ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม ๏ 
     วันนี้วันที่ ๑ พฤษภาคม​ ๒๕๖๗ วันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร รำลึก ๖ ปี อาจาริยบูชาคุณ "พระอริยสงฆ์ผู้มีเมตตาธรรม" หลวงปู่อุ่นหล้า ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กอปรด้วยศีลและธรรม มีศีลาจาริยวัตรอันงดงาม เป็นผู้ที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ดำเนินตามหลักปฏิปทาที่ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ผู้เป็นอาจารย์พาดำเนินมา อีกทั้งหลวงปู่อุ่นหล้า ยังเคยได้ไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณรเลยด้วย หลวงปู่อุ่นหล้า ท่านเป็นพระผู้สวดปาฏิโมกข์เก่งมาก จนเป็นที่ยกย่องของครูบาอาจารย์ในสมัยนั้น ว่าสวดได้สละสลวยถูกต้องทุกตัวอักขระ ฐานกรณ์ จนเป็นที่กล่าวกันว่าภิกษุใดต้องการฝึกสวดพระปาฏิโมกข์ต้องมาเรียนกับหลวงปู่อุ่นหล้า ที่สำนักวัดป่าแก้วชุมพลแห่งนี้

#ประวัติและปฏิปทาหลวงปู่อุ่นหล้า_ฐิตธัมโม 
• #ชาติภูมิ 
“หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม” เกิดเมื่อวันพุธที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ ณ บ้านศรีฐาน ต.กระจาย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี (บ้านศรีฐานนั้นปัจจุบันเป็น ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร) โยมบิดาชื่อ นายบุญหนา โยมมารดาชื่อ นางบุปผา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน เป็นผู้ชาย ๓ คน เป็นผู้หญิง ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๖

• #ต้นบุญ_ต้นธรรม
หลวงปู่อุ่นหล้า ท่านถือกำเนิดในถิ่นที่อุดมไปด้วยธรรม เป็นต้นบุญ ต้นธรรม คือที่หมู่บ้านศรีฐานนี้เป็นแหล่งถือกำเนิดของพระอริยเจ้าอยู่หลายรูปหลายองค์ เช่น หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร , หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต , หลวงปู่พวง สุขินทริโย , หลวงตาสรวง สิริปุณโณ , หลวงปู่บุญมา สุชีโว อีกทั้งฝ่ายอุบาสิกายังมีคุณแม่ชีสามพี่น้อง ท่านทั้งสามเป็นโยมมารดาของพระเถระทั้งสามรูป ดังนี้
๑.คุณแม่ชีอบมา ไชยเสนา โยมมารดาของ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
๒.คุณแม่ชีบุปผา เข็มเพ็ชร โยมมารดาของ ท่านพระอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธัมโม วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
๓.คุณแม่ชีบุญหนา จันทร์เหลือง โยมมารดาของ ท่านพระอาจารย์คำพอง (หลวงตาน้อย) ปัญญาวุโธ วัดป่านานาชาติ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา 
แม่ชีทั้งสามท่านล้วนเคยได้ปฏิบัติธรรมร่วมกับคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ อีกด้วย

• #การศึกษาเบื้องต้น 
เมื่ออายุได้ ๗ ปีได้เข้าโรงเรียนประถม ชื่อโรงเรียนศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร เข้าโรงเรียนอยู่ ๕ ปีเพราะสมัยนั้นมีชั้นมูลด้วย เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่อออกจากโรงเรียนแล้วได้ช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่หนึ่งปี 

• #การบรรพชาและอุปสมบท 
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่ออายุ ๑๓ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ได้เรียนนักธรรมอยู่ ๒ ปี สอบได้นักธรรมชั้นโท แล้วได้ติดตามครูบาอาจารย์ไปทางจังหวัดสกลนคร 

• #ท่องถิ่นธรรมตามครูอาจารย์ไปภาคใต้
หลังจากออกพรรษาปี พ.ศ.๒๔๙๘ แล้ว ชาวบ้านควนกะไหล อําเภอโคกกลอย จังหวัดพังงา ได้ส่งจดหมายมานิมนต์ หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ไปโปรดชาวบ้านที่นั่น พร้อมทั้งได้ส่งปัจจัยค่าเดินทางมาถวาย สามเณรอุ่นจึงได้ติดตามหลวงปู่สุวัจน์ขึ้นมากรุงเทพฯ มาพักที่วัดบรมนิวาส แล้วต่อไปปักษ์ใต้ ไปพักที่บ้านควนกะไหลโดยนั่งเรือไป ไปลงเรือที่อําเภอกันตัง จากกันตั้งไปภูเก็ต เข้าใจว่ามาลงเรือสองครั้ง ไปขึ้นท่าที่จังหวัดภูเก็ตแล้ว จึงเดินทางต่อไปที่ บ้านควนกะไหล จังหวัดพังงา

ตอนที่ไปปักษ์ใต้นี้ครั้งแรกไปอยู่ควนกะไหล คําว่า “ควน” นี้ความหมาย หมายถึง ภูดินภูที่ไม่มีก้อนหิน ชื่อว่า ควนกะไหล ปัจจุบันเป็นวัดควนกะไหล อยู่ที่หมู่ ๒ ตําบลกะไหล อําเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา

ส่วนหลวงปู่มหาเจิม ปญญาพโล เพิ่นไปแวะเยี่ยมหลวงปู่สุวัจน์อยู่ ควนกะไหล ตอนที่หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ กับเฮาพักอยู่ควนกะไหล หลวงปู่สาม อกิญฺจโน ก็มาแวะเยี่ยมท่านที่ควนกะไหลเช่นกัน สมัยก่อนพระกรรมฐานก็มีไม่มาก หลวงปู่มหาเจิม ปญฺญาพโล เพิ่นอยู่อําเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่

หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ เพิ่นก็เคยพาเฮาไปเยี่ยม หลวงปู่มหาเจิมท่านครั้งหนึ่งที่อ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ท่านจําพรรษาอยู่ที่วัดเขาช่องลม คลองช่องลม อําเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ก็ต้องนั่งเรือไป ลงเรือที่ท่าเรือกะโสม ไปขึ้นที่ท่าเรือแหลมสัก แล้วเดินต่อไปวัดเขาช่องลม ไปหาหลวงปู่มหาเจิม ปญฺญาพโล

หลังจากไปพักที่ควนกะไหลได้ระยะหนึ่งแล้ว หลวงปู่สุวัจน์ที่ได้รับจดหมายจากชาว บ้านตําบลจอมพระ พร้อมกับปัจจัยค่าเดินทาง เพื่อนิมนต์ให้กลับไป ตําบลจอมพระ จังหวัด สุรินทร์ เฮาสามเณรอุ่น ก็เลยได้ติดตามหลวงปู่สุวัจน์กลับมาด้วย

• #ไปปักษ์ใต้รอบสอง
เมื่อหลวงปู่สุวัจน์ทําธุระเสร็จแล้ว จึงได้พาสามเณรอุ่น ไปเที่ยววิเวกทางภาคใต้อีกเป็นคํารบ ๒ แต่คราวนี้ไปพักที่วัดหลังศาล หรือวัดเจริญสมณกิจ จังหวัดภูเก็ต โดยมีหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นประธานสงฆ์และพระอาจารย์วัน อุตฺตโม ก็พักอยู่ที่นั่นด้วย มีเจ้าคุณสนธิ์ วัดพุทธบูชา บางมดในปัจจุบันเป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วันหนึ่งสามเณรอุ่นเห็นท่านเจ้าคุณสนธิ์ ท่องพระปาฏิโมกข์จึงได้เริ่มเรียนพระปาฏิโมกข์ด้วย

• #จําพรรษาที่ป่าช้าบางเหนียว
ช่วงนั้นใกล้ ๆ จะเข้าพรรษา พ่อท่านเอี่ยม วรคุโณ เพิ่นเป็นคนจีน เพิ่นอยู่องค์เดียว ที่ป่าช้าบางเหนียว พระเณรก็ไม่พอที่จะรับกฐินได้ เพิ่นเลยเข้ามากราบขอหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ว่าอยากได้พระไปจําพรรษาอยู่ด้วย หลวงปู่เทสก์เพิ่นก็เลยให้อาจารย์สุวัจน์ สุวโจ กับอาจารย์ประสาร สุมโนกับพระอีกสององค์ พระองค์หนึ่งเป็นคนสุรินทร์ อีกองค์เป็นคนภูเก็ต แล้วก็เณรอีกองค์หนึ่ง เณรก็เฮานี่ล่ะ รวมเป็นพระ ๔ เณร ๑ ไปจําพรรษา อยู่ป่าช้าบางเหนียวกับพ่อท่านเอี่ยม

สมัยก่อนเขาเรียกว่า “ป่าช้าบางเหนียว” เป็นเขตของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งปัจจุบันกลายเป็น “วัดแสนสุข” ชื่อทางการคือ วัดถาวรคุณาราม อยู่บ้านบางเหนียว ตําบลตลาดใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

ปี ๒๔๙๙ นั้นได้จําพรรษาที่ป่าช้าบางเหนียว ทุกวันนี้ป่าช้า ได้กลายเป็นตลาดไปหมดแล้ว ตอนนั้นไปพักอยู่สวนมะพร้าวกับป่าช้า ช่วงนั้นคนก็ไม่เยอะ ขนาดของป่าช้าก็ไม่ใหญ่เท่าไรหรอก ตรงนั้นเป็น ป่าช้าเดิม แต่มันก็ราบเรียบไปหมดแล้ว ก็ยังกวาดตาดได้ ตอนนั้นเขาเริ่มเผาศพกันแล้ว ไม่ได้ฝังเหมือนแต่ก่อน

นี่หลวงปู่ประสาร สุมโน ยโสธรนี่ก็ไปด้วยกัน เพิ่นไปภาคใต้ ก็ไปอยู่วัดควนกะไหลก่อน แล้วก็ได้มาจําพรรษาด้วยกันอยู่ที่ป่าช้าบางเหนียว ปีจําพรรษาด้วยกันที่ป่าช้าบางเหนียวมี หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ หลวงปู่ประสาร สุมโน พ่อท่านเอี่ยม วรคุโณ องค์หนึ่งเป็นคนสุรินทร์ อีกองค์ชื่อครูบาท้าว เป็นคนภูเก็ต และก็เฮาที่เป็นเณร

หลวงปู่ประสาร สุมโน ท่านได้กล่าวถึงสามเณรอุ่น ที่พบเจอ ในปี ๒๔๙๙ ว่า “อาจารย์อุ่นเป็นสามเณรตอนนั้นเพิ่นอยู่อุปัฏฐาก หลวงปู่สุวัจน์ เพิ่นไม่ค่อยพูด เพิ่นสุภาพเรียบร้อย” “สามเณรอุ่นองค์นี้ เป็นสามเณรที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด เวลาเล่นก็เล่น ถึงเวลาทําก็ทําจริง คล่องแคล่วว่องไว ขยันขันแข็ง เวลาพูดจากับพระเจ้าพระสงฆ์ก็ฉลาดพูด พระด่าใช้งานหนักก็อดทน สามเณรอุ่นสมัยนั้น สมกับท่านเป็นเหล่ากอ ของสมณะอย่างแท้จริง”

• #เรียนนักธรรมเอก
ที่นี้ช่วงกลางปี ๒๔๙๙ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม เพิ่นไปขอ เพิ่นว่าอยากได้นักเรียน หลาย ๆ อยากได้พระเณรมาเรียนหนังสือหลาย ๆ องค์ จําได้ว่าปีนั้นเรียนนักธรรมเอก ที่แรกเฮาขอเพิ่นว่า “ไม่อยากเรียน” เพิ่นก็เลยว่า “อยากได้นักเรียนหลาย ๆ เยอะ ๆ ให้เรียนซะ” ก็เลยเรียนนักธรรมเอก วัดหลังศาลเพิ่งเปิดเป็นโรงเรียนปริยัติ พระอาจารย์วันมาขอให้เรียน ด้วยความเคารพครูบาอาจารย์ก็เลยเรียนนักธรรมเอก ก็เลยหยุดท่องปาฏิโมกข์ ตอนนั้นก็ ท่องปาฏิโมกข์มาถึงสังฆาทิเสสข้อที่ ๑๑ แล้ว

ตอนที่เรียนนักธรรมเอก เฮาก็งงอยู่ เฮาก็ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือสักเท่าไหร่นัก แต่ทําไมถึงสอบได้ เขาก็งงกันหมดเลย เณรสององค์ พระอีกองค์ที่สอบได้ นักธรรมเอกตอนนั้น

เฮาไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้เรียนนักธรรมอยู่สองปีนะ ปี ๒๔๙๗ ถึง ๒๔๙๘ แล้วก็มาเรียน นักธรรมเอกอยู่ภูเก็ต ในปี ๒๔๙๙ ที่พระอาจารย์วัน อุตตโม เพิ่นขอว่า ให้เรียนหนังสือ นี่ล่ะ ปี ๒๔๙๙ สอบนักธรรมเอกได้ อยู่ที่สํานักเรียนวัดเจริญสมณกิจ (วัดหลังศาล) บ้านบางงิ้ว ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ใบประกาศนักธรรมเอก ได้มาแล้ว ก็ไม่รู้หายไปไหน เฮาก็ไม่ได้สนใจกับใบประกาศ

• #ไปสงขลา
พอออกพรรษาแล้วหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ เพิ่นก็พาไปเที่ยววัดต่าง ๆ สาขาของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ทางภาคใต้ ไม่ทราบยังไงพวกญาติโยมเขาได้มา ตีตั๋วเครื่องบินให้นั่งเครื่องบินจากภูเก็ตไปสงขลา เฮาเป็นเณรแต่ได้นั่งเครื่องบินก่อนหมู่เพื่อน คือ ตอนที่ไปเที่ยวนี่ ช่วงนั้นมีไปกันสององค์ มีหลวงปู่สุวัจน์กับเฮาเท่านั้นล่ะ ไปพักอยู่วัดเก้าเส้ง หรือวัดเขาเก้าแสน (หัวนายแรง) จังหวัดสงขลา ไปพักอยู่ ประมาณสิบวันนี้ล่ะ ทางสงขลา วัดป่า ก็มีไม่มาก หลวงปู่สุวัจน์ เพิ่นพาลงไปเที่ยวดู อยู่ที่สงขลา

• #แวะควนจง
หลวงปู่สุวัจน์ท่านพาเฮาไปแวะเยี่ยม ท่านอาจารย์มหาที่ควนจง ต้องนั่งรถเข้าไป ที่อําเภอนาหม่อม วัดนี้ชื่อวัดควนจง หรือ วัดเขาล้อม อยู่บ้านควนจง ตําบลนาหม่อม อําเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา เจ้าอาวาส คือ หลวงพ่อมหาจิต จิตฺตวโร ท่านเป็นศิษย์ท่านพ่อลี วัดอโศการาม ท่านเป็นครูอาจารย์องค์สําคัญสายวัดป่าอยู่ที่สงขลานี้ ที่วัดควนจง แต่ก่อนเพิ่น จะชักธงชาติผืนใหญ่ ๆ เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แล้วก็พากันถือเนสัชชิ กันทุกวันพระ 

พอออกจากสงขลาแล้วก็ต่อไปทางหาดใหญ่ ไปหาดใหญ่กันนานพอสมควรนะ และได้ไปพบกับหลวงปู่บุญมา มหายโส ท่านเป็นคนนครพนม ไปพบกันที่หาดใหญ่ อันนี้มีครูบาอาจารย์ทางภาคอีสาน ๒ องค์ มีพระอาจารย์เม้า ธมุมุตฺตโม เพิ่นเสียไปแล้วล่ะ กับพระอาจารย์บุญมา มหายโส หลวงปู่บุญมา ช่วงนั้นเพิ่นมา ก็พากันไปเที่ยว หาดใหญ่มีพระ ๒ เณร ๑ เณรก็คือเฮา

เพิ่นก็เลยพาเฮาไปหาดใหญ่ไปพักอยู่กับพระอาจารย์มหาเนียม สุวโจ นี้ท่านจําพรรษาอยู่วัดปลักกริม มันมีวัดปลักกริมเหนือกับวัดปลักกริมใต้ เป็นฝ่ายธรรมยุติเหมือนกัน ได้ไปพักอยู่กับพระอาจารย์มหาเนียม สุวโจ อยู่นานเกือบเดือนที่หาดใหญ่ ก็พากันไปอยู่ที่นั่นเป็นเดือน ไปก็พากันไปหา ที่เที่ยวภาวนา ไปหาความสงบ ไม่ได้ไปหาเที่ยว หาเล่นนะ พระอาจารย์มหาเนียม สุวโจ

พระอาจารย์มหาเนียม สุวโจ ต่อมาท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดหลังศาล พอหลวงปู่เทสก์ท่านกลับมาจากภาคใต้ ครูบาอาจารย์ท่านก็ทยอยกลับขึ้นมาจากภาคใต้กัน อย่างหลวงปู่เหรียญ หลวงปู่จันทร์โสม นาสีดา ท่านก็กลับขึ้นมา ต่อมาก็ไม่มีคนไปอยู่ต่อ พระอาจารย์มหาเนียม สุวโจ นี้ต่อมาเพิ่นได้เป็นเจ้าคณะจังหวัด อยู่จังหวัดภูเก็ต วัดเจริญสมณกิจหรือ วัดหลังศาล ได้เป็นพระโสภณคุณาธาร แต่ก่อนเพิ่นอยู่ทางหาดใหญ่

ที่วัดปลักกริมเหนือกับวัดปลักกริมใต้ ในตอนแรกก็ว่าจะซื้อที่นาแปลงนี้ ก็ว่าราคามันแพง ต่อมาราคา ยิ่งขึ้นสูง แพงกว่าเดิม ตอนนั้นก็ว่าจะซื้อที่ดินให้ต่อกันเป็นวัดเดียวกัน อันนี้เฮาก็ได้ยินท่านเล่าให้ฟัง

วัดปลักกริมใต้ ปัจจุบันชื่อวัดพุทธิการาม (ปลักกริมใน) หรือ เรียกปลักกริมสระน้ำ อยู่ที่ถนนพลพิชัย ตําบลหาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ส่วนวัดปลักกริมเหนือ หรือ วัดปลักกริมนอก วัดนี้ตั้งอยู่ในซอย ปัจจุบันเรียกว่าวัดปลักกริม ตั้งอยู่ถนนชื่นอุทิศแก้วสมิทธิ์พัฒนา อําเภอ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ตั้งชื่อวัดว่า “ปลักกริม” เพราะ ในอดีตบริเวณวัดเป็นแหล่ง ที่มีปลากัดอยู่มาก ตามปลักแถวนี้ 

• #หลวงปู่บุญมา_มหายโส
แล้วก็ไปพบกับหลวงปู่บุญมา มหายโส ท่านเป็นคนนครพนม อยู่ที่หาดใหญ่ แล้วก็ไปเที่ยวต่อด้วยกัน แต่ไปแยกกันที่ไหนนี่จําไม่ได้ แต่แยกกันช่วงที่จะกลับขึ้นมาวัดอโศการาม ช่วงนั้นท่านยังอยู่ทางปักษ์ใต้ต่อ ตอนขากลับขึ้นมาวัดอโศการาม หลวงปู่บุญมา เพิ่นไม่ได้ขึ้นมาด้วยกันแยกกันก่อนขึ้นมาชุมพร

กับหลวงปู่บุญมา ไม่เคยจําพรรษาด้วยกัน แต่ไปเที่ยววิเวกทางปักษ์ใต้ด้วยกัน แต่หลวงปู่บุญมา ก็ไม่รู้ว่าเพิ่นมรณภาพอยู่ทางภาคใต้ หรือทางอีสาน เพิ่นเป็นคนนครพนม ที่ว่าไปเที่ยวสุไหงโกลกนั่นล่ะ หลวงปู่บุญมาเพิ่นก็ไปด้วยกัน หลวงปู่บุญมานี้พรรษาท่านจะอาวุโสกว่าหลวงปู่สุวัจน์เสียอีก ไปเที่ยวทั่วปักษ์ใต้

พอออกจากวัดปลักกริม อยู่หาดใหญ่แล้ว แล้วก็ไปเที่ยวต่อทางยะลา ปัตตานี นราธิวาส ตอนนั้นยะลานี้ไม่มีวัดธรรมยุติ มีแต่วัดมหานิกาย แล้วที่ปัตตานีนี้มีวัดป่าธรรมยุติ ๒ วัด คือ วัดสันติการาม กับวัดนพวงศาราม ทั้งสองวัดก็เป็นสายวัดบวรฯกับวัดโสมนัส มาจําพรรษา

แล้วหลวงปู่สุวัจน์เพิ่นก็พาเฮาไปเที่ยว ออกไปเที่ยวไปจนถึงสุไหงโกลก ปาดังเบซาร์ ไม่ได้ไปเที่ยวเฉพาะสตูล แค่นั่งรถผ่าน ๆ นอกนั้นได้ไปเที่ยวหมด หลวงปู่สุวัจน์ ท่านก็พาไปเที่ยว จนถึงสุไหงโกลกโน้นแหละ ก็ไม่รู้ว่าไปนอนที่ไหนกันบ้าง ตอนนั้นเป็นปี ๒๔๙๙ พอเข้าปี ๒๕๐๐ ก็ค่อยกลับขึ้นมา มางานฉลอง ๒๕ ศตวรรษ แวะพักหลังสวน ชุมพร

ไปปักษ์ใต้กลับขึ้นมา ก็พอดีจะมาในงานฉลอง ๒๕ ศตวรรษที่วัดอโศการาม ของท่านพ่อลี ตอนขึ้นมาจากปักษ์ใต้ก็ขึ้นมาทางชุมพร แล้วมาแวะพักอยู่ที่วัดเสกขาราม ตําบลวังตะกอ อําเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มาพักอยู่กับหลวงพ่ออําพัน จิรวุฑฺโฒ ท่านเคยเป็นนายอําเภอเก่า ก่อนหน้าที่จะมาบวช ท่านอยู่องค์เดียวที่นั่น แล้วก็มีวัดติดกันอยู่ตรงนั้น หลวงปู่สุวัจน์พาเฮา มาพักภาวนาอยู่กับท่าน ก็อยู่กันที่นั่นนานเกือบหนึ่งเดือนที่หลังสวน ตอนขึ้นมาจากปักษ์ใต้กัน ก็มีแค่หลวงปู่สุวัจน์กับเฮาเท่านั้น

• #จากชุมพรมาวัดอโศการาม
พากันนั่งรถไฟขึ้นมาจากชุมพร หัวหน้าสถานีรถไฟชุมพร ฝากให้มาขึ้นรถไฟกลับมากรุงเทพฯ มาลงวัดบรมนิวาสก่อนแล้วจึงเดินทางเข้าวัดอโศการาม หลวงปู่สุวัจน์เพิ่นก็พามานอนพักอยู่วัดบรมนิวาสก่อน คืนหนึ่ง หลวงปู่สุวัจน์ท่านก็เป็นคนจัดการ มาลงที่วัดบรมนิวาส พักที่ วัดบรมนิวาสคืนหนึ่ง พอตื่นเช้าหลังจังหันแล้วจึงได้พากันเดินทางต่อไปวัดอโศการาม

• #ถวายเณรคืนที่วัดอโศการาม
หลวงปู่สุวัจน์ หลังจากท่านพาเที่ยวที่ปักษ์ใต้ ก็พาสามเณรอุ่น ตรงเข้าวัดอโศการามของท่านพ่อลี ก็ได้พบกับหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน พบกับท่านพ่อลี ธมฺมธโร รวมทั้งได้พบกับพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโรด้วย

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตา เพิ่นจะให้พระอาจารย์สิงห์ทองท่านมาด้วย ก็ไม่คิดว่าจะได้พบกับครูอาจารย์สิงห์ทอง ในงานวัดอโศการามของท่านพ่อลีนี้ หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ท่านก็เลยถวายเณรคืน ให้กับท่านอาจารย์สิงห์ทอง ตามความที่หลวงปู่บุญช่วยเคยสั่งความไว้กับ หลวงปู่สุวัจน์ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๗ ตอนนั้นหลวงตาท่านก็อยู่กันสององค์กับพระอาจารย์สิงห์ทอง

หลวงปู่บุญช่วยได้เคยฝากความไว้กับหลวงปู่สุวัจน์ว่า “ถ้าพบเจอพระอาจารย์สิงห์ทอง ให้มอบเณรนี้คืนให้เพิ่นแน๊” อย่างนี้นะ เณรก็คือเฮานี้ล่ะ เพิ่นก็เลยคืนเณรให้ กับท่านอาจารย์สิงห์ทอง ก็เลยได้มาอยู่วัดป่าบ้านตาด ถ้าไม่มีท่านอาจารย์สิงห์ทองเฮาก็คง จะไม่ได้อยู่วัดป่าบ้านตาดเพราะแต่ก่อนหลวงตาท่านไม่ค่อยจะรับเณร

• #พบพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว
ตอนนั้นงาน ๒๕ ศตวรรษนี้ เฮายังเป็นเณรอยู่อายุประมาณ ๑๘ ปี ก็ได้มีโอกาสไปที่วัดบางมดหรือวัดพุทธบูชาไปสองครั้ง ครั้งแรกไปกับหลวงปู่สุวัจน์

ครั้งที่สองหลวงตามหาบัว ท่านเป็นคนพาเข้าไปวัดบางมด แต่หลวงปู่สุวัจน์ ท่านไม่ได้ ไปด้วย เฮาเข้าไปวัดบางมดกับหลวงตา หลานชายเพิ่น ลูกพี่ชายของหลวงตาท่านชื่อสม ต้องเดินเอานะ ทีแรกก็เดินไปตามทาง ข้างคลองสวนส้มบางมด แล้วตอนนั้นก็นั่งเรือ ต่อเข้าไป ล่องไปตามคลองน้ำ แต่พอถึงจุดที่น้ำลดลงก็ต้องเดินเข้าไป ก็เดินต่อเข้าไปถึง วัดบางมด มันเป็นคลอง มีแต่สวนผลไม้ทั้งนั้น 

• #กลับวัดป่าบ้านตาด
ตอนที่เฮากลับมาวัดป่าบ้านตาดพร้อมกับหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มีพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร แล้วก็มีลูกชายของพี่ชายหลวงตาที่ตามมาอุปัฏฐากกลับมาพร้อมกัน รวมเป็น ๔ คนพระ ๒ เณร ๑ และโยมอีกหนึ่ง ตอนนั่งรถกลับมา เฮารู้สึกกลัวหลวงตา มาก ๆ เลย

ตอนขากลับมาจากวัดอโศการาม ทั้งพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตา พระอาจารย์สิงห์ทอง และเฮา ต่างก็พากันเป็นไข้หวัดใหญ่กันหมดทุกคน 

• #ได้ลูกชายมาอีกแล้ว
ปี ๒๕๐๐ กลับจากวัดอโศการามกลับเข้ามาถึงวัดป่าบ้านตาด พากันเดินลุยโคลนเข้ามา ฝนก็ตก ตอนนั้นพวกโยมเขาพากันขนทุเรียนเข้ามาส่ง ทุเรียนยังไม่ทันสุกเขาก็ตัดมาก่อน เขาเอาเกวียนใส่ทุเรียนที่มาจากจันทบุรี เข้ามาวัดป่าบ้านตาด ตอนนั้นยังไม่มีทางรถยนต์เข้ามา ตอนนั้นเฮาก็ไปเป็นไข้หวัดใหญ่เช่นกันกับหลวงตาและพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านก็เป็น ไข้หวัดใหญ่ ตอนนั้นเป็นช่วงใกล้จะเข้าหน้าฝนแล้ว ที่เดินมาถึงวัดป่าบ้านตาด

พอกลับมาถึงวัดป่าบ้านตาด ได้พบกับคุณยายแก้วหรือคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ําครั้งแรก ท่านก็ทักขึ้นเลยว่า “โห๊ ได้ลูกชายมาอีกแล้ว”

ตอนกลับมาจากวัดอโศการาม กลับมาวัดป่าบ้านตาด นี่นั่งรถไฟกลับมาบ้านตาด มาลงสถานีรถไฟคํากลิ้ง อุดรธานี หลวงตามหาบัวและพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านออกจากวัดอโศการาม แวะไปจันทบุรีก่อน ให้เฮารออยู่วัดอโศการามก่อน ท่านไปจันท์ให้เขา เอาทุเรียนจากจันทบุรีมาวัดป่าบ้านตาด พอท่านกลับมาวัดอโศการามก็ค่อยกลับมาวัดป่าบ้านตาดพร้อมกัน หลวงตาเพิ่นเห็นแก่พระอาจารย์สิงห์ทอง ถ้าไม่มีพระอาจารย์สิงห์ทอง เฮาก็คงไม่ได้อยู่กับหลวงตา

หลวงตาเพิ่นไปไหน ก็ชอบพาท่านพระอาจารย์สิงห์ทองไปด้วย คนอื่นงุ่มง่าม ต้วมเตี้ยม ไม่ทันใจ หลวงตา เพิ่นเป็นคนนิสัยว่องไว ถ้าไปไหนท่านก็ให้พระ อาจารย์สิงห์ทองไปด้วย คนอื่นมันไม่ทันใจหลวงตาเพิ่น

• #วัดป่าบ้านตาดยุคแรกปี๒๕๐๐
ปีนั้นอยู่เป็นเณรรับใช้ท่าน ช่วงตั้งวัดใหม่ ๆ อาจารย์น้อยเป็นคนตัดไม้เอามาทําเสากุฏิ ไม้ขนาดเท่าแขนนี้ ก็ช่วยกันยกมาทํากุฏิในสมัยนั้น แต่ก่อนห้องน้ำส้วมซึมไม่มี มีแต่ส้วมปล่อย ขุดหลุมลงไป แล้วก็เอาไม้มาพาดพอเป็นส้วมปล่อย

ผู้ที่ติดตามหลวงตาเข้าไปฟังเทศน์ ที่กุฏิโยมมารดา บางทีก็เป็นหลวงปู่บุญมี บางครั้ง ก็เป็นพระอาจารย์สิงห์ทอง บางทีเฮาก็ตามเข้าไป บางทีก็อาจารย์น้อยตามเพิ่นเข้าไป

ปีนั้นอาจารย์สุพัฒน์ไม่ได้จําพรรษาอยู่วัดป่าบ้านตาด ท่านอาจารย์ลีก็ไม่ได้จําพรรษา อาจารย์น้อยจะจําพรรษาอยู่กับหลวงตา นานกว่าเฮา ทั้งห้วยทราย สถานีทดลอง แล้วก็ บ้านตาด

สมัยนั้นศรัทธาก็ยังไม่เยอะ คุณยายแก้วและหมู่แม่ชี เพิ่นพากันปลูกบักพริก บักเขือ บักหุ่ง (มะละกอ) ไว้ทําอาหารถวายพระ เณร นาน ๆ ที่จะมีศรัทธามาจากทางไกล เช่น ในเมืองอุดร หลังฉันจังหันเสร็จแล้ว หลวงตาเพิ่นก็จะบอกให้เณร ก็คือเฮากับอาจารย์น้อย (หลวงปู่คำพอง ปัญญาวุโธ) ไปเก็บบักเขื่อ บักหุ่ง ฝากพวกเขา เพราะของมันมีมาก

เณรสมัยนั้น ก็มีแต่เฮากับอาจารย์น้อย หลวงตาเพิ่นก็ไม่รับเณรสักปานใด อย่างที่ว่า มีรับเณรผองที่ว่าตกกุฏิ ง่วงนอนจนตกกุฏินั่นล่ะ หมอนน้อยตกกุฏิ

คนที่อยู่ในวัดป่าบ้านตาดสมัยนั้น เวลาเดินจะไม่มีเสียงเดินให้ได้ยิน แต่ถ้าคนนอกวัด เข้ามา แค่ได้ยินเสียงเดินก็รู้ว่า ไม่ใช่พระ เณรหรือแม่ชีที่อยู่ในวัดป่าบ้านตาด นั่นหลวงตา ท่านฝึกลูกศิษย์ คนในวัดนี้ เวลาเดินจะไม่มีเสียงเดิน

คุณแม่เฮาเคยพูดไว้ว่า “เดินไปนี่ ใบไม้ไม่ไหวติง” เดินไปไม่เหยียบใบไม้แห้ง ไม่เตะใบไม้ นี่หลวงตาท่านฝึกลูกศิษย์ขนาดนี้

• #กุฏิเฮาสมัยปี๒๕๐๐
กุฏิพระอาจารย์สิงห์ทอง กุฏิเฮา แล้วก็กุฏิอาจารย์น้อย นั่นล่ะ แต่ก่อนเฮามาอยู่ตรงนั้น เป็นกระต๊อบอยู่ตรงกุฏิครูบาดึก พระฝรั่งมาอยู่นั่นล่ะ

เฮามาอยู่บ้านตาด ปี ๒๕๐๐ เป็นปีที่สองที่สร้างวัดป่าบ้านตาด เฮาจึงได้มาจําพรรษา อยู่ที่นั่น ปีแรก ๒๔๙๙ เณรก็มีแต่อาจารย์น้อยองค์เดียว ปีที่สองเฮา จึงได้มาอยู่วัดป่าบ้านตาด กับหลวงตา

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาเพิ่นฉลาดนะ อาหารการกินถ้ามีน้อยหน่อย ถ้ามีน้อยไม่พอกันฉัน หลวงตาท่านก็ไม่เอานะ ถ้าผู้ไม่สังเกตก็ไม่รู้นะ ถ้ามีน้อย ๆ เพิ่นไม่เอา ก็ต้องให้ หมู่พระ หลวงตาเพิ่นจะสอดแนมคอยดูเวลาฉัน เก็บมะเขือที่บ้านตาด

ตอนนั้นอาจารย์น้อย พาเฮาไปเก็บมะเขือ เอามาฝากญาติโยมที่มาถวายจังหันที่วัดป่าบ้านตาด ในยุคนั้น ตอนเวลาไปเก็บมะเขือ ทีแรกก็เดินไป พอลับตาเพิ่นแล้ว ก็จะวิ่งกันเลย อยู่กับหลวงตา ทําอะไรเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ไม่ได้นะ ต้องรีบทํานะ ไม่ให้หลวงตาเพิ่นเห็น “เฮาไป ยังไม่ทันถึงเลย มากันแล้วเหรอ ไปเก็บมะเขือมาตั้งแต่เมื่อไหร่” หลวงตาท่านถาม ก็ต้อง พยายามทําให้เร็วที่สุด ตอนเฮาวิ่งนั้น ลับตาเพิ่นแล้ว ไปกับอาจารย์น้อย ไปเก็บมะเขือมา ฝากโยม โยมจากจังหวัดอุดรธานี พากันไปถวายจังหันที่วัดป่าบ้านตาด

พวกแม่ยั่ง ศิริธรรมนั่นล่ะ โยมจากในเมืองอุดรธานี ไปถวายจังหัน ก็เลยไปเก็บมะเขือที่ปลูกไว้กันมาฝากโยม ตอนนั้นเป็นปีที่สอง ก็กําลังเป็นหน่วย ผลิดอกออกผล

แม่ยั่ง ศิริธรรม เป็นโยมอุปัฏฐากวัดป่าบ้านตาด โยมเขาก็ค้ำอยู่หลายวัด ถ้าวัดใดมีคนไป หลายไปเยอะ เขาก็ไม่ไป เขาจะไปวัดที่ไม่ค่อยมีคนไปเท่าไหร่มีโยมทิพย์ โยมเฮง โยมยัง โยมสายบัว โยมอ่าง ที่เป็นโยมอุปัฏฐาก วัดป่าบ้านตาดยุคนั้น

• #กลัวหลวงตา_จนเป็นลม
ปี ๒๕๐๐ หลวงตาเพิ่นได้ผ้ามาเพิ่นจะตัดผ้าเปลี่ยนชุดให้อาจารย์สวด อยู่ที่วัดโยธานิมิต ชื่อพระครูอะไรนี้ล่ะ จําไม่ได้ ไม่ใช่อาจารย์ด้วงนะ ได้ผ้ามาเย็บผ้า เพิ่นจะไปถวายให้มันทัน ก่อนเข้าพรรษาเตรียมผ้าจะไปถวายอาจารย์สวดอยู่วัดโยธานิมิต

พอดีวันนั้นฝนตกพรํา ๆ ผ้ามันไม่แห้ง เอาไปตากไว้ที่ศาลา สมัยนั้นก็เป็นศาลา มุงด้วยหญ้า ศาลาเตี้ย ๆ ก็พอคลานเข้าไปปัดกวาดข้างใต้ศาลาได้ผ้ามันไม่แห้ง ย้อมแล้วตากไว้ มันก็ยังไม่แห้ง หลวงตาท่านก็ให้เฮาเฝ้าผ้า คอยเปลี่ยนพลิกผ้า ขยับให้ผ้าด้านหนึ่งที่สั้นขยับลง อีกด้านที่ยาวก็ขยับขึ้น เพื่อให้ลมผ่านผ้าจะได้แห้งเร็วขึ้น พอสมควรแล้วก็ดึงอีกข้างหนึ่งขึ้น เปลี่ยนข้างใหม่ ผู้เคยบวชจะเข้าใจอยู่หรอก

ผ้ามันยังไม่แห้ง เฮาก็ไปนั่งเหลาไม้สีฟัน เหลาไม้เจีย แล้วก็เฝ้าผ้า หลวงตาบอกให้ นั่งเฝ้าผ้า แล้วก็พลิกผ้าข้างนั้นข้างนี้ให้มัน แห้งไว ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า ๆ นี่ล่ะ หลวงตาท่านเข้าไปดูแล้วถามว่า “ผ้าแห้ง แล้วบ้อเณร” “ยังอยู่ ข้าฯน้อย” หลวงตา เพิ่นก็เข้าไปพลิกดูผ้า แล้วก็ไปดูไม้สีฟัน เฮาเหลาไม้สีฟัน หลวงตาเพิ่นไปดู แล้วก็ออกไป

สักเดี๋ยวหลวงตาท่านก็กลับมาดูใหม่ หลวงตาเพิ่นละเอียดจริง ๆ นะ ท่านมาดูเฮาเหลาไม้สีฟันตอนนั้น ไปดูไม้สีฟัน ที่เฮาเหลาไว้เพิ่นเข้าไปจับดูแล้วก็ไป สักพักเพิ่นก็กลับมาดูใหม่อีกรอบ ที่แรกท่านคงจะลืมดู ตรงปลาย ที่เอาไว้จิ้มฟัน คือเพิ่นสงสัยขนาดหนักเลยกลับมาดูอีก ปกติท่านจะไม่ให้ทําแหลม ท่านจะให้ทําตรงปลาย แบน ๆ ไม่ให้ไปที่มแทงเหงือกท่านเคยเหลาไม้เจียถวายหลวงปู่มั่น อย่างนั้น

เฮาก็ยังเพิ่งมาอยู่วัดป่าบ้านตาดใหม่ ๆ ก็ยังไม่ชํานาญในเสียงท่าน ฟังเสียงไม่ชัด เสียงหลวงตาเพิ่นพูดเบา ๆ และขณะพูดเพิ่นก็หันหลังให้ และพลิกผ้าที่ตากไว้ไปด้วย พอท่านพูดจบแล้วท่านก็เดินลงจากศาลาไปเลย

ความที่เฮาได้ยินนี่ “แห้งแล้วบ้อผ้า” หลวงตาเพิ่นถามเฮา “ยัง ข้าฯน้อย” เฮาตอบเพิ่น หลวงตา เพิ่นก็เลยเข้าไปดูผ้า “เอ้อ ให้ท่านสุกัน มาเฝ้าก็ได้ดอกผ้านี่ ไปพักซะ” นี่ความเพิ่น คําพูดหลวงตาที่เฮาได้ยิน มันง่วงนอนหรือยังไงถึงได้ยินอย่างนั้นก็ไม่รู้ ตอนนั้นเฮาเข้าใจว่า เพิ่นบอกให้ไปพักไปนอน แต่ความจริงหลวงตาเพิ่นพูดว่า “เอาไว้นี่ล่ะ ให้สุกันมาเฝ้าก็ได้ดอก ผ้านี่ เฮาจะพาลงไปเยี่ยม ไปดูกุฏิโยมมารดาสักครู่ปะ” แต่เฮากลับได้ยินว่า “ไปพักซะ ให้ครูบาสุกันมาเฝ้าแทนก็ได้ดอก” ครูบาสุกันเพิ่นก็สึก ลาสิกขาไปแล้วล่ะ

พอได้ยินหลวงตาว่าให้ไปพักได้ เฮาก็ลงจากศาลาทางหนึ่ง หลวงตาเพิ่นก็ลงจากศาลา อีกทางหนึ่ง ก็เลยไม่รู้เรื่องกัน ศาลาสมัยนั้น ก็เป็นศาลาเตี้ย ๆ ต้องได้คลานเข้าไปปัดกวาดเอานะ เพิ่นพูดเสร็จแล้ว เพิ่นก็ลงไปจากศาลาเตี้ย ๆ ทิดสุกันเพิ่นบอกเฮาว่า “ตอกไม้เจีย มาให้ด้วยนะ” เพิ่นว่า

หลวงตาพอเพิ่นลงจากศาลาไปอีกทางหนึ่งแล้ว ตามนิสัยเพิ่น หลวงตาเพิ่นก็ชี้ต้นไม้ไป ชี้นั่นชี้นี่พูดไปองค์เดียว เพิ่นก็ชี้โน้นนี้พูดไป ไม่ได้หันมาดูข้างหลังว่าเณรไม่ได้ตามมาด้วย หลวงตาท่านเดินพูดไปองค์เดียว จนถึงกุฏิโยมมารดา

หลวงตาเพิ่นเข้าใจว่าเฮาตามไป คิดว่าเณรตามไปข้างหลังเฮาได้ยินว่า “ไปพักซะ” เพิ่นก็คงว่าเฮาจะไม่เป็นบ้าปานนั้น ออกจากนั้นแล้วเฮาก็ไปนอน พูดเสร็จหลวงปู่อุ่นหล้า ท่านก็หัวเราะ ไปนอนก็ไม่นานหรอก นอนสักพักก็ออกไปตอกไม้สีฟัน เหลาไม้เจีย

เพิ่นก็ขึ้นั้นชี้นี่ นั่นล่ะ ตามนิสัยของเพิ่น เพิ่นก็เว้าไป พูดไปคนเดียว ไม่ได้เหลียวหลังมามองดูว่า เฮาไม่ได้ตามท่านไป พอเดินเข้าไปถึงกุฏิโยม มารดาเพิ่น ท่านก็ถามโยมมารดาท่านว่า “เป็นยังไงโยมมารดา หลังคามันรั่ว อยู่หรือเปล่า” “ก็ยังหยดติ่ง ๆ อยู่นะ” โยมมารดาท่านว่า

หลวงตาท่านเลยว่า “เอ้า เณร ๆ เอากระโถนมา” เพิ่นยังคิดว่า เณรตามไปด้วย พอมันนาน “มันเฮ็ดหยังอยู่ ทําอะไรอยู่ คือนานมาแท่” หลวงตาท่านเริ่มดุ นางบุญที่มาพร้อม กับพวกคุณแม่แก้วก็ถามหลวงตาว่า “เณร ซิเลอ” เป็นภาษาภูไทแปลว่า “เณรอยู่ไหน” หลวงตา เพิ่นยังไม่รู้ว่าเณรไม่ได้ตามไปด้วย โอ๊ยเป็นตาอยากหัวเด้ พูดเสร็จหลวงปู่อุ่นหล้า ก็หัวเราะ

ปกติหลวงตาเพิ่นก็ให้พ่อออกตามไปด้วย นางบุญที่มากับคุณแม่แก้ว นางบุญเป็นผู้ ถามหลวงตาว่า “เณร ซิเลอ เณรอยู่ไหน”

“ฮ่วย เฮาบอกให้มันมา มันไม่มาเหรอ” หลวงตาเพิ่นว่า เพิ่นคงคิดว่าเฮาขัดคําสั่งเพิ่น หลวงตาเพิ่นมาเรียกหาแล้วถามท่านสุกัน บ้านกุดไห “สุกันไม่เห็นเณรเหรอ” “มันไปไหน มันเป็นบ้าเหรอ เราสั่ง ทําไมไม่ทํา” หลวงตาท่านว่า “เราเข้าใจผิด ไปทําอย่างอื่นแล้วล่ะ” ท่านสุกันว่า ความจริงเฮาง่วงนอนอยู่แล้ว ก็เลยได้ยินว่าเพิ่นบอกให้ไปพัก

ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่หลวงตาท่านจะลงไปนั่น พระสุกันบอกว่า “ตอกไม้สีฟัน มาให้แน” ก็เลยไปตอกไม้สีฟันมาให้ ตอกไม้สีฟัน ก็ไม่ได้ตอกใกล้ ๆ ไม่ได้ฟาดอยู่กลางวัด เหมือนทุกวันนี้นะ ไปหลบอยู่ไกล ๆ จนเสียงไม่รบกวน แต่ก่อนวัดป่าบ้านตาด มีแต่ป่าทั้งนั้น หลังจากนั้นเฮาก็ตอกไม้สีฟันแล้วก็เอาออกมา

ช่วงนั้นหลวงปู่บุญมี กับทิดสุกันตอนนั้นเป็นครูบาสุกันมานั่งเหลาไม้เจียอยู่กุฏิ ครูอาจารย์บุญมี ก็นั่งเหลาไม้สีฟันกันอยู่ระเบียงกุฏิ ระเบียงก็ไม่สูงเพียงแค่หน้าอก ลูกกรง ก็เป็นลูกกรงไม้ไผ่ เฮาก็ตอกไม้เจียเสร็จแล้วก็เอาออกมาส่งเพิ่น

ทิดสุกันเพิ่นก็ขู่ขึ้นโลดว่า “เณร มันเป็นยังไง พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านดุอยู่ ไปไหนมา ไปอยู่ไหน ท่านสั่งแล้ว ไปทําอะไรอยู่ที่ไหน ทําไมไม่ไปกับท่าน” ผู้หมวดเพิ่นขู่กํานัน

เฮาก็ตกใจ เฮาได้ยินครั้งแรก ก็ได้ยินไม่ค่อยชัด ก็เลยว่า “ฮ่วยแม่นหยังก้อครูบา อะไร นะครูบาพูดให้ฟังอีกครั้งซิ มันเป็นยังไง อะไรนะ พูดชัดๆ ซิ แม่นหยัง” สามเณรอุ่นถามครูบาสุกัน

ตอนนั้นมือเฮาก็จับอยู่ที่ลูกกรงไม้ไผ่ ที่ทําไขว้ไว้ มือจับลูกกรงไว้แล้วส่องหน้าเข้าไป คุยกับครูบา “พูดใหม่ซิครูบา เรื่องเป็นยังไง” “เพิ่นจะพาไปโรงครัว เณรไปอยู่ไหนมา ทําไม ไม่ไปกับท่าน” ครูบาสุกัน พูดอธิบายให้เณรฟัง กุฏิของหลวงปู่บุญมี กุฏิเพิ่นก็ไม่สูงนะ เฮาก็จับลูกกรง แล้วก็ฟังครูบาสุกันพูด ใจเฮาพอได้ยินเพิ่นเล่าอย่างนั้น ก็ตกใจ

ความรู้สึกตอนนั้น จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เกิดอาการหน้ามืด ตกใจ ตกใจ ไม่ได้คิดว่า จะขัดขืนครูบาอาจารย์ แต่เรื่องมันกลายเป็นเรื่องรุนแรง ตกใจมาก เฮาก็เลยตกใจความรู้สึก มันจะเป็นลม ก็เลยวางมือ ว่าจะวางลงแล้วจะนั่งลง กลัวมันล้มพอว่าอย่างนั้นก็หมดสติ หมดความรู้สึกเลย มันหงายหลัง ล้มลงหัวน็อคพื้น รู้สึกแต่ทีแรกว่าหัวกระทบพื้น แล้วก็หมดความรู้สึกไปเลย

ทิดสุกันนี้ก็เลยกระโดดลงมาเอาเฮาขึ้น ครูอาจารย์บุญมี เพิ่นก็เลยเข้าไปในกุฏิไปเอายาขี้ผึ้งบริบูรณ์บาล์ม มาทามาป้ายจมูกให้เฮาถึงฟื้นถึงรู้สึก ตัวฟื้นคืนมา มันล้มลงหัวน้อคพื้น หัวไม่ได้แตกดอก มันล้มลงทางด้านหลังนะ เฮาเป็นหลายโรคนะ ว่าพอเห็นเลือดหลาย ๆ นี่ไม่ได้นะ เฮาเป็นลมเลย

ตกตอนเย็นมา หลวงตาเพิ่นพาหลวงปู่บุญมีเข้าไปเยี่ยม ไปเทศน์ให้โยมมารดาเพิ่นกับคุณแม่แก้ว และพวกแม่ชีที่อยู่ด้วยกันฟัง หลวงตา เพิ่นก็เลยเล่าเรื่องเฮานี้ขึ้นมา “เณรมันเป็นหยัง มันคือเป็นจังชั้น ทําไมเป็นอย่างนั้นมันเป็นบ้าบ่” “บอกให้ไปที่หนึ่งกลับไปอีกที่หนึ่ง” “เราบอก ทําไมไม่ทําตามคําสั่งเรา” หลวงตาว่าขึ้นมา

ครูอาจารย์บุญมี เพิ่นก็คงคิดสงสาร ว่าไม่ใช่ตามความที่หลวงตา เพิ่นพูด เพิ่นก็เลยพูดขึ้นมาว่า “เฮานี่ ฟังไม่ชัด เข้าใจว่าบอกให้ไปพัก มันเด็กน้อย กําลังกิน กําลังภาวนา ตอนเที่ยงพอดี ก็เลยง่วงนอน” “เณรมันฟังผิด มันกลัวจนเป็นลมล้มลง” หลวงปู่บุญมีท่านเล่าอธิบายถวายหลวงตา

คุณยายแก้ว คุณแม่ชีแก้ว ก็เลยพูดขึ้นมาว่า “อย่าไปอ้ายมันหลายเด้อ อย่าไปดุนักนะ เณรมันจะเป็นบ้าเด้” เล่าเสร็จหลวงปู่อุ่นหล้า ท่านก็หัวเราะ

ที่นี้ท่านอยากดุ ท่านก็ไม่ดุนะที่นี้ เพิ่นคือจะสงสาร เฮ็ดให้เฮาใจอ่อน จะดุก็ไม่ดุอีกนะ แต่ก่อนหลวงตาท่านไม่ค่อยรับเณรหรอก

ต่อมาได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศรีมงคลเหนือ ต.มุกดาหาร อ.เมือง จ.มุกดาหาร โดยมี ท่านเจ้าคุณมุกดาหารโมลี เป็นพระอุปัชฌาย์, ท่านพระอาจารย์คำ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ญัตติเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ 

• #ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าแก้วชุมพล 
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านได้มาพำนักอยู่ที่วัดป่าแก้วชุมพล บ้านชุมพล ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร กับ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร

• #ข้อวัตรที่วัดป่าแก้วชุมพลยุคพระอาจารย์สิงห์ทอง
ในช่วงเข้าพรรษา พระท่านจะถือธุดงควัตรจะรับเฉพาะอาหารที่บิณฑบาตมาได้ ไม่รับอาหารที่ตามมาในภายหลัง แต่ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่อย่างหลวงปู่สิงห์ทอง หลวงปู่อุ่นหล้า ท่านจะเมตตารับอาหารที่ศรัทธาญาติโยมตามมาถวายที่วัดในภายหลัง แล้วก็จะถือเนสัชชิกัน หลังทําวัตรเย็นแล้ว ท่านก็พาพระเณรสวดมนต์ภาวนากันต่อทั้งคืน แล้วท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ท่านก็ขึ้น เทศน์อบรมภาวนา

บางครั้งมีญาติโยมจากกรุงเทพฯ หรือจากทางไกลมาพักในวัดป่าแก้วชุมพล แม้จะไม่ใช่วันพระ แต่ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองก็ขึ้นเทศน์อบรมกรรมฐานแก่ญาติโยม กรณีในโอกาสวัน สําคัญ เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา พระอาจารย์สิงห์ทองท่านก็จะเทศน์อบรม ฆราวาสในเรื่องทาน ศีล เป็นสําคัญ บทพระธรรมบท ยกชาดก นิทานมาประกอบ จะไม่เหมือน การเทศน์อบรมพระ ที่จะเน้นภาวนาเป็นหลัก

การหามน้ำ ท่านให้พระหามน้ำสามปีปต่อพระหนึ่งคู่ ไม่อนุญาตให้ใช้รถเข็น ให้พระเณร หามน้ำใส่ปั๊ป นําไปใส่ตามห้องน้ำ ห้องส้วม น้ำก็ใช้วิธีตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ นํามาใส่ปี๊ปเปล่า ๆ แล้วพระก็ไปเทใส่โอ่งตามห้องน้ำต่าง ๆ

• #ข้อวัตรวัดป่าแก้วชุมพล
พระอาจารย์สิงห์ทอง เพิ่นพาทําวัตรเฉพาะแต่ในยามเป็นวันพระ หรือถ้ามีแขก โดยมากเป็นญาติโยมที่มาจากทางไกล มานอนค้างคืนอยู่วัดป่าแก้วชุมพล บางทีก็ลงไปโรงครัว บางที่ก็ประชุมพระอยู่ศาลา พากันสวดมนต์ไหว้พระ หลวงปู่ขาวเพิ่นก็พาทํามาแล้ว ทุกวันนี้ เฮาลงไม่ได้ หมู่เพื่อนเขาไม่ให้ไป ถ้าไม่ฟังความหมู่เพื่อนเขา เกิดอะไรขึ้น หมู่เพื่อนจะไม่สนใจ อันนี้เฮาคิดเองนะ

• #การภาวนาดูแลหมู่คณะ
หลังจากพระท่านจังหันเสร็จก็จะกลับกุฏิ ตนเองไปปฏิบัติภาวนาเดินจงกรมนั่งสมาธิทันที ไม่มีการนั่งจับกลุ่มคุยกันเด็ดขาด พระอาจารย์สิงห์ทองท่านจะไปแอบดูทางจงกรมแต่ละกุฏิ ว่าพระเณรองค์ใดไม่ปฏิบัติภาวนา ไม่เดินจงกรม พระอาจารย์สิงห์ทองท่านก็จะประจานอย่าง หนักต่อหน้าพระเณร ตอนฉันจังหันเช้า

ครั้นปี พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ได้มรณภาพลง เจ้าคณะจังหวัดสกลนครจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธัมโม ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสสืบแทนท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง โดยได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๓ ท่านอยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าแก้วชุมพล บ้านชุมพล ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร 

เรื่องที่แอดมิน "เอ ท่องถิ่นธรรม" ระลึกถึงคำสอนขององค์หลวงปู่อุ่นหล้าจนมาถึงปัจจุบันคือ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมเคยติดวัตถุมงคล พอทราบจากญาติธรรมว่า เมื่อวานเขาได้เหรียญจากหลวงปู่อุ่นหล้า พอได้ยินเข้าเช้าวันรุ่งขึ้นแอดมินก็เดินทางไปกราบหลวงปู่อุ่น พร้อมเรียนถามเรื่องวัตถุมงคลและขอของดีจากท่านทันที หลวงปู่อุ่นท่านมองหน้าผมแล้วนิ่งสักแปร๊บนึง จากนั้นก็พูดน้ำเสียงเย็นๆ ขึ้นมาว่า "เอ..อย่าเอาเลยนะของภายนอก เอาพุทโธดีกว่า.." หลังจากได้ยินคำสอนนี้เเล้ว ผมก็เลิกยึดติดวัตถุมงคลเลย ตลอดสิบปีนี้ผ่านมา ผมจึงเน้นพาหมู่คณะไปฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์มากกว่าไปล่าเหรียญ หากท่านแจกมาบางทีก็ไม่ได้เข้าไปเอาอย่างใครเขา หรือถ้าท่านตั้งใจส่งมาให้กับมือก็น้อมรับมาเก็บไว้เพื่อนำไปบรรจุไว้บนเจดีย์อย่างเดียว จะไม่ตื่นเต้นยินดียินร้ายหากได้หรือไม่ได้วัตถุมงคลนั้นๆ ยังคงสนใจเน้นแต่คำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นหลัก นี่เป็นการระลึกถึงคำสอนขององค์หลวงปู่อุ่นหล้า ที่ท่านเมตตาสอนมา ยังจดจำและปฏิบัติตามมาอยู่มิคลาย 

อีกเรื่องคือ ผมพาหมู่คณะไปทำบุญตามวัดป่าต่างๆ ผมเองเป็นคนรวบรวมปัจจัยที่หมู่คณะตั้งใจนำมาร่วมใส่ซองเพื่อถวายตามวัดต่างๆ พอถึงวัดป่าแก้วชุมพล ก็เหมือนกับทุกครั้ง คือนำเงินออกจากซองนำมานับจำนวนเพื่อจะเขียนยอดปัจจัยไปบนใบปวารณา เมื่อหลวงปู่อุ่นหล้า ท่านมองมาเห็นเข้า ท่านก็เมตตาสอนว่า "เอ..อย่าทำอย่างนั้น อย่าเอาเงินวางบนพื้นอย่างนั้น บนแบงค์มีรูปในหลวงอยู่ อย่าไปวางบนพื้น มันบาป.." นี่หลวงปู่อุ่นท่านเมตตาเตือนสติ เมื่อเราโง่ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยได้อ่านได้ฟังจากพ่อแม่ครูอาจารย์ว่า ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ การที่เราจะนำพระรูปของท่านไปวางบนพื้นนั้นเป็นการไม่สมควรเลย หลังจากฟังคำเตือนของหลวงปู่อุ่นเเล้ว ทุกครั้งเวลาผมนับเงินใส่ซอง ก็จะวางบนกระเป๋ากล้องให้สูงกว่าระดับที่ตนเองนั่งตลอด

หลวงปู่อุ่นหล้า ท่านเป็นพระที่มีเมตตา มีรัศมีของความชุ่มเย็น ใครได้เข้าไปใกล้ก็จะเหมือนได้น้ำเย็นประพรมชะโลมใจอยู่เสมอๆ ทั้งแววตาและรอยยิ้มท่าน เป็นความเมตตาที่แผ่ขยายออกมาจากดวงจิตของท่านโดยแท้ 

• #ประวัติการอาพาธหลวงปู่อุ่นหล้า_ฐิตธัมโม
หลวงปู่มีอาการไอมาประมาณ ๑ เดือน ร่วมกับไข้ต่ำๆ บางครั้ง ก่อนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน ทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน ได้ถวายการรักษาหลวงปู่เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ผลการตรวจเอ็กซเรย์และเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก พบว่ามีก้อนในปอดด้านซ้าย เมื่อเอ็กซเรย์ซ้ำในวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ พบว่าเริ่มมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดด้านซ้าย จึงได้กราบเรียนหลวงปู่ทราบ หลวงปู่มีเจตนาต้องการรักษาที่หอสงฆ์อาพาธโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดินและที่วัดป่าแก้วชุมพล ทางคณะแพทย์จึงได้เตรียมการและดำเนินการส่องกล้องหลอดลมที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน ในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑

ผลการตรวจชิ้นเนื้อพบเป็นมะเร็งปอด ทางโรงพยาบาลศรีนครินทร์ได้กราบเรียนหลวงปู่เพื่อตรวจรักษาเพิ่มเติมด้วยการฉายรังสีรักษาเพื่อหวังที่จะรักษาธาตุขันธ์หลวงปู่ให้ยืนยาวที่สุด หลวงปู่ได้เมตตาอนุญาตให้ทางโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ในวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๑ หลวงปู่ได้รับการตรวจรักษา จนครบการรักษา และการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม พบว่า มะเร็งมีการลุกลามไปที่ปอดด้านขวา ตับ หลวงปู่กลับมาพักรักษาต่อที่วัดป่าแก้วชุมพล ในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๑

หลวงปู่กลับมาพักผ่อนที่วัดป่าแก้วชุมพล ยังมีอาการไอ แน่นท้อง ทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดินได้ติดตามถวายการรักษาที่วัดโดยใกล้ชิด หลวงปู่มีอาการซีด ได้กราบนิมนต์มาถวายการรักษาด้วยการให้เลือด ในวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๑ หลวงปู่ยังไอบ้าง และมีอาการแน่นท้องมาโดยตลอดและพบว่าหลวงปู่เริ่มมีเม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดต่ำลงเรื่อยๆ ทางคณะแพทย์จึงได้กราบนิมนต์หลวงปู่ไปตรวจประเมินที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์อีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้กรุณาเมตตาอนุญาต ทางโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดินจึงได้ส่งหลวงปู่ไปรับการรักษาต่อที่ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ในวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๑

ผลการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมพบว่า ลุกลามเพิ่มขึ้นของมะเร็งปอด ไปยังปอดด้านขวา ตับ ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ทางโรงพยาบาลศรีนครินทร์ได้กราบเรียนหลวงปู่ทราบ หลวงปู่ได้ขอกลับมาที่วัดป่าแก้วชุมพลในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑โดยโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน ถวายการรักษาต่อเนื่องที่วัดป่าแก้วชุมพลโดยใกล้ชิด

ในเช้าวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ผลเลือดของหลวงปู่มีเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำลงอีก ทางคณะแพทย์ได้แจ้งต่อหลวงปู่เพื่อขอถวายการรักษาการติดเชื้อ 

หลวงปู่ได้ปรารภว่า ...“เอาละ พอแล้ว”... และได้ปฏิเสธยา น้ำเกลือ ตลอดจน ออกซิเจนและเครื่องติดตามสัญญาณชีพทั้งหมด 

นพ.วิโรจน์ วิโรจนวัธน์ จึงได้กราบเรียนพระอาจารย์ที่ดูแลหลวงปู่โดยใกล้ชิด เพื่อขออนุญาตแจ้งอาการหลวงปู่ให้ครูบาอาจารย์ผู้ใกล้ชิดทราบ เมื่อได้รับอนุญาตจึงได้แจ้งข่าวแก่ครูบาอาจารย์ที่อยู่ใกล้เคียงให้มาร่วมประชุมและคารวะหลวงปู่ในเวลาใกล้เที่ยง ครูบาอาจารย์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ได้ให้คำแนะนำแก่คณะแพทย์ถึงวิธีปฏิบัติต่อหลวงปู่ในขณะละธาตุขันธ์ ซึ่งทางคณะแพทย์และพยาบาลได้กราบอนุโมทนาด้วยความซาบซึ้งในจิต และได้ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยเฝ้าดูด้วยความสงบไม่รบกวนองค์หลวงปู่อีกเลย มีเพียงครูบาผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดดูแลโดยสงบอย่างใกล้ชิด

จนกระทั้งเวลา ๑๕.๒๐ น. พระอาจารย์ผู้ดูแลหลวงปู่โดยใกล้ชิดได้ออกมาขอให้คณะแพทย์และพยาบาลเข้าไปตรวจหลวงปู่ เพราะหลวงปู่สงบนิ่งและคลำชีพจรไม่ได้ คณะแพทย์และพยาบาลโดย นพ.วิโรจน์ วิโรจนวัธน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดินได้ติดเครื่องวัดสัญญาณชีพ ผลการตรวจไม่พบสัญญาณชีพของคลื่นหัวใจ ชีพจร 

หลวงปู่ได้ละขันธ์โดยสงบ และงดงามที่สุดตามวิถีของอริยะสงฆ์อย่างสมบูรณ์ ณ เวลา ๑๕.๒๐ รวมอายุได้ ๗๘ ปี ๑๑ เดือน ๒๙ วัน พรรษา ๕๘


-------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวมFB พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco