ชีวประวัติ ปฏิปทาท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
๏ ประวัติและปฏิปทา ท่านพ่อลี ธัมมธโร ๏
วันนี้วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของท่านพ่อลี ธมฺมธโร (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) รำลึก ๖๓ ปี อาจาริยบูชาคุณ พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า แห่งวัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ท่านพ่อลี ถึงพร้อมด้วยอำนาจแห่งบารมีและบุญที่สั่งสมไว้แต่ปางบรรพ์ ท่านเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ทรงคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา กลับชาติมาเกิดเพื่อบรรลุธรรม มีภูมิธรรมและพลังจิตสูงยิ่ง ท่านมีจริยวัตรงดงาม มีศรัทธาเต็มเปี่ยมในการเผยแผ่สัจธรรม ท่านพ่อลี เป็นศิษย์เพียงรูปเดียวที่หลวงปู่มั่น เมตตาไม่เคยต้องติ และให้การยกย่องท่านว่า "มีพลังจิตสูง เป็นผู้เด็ดเดี่ยว อาจหาญ เฉียบขาด ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยธรรม" เมื่ออกจากสำนักไป ท่านเป็นผู้ที่ทำให้ชาวพระนครได้รู้จักพระกรรมฐาน และทำให้วงศ์กรรมฐานเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงยุคปัจจุบัน
ท่านพ่อลี ท่านเป็นพระกัมมัฏฐานผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เน้นธุดงควัตรรุกขมูลอยู่ตามป่าเขา เป็นพระผู้ทรงฌาณ มีอภิญญาแก่กล้า ท่านพ่อลี บรรลุภูมิธรรมขั้นสูงที่ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ และบรรลุธรรมขั้นสูงสุดที่ถ้ำเขาฉกรรจ์ จ.ปราจีนบุรี สมศักดิ์ศรีที่ได้รับความไว้วางใจจากท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ให้เป็น "อัศวินแห่งกองทัพธรรมกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต" ที่มีธรรมะเป็นอาวุธ ปฏิปทาอันละมุนละไมของท่านพ่อลี ทำให้บรรดาสาธุชนเลื่อมใสทั้งกาย วาจา ใจ ท่านพ่อลี ยังสามารถจัดงานฉลองกึ่งพุทธกาล คือ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้อย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีที่เมืองไทยเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา
๏ ประวัติและปฏิปทาท่านพ่อลี ธมฺมธโร ๏
“พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า” แห่งวัดอโศกราม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ท่านพ่อลี นามเดิมของท่านพ่อลี คือ นายชาลี เกิดในสกุล “นารีวงศ์” เป็นบุตรของนายปาว และนางพ่วย ท่านถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดี ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๙ เมื่อเวลา ๒๑.๐๐ น. วันแรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ณ บ้านหนองสองห้อง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี
อุปสมบท เมื่อวันพุธที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๙ ญัตติเป็นพระธรรมยุต เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ณ วัดบูรพา จ.อุบลราชธานี โดยมีพระปัญญพิศาลเถร(หลวงปู่หนู ฐิตปัญโญ) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชได้ ๒ พรรษา ท่านจึงตั้งใจอธิษฐานให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณธรรมว่า... "เวลานี้ ข้าพเจ้ามุ่งหวังเอาดีทางพระศาสนา ขอจงให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ภายใน ๓ เดือน" ภายหลังท่านพบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่วัดบูรพาราม จ.อุบลราชธานี สมความตั้งใจ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านได้สอนให้บริกรรม "พุทโธ" เพียงคำเดียวเท่านั้น ขณะนั้นพระอาจารย์มั่น กำลังอาพาธ ท่านจึงแนะนำให้ไปพักอยู่ป่าบ้านท่าวังหิน ซึ่งเงียบสงัดวิเวกดี โดยมีท่านมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ,พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระพี่เลี้ยง ปี พ.ศ.๒๔๗๔ ได้มีโอกาสพบกับท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดบรมนิวาสอีกครั้ง ท่านพระอาจารย์มั่นได้สอนธรรมใจความสั้นๆ ว่า “ขีณา ชาติ วุสิตํ พฺรหฺมจริยนฺติ”
พระอริยะเจ้าขีณาสพทั้งหลาย ท่านทำตนให้เป็นผู้พ้นจากอาสวะแล้ว มีความสุข นั่นคือพรหมจรรย์อันประเสริฐ จากนั้น ในกลางปี ๒๔๗๔ ท่านได้ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปจำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่
ท่านพ่อลีเล่าว่า.....ในขณะอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ได้ออกบิณฑบาตกับท่านพระอาจารย์มั่นเป็นนิจ ขณะเดินบิณฑบาตท่านได้สอนกรรมฐานเตือนใจอยู่เสมอ พอเห็นหญิงสาวสวย ๆ งาม ๆ ผ่านมา ท่านบอกว่า “มองดูให้ดีสิ นั่นเป็นอย่างไร สวยไหม งามไหม ดูให้ดี ๆ ดูเข้าไปข้างใน มูตรคูถทั้งนั้น”
ไม่ว่าท่านจะเห็นอะไร เซ่น บ้านหรือถนน สัตว์หรือสิ่งของท่านก็จะให้โอวาทพร่ำสอนเตือนใจท่านพ่อลีทุกวี่ทุกวัน จีวรใหม่ สบงใหม่ ที่คนเขาเอามาถวาย ท่านพระอาจารย์มั่นไม่ให้ท่านพ่อลีใช้ ให้ใช้สบงเก่า ๆ ขาด ๆ วิ่น ๆ เอามาปะชุนใช้ผืนที่มีสีสันสดสวย หรือขาว ท่านพระอาจารย์มั่นให้เอาไปทำลายสีเดิม แล้วย้อมด้วยแก่นขนุน
วันหนึ่งท่านพ่อลีได้เดินตามท่านพระอาจารย์มั่นไปบิณฑบาตถึงที่แห่งหนึ่ง หลวงปู่มั่นท่านเอาเท้าของท่านเตะกางเกงขาดที่เขาทิ้งไว้ข้างถนน แล้วก้มลงเก็บกางเกงขาดตัวนั้นเหน็บไว้ใต้จีวร เมื่อกลับถึงกุฎีแล้ว ท่านก็นำเอาไปซักแล้วพาดไว้ที่ราวตากผ้าแห่งหนึ่ง ต่อมาวันหลังได้ท่านพ่อลีก็เห็นกางเกงขาดตัวนั้น ได้กลายเป็นถุงย่ามใบน้อยและสายรัดประคดเอวที่เย็บด้วยมืออันกะทัดรัด
ท่านพระอาจารย์มั่น ได้สั่งให้ท่านพ่อลี ไปปฏิบัติสมณธรรม ในมงคลสถาน ๓ แห่งคือ ๑. ดอยขะม้อ จ.ลำพูน , ๒.ถ้ำบวบทอง จ.เชียงใหม่ , ๓.ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่
๏ ย่างกิเลสที่เขาฉกรรจ์ ๏
ออกพรรษาปีพุทธศักราช ๒๔๙๐ ท่านพ่อลีออกจากวัดป่าคลองกุ้ง ธุดงค์ไปยังเขาฉกรรจ์ และหนึ่งในศิษย์ที่ติดตาม คือ หลวงปู่สนั่น จิณฺณธมฺโม ท่านยืนยันว่าท่านพ่อลีได้บรรลุธรรมขั้นสูงที่นี่ หลวงปู่สนั่นได้เล่าว่า.....
.....ยามว่างหลังจากออกพรรษาทุก ๆ ปี ท่านพ่อลีปรารถนาแสวงหาที่วิเวกภาวนาเสมอ ท่านเป็นผู้ไม่หยุดนิ่งในเรื่องความพากเพียรทางด้านจิตใจ ใคร่ได้ใคร่ถึงวิมุตติธรรม มีความเพียรแก่กล้าหาผู้เทียบได้ยาก ท่านเป็นผู้มีพลังจิตสูงส่ง แม้แต่โจรที่ว่าร้าย ๆ เจอท่านก็ยังหมอบราบเหมือนแมวหรือกระรอกกระแตตัวน้อย ๆ
อันว่าเขาฉกรรจ์อยู่ห่างไกลจากกิ่งอำเภอสระแก้วประมาณ ๑๕ กิโลเมตร
“ถ้ำเขาฉกรรจ์” นี้อุดมไปด้วยสัตว์ดุร้ายนานาชนิด อาทิ เสือ หมี ช้าง ฯลฯ ซึ่งอาศัยอยู่รอบ ๆ เชิงเขา เวลากลางคืนดึกสงัด ขณะนั่งสมาธิได้ยินเสียงช้างร้อง เดินเอางวงหักกิ่งไม้อยู่รอบ ๆ เชิงเขา หมู่บ้านที่พระได้อาศัยบิณฑบาตตั้งอยู่ห่างจากเขานี้ประมาณ ๑ กิโลเมตร
ภายในถ้ำนี้เป็นสถานที่เงียบสงัดวิเวก ไม่มีคนรบกวน ผนังถ้ำเป็นเสมือนหลังคาที่กันแดดฝนได้เป็นอย่างดี หน้าถ้ำปลอดโปร่ง แต่ส่วนยอดของถ้ำสูงมาก มีปล่องทะลุออกไปสุดตายตา ผนังถ้ำเต็มไปด้วยรวงผึ้งหลายสิบรัง ภายนอกถ้ำทั่วอาณาบริเวณ มีฝูงลิงใหญ่เล็ก มากระโดดโลดเต้นและเฝ้ามองอยู่โดยรอบ ในที่ไม่ไกลมากนัก มีลำธารน้ำใสสะอาด จนมองเห็นกรวดทรายเบื้องล่าง และเย็นจนหนาวสะท้านเมื่อได้ลงสรงใช้ภาชนะคือกระบอกไม้ไผ่ที่มีปล้องยาว ๆ พอบรรจุน้ำ โดยใช้เถาวัลย์เป็นสายสะพายทางเดินไปบิณฑบาตค่อนข้างไกล ทุรกันดาร
หลวงปู่สนั่นท่านเล่าเรื่องท่านพ่อลีต่อด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งว่า.... พูดก็พูดเถอะ สาธุ!...ท่านพ่อลี ท่านทำอะไร ทำจริงเด็ดขาด ท่านพ่อเทียบให้ฟังว่าไก่บ้านไก่ป่า ไก่บ้านขันคอยาว ไก่ป่าขันเอิกเดียวแล้วก็บินไป อาศัยความเด็ดขาดว่องไวเฉียบแหลม ท่านพ่อสอนว่า “ให้สร้างตัวเองก่อนเถอะแล้วค่อยสร้างวัดวา”
...เขาฉกรรจ์เสือมีมากแต่โจรผู้ร้ายยังมากกว่าเสือ มีโจรรู้ว่าลูกคนรวยมาบวช มีเงินมานั่งสมาธิ มันจะมาปล้น ท่านพ่อใช้พลังจิต มันชักปืนออกมา ปืนสู้พลังจิตท่านไม่ได้ มันจึงยอมกราบ ท่านให้ศีล ๕ แต่พอมันลงจากเขาไป ก็ไปขโมยหมูชาวบ้านไปด้วย
...มีอดีตกำนัน เป็นคนมีเงินในถิ่นนั้น โจรผู้ร้ายจ้องจะปล้น กำนันรู้ตัวหนีขึ้นไปขออาศัยนอนที่เขาฉกรรจ์ พอเห็นท่านพ่อลีก็ร้องไห้โฮเสียงดัง บอกว่าหลวงพ่ออย่าหนีไปไหนนะ ถ้าหลวงพ่อไปฉันจะนอนกับใคร นอนบ้านโจรจะมาปล้น ที่บ้านกินข้าวเย็นเสร็จ คนในบ้านต่างคนต่างออกไปหาที่นอนตามทุ่งตามป่า เช้าค่อยกลับมาใหม่
.....ที่เขาฉกรรจ์นี้มีทางปีนป่ายขึ้นสูงไปหาถ้ำ ภายในถ้ำมี ๓ ชั้น วันนั้นท่านพ่อลีท่านให้ทำบันไดชั่วคราว ๑๑ ขั้น ปีนขึ้นไปอยู่บนชั้นที่สูงสุดคือชั้นที่ ๓ แล้วท่านก็ผลักบันไดลงมา ท่านบอกว่า “จะปฏิบัติย่างกิเลส ๑๕ วัน งดหมดเรื่องอาหารการกินภายใน ๑๕ วัน จะขอฉันน้ำเพียงกาเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ได้ (เห็นธรรมขั้นสูง) จะไม่ลง ยอมตาย”
....พวกพระที่ติดตามท่านก็ปฏิบัติอยู่ที่ถ้ำเบื้องล่าง รอคอยท่าน ท่านก็อยู่เงียบของท่านเหมือนคนตายแล้ว ภายใน ๑๕ วัน ไม่เห็นแม้แต่เงาท่าน ไม่รู้ท่านอยู่ได้อย่างไร ท่านคงเสวยฌานสมบัติ พอครบ ๑๕ วัน ก็เอาบันไดไปคอยรับท่าน ท่านก็ลงมา พูดแทบไม่มีเสียง เสียงแหบ ๆ เบา ๆ ท่านบอกว่า “สมความประสงค์” ที่สมความประสงค์ของท่านคงหมายถึงธรรมขั้นสูง
ท่านสู้ของท่าน ความเพียรพยายามในทางศาสนาของท่าน หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก ท่านสู้สุดตัวไม่มีถอย หาไม่มีแล้วในสมัยปัจจุบันที่ใครจะหาญกล้าทำอย่างท่านได้
๏ อธิษฐานเสี่ยงบารมี ๏
ปี พ.ศ.๒๔๙๙ ที่ถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ได้นำคณะญาติโยมจัดสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในถ้ำพระสบายโดยมีเจ้าแม่สุขณลำปางแม่เลี้ยงเต่าจันทรวิโรจน์แม่เหรียญกิ่งเทียนเป็นเจ้าศรัทธาใหญ่ตามคำปรารภของท่านพ่อลีให้จัดสร้างและทำพิธีเจริญ พระพุทธมนต์และด้วยจิตอธิฐานของท่านพ่อลีได้เกิดต้นโพธิ์ขึ้นเอง ๓ ต้นบริเวณหน้าถ้ำพระสบาย
เมื่อสร้างเจดีย์เสร็จท่านพ่อลี ได้นิมนต์ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม , หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ , หลวงปู่แว่น ธนปาโล , พระอาจารย์น้อย สุภโร ไปทำพิธีเจริญพระพุทธมนต์โดยต่างองค์ก็ต่างสวดบทมนต์ตามถนัดตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตีสี่จึงจบเสร็จพิธีพิธี ที่แปลกแต่ละองค์จะมีพานไว้ข้างหน้าเพื่อเสี่ยงทายบารมีและจะนั่งอยู่องค์ละทิศของเจดีย์ หลวงปู่แว่น ธนปาโลนั่งอยู่หน้าถ้ำจึงอธิษฐานว่าถ้าพระธาตุเสด็จมาในพานของใครมากน้อยก็แสดงว่าผู้นั้นได้ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามากน้อยตามปริมาณที่พระธาตุเสด็จมา แต่ละองค์ก็สวดบทมนต์ที่ตนถนัดหรือจำมาได้ตลอดเวลารวมทั้งสวดปาฏิโมกข์เมื่อสวดถึงประมาณตีสี่ปรากฏว่าเสียงตกกราวลงมาคล้ายกระจกแตกจึงให้สัญญาณหยุดสวดเจริญพระพุทธมนต์แล้วจึงได้ตรวจดูในพานของแต่ละท่านที่วางอยู่หน้าที่นั่ง
ปรากฏว่าในพานของท่านพ่อลีมีพระธาตุมากที่สุด รองลงมาก็เป็นของหลวงปู่จาม ต่อมาก็พระอาจารย์น้อย,หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แว่น ตามลำดับในมติคณะสงฆ์ตอนนั้นได้มอบหมายให้หลวงปู่ตื้อเป็นผู้วินิจฉัยถึงเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเพราะทุกองค์ยอมรับในความสามารถเข้าฌาณของหลวงปู่ตื้อว่ามีญาณทัศนะเป็นที่แน่นอนเมื่อหลวงปู่ตื้อเข้าสมาธิเล็งญาณดูในอดีตจึงแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบร่วมกันว่าท่านพ่อลีเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช หลวงปู่จามเป็นกษัตริย์ชื่อเทวนัมปิยะของประเทศศรีลังกา พระอาจารย์น้อยเป็นเสนาอำมาตย์ของกษัตริย์ศรีลังกาองค์นั้น(เทวนัมปิยะ) หลวงปู่ตื้อเป็นโจรมีเมตตาคนจนตั้งปางโจรอยู่แถวถ้ำพระสบาย ปล้นคนรวยเอาไปช่วยคนจน หลวงปู่แว่นเจ้าเมืองลำปางในอดีต ช่วงนั้นท่านพ่อลี ได้บอกหลวงปู่จามอีกว่า “ได้พบสาวกของท่านองค์หนึ่งเป็นเจ้าแห่งผีที่ผานกเค้า(จ.เลย) อย่าลืมไปโปรดเขาด้วย”
๏ ท่านพ่อลี รู้วันตาย...ทำไมต้องตาย ๏
.....กลางคืนวันหนึ่ง หลังงานฉลองกึ่งพุทธกาลจบลง.... ณ กุฎีปุณณสถาน ที่วัดอโศการาม ท่านพ่อลียังร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ท่านได้ปรารภกับพระอาจารย์แดง ธมฺมรกฺขิโต ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ เรื่องอายุขัยคือการสิ้นสุดแห่งชีวิตว่า
“ท่านแดง...อายุ ๕๕ ปี ผมต้องตาย ชีวิตถึงคราวสิ้นสุด ให้ท่านอยู่ช่วยดูแลหมู่คณะที่วัดอโศฯ เมื่อผมตายไปแล้ว ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งพาอาศัยของหมู่เพื่อน”
การกล่าวในครั้งนี้ ท่านกล่าวก่อนมรณภาพเป็นเวลาหลายปี
จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านพ่อลีได้ไปนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ธนบุรี ท่านเรียกพระอาจารย์แดงมาหา แล้วกล่าวย้ำว่า
“เราอายุ ๕๕ จะลาตายแล้ว”
“ตายยังไงครับ...ท่านพ่อ”
“ก็ตายขาดจากลมหายใจนะสิ ถามได้ ก็เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือ”
“ผมลืมไปแล้ว แต่เมื่อท่านพ่อทักขึ้นผมก็จำได้ ทำไมท่านพ่อจะต้องตายด้วย ไม่ตายไม่ได้หรือ?”
“เราได้รับนิมนต์เขาแล้ว....เสียดายที่จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้นาน เกิดมาได้มีโอกาสช่วยพระศาสนาน้อยเหลือเกิน คิดแล้วก็ยังไม่อยากตายเลย....เพราะเห็นแก่ประโยชน์คนอื่น....ส่วนเราเองไม่ได้มีปัญหาในการเกิดการตาย”
“รับนิมนต์ใคร”
“รับนิมนต์เทวดา เขาอาราธนา”
“เขาอาราธนาไปทำไม”
“เขาอาราธนาไปสอนมนต์ให้”
“ไปสอนมนต์อะไรครับ ช่วยสอนให้ผมด้วย”
“มนต์ก็ไม่มีอะไรมาก พรหมวิหาร ๔ ของเรานี้แหละ แต่คนอื่นสอนมันไม่ขลัง ต้องให้เราสอนมันถึงขลัง เขาบอกอย่างนี้”
“ผมขออาราธนาท่านพ่อไว้ อย่าเพิ่งตายเลย”
“เราได้ตกลงรับอาราธนาเขาแล้ว อยู่ไม่ได้”
“ท่านพ่อครับ ไม่มีวิธีอื่นบ้างเลยหรือ ที่จะสามารถต่ออายุ ไปได้อีก”
ท่านพ่อลีเล่าถึงรอยต่อแห่งชีวิตอันมีความเป็นความตายเป็นเครื่องเดิมพันว่า....
“วิธีนั้นมี แต่เรื่องมันผ่านเป็นอดีตไปแล้ว เราจะหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้อีก เพราะหลักธรรมหลักความจริงท่านใช้ปัจจุบันเป็นเครื่องตัดสิน
พวกเธอจำได้ไหม?....ในสมัยประชุมคณะกรรมการจะสร้างเจดีย์ และโบสถ์ เราปรารภให้สร้างพระเจดีย์เสียก่อน แต่ไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้ารับงานนี้
บางคนเขาคิดเอาเองว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วเราจะหนีเข้าป่าบ้าง ตายบ้าง (เพราะท่านไม่ได้บอกพวกเขาถึงเหตุว่าการสร้างพระเจดีย์จะต่ออายุท่านได้) กรรมการที่ประชุมมีความเห็นว่า สร้างโบสถ์ก่อน ก็เป็นอันตกลง ซึ่งเขาไม่รู้จักจุดลึกในชีวิตของเรา การที่จะมาแก้ในสิ่งที่ล่วงเลยมามันก็สายเสียแล้ว”
แล้วท่านพ่อลีกล่าวย้ำว่า “...ก็พวกเธอเกาไม่ตรงที่คัน ต่อให้มีโบสถ์ตั้ง ๒๐ หลัง ก็ไม่เท่ากับสร้างพระเจดีย์เพียงหนึ่งองค์ ....ท่านเอ๊ย!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดหวังในชีวิตของท่านพ่ออีกต่อไป พระอาจารย์แดงจึงเรียนท่านว่า “เมื่อตายไปแล้ว ก็ขอให้ท่านพ่อมาช่วยเหลือวัดอโศการาม” ท่านพ่อลีก็หัวเราะ ฮึ ๆ ตอบว่า “เราก็เป็นห่วงเหมือนกัน คิดว่าจะคายอะไรไว้ให้เขากินกัน แต่ชีวิตก็จวนเสียแล้วก็ให้พวกยังอยู่หากินกันไป ถ้าไม่มีปัญญาก็ช่างมัน” และได้เรียนถามท่านอีกว่า “ท่านพ่อมีคาถาอะไรดี ๆ ก็สอนให้ผมด้วย”
ท่านพ่อลีตอบว่า “คาถานั้นมีอยู่ แต่สู้ใจเราไม่ได้ ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จคุณธรรม เมื่อเราทำความเพียรอย่างสูงสุด เสียสละชีวิตแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน”
ชีวิตพระอริยเจ้าจึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ ท่านไม่ได้นอนรอความตาย ท่านทราบเรื่องความตาย ตายแล้วไปไหน หลังจากตายจะไปทำอะไร ได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน และคำว่า “พระนิพพาน” เป็นอย่างไร สุขสบายดีไหม ท่านรู้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องคิดหาคำตอบมาถกเถียงให้เมื่อยกราม เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ท่านประสบพบเห็นเองอยู่
ท่านมีชีวิตอยู่ก็เป็น “สอุปาทิเสสนิพพาน”
ตายไปก็เป็น “อนุปาทิเสสนิพพาน”
๏ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร มรณภาพ ๏
เมื่อรุ่งสาง...ตอนเช้าของวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๔ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เวลา ๑๑.๐๐ น. แล้ว ไม่มีผู้ใดเห็นท่านพ่อลีเปิดประตูออกมา รอเป็นเวลานานศิษยานุศิษย์มีพระและสามเณรเป็นต้น จึงได้เปิดหน้าต่างเข้าไปดู
พบร่างท่านนอนแน่นิ่งในอิริยาบถสีหไสยาสน์ หมดลมหายใจอยู่ในอิริยาบถนอนอันสงบประดุจนอนหลับ มรณภาพเยี่ยงอริยสงฆ์สาวกผู้ถึงพร้อมด้วยศีลธรรม ท่านไม่ได้ห่มจีวร ใส่แต่อังสะและสบง ขาซ้ายคู้ขึ้นหน่อยหนึ่ง เหมือนลักษณะของพระ ๒๕ พุทธศตวรรษที่ท่านนิยมสร้าง
พระเณรบางรูป ลูกศิษย์ใกล้ชิดบางคนบอกว่า “อย่าไปแตะต้องท่านนะ เดี๋ยววิญญาณเข้าไม่ได้....เพราะในชีวิตของท่านได้สร้างปาฏิหาริย์ไว้มากมาย...แม้ท่านตายแล้วคนเขาก็ยังคิดว่าท่านไม่ตาย คิดว่าท่านเข้าฌานไปท่องนรกสวรรค์....พรหมโลก....แดนนิพพาน...เดี๋ยวก็กลับมา”
ต่างองค์ต่างคนก็ต่างพูดไปสารพัด ไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้ององค์ท่านเลย เมื่อรออยู่นานหลายชั่วโมง จึงลงความเห็นว่าท่านคงละโลกลาสงสารจากพวกเราไปแน่แล้ว คำพูดของท่านที่กล่าวท่ามกลางชุมนุมสงฆ์ที่วัด อโศการาม ถึงการปลงอายุสังขาร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ ว่า..
“....เวลาเราป่วยหนักใกล้จะตาย จะไม่ให้พระหรือเณรเข้าใกล้เลยสักคน เวลาใกล้จะตายนั้น เราต้องระเบิดความดีในตัวออกให้หมด”
“พระอรหันต์” ยังไม่พ้นจากการตาย เพราะการตายเกี่ยวด้วยกรรมเก่า
“กรรมเก่า” เป็นเรื่องของ “ร่างกาย” ส่วนพระอรหันต์เป็นที่ “จิต”
วินาทีนั้น ....บรรยากาศแห่งอโศการาม เต็มไปด้วยความวิปโยคโศกเศร้าสลดสุดจะประมาณได้ พระเณรอุบาสกอุบาสิกาอลม่าน เสียงฆ้องระฆังลั่นแล้วลั่นเล่า เป็นสัญญาณแห่งการตายของท่านพ่อลี ผู้เป็นดั่งบิดรมารดา ชายทะเลแห่งอารามนามว่าอโศการาม ซึ่งแปลว่าไม่เศร้าโศก.... บัดนี้ดวงตะวันที่แผดแสงแรงกล้า... เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวครึ้มฟ้าครึ้มฝน อากาศธาตุวิปริตแปรปรวน ประหนึ่งว่าโลกจะแตกบัดเดี๋ยวนั้น
อโศการามนาวา ถูกคลื่นใหญ่คือความตายซัดสาด แตกกระจายเป็นฟองฝอย สัตว์ใหญ่น้อยที่อาศัยต่างร่ำไห้เพราะความอาลัยเสียดายในท่านผู้มีบุญญาธิการ เสียงลมทะเลซัดฝั่งมาเป็นระลอก เปรียบเสมือนดั่งว่าน้ำตาแห่งเทพยดาบนสรวงสวรรค์หลั่งริน พิณแห่งทวยเทพบรรเลงเสียงกรรแสงโศกาดูร แสดงท่วงทำนอง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สะท้านไปทั่วโลกธาตุ น้ำตาเหล่าสานุศิษย์หลั่งไหลเหมือนสายน้ำ.... ทุกคนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก แต่สำหรับท่านพ่อลี พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า มองเห็นร่างกายเพียงเม็ดทราย ที่ถูกสายน้ำซัดลงทะเล...ไม่อาลัยอาดูร.... เป็นเพียงธาตุ ๔ สูญสลายตามกาลเวลาเท่านั้น
คราทีนั้นบทเพลงแห่งพระอรหันต์....ก็แสดงท่วงทำนองพระนิพพาน บรรเลงครื้นเครง ขับกล่อมยาวกระหึ่มไกลออกไปในสามโลก ต่อมาข่าวนี้ได้แพร่สะพัดออกไปตามทิศต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยขยายไปถึงต่างประเทศ ประชาชน ครูบาอาจารย์ หลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย เหมือนสายน้ำหลาก เป็นที่น่าอัศจรรย์ในเกียรติคุณความดีของท่าน แม้เจ้านายผู้สูงศักดิ์ทางประเทศพม่า ลาว และเขมร ต่างก็มาเคารพศพท่านไม่ขาดสายเป็นประวัติการณ์ ทั้งหมดนี้แสดงถึงบุญญาภินิหารของท่านที่ไม่มีวันจืดจางไป ท่านพ่อลีพระอริยเจ้าผู้มีอายุขัยสั้นนัก แต่ท่านได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาได้อย่างน่าอัศจรรย์มากมายนัก! เช่นเดียวกัน
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ตรงกับวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๔ สิริอายุท่านพ่อลีได้ ๕๕ ปี ๒ เดือน ๒๕ วัน ๓๔ พรรษา
หลังจากท่านพ่อลี มรณภาพลงแล้ว ภายหลังสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี) มีพระบัญชาให้เก็บสรีระสังขารท่านไว้ยังไม่ให้ถวายเพลิง ให้เอาอย่างพระมหากัสสปะเถระ ที่ในวันหนึ่งในอนาคตกาลจะมีพระศรีอริยเมตไตรย มาเผาศพพระมหากัสสปะอย่างสมศักดิ์ศรี "ผู้มีบุญกรรมที่เกี่ยวข้องกับท่านในวันข้างหน้า จะได้มาถวายเพลิงสรีระร่างของท่านอย่างสมศักดิ์ศรี" สมเด็จพระสังฆราช ท่านมีบัญชาอีกว่า ให้บำเพ็ญกุศลและสวดมนต์อุทิศถวายท่านพ่อลีทุกคืน บรรดาบรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งเป็นคณะศิษย์ท่านพ่อลีได้ปฏิบัติตามมาโดยตลอด
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB pageพระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น