ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่อำคา อินทสาโร วัดบ้านตำแย ต.ไร่น้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่อำคา อินทสาโร ๏
วันนี้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๘๙ ปี ชาตกาล หลวงปู่อำคา อินทสาโร วัดบ้านตำแย ต.ไร่น้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หลวงปู่อำคาท่านเป็นทายาทธรรมของหลวงปู่บุญมี โชติปาโล พระอรหันต์แห่งวัดสระประสานสุข เคยศึกษาอบรมและได้รับธรรมะคำสอนจากหลวงปู่บุญมี โชติปาโล เป็นอันมาก
ชื่อเดิมของท่าน นายอำคา พันธ์ปา เกิดวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ที่บ้านสร้อย ต.พะลาน อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ย้อนไปเมื่อท่านอายุประมาณ ๑๒ ปี ได้บวชเป็นสามเณร เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยประมาณจำได้ไม่แน่นัก ตอนที่ท่านบวชเป็นสามเณรได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านเกิด ในระหว่างที่บวชเป็นสามเณรได้ศึกษาปฏิบัติธรรมและปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด จากนั้นได้ออกธุดงค์ไปในหลายๆจังหวัด เช่น จังหวัดอุดรธานี หนองคาย และจังหวัดอื่นๆ จนพอเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ จึงได้บวชเป็นพระ โดยมีพระครูสันทาน พรมเขต เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ อินทสาโร ” เมื่อบวชแล้วจึงได้จำวัดอยู่ที่วัดโพธิ์ไทร บ้านนาคำกลาง ต.นางัว(ในปัจจุบัน) อ.นาหว้า จ.นครพนม
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงพ่อได้เดินทางมาเพื่อศึกษาพระธรรมที่จังหวัดอุบลราชธานี จึงได้มาอาศัยอยู่ที่วัดบ้านตำแย และได้ศึกษาพระธรรมะจนสำเร็จเป็นนักธรรมเอก วัดบ้านตำแยตอนที่หลวงพ่อมาอยู่อาศัยครั้งแรกๆ นั้น วัดมีเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ อยู่ทางด้านทิศตะวันออก มีพระเณรยังไม่มาก และที่วัดบ้านตำแยแห่งนี้ยังมีพระเณรจากจังหวัดอื่นที่มาศึกษาธรรมะก็จะมาพักอาศัยอยู่ที่วัดแห่งนี้ สาเหตุที่พระเณรมาพักอยู่ที่วัดบ้านตำแยมากก็เนื่องด้วยสมัยโน้นวัดมีไม่มากและการบิณฑบาตก็ได้อาหารไม่มาก เจ้าอาวาสวัดอื่นๆ จึงไม่ค่อยจะอนุญาตให้พระมาอาศัยอยู่ที่วัด เนื่องจากอัตคัดเรื่องดังกล่าว แต่ที่วัดบ้านตำแยหลวงพ่อท่านเมตตาต่อพระ เณรที่มาขอพักอาศัยอยู่เสมอ ตอนที่ท่านมาจำวัดอยู่ที่วัดบ้านตำแยก็มีสิม( โบสถ์ )โบราณอยู่แล้ว สิม( โบสถ์ )เดิมมีสภาพทรุดโทรมมาก จนพระและชาวบ้านเคยมีแนวคิดว่าจะรื้อออก ที่สุดก็ไม่ได้ทำ ภายหลังทางราชการได้มาสำรวจโดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้มาทำการสำรวจและได้ขึ้นทะเบียนสิม( โบสถ์ )โบราณวัดบ้านตำแยเป็นโบราณสถาน จากการตรวจสอบทางราชการปรากฏว่าสิม( โบสถ์ )โบราณบ้านตำแย มีอายุกว่า ๑๔๐ ปี นับแต่สร้างเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ โดยทางกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนในปี พ.ศ. ๒๕๔๕
เท่าที่ท่านจำได้ท่านเล่าว่า สภาพวัดบ้านตำแยเดิมมีสภาพเป็นป่าดงแค่เดินออกไปหน้าวัดในปัจจุบันก็เป็นป่าช้า บริเวณที่ตั้งวัดก็เป็นที่ดินที่ชาวบ้านเรียกว่าดอนเจ้าปู่ มีสภาพเป็นป่ารกทึบพื้นดินมีสภาพเป็นหลุมบ่อมากมาย หลวงพ่อ พระเณรและชาวบ้าน จึงร่วมกันขนดินมาเทปรับปรุงจนราบเรียบและสามารถปลูกสร้างศาลาการเปรียญ โบสถ์ และกุฏิวัดได้ ย้อนไปในสมัยที่ท่านมาอยู่ใหม่ๆ ถนนที่เชื่อมระหว่างโรงเรียนวัดบ้านก้านเหลืองกับบ้านตำแยนั้นไม่มี มีแต่ป่าดง หลวงพ่อ พระ เณรกับชาวบ้าน ได้ช่วยกันตัดต้นไม้แผ้วถางจนมีสภาพเป็นถนนพอเดินได้มีลักษณะเป็นทางเกวียน กลุ่มชาวบ้านที่มาร่วมตัดถนนนำโดยผู้ใหญ่บ้านจันทร์ รัตนกุล ในยุคนั้นเป็นผู้นำฝ่ายชาวบ้าน บริเวณวัดและบ้านเรือนมีสภาพเป็นป่ารกมากมีบ้านเรือนประชาชนปลูกอาศัยอยู่ประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน ต้นไม้ใหญ่ ๆ ในวัดที่เห็นในปัจจุบันเป็นต้นไม้โบราณอายุกว่า ๑๐๐ ปี ก็มีมาก ในปี ๒๕๔๔ จึงได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ที่เห็นในปัจจุบันแทนหลังเดิมที่สร้างด้วยไม้มีและมีสภาพทรุดโทรมอย่างมาก เป็นอาคารปูนหลังใหญ่เพื่อใช้เป็นอาคารประกอบกิจกรรมทางศาสนา ปัจจุบันยังคงสร้างยังไม่แล้วเสร็จ เพราะขาดปัจจัยในการนำมาก่อสร้าง
ภายหลังที่หลวงพ่อมาจำวัดที่วัดบ้านตำแยแล้ว ได้ศึกษาพระธรรมด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นยิ่งจนสามารถสำเร็จนักธรรมชั้นเอกได้ หลวงพ่อท่านอธิบายว่า นักธรรมเอกเป็นระดับการศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทย แผนกธรรม โดยเป็นชั้นสูงสุดของการศึกษาระดับพื้นฐานของพระสงฆ์ สามเณรในประเทศไทย แบ่งชั้นเรียนออกเป็น 3 ชั้น คือ นักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท และ นักธรรมชั้นเอก ทั้ง ๓ ชั้นนี้เป็นการศึกษาสำหรับฝ่าย พระภิกษุสามเณรโดยเฉพาะ วิชาที่ใช้ในการสอบ วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม วิชานี้กำหนดให้ผู้เรียนเขียนอธิบายพุทธศาสนสุภาษิตตามภูมิความรู้ วิชาธรรมวิจารณ์ วิชาพุทธานุพุทธประวัติ วิชาวินัยมุขและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ( ส่วนรายละเอียดจะเป็นประการใดคงต้องศึกษากับท่านเอง) และมีความรู้ความสามารถในการสอนพระธรรมให้กับพระ เณร ที่มาศึกษาพระธรรมกับหลวงพ่อได้เป็นอย่างดี ในด้านการปฏิบัตินั้น หลวงปู่อำคามีโอกาสได้ศึกษาจากหลวงปู่บุญมี โชติปาโล ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงพ่อท่านเล่าเดิมทีท่านก็ต้องการบวชพระก็เพื่อเรียนจบสามารถสอบเป็นราชการได้ และต้องการไปสอบเป็นตำรวจกับเพื่อน แต่เมื่อได้เรียนธรรมะกับครูบาอาจารย์จนสำเร็จนักธรรมเอก เพื่อนของท่านได้มาชวนให้ไปสอบเป็นนายไปรษณีย์ท่านตั้งใจว่าจะไปสอบ แต่อย่างไรก็ตามที่สุดท่านก็ไม่ได้ไป และท่านเองก็คิดว่าเมื่อเรียนจนสำเร็จเป็นนักธรรมเอกแล้วก็เลยไม่อยากสึกออกไปจากการเป็นพระ ท่านจึงถือครองเพศสมณะจนถึงปัจจุบัน
หลวงพ่อท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเป็นครูสอนธรรมะให้กับพระเณร เพื่อไปสอบเป็นนักธรรมตรี โท เอก ท่านไปสอนอยู่ที่วัดโพธิ์ไทร ต.นางัว อ.นาหว้า จ.นครพนม ตอนที่ท่านไปเป็นครูสอนนั้นปรากฏว่ามีพระ เณร ที่มาเรียนธรรมะกับท่านเพื่อไปสอบเป็นนักธรรมในระดับชั้นต่างๆ กับท่าน สามารถสอบเป็นนักธรรมในระดับชั้นตรี โท เอก ได้รวมกว่า ๑๐๐ รูป บางรุ่นสามารถสอบนักธรรมตรี โท เอก แบบยกรุ่นก็มีจนมีชื่อเสียงเป็นยิ่ง เมื่อท่านกลับมาอยู่ที่วัดบ้านตำแย ต.ไร่น้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จึงได้มีลูกศิษย์คือพระ เณร ได้มาเรียนพระธรรมะกับท่านอยู่จำนวนมาก และมาจำวัดอยู่ที่วัดบ้านตำแยนี้เอง ท่านได้อาศัยแรงกายของพระ เณร ที่เป็นพระลูกวัดกับชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นกำลังหลักในการช่วยกันพัฒนาวัดบ้านตำแย จนมีสภาพเป็นปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยท่านประสงค์อนุรักษ์ต้นไม้และสภาพธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด ปัจจุบันวัดบ้านตำแยจึงยังคงมีสภาพร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จำนวนมาก บางต้นมีขนาดใหญ่หลายคนโอบอายุไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ปี มีจำนวนหลายต้น และเป็นที่อยู่อาศัยของกิ้งก่าขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า ตัวอีกัวน่า อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากและเริ่มเชื่องกับคนที่มาวัด บางตัวใหญ่น้องๆ แขนผู้ใหญ่เลยทีเดียว
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ วัดบ้านตำแยได้สร้างโบสถ์แบบอาคารก่ออิฐถือปูนเป็นศิลปะแบบภาคกลาง หน้าบรรณปั้นเป็นรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณ ส่วนด้านหลังปั้นเป็นรูปของพระราม พระลักษณ์ และนางสีดาซึ่งมาจากเรื่องรามเกียรติ ลักษณะรอยประดิษฐ์ตามประตู หน้าต่าง เป็นศิลปะแบบภาคกลาง เป็นรูปปั้นที่อ่อนช้อยงดงามยิ่ง ลายเส้นคมชัด การแกะสลักไม้ลายเส้นก็คมชัดงดงามมาก งานติดกระจกก็วิจิตรยิ่งนัก ขนาดว่าปัจจุบันนี้โบสถ์ดูเสื่อมโทรมมากตามกาลก็ตามแต่ร่องรอยความวิจิตรนั้นยังคมชัด สะท้อนถึงความมีฝีมือในเชิงช่างของผู้สร้าง หลวงพ่อท่านเล่าว่าคนที่ปั้นรูปปูนปั้นชื่อว่าช่างสมัย จันทร์วิจิตร ซึ่งคุณพ่อของนายช่างวิจิตร ก็เป็นผู้ปั้นรูปปั้นที่วัดพระธาตุหนองบัว อ.เมือง จ.อุบลราชธานี นายช่างสมัย ถือว่าเป็นช่างเอกของเมืองอุบลอีกคนหนึ่ง ช่างสมัยบอกหลวงพ่อว่าโบสถ์บ้านตำแยนี้ได้แบบมาจากภาคกลางลวดลายประดับเอาแบบมาจากวัดพระแก้วช่างสมัยว่าแบบนั้น เมื่อปั้นรูปปูนปั้นติดตั้งให้กับโบสถ์วัดบ้านตำแยแล้วนั้น ช่างสมัยก็ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครและเสียชีวิตอยู่ที่นั่น งานปั้นของนายช่างสมัยที่ทำไว้ให้กับวัดบ้านตำแย นอกจากโบสถ์แล้วก็ยังมีพระพักตร์ของพระพรมที่ประดิษฐานอยู่ที่ทิศตะวันตกของวัด หลวงพ่อเล่าว่าน่าจะเป็นชิ้นสุดท้ายที่นายช่างสมัย จันทร์วิจิตร ได้ฝากเอาไว้ที่จังหวัดอุบลราชธานี หลวงพ่อท่านได้เมตตาพาไปชมภายในโบสถ์เมื่อเข้าไปภายในก็ได้พบกับพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานประจำโบสถ์ปางมารวิชัย พระพุทธรูปดังกล่าวงดงามมากน่าจะทำมาจากสำริด หลวงพ่อท่านเล่าว่าพระประธานองค์นี้ นายทิม ภูริพัฒน์ ซึ่งเป็นพ่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานีในสมัยก่อนนำมาถวายให้กับทางวัด ท่านเล่าเพิ่มเติมว่า ที่จริงนายทิม ภูริพัฒน์ ได้ถวายพระพุทธรูปให้กับวัดจำนวน ๒ องค์ องค์ที่ ๑ ประดิษฐ์ฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญไม้หลังเก่าปัจจุบันศาลาได้ถูกปิดแล้วไม่ได้ใช้งานเนื่องจากศาลาไม้ชำรุดทรุดโทรมมาก พอสร้างโบสถ์หลังนี้เสร็จหลวงพ่อว่าจะอันเชิญมาประดิษฐ์ฐานเป็นพระประธานประจำโบสถ์แต่เพราะพระพุทธรูปปิดทองทั้งองค์ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ นายทิม ภูริพัฒน์ จึงได้ถวายพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งกล่าวคือพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่กำลังกล่าวถึงให้กับวัดและนำมาประดิษฐ์ฐานอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่ ๑ จึงยังคงประดิษฐ์ฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญหลังเก่าแห่งนั้นเหมือนเดิม
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ วัดบ้านตำแยได้สร้างพระพรม ๔ หน้าตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก ชาวบ้านทั่วไปต่างล่ำลือว่าพระพรมที่วัดบ้านตำแยนั้นศักดิ์สิทธิ์นัก ส่วนจะแสดงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบใดอย่างไรก็ไม่ทราบเช่นกัน และพระพรมนี้ในส่วนใบหน้าที่สี่ทิศก็เป็นฝีมือปั้นของช่างสมัย จันทร์วิจิตร เป็นผู้ปั้นด้วยตนเองดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
การพูดคุยกับหลวงพ่อนั้น ท่านเป็นพระที่น่าเลื่อมใสเป็นยิ่งนัก ดูภายนอกท่านเป็นพระที่น่าเกรงขามและดูดุรูปหนึ่ง หากเป็นญาติโยมที่ท่านไม่ค่อยคุ้นนั้นท่านก็จะดูเคร่งจริงจังและอาจดูระมัดระวังตัวยิ่งการพูดคุยก็จะดูห้วนสั่นๆถามคำตอบคำแต่เมื่อคุ้นเคยกันท่านก็จะเป็นพระที่คุยสนุก พูดธรรมได้น่าฟังและน่าเลื่อมใสยิ่ง ด้วยที่ท่านเป็นพระที่มีความรู้เรื่องธรรมะดีรูปหนึ่งและมีความเป็นครูในฐานะที่ท่านได้สอนลูกศิษย์ที่เป็นพระ เณร ในสมัยที่มาเรียนนักธรรมตรี โท เอก กับท่าน ท่านจึงมีความเป็นครูอาจารย์อยู่เต็มเปี่ยม ดังนั้นในการสั่งสอนญาติโยม ท่านจึงเอาความเป็นครูอาจารย์มาสั่งสอนธรรมะแก่ญาติโยม บางครั้งอาจดูดุบ้างก็ไม่น่าแปลก โดยเฉพาะตอนที่ท่านเทศนาสั่งสอนธรรมะหากญาติโยมไม่ค่อยฟังท่านก็จะดุเอา ประกอบกับท่านสำเร็จนักธรรมเอกท่านจึงค่อนข้างเป็นพระที่เคร่งวินัยของสงฆ์ รู้ธรรมสั่งสอนธรรม และด้านศาสนพิธีดียิ่ง เมื่อมีพระมาบวชอยู่กับท่าน ท่านจึงสั่งสอนทั้งธรรมะ พระวินัย และพิธีการของสงฆ์ต่างๆให้อย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นพระที่ดีสมเป็นสาวกของพระพุทะเจ้า แต่พระบวชใหม่หรือมาอาศัยอยู่กับท่านกลับมองว่าท่านจู้จี้ร่ำไรเสีย ดังนั้นเมื่อครบกำหนดสึกจึงสึกออกไปโดยไม่ได้อะไรเลย หรือบางรูปบวชอยู่กับท่านนานก็ไม่ได้ทำตนให้เป็นสงฆ์ที่ดีแต่อย่างใด กลับมุ่งหาลาภสักการะเพียงอย่างเดียวแต่กระนั้นแม้เพียงมุ่งหาลาภสักการะบูชาเป็นที่ตั้งพระนั้นก็ไม่อาจปฏิบัติได้ตามที่ตั้งใจกลับไม่มีมีความเพียร เกียจคร้านยิ่งขนาดแม้แต่จะออกบิณฑบาตอันเป็นกิจของสงฆ์ก็ไม่กระทำ หรือบางรูปบวชนานแต่ไม่อาจท่องบทสวดที่ใช้ในงานศาสนพิธีได้เลยที่สุดก็ไม่สามารถอยู่กับท่านได้จำต้องสึกออกไป
หลวงพ่อท่านได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่านอีกมากโดยเฉพาะเรื่องที่ท่านโดนคนที่มาหลอกลวงท่าน โดยสาเหตุมาจากการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ในปัจจุบัน ศาลาการเปรียญหลังใหม่นี้ท่านได้ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ แต่ยังคงก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเพราะขาดปัจจัยในการมาก่อสร้างนั้นเอง เกี่ยวกับเรื่องการที่ท่านถูกหลอกลวงนั้นเล่าเพียงบางเหตุเหตุการณ์ดังนี้ ท่านเล่าว่าปัจจุบันนี้มีคนหลอกลวงหากินโดยทางที่ไม่ชอบมาก มาหาท่านหลากหลายรูปแบบมากเช่น
พระครูอินทสารโสภณ (หลวงปู่อำคา อินฺทสาโร) วัดบ้านตำแย ต.ไร่น้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี (ศิษย์ในองค์หลวงปู่บุญมี โชติปาโล) ละสังขารในวันพฤหัสบดี ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เวลา ๑๖.๑๙ น. สิริอายุ ๘๘ ปี ๖๘ พรรษา
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น