชม) ว่าจิตของเราไม่เหมือนคนอื่น จิตแดงเหมือนพระอาทิตย์นิ” หลวงปู่หลุยก็ถามอีกว่า “ปรารถนาพุทธภูมิหรือ” หลวงปู่เลยตอบว่า “บ่แหล่ว ขอให้มันพ้นกิเลสในชาตินี้กะพอแล้ว ปรารถนาพุทธภูมิกะจักว่าชาติใด๋จั่งสิตรัสรู้นำเขาพวกพุทธภูมิ ร้อยชาติพันชาติมันสิเหมิดบ่ ทำบาปหนาสาโหดอยู่ มันสิได้ไปพุทธภูมิได้จั่งใด๋”
หลวงปู่ยังเล่าอีกว่า “ถ้ามื้อใด๋ (วันไหน) นอนคุยกันหลาย หลวงปู่หลุยเพิ่นบอก เข้าจิต เข้าจิต เข้าจิต น่ะ การเข้าจิตคือการเข้าจิตให้มันรวม สงบ เข้าสมาธิ แน่ะ สมาธิมันเข้าจิต มันลอยมานานแล้ว เวลาพักมันก็เข้าจิต เพิ่น (ท่าน) ว่านะ เข้าจิตส่วนตัว เข้าจิตส่วนตัว เข้าจิตส่วนตัว ถ้าปล่อยมันทั้งวันทั้งคืนก็เรียกว่าปล่อยมันทั้งวันทั้งคืนก็ไปอย่างนั้นแหละ เวลาจะไปจับมันก็บ่ (ไม่) เห็นแหล่ว จักปล่อยมันไปไกล จิตบ่มีบ่อน (ที่) แขวน แคนบ่มีบ่อนห้อยเสมอแคม้าปล่อย จิตบ่มีบ่อนยั้งเสมอม้าปล่อยแค ไป้ !! ... บ้ำ บ้ำ บ้ำ ไปเลย !! ปล่อยแคปล่อยเม่าปล่อยนั้นมันละปลดเครื่องพันธนาการของมันก็ไปไม่มีหยุดล่ะม้าน่ะ ตัวเมียอยู่ที่ไหนก็ไปอยู่ที่นั้นน่ะ”
• #เทอดทูนหลวงปู่คำดี
กล่าวได้ว่า ชีวิตความเป็นพระของหลวงปู่ เริ่มต้นได้เพราะหลวงปู่คำดีโดยแท้ หลวงปู่จึงมีความเคารพเทิดทูนหลวงปู่คำดีเสมือนบุพการีคนสำคัญในชีวิต เป็นทั้งผู้นำพาเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ สั่งสอน ชี้แนะ หลวงปู่มักจะกล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างของท่านในวันนี้ก็เพราะความเมตตาของหลวงปู่คำดีโดยแท้
หลวงปู่ได้ถวายการปฏิบัติอุปัฏฐากหลวงปู่คำดีมาตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังเป็นผ้าขาว จนได้อุปสมบทเป็นพระหนุ่ม พอเจริญพรรษากาลเป็นครูบาอาจารย์ หลวงปู่ก็ยังถือปฏิบัติดูแลหลวงปู่คำดีเช่นนั้นมาอย่างมิขาดตกบกพร่อง แม้จะมีภาระหน้าที่เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะปกครอง ท่านก็ยังเดินเท้าลัดเลาะจากวัดศรีอภัยวัน ไปยังวัดถ้ำผาปู่เพื่อไปถวายการรับใช้พระอาจารย์ของท่านอย่างสม่ำเสมอ ยามที่หลวงปู่คำดีอาพาธต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลวงปู่ก็ไปเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด โดยไม่คิดว่าท่านเองก็มีพรรษากาลสูงแล้ว จะให้พระเด็กๆ มาดูก็ได้ แต่ท่านกลับเป็นห่วงเป็นใยและลงมือปรนนิบัติวัตถากเองอย่างประณีตและดีที่สุด จนถึงวาระสุดท้ายของหลวงปู่คำดี
เวลานั้นหลวงปู่อยู่ที่วัด ท่านได้เล่าความฝันนี้ให้ลูกศิษย์ฟังว่า..
หลวงปู่ : ฝันว่าเขากั้นทางท่าน (หลวงปู่คำดี) ไว้ หมอปัญญาแหละ รีบมาเปิดทางให้ ราวกับว่ามีกองไม้ขวางท่านอยู่ หมอถอดสายยางถอดอะไรออกให้ ท่านก็บ๊ายบายเขา “ไปแล้วเด้อลูกหลานเอ้ย” พอเขาเปิดทางให้ท่านก็ไปเลย ท่านไม่ได้เดินดำดินนะ พอท่านจะไปก็ไปเลย หันหน้าไปทางทิศเหนือนี่ล่ะ เหาะขึ้นเลย เสียงกบเสียงเขียดร้องระงม หมายถึงจิตใจของคนที่เฝ้าอยู่นั่นล่ะที่ร้องไห้ มองท่านไปจนสุดสายตา เราก็ตื่นขึ้นมา “โอ้ หลวงปู่ไปแน่นอนวันนี้ ไปแล้ว เขาเปิดทางให้แล้ว” แต่ก่อนหมอคุมอยู่เอาสายยางใส่ไว้ให้ ปั๊มหัวใจให้ เขาเปิดทางคือเขาวางอุปกรณ์แล้ว ท่านก็เหาะไปเลย สูงขึ้น ๆ เสียงกบเขียด ร้องระงมเลยแถวนั้น
ศิษย์ : เสียงคนร้องไห้ตามหรือครับหลวงปู่
หลวงปู่ : อืม.. จริง ๆ ก็คนนี่แหละร้องไห้ไปต่อหน้าต่อตาเรา พอเราลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์เขาโทรมาบอกว่า “หลวงปู่ไปแล้ว เพิ่นไปดีแล้ว” เราก็ตอบว่า “ผมก็รู้อยู่ เขาดึงสายยางอะไรออกให้ เปิดทางให้แล้วท่านก็ไป”
ศิษย์ : ถ้าไปกวนนี่เป็นบาปหรือเปล่าครับหลวงปู่
หลวงปู่ : กั้นหนทางไว้ไง มันก็จะเป็นบาป เพราะท่านไม่ได้ไปสะดวก
ศิษย์ : แต่ไม่ได้มีเจตนาจะกั้น แค่อยากรักษาให้หลวงปู่คำดีแข็งแรงเหมือนเดิม
หลวงปู่ : นั่นแหละกั้นหนทางไว้ ท่านก็ไม่ได้ไปสักที
ศิษย์ : แต่ว่าเจตนาดี ทำไมต้องเป็นบาปครับผม
หลวงปู่ : ก็ใจมันจะดับแล้ว แต่ไปปั๊มคืนมาอยู่แบบนั้น มันก็เหมือนกั้นหนทางท่านไว้
ศิษย์ : มันฝืนธรรมชาติหรือยังไงครับ
หลวงปู่ : จิตท่านจะไปแล้ว แต่ไปปั๊มคืนมาใหม่ มาสู้ใหม่ ท่านก็จะบอกว่า กูจะไปแล้ว มาปั๊มกูทำไมน่ะสิ
ศิษย์ : ตอนนั้นหลวงปู่อยู่วัดศรีอภัยวันใช่ไหมครับ
หลวงปู่ : ใช่ แต่ว่าโทรศัพท์คุยกันได้ เขาให้จัดสถานที่ จะเอาศพมาวันนี้ ให้เตรียมสถานที่ตรงนั้นตรงนี้ เขาจะมารดน้ำตรงนี้ พระอาจารย์มหาบัวก็ได้ไปรดน้ำเหมือนกันนะ โทรศัพท์หากันได้อยู่
ศิษย์ : หลวงปู่ร้องไห้ไหมครับ
หลวงปู่ : จะร้องไห้ทำไม ท่านไปดี ไม่น่าจะร้องไห้ น่าจะอนุโมทนา แต่หัวใจร้องไห้อยู่หรอก บุญคุณของท่านล้นฟ้า
ศิษย์ : ล้นฟ้าเลยเหรอครับ.. ท่านสอนหลวงปู่ทุกอย่างเลยเหรอครับ
หลวงปู่ : อืม... มีกำลังใจ เราก็จัดงานอย่างสมเกียรติหรือแม้ยามใดที่ท่านหยิบหนังสือ หรือได้ฟังเรื่องราวของหลวงปู่คำดี ท่านจะอ่านและตั้งใจฟังอย่างมาก โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับชีวประวัติ คำสอนของหลวงปู่คำดี ท่านจะอ่านอย่างไม่ละสายตา บางครั้งก็อ่านโดยไม่จำวัดก็มี ด้วยความระลึกถึงในเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่างสุดหัวใจ หลวงปู่นั้นเป็นผู้ที่มีความกตัญญูและกตเวทิตาต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของท่านอย่างเต็มหัวใจ ท่านจึงเทิดทูนหลวงปู่คำดีไว้ในฐานะบุพการีผู้มีพระคุณสูงยิ่งในชีวิตความเป็นพระของท่าน
• #ตอบแทนโยมแม่
เนื่องจากโยมพ่อของหลวงปู่ถึงแก่กรรมหลังจากที่ท่านบวชได้ไม่นาน คงเหลือแต่โยมแม่ของท่านที่ติดตามอุปัฏฐาก จนหลวงปู่ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน โยมแม่ทา ก็ได้มาถือศีลเป็นแม่ขาว ดูแลวัดวาตามอัตภาพ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต หลวงปู่เล่าว่า งานศพโยมแม่ของท่าน ท่านได้จัดขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของโยมแม่ “ท่านตายกับเรา เราเป็นคนยกแม่ขึ้นเชิงตะกอนเอง ไม่ต้องกลัวว่าผู้หญิงผู้ชายล่ะ เรายกแม่ขึ้นใส่เชิงตะกอน แต่ก่อนไม่มีเมรุ ก่อฟืนขึ้นแล้วก็เอาไปค้างบนฟืน ไม่ได้เอาหีบใส่เผาไปด้วยนะ จะเอาหีบที่ใส่แม่ไว้ให้เป็นที่ระลึก หีบก็ทำไม่ดีเท่าไหร่หรอก แต่ว่าได้ประโยชน์ มีฝาปิดเปิด ใส่กุญแจปิดเปิดได้อยู่ เอาไว้ใส่หมอนเอาไว้ใส่อะไรกันหนูมากัด เอาแม่วางบนฟืนเฉยๆ เอาผ้าปูแล้วก็วางนอนบนฟืนติดไฟขึ้นพระก็สวด ผ้าที่จูงแม่ก็ไม่ได้เอาด้ายจูงธรรมดานะเรา เราไปซื้อเอาผ้าขาวเป็นพับๆ มาเลย เอามาต่อๆ กันแล้วก็ให้พระจูง เอาผ้าขาวจูงเลย จูงไปถึงนั้น แล้วก็เอาออกมาเวลานั้นเอามาตัด ตัดพอดีแม่ชีนุ่งได้ตัดให้พอดี ให้แม่ชีไปเย็บเป็นผ้านุ่ง ให้แม่ชีบังสุกุลเอา
โอ๊ย เฮ็ด (ทำ) สำคัญอยู่นะ ไม่มีใครทำ เราจะทำให้มีประโยชน์ อย่างที่ใส่ตั้งหีบแม่นั้นเราก็ทำเองอย่างพอดีหีบ ที่ใส่ตั้งหีบแม่นั่นก็ไม่ได้เผา เอามาทำความสะอาดเช็ดดี ๆ ก็เอาขึ้นมาศาลาหลังนี้ละ เป็นอาสน์สงฆ์ให้สงฆ์ได้นั่ง ให้เฮ็ด (ทำ) ให้แม่ไม่เหมือนเขา ให้เป็นประโยชน์หมดทุกอย่าง แม้แต่หีบก็ไม่ได้เผา ใช้เป็นหีบใส่ของ ไม่มีลวดลายเอากระดาษลายมาติดเอา เรามีความประสงค์จะทำเป็นตู้ใส่ของ ไม้อย่างดีติดกระดาษอะไรให้เรียบร้อยซะก่อน เอาไว้ใช้ประโยชน์ เผาทิ้งนั้น มันมีประโยชน์อะไร เอาแต่คนนี่แหละใส่ฟืนแล้วก็เผาคน เก็บกระดูกแล้วก็เอามาล้างน้ำอบน้ำหอม ส่วนที่ฝังก็ฝังไป ส่วนที่ไม่ฝังก็ใส่ขวด เอามาไว้เสาตรงนั้นนะ เสาศาลาตรงเข้าประตูมาเนี่ย ที่เป็นเสาคอนกรีตนะ เสาคอนกรีตอยู่หน้าประตูนะ เจาะตรงนี้ดี ๆ เจาะเข้าไปแล้วก็เอาขวดใส่ในช่องแล้วก็ปิดเลย ปิดกระดูกไว้ในนั้นเลยไม่เห็นหรอก ถ้าไม่หาดีๆ ไม่เห็นหรอก
แต่ว่าถึงเทศกาลมาแล้ว เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลวันเกิดวันอะไรเราเอาด้ายเอาสายสิญจน์ไปพันเสาต้นนั้นโค้งขึ้นมาหาพระสงฆ์ที่มานั่งฉันด้วย ให้พระสงฆ์บังสุกุล งานวันเกิดเราก็ทำบังสุกุลให้อยู่ วันเกิดของเราเราก็ทำทุกปีนะ เอาขันน้ำมนต์มาตั้งไว้ เอาแม่มาใส่พานแล้วก็เอาเชือกมาผูกโยงไปหาพระเจ้าพระสงฆ์ให้เพิ่น (ท่าน) บังสุกุลให้ ทุกปีนั่นละ ถ้าปีไหนมีโอกาสดี ๆ ก็ได้ทำมากหน่อย โอกาสไม่มีก็ให้ชาวบ้านเขามาช่วย อาหารการกินขอชาวบ้านเขาเน้อ ขออุทิศให้แด่แม่เน้อ พระสัพพีติโยแล้วก็เทน้ำเอา คงจะไม่ตกต่ำละแม่ เพราะเราก็ดูแลแม่จนวาระสุดท้าย
แม่ได้บอกไว้ตั้งแต่ยังไม่ตาย อยากได้เครื่องขยายเสียงมาใส่วัดนะ เปิดเทศน์ เปิดอะไรใส่ลำโพงให้มันดัง แม่ชอบอย่างนั้น แต่สมัยนั้นยังไม่มี เขาไปเอาลำโพงจากไหนมาใส่ให้ เราก็ไม่มีลำโพงวัด เรา ทำให้สุดความสามารถของบ้านนอกนี้แหละ เผาแม่เสร็จแล้วก็ไปเก็บกระดูกแม่ แต่ก่อนตั้งเตาเมรุอยู่กุฏิถ้ำเนี่ย (กุฏิถ้ำ ได้ถูกสร้างขึ้นในภายหลังหรืออีกชื่อว่าถ้ำพระฤษี) ถ้ำพระฤษีเนี่ย เผาแม่เรานี่แหละอยู่ตรงกลาง อยู่ระหว่างหลวงพ่อไข่นั่งนั่นแหละ ได้ทำเป็นแท่นพระไว้ จะเอาหลวงปู่ทั้งหลายมานั่งไว้ตรงนี้ เนี่ยเป็นประโยชน์อย่างนี้ ให้พระท่านพักได้ มีอยู่ ๓ ห้อง ให้พระเณรมาพักได้ พระพากันไปนอนนะเดี๋ยวนี้ เรียกว่ามาตาปิตุอุปฎฺฐานํ”
เหล่านี้คือความกตัญญูที่หลวงปู่แสดงออกถึงโยมแม่ของท่าน นับตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงแม้จะวายชนม์ไปแล้วก็ตาม ท่านอุ้มร่างของโยมแม่ขึ้นเชิงตะกอนด้วยตัวท่านเองและเป็นผู้ล้างหน้าโยมแม่ก่อนจะประชุมเพลิง ซึ่งหลวงปู่ได้จัดงานศพแม่ของท่านอย่างครบถ้วนด้วยบุญกุศล สิ่งของทุกอย่างสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อในพระพุทธศาสนาอย่างคุ้มค่า นับเป็นต้นแบบของการจัดงานศพที่ไม่มุ่งแต่ความสิ้นเปลือง แต่เล็งเห็นประโยชน์การใช้สอยสิ่งของอย่างคุ้มค่ามากที่สุด
“..กิเลสเป็นเหมือนสนิมเกาะกินใจมนุษย์อยู่ตลอดเวลา หากปล่อยให้มันเกาะกินจิตใจไม่รู้จักระวังรักษา ใจของเราย่อมหมดคุณภาพ เป็นใจเสื่อมโทรม กิเลสมันร้อน มันเป็นไฟ ต้องระวังอย่าลุอำนาจกิเลส อันจะทำให้กระทบกระเทือนผู้อื่นเขา..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
หลวงปู่ท่อน ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีอภัยวัน และพักรักษาอาการอาพาธอยู่ที่วัดป่ามณีกาญจน์ จ.นนทบุรี จนกระทั้งมรณภาพ
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร ละสังขารตรงกับวันเสาร์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๑ เวลา ๑๖.๔๖ น.ด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพมหานคร สิริอายุ ๘๙ ปี ๑๑ เดือน ๔ วัน ๗๐ พรรษา
"..นิพพาน ใจจะต้องเด็ดเดี่ยวมากนะ ต้องไม่ห่วงใคร จะต้องไปคนเดียว.." โอวาทธรรมหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
“กินอย่าได้บก จกอย่าได้ลง อย่าได้เขินเป็นหาด อย่าได้ขาดเป็นวัง สรรพกาลัง ยังสมบูรณ์พูนสุข ดีกว่าเก่า โอม อุ อะ มุ มะ มูล มา ขอจงไหลหลั่งเข้ามาเรื่อยบ่เซา เงินคำแก้วอย่าได้ขาดเขินถง ขอให้โฮงๆ ใส ดั่งทองในเบ้า ขอจงไหลมาเข้า เต็มกระเป๋าอึ่งตึงงง”
(ขอให้กินไม่หมด ใช้ไม่หมด อย่าเกินมากไป อย่าขาดมากไป สรรพกำลังสมบูรณ์พูลสุขมากกว่าเดิม โอม อุ อะ มุ มะ มูล มา มีทรัพย์สินเงินทองหลั่งไหลเข้ามา เงินทองอย่าได้ขาด ขอให้มีความสว่างไสวตลาดเวลา
มีเงินทองไหลมาเต็มกระเป๋าใบใหญ่ ๆ )
พรที่องค์หลวงปู่ท่อน ญาณธโร เมตตาให้แก่ลูกหลานอย่างถึงใจ สาธุ
#บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกจากหนังสือ "ญาณธโร" บรรณานุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงสรีระสังขารพระราชญาณวิสุทธิโสภณ (หลวงปู่ท่อน ญาณธโร) ; ๒๖ มกราคม ๒๕๖๒ ขออนุญาตเผยแผ่เป็นธรรมทานและกราบขออนุโมทนาบุญกับผู้เรียบเรียง ส า ธุ
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญกุศลFB pageพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น