ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงพ่อสุบรรณ์ สิริธโร วัดถ้ำผาเกิ้ง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อสุบรรณ์ สิริธโร ๏
วันนี้วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นวันเจริญอายุวัฒนมงคล ครบรอบ ๖๐ ปี พระอาจารย์สุบรรณ์ สิริธโร วัดถ้ำผาเกิ้ง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น พระอาจารย์สุบรรณ์ สิริธโร เกิดเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๗ ภูมิลำเนาเดิมอยู่ ณ บ้านหนองหญ้าข้าวนก (บ้านเลขที่ ๑๙)ตำบลหนองแวง อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เป็นบุตรของคุณแม่จันทร์ ดอกพรม และคุณพ่อบัว ดอกพรม
คุณแม่จันทร์ ดอกพรม (มารดา) มีบิดาชื่อหลวงปู่แหล่ (มรณภาพแล้ว) และคุณยายบู่ คำสอนทา
คุณแม่จันทร์ มีพี่น้องรวม ๖ คน
คนที่ ๑ แม่จันทร์ คำสอนทา
คนที่ ๒ พ่อเคน คำสอนทา
คนที่ ๓ พ่อเจน คำสอนทา
คนที่ ๔ แม่จีน คำสอนทา
คนที่ ๕ นายหนูยง คำสอนทา
คนที่ ๖ อาจารย์ชมพู คำสอนทา
คุณแม่จันทร์ ดอกพรม มีบุตรทั้งหมด ๕ คน เป็นหญิง ๓ คน เป็นชาย ๒ คน
คนที่ ๑ นางบุปผา มูลทิพย์
คนที่ ๒ พระอาจารย์สุบรรณ์ สิริธโร
คนที่ ๓ นายไพบูรณ์ ดอกพรม
คนที่ ๔ นางอุบล สิทธิวงศ์
คนที่ ๕ นางสาวจงกล ดอกพรม
คุณแม่จันทร์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อเริ่มตั้งท้อง (ด.ช.สุบรรณ์) ได้ประมาณ ๓ เดือน “ท่านฝันว่าได้รับสร้อยคอทองคำเส้นใหญ่ขนาดสายโซ่ ตอนแรกที่ได้ทองคำสายโซ่มานั้น เนื้อทองคำยังดูไม่สดใสเท่าไหร่ แต่ต่อมาอีกระยะหนึ่งทองคำสายโซ่นั้นก็เป็นทองเหลืองอร่ามงามตาสวยสดงดงาม มีญาติและชาวบ้านหลั่งไหลมาดูไม่ขาดสายเป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก” เมื่อเด็กชายสุบรรณ์อายุได้ครบ ๓ ปี แต่ก็ยังเดินไม่ได้ สร้างความวิตกให้แก่ผู้เป็นมารดาเป็นอย่างมาก จนกระทั่งวันหนึ่งมีหมอยาโบราณเดินทางมาจากอำเภอสว่างแดนดิน เพื่อมารักษาให้เด็กชายสุบรรณ์ โดยบอกให้คุณแม่จันทร์เอาน้ำตาลอ้อยกับถั่วเขียวต้มใส่หม้อดินเคี่ยวให้เหลือ ๑ ขวด แล้วนำไปให้เด็กชายสุบรรณ์กิน เด็กชายสุบรรณ์กินได้ ๓ วันก็เริ่มเดินได้ และก็เดินเป็นปกติเหมือนเด็กทั้งหลายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เด็กชายสุบรรณ์ เป็นเด็กมีความขยัน อดทน ช่วยงานการต่าง ๆ ของบิดา มารดา ไม่ว่าจะเป็นการทำไร่ ไถนา ช่วยเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เป็นผู้มีความกตัญญูและ
มีเมตตาต่อผู้อื่น ครั้งเมื่ออายุได้ ๑๙ ปี มารดาจึงส่งให้ไปเรียนเป็นช่างกลึง ที่อำเภอกุมภวาปี จนกระทั่งอายุครบอุปสมบท จึงได้ทำการอุปสมบท ณ วัดศรีจันทร์
อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘
มีพระเทพบัณฑิต เป็นพระอุปัชฌาย์
พรรษาที่ ๑ ( พ.ศ. ๒๕๒๘ ) จิตสงบ
ครั้นเมื่อบวชแล้วได้ไปจำวัด ที่วัดป่าบ้านสำโรง บ้านสำโรง อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น โดยมีหลวงปู่แหล่ที่เป็นพ่อใหญ่ ( ตา )เป็นผู้ดูแล ตอนแรกตั้งใจจะบวชเจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดตอนนั้นประมาณสองทุ่มหลวงปู่ท่านก็มาถามเกี่ยวกับสุขภาพของพระอาจารย์สุบรรณ์เพราะว่าท่านเป็นโรคกระเพาะมาตั้งแต่เป็นฆราวาสและบอกให้ลองนั่งสมาธิโดยดูลมหายใจเข้าออกกำหนดพุทโธ และหลวงปู่กำชับไว้ว่า “ถ้ามันปวดขาอย่าออกจากสมาธิเดี๋ยวมันจะเป็นบ้า” พระอาจารย์สุบรรณ์ก็นึกในใจว่าน่าจะลองนั่งดูเผื่อจะหายจากโรคกระเพาะก็เลยลองนั่งสมาธิกำหนดพุทโธ ระหว่างนั่งไปได้พักใหญ่ก็มีอาการปวดตามขาขึ้นมาเรื่อยๆ ปวดจนขาสั่น ปวดจนทนไม่ไหว คิดว่าจะลุกออกจากสมาธิ แต่ด้วยความที่กลัวหลวงปู่สั่งไว้ว่าถ้ามันปวดอย่าออกจากสมาธิ เดี๋ยวมันจะเป็นบ้าด้วยความกลัวจะเป็นบ้าเลยไม่กล้าลุกออก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเอาคำภาวนาพุทโธสู้กับความเจ็บปวด เอาพุทโธ อย่างเดียว แต่ความทุกข์จากความเจ็บปวดในร่างกายนั้นมันรุนแรงมากจนจิตไม่มีที่จะอยู่ ทุกๆอณูในร่างกายมันทุกข์จนร้อนระอุอยู่ภายใน มีอาการจุกแน่นถึงหน้าอก พระอาจารย์สุบรรณ์เล่าว่ามันร้อนเสียจนจิตมันวิ่งหาที่อยู่เหมือนกับลิงที่วิ่งบนถ่านไฟแดงๆ กระเสือก-กระสนดิ้นรน ขณะที่กายกำลังมีความทุกข์อย่างแสนสาหัสนั้น ปรากฏว่าจิตมาอยู่กับพุทโธแนบกันสนิทลอยเด่นอยู่ต่างหากเหนือร่างกาย “เกิดนิมิตว่ามีควันเกิดขึ้นทุกรูขุมขนทั่วร่างกาย ในขณะที่เกิดนิมิตนั้นจิตมิได้แสดงอาการสะดุ้งกลัวสักนิด ในนิมิตนั้นควันที่ออกจากร่างกายก็เกิดขึ้นอย่างหนาแน่น สักพักก็เกิดเป็นไฟลุกไหม้ท่วมร่างกาย โดยที่จิตผู้รู้อยู่สูงกว่านั้นหันมามองร่างกายที่กำลังไหม้อยู่นั้นจนกระทั้งร่างกายเหลืออยู่แต่โครงกระดูก เห็นหัวกะโหลก กระดูกส่วนต่างๆของร่างกาย มีลักษณะเป็นถ่านแดง จากนั้นกระดูกส่วนต่างๆก็ค่อยๆร่วงลงมากอง
ที่พื้น กองกระดูกค่อยๆจางหายๆจนไม่เหลืออะไร โล่งว่าง โดยที่ขณะเกิดนิมิตนั้นจิตผู้รู้สว่างไสว ลอยเด่นอยู่ไม่มีความรู้สึกนึกคิดมีแต่รู้อย่างเดียว”
หลังจากนั้นก็อยู่ในฌานสมาธิ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนใกล้สว่าง หลังจากเกิดจิตรวมครั้งนั้น ทำให้พระอาจารย์สุบรรณ์มีความรู้สึกว่าจิตมีความปิติอยู่ถึงเจ็ดวันเต็ม ทำให้ความคิดที่จะสึกจากเพศบรรพชิตนั้นล้มเลิกไป เนื่องจากมีความมั่นใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้นั้นน่าจะเป็นความจริง และพระพุทธเจ้าน่าจะมีจริง ในพรรษานั้นพระอาจารย์สุบรรณ์พยายามนั่งสมาธิให้จิตสงบดังที่เคยเป็นแต่ไม่เคยสงบลงเช่นครั้งนั้นอีกเลย
หลังจากออกพรรษา ได้เดินทางไปวัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย ไปเผาศพหลวงปู่คำดี ปภาโส หลังจากนั้นก็เลยไปธุดงค์ทางภาคเหนือ และปีนั้นหลวงปู่แหวนมรณภาพพอดีก็ได้ไปกราบศพท่าน จากนั้นก็กลับคืนมายังวัดป่าบ้านสำโรงพร้อมหลวงปู่ แต่ในใจลึกๆของพระอาจารย์ยังคำนึงถึงการเดินธุดงค์เพราะต้องการทำให้จิตสงบดังที่เคยสัมผัสแล้ว
พรรษาที่ ๒ ( พ.ศ. ๒๕๒๙) ออกธุดงค์ตามหาพุทโธ
หลังจากออกพรรษาพระอาจารย์สุบรรณ์ออกธุดงค์อย่างเด็ดเดี่ยวเพราะอยากจิตสงบนั้นเอง โดยการเดินธุดงค์ครั้งนี้ก็มาทางภาคเหนือ แถบ ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ เชียงดาว โดยการธุดงค์ครั้งนี้ได้นำคติธรรมของหลวงปู่คำดี ปภาโส มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติคือ การเอาสติอย่างเดียว จิตจะสงบหรือไม่ก็ช่าง การธุดงค์ก็เดินไปตามป่าเขาไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักทำสมาธิภาวนา หายเหนื่อยก็เดินต่อ พอเห็นหมู่บ้านชาวเขา ชาวม้ง ก็ปักกลดพักพอจะได้บิณฑบาตตอนเช้า ในระหว่างเดินธุดงค์ในครั้งนี้นั้นเมื่อไปถึงเขตที่มีครูบาอาจารย์พอที่จะปรึกษาและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติพระอาจารย์สุบรรณ์จะเข้าไปกราบและขอคำแนะนำอยู่เสมอและจะพักอยู่ด้วยที่ละเจ็ดวันบ้างสิบห้าวันบ้าง ครูบาอาจารย์ที่ได้ไปกราบขอคำแนะนำก็มีอยู่หลายองค์ เช่น หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง จังหวัดเชียงใหม่, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่, หลวงปู่ขาน ฐานวโร วัดบ้านเหล่า จังหวัดเชียงราย พอถึงเวลาใกล้จะเข้าพรรษาพระอาจารย์สุบรรณ์ก็เดินธุดงค์ลงมาทางอีสานเพื่อจำพรรษาที่วัดป่าบ้านสำโรงเพื่ออุปัฏฐากครูบาอาจารย์
พรรษาที่ ๓ ( พ.ศ. ๒๕๓๐) ตั้งสัจจอธิฐาน
หลังจากออกพรรษาพระอาจารย์สุบรรณ์ธุดงค์มาถึงถ้ำช้างเผือก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพราะมีถ้ำเล็กๆ น่าจะทำให้ภาวนาได้ดี เพราะอยากให้จิตสงบ กรอปกับต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอเพราะในถ้ำนั้นเป็นถ้ำลึก ในถ้ำมีงูเยอะโดยเฉพาะงูจงอาง ทำให้ต้องมีสติตลอดเวลา พระอาจารย์สุบรรณ์ท่านเล่าว่ารู้สึกกลัวเหมือนกันแต่ความอยากจะเห็นจิตสงบจึงลงไปอยู่แล้วภาวนาพุทโธอย่างเดียว และในที่แห่งนี้พระอาจารย์สุบรรณ์ได้เสี่ยงตั้งจิตอธิฐานว่าถ้าหากมีวาสนาบารมีที่จะได้บวชในพระศาสนาต่อไปขอให้มีนิมิตที่ดีให้เห็นและหากต้องสึกไปครองเพศฆราวาสก็ให้มีนิมิตร้ายให้เห็นเช่นกันภายในสามวันนับจากตั้งจิตอธิฐาน หลังจากนั้นพระอาจารย์สุบรรณ์ก็กำหนดสติภาวนาพุทโธต่อไปโดยมิได้กังวลอะไร
วันที่หนึ่ง นิมิตได้พระธาตุ (ฟัน) หลวงปู่แหวน สุจินโณ
พระอาจารย์สุบรรณ์เล่าว่าพอกำหนดพุทโธลงที่จิตสักครู่ ปรากฏว่า จิตพุ่งไปยังสถานที่กำลังเผาศพ
หลวงปู่แหวน ในสถานที่นั้นมีผู้คนมากมาย ท่านก็เดินฝ่าเข้าไปผู้คนก็แหวกทางออกให้ท่านผ่านไป เดินไปเห็นทหารยืนกั้นมิให้ผู้คนผ่านเข้าไปในบริเวณกองฟอนที่เผาศพหลวงปู่แหวน แต่พอท่านมาถึงทหารเหล่านั้นก็ปล่อยให้ท่านผ่านเข้าไป ท่านเดินไปถึงกองฟอนเผาศพหลวงปู่-แหวนแล้วท่านก็ยื่นมือขวาออกมาแล้วแบมือปรากฏว่า ฟันของหลวงปู่แหวนมีลักษณะสีเขียวมรกตลอยพุ่งมายังมือที่ท่านแบอยู่รู้สึกเย็นเหมือนน้ำแข็งแล้วท่านก็กำไว้จากนั้นก็รู้สึกว่า จิตท่านพุ่งกลับมายังถ้ำที่ท่านภาวนาอยู่ ความรู้สึกในตอนนั้นท่านรู้สึกดีใจมากที่ได้พระธาตุของหลวงปู่แหวน พอรู้สึกตัวท่านแบมือออกปรากฏว่าไม่มีอะไรในมือท่าน แต่ท่านมิได้กังวลอะไรยังคงดำเนินกิจของท่านต่อไป
วันที่สอง นิมิตได้กราบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วันที่สองท่านภาวนาจนจิตวูบลง พบว่าตัวเองไปอยู่ที่แห่งหนึ่งกำลังกวาดตาดอยู่ บริเวณนั้นมีศาลาอยู่กลางทุ่ง พระอาจารย์ก็ได้กวาดตาดไปเรื่อยจนพบพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังกวาดตาดอยู่เช่นกัน จึงได้เงยหน้ามองว่าเป็นใคร ปรากฏว่าเป็นหลวงปู่มั่น เลยวางตาดลงแล้วกราบหลวงปู่-มั่น หลวงปู่มั่นยิ้มให้ท่าน พระอาจารย์สุบรรณ์รู้สึกดีใจอย่างมากที่ได้พบหลวงปู่มั่น จากนั้นจิตก็แวบกลับมาและรู้สึกตัว
วันที่สาม พระประธานยิ้มให้
วันที่สามนั้นท่านภาวนาอยู่ในถ้ำแต่รู้สึกร้อนและหงุดหงิดอย่างมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำอย่างก็ไม่หายเดินจงกรมก็แล้ว นั่งภาวนาก็แล้ว พิจารณาอะไรก็แล้ว จึงได้ขึ้นจากถ้ำ ขึ้นมาก็ไม่รู้จะไปไหน พระอาจารย์สุบรรณ์จึงได้เดินขึ้นไปยังถ้ำใหญ่ที่มีพระประธานอยู่เพื่อที่จะกราบพระประธาน พอกราบพระครั้งแรกแล้วมองไปที่พระประธานปรากฏว่าเห็นพระประธานยิ้มให้ท่าน กราบครั้งที่สองมองไปอีกก็ยังยิ้มให้อีก พระอาจารย์ตกใจ
อย่างมากเพราะการยิ้มของพระประธานในที่นั้นเป็นการยิ้มที่ไม่เหมือนพระพุทธรูปทั่วไป เปรียบได้ว่าถ้าเป็นมนุษย์ยิ้มคงเห็นฟันชัดเจน รู้สึกผิดแปลกอย่างมาก คิดว่าตัวเองน่าจะบ้าไปแล้ว ก็เลยลองหยิกตัวเองก็ยังรู้สึกเจ็บ ก็เลยพยายามหาเหตุหาผลว่าเพราะอะไรพระพุทธรูปจึงยิ้มให้ท่านเช่นนี้แต่ก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ ก็เลยลงมาที่ถ้ำ
นั่งหาเหตุผลแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดจากเหตุอันใด จึงปล่อยผ่านไป จนถึงเวลาทำวัตรสวดมนต์ขณะที่จุดเทียนธูปก็เลยนึกถึงการตั้งสัจจอธิฐานเมื่อสามวันที่ผ่านมา และได้พิจารณาถึงนิมิตที่เกิดขึ้นทั้งสามวันทำให้จิตรู้สึกปลอด-โปร่งว่าเป็นนิมิตที่ดีว่าจะได้บวชในพระพุทธศาสนาต่อไป พระอาจารย์สุบรรณ์เลยจะตั้งสัจจอธิฐานต่อไปว่าจะบวชตลอดชีวิต เพื่อดำรงพระพุทธศาสนาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังต่อไป แต่ขณะที่กำลังตั้งสัจจอธิฐานจะบวชตลอดชีวิต ปรากฏว่ามีลมพัดวูบเข้าและมีเสียงมาทักไม่ให้ตั้งสัจจะดังกล่าว แต่พระอาจารย์สุบรรณ์ท่านไม่ได้กลับความตั้งใจและยืนยันจะบวชไม่สึก พระอาจารย์สุบรรณ์เล่าว่าเวลาเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และเจอทุกข์ในขณะเดินธุดงค์เมื่อนึกถึง สัจจอธิฐานของตนเองก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาไม่ท้อแท้
พรรษาที่ ๔ ( พ.ศ. ๒๕๓๑ )รู้ทางเดินที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
ในพรรษานี้พระอาจารย์สุบรรณ์ได้เดินธุดงค์ไปแถบภูหินร่องกล้า และได้พบสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาเป็นวัดร้างแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ของครูบา-อาจารย์รุ่นก่อนได้เคยมาบำเพ็ญและได้จำพรรษาที่วัดร้างแห่งนี้ พระอาจารย์สุบรรณ์ตั้งใจว่าจะบำเพ็ญภาวนาให้เต็มที่เพราะสถานที่เหมาะสมมาก
ผจญผีม้ง
ในช่วงแรกที่มาพักอยู่นั้นได้ผจญกับ “ผีม้ง” แทบทุกคืน จนไม่ได้หลับนอนพักผ่อน พระอาจารย์เล่าว่าพอพลบค่ำในช่วงจะทำวัตรสวดมนต์นั้นจะมีเสียงคล้ายชาวม้งเดินขึ้นมาบนกุฏิพร้อมกับพูดคุยสนทนาเป็นภาษาม้งให้ได้ยินชัดเจน ผลัดกันขึ้นมาที่ละกลุ่มหมุนเวียนกันไป พอพระอาจารย์เปิดประตูมาดูปรากฏว่าเสียงนั้นเงียบหายและไม่เห็นว่ามีคนอยู่เลยเป็นอย่างนี้ทุกวัน ท่านบอกว่าช่วงแรกรู้สึกกลัวจนไม่ได้พักผ่อนทำให้ร่างกายขาวซีดเพราะอดนอน ต่อมาท่านได้พิจารณาและตั้งสติให้ดีไม่สนใจกับเสียงเหล่านั้นและไม่ออกไปดูนานๆเข้าปรากฏว่าเสียงพูดคุยนั้นค่อยเงียบหายไปนานๆครั้งจะมาให้ได้ยินสักครั้งหนึ่งและสุดท้ายก็เงียบหายไปเฉยๆ
เสือมานั่งดูเดินจงกลม
คืนหนึ่งในช่วงหัวค่ำเป็นคืนที่มีฝนตกพรำๆ พระอาจารย์สุบรรณ์ท่านกำลังทำความเพียรเดินจงกลมอยู่ แต่วันนี้ผิดปกติกว่าทุกวันเพราะท่านสังเกตเห็นว่าบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่เคยมาหากินเป็นประจำก็ไม่มา แมวที่เคยวิ่งไล่กัดกันก็หายไปในกุฏิ เสียงแมลงต่างๆที่เคยส่งเสียงกลับเงียบสนิท ในจิตของพระอาจารย์พอที่จะรับรู้ว่าต้องมีสิ่งที่เป็นที่น่ากลัวของสัตว์เหล่านี้กำลังจะมา กอปรกับได้เคยมีชาวบ้านในแถบนั้นเคยมาเตือนเรื่องเสือที่เข้ามากินวัวของชาวบ้านแต่พระอาจารย์สุบรรณ์ก็มิได้กังวลอะไรมากและท่านก็เดินจงกลมต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งพระอาจารย์สุบรรณ์ก็เริ่มได้กลิ่นสาปสางของเสือ ท่านว่ามันรุนแรงจนแทบจะอาเจียนออกมา แต่ท่านก็ยังคงกำหนดจิตเดินจงกลมต่อไป แต่ในจิตกำลังพิจารณาว่า ถ้าเป็นเสือมาจะทำอย่างไร
เจ้าตัวกิเลสในใจ (ความกลัวตาย) บอกให้ถ้าเสือมาให้วิ่งขึ้นกุฏิ แต่สติสัมปชัญญะบอกว่าจะหนีได้อย่างไรเราเป็นพระกรรมฐานถ้าหนีก็น่าอายเทวดาที่กำลังอนุโมทนาอยู่ สติปัญญากับกิเลสภายในใจขณะนั้นกำลังถกเถียงกันอย่างรุนแรง พอท่านเดินสุดทางจงกลมและหันกลับมาสิ่งที่ท่านคิดไว้ก็เป็นจริง ปรากฏว่าเสือตัวขนาดใหญ่นั่งสูงท่วมหัวท่านอยู่อีกด้านหนึ่งของปลายทางจงกลม ท่านเล่าว่า
“ท่านเกิดความกลัวสุดขีดในขณะนั้นจนแทบจะสลบ แต่อาศัยที่เคยฝึกสติมาจนชำนาญเลยตั้งสติได้และท่านยังคงเดินจงกลมเข้าหาเสือที่นั่งอยู่แต่รู้สึกถึงความเบาของร่างกายในขณะนั้นและยิ่งเบาขึ้นเรื่อยๆเมื่อเดินเข้าใกล้เสือ ท่านเล่าว่ามีความกลัวอย่างมากมายแต่ท่านก็ยังเดินเข้ามาหาเสือจนสุดปลายทางจงกลม ท่านประมาณได้ว่าเสือนั่งห่างจากท่านประมาณวาเดียวเท่านั้น และท่านได้
หันหลังกลับเพื่อเดินต่อแต่ภายในจิตของพระอาจารย์สุบรรณ์นั้นกำลังมีการต่อสู้กันอย่างสุดขีดระหว่างสติปัญญากับกิเลส(ความกลัวตาย) มีการถกเถียงกันอย่างรุนแรง กิเลสมันบอกให้หนีไป แต่สติปัญญาบอกว่าถ้าจะตายเพราะการบำเพ็ญความเพียรอยู่ก็ให้มันตายไป
เจ้าตัวกิเลสมันยังมีเล่ห์กลมาหลอกล่ออีกว่า ถ้าไม่หนีจะต้องโดนเสือกิน แต่ตัวสติสัมปชัญญะของท่านพระอาจารย์สุบรรณ์ยังมั่นคงเดินจนสุดปลายทางจงกลม และหันกลับมาเผชิญหน้ากลับเสืออีกครั้ง ท่านบอกว่าใช้สติคุมใจไว้อย่างเดียวและเป็นการมีสติที่มั่นคงที่สุดในชีวิตอย่างไม่เคยมีมาก่อน ท่านเดินจนสุดทางจงกลม แล้วจะต้องหันหลังให้เสืออีกครั้งเมื่อเดินมาถึงกลางทางจงกลม เจ้ากิเลสภายในจิตใจมันยังไม่ยอมแพ้ มันบอกว่าให้หนีขึ้นกุฏิไปซะถ้าไม่ไปจะต้องโดนเสือกัดตายนะ เพราะมันรู้ว่ามนุษย์นั้นกลัวความตายเป็นที่สุด แต่ตัวสติปัญญาที่ผ่านการอบรมมาอย่างดีแล้วนั้น บอกกับมันว่า ตายก็ให้มันตายไปเพราะตายมาหลายภพหลายชาติแล้ว ถ้าเคยมีเวรกรรมต่อกันก็ให้เสือมันกินเพื่อชดใช้กรรมที่เคยมีต่อกัน และท่านก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดว่าไม่หนี พอตัดสินใจได้เช่นนั้นปรากฏว่า กิเลสมันกระเด็นขาดออกไปจากใจท่าน พอกิเลสมันกระเด็นขาดออกไปปรากฏว่า จิตท่านรวมลง “จิตรวมใหญ่” มีแต่ความสว่างไสวของจิตเท่านั้นไม่มีสิ่งใดเข้ามาให้ท่านรับรู้อีกเลยในขณะนั้น”
ท่านเล่าว่าที่จำได้ในขณะที่เจอเสือนั้นเป็นเวลาประมาณสามทุ่มได้และท่านมารู้สึกตัวอีกที่ประมาณตีสามเห็นจะได้ พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็เห็นตัวเองยืนอยู่ที่เดิม และตั้งสติมองหาเสือก็ไม่เห็นเสือเสียแล้ว เดินไปที่มันนั่งอยู่ปรากฏไว้แต่รอยเท่านั้น และท่านยังเดินไปตามหามันอีกก็เห็นแต่รอยของมันเท่านั้น
หลังจากนั้นท่านกลับมาจากการเดินตามหาเสือแล้วท่านก็กลับมานั่งภาวนาปรากฏว่าจิตท่านรวมลงอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดกว่าที่เคยเป็นมาคือไม่เป็นแบบ
อุคนิมิต ปฏิภาคนิมิต ปฏิภาณนิมิตเหมือนสมัยบวชใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นแบบฌานสมาธิ แต่คราวนี้เป็นแบบความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมีสติสัมปชัญญะตลอด สติมั่นคงมากจิตสงบลงอย่างรวดเร็วแต่สติตามรู้ทันตลอด กิเลสในใจตัวไหนขาดสะบั้นรู้ทันหมด มีความละเอียดเท่าไรก็รู้ ตัวที่มากั้นตัวสุดท้ายคือ “กังขาวิตรณวิสุทธิ” ขาดสะบั้นลงทำให้จิตรู้เหตุรู้ปัจจัยของขันธ์ ปฏิจจสมุทบาทเกิดขึ้นรู้จักการเดินทางของพระพุทธเจ้าที่ท่านเข้ามารู้ธรรมชาติที่มีอยู่และจิตเข้าไปยึดและหลงอยู่ ทำให้หมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้านับแต่นั้นมา
พรรษาที่ ๕-๖ (พ.ศ. ๒๕๓๒ -๒๕๓๓)
จำพรรษาวัดป่าบ้านหนองหญ้าข้าวนก
อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น
พรรษาที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๓๔ )
จำพรรษาวัดป่าภูเม็ง อำเภอเมือง
จังหวัดขอนแก่น
พรรษาที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๓๕)
จำพรรษาวัดญาณสัมปันโน
อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี
พรรษาที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๓๖)
จำพรรษาวัดป่าแสงธรรมจักร
อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น
พรรษาที่ ๑๐ - พรรษาที่ ๒๓ (ปัจจุบัน)
( พ.ศ. ๒๕๓๗ -๒๕๕๐)
จำพรรษาวัดถ้ำผาเกิ้ง อำเภอเวียงเก่า
จังหวัดขอนแก่น
ทุกปีในช่วงออกพรรษาของแต่ละแห่งนั้น
พระอาจารย์สุบรรณ์ยังคงออกธุดงค์ในสถานที่ต่างๆ มิได้ขาด ตามแต่โอกาสบางปีก็พาญาติโยมไปธุดงค์เพื่อฝึกหัดบำเพ็ญภาวนาเป็นการหล่อหลอมจิตใจโดยใช้ป่าเป็นแหล่งฝึกฝน
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น