ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร วัดป่าประชาชุมพลพัฒนาราม อ.เมือง จ.อุดรธานี


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปูอ่อนสา สุขกาโร ๏ 
     วันนี้วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๑๐ ปี ชาตกาล หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร วัดป่าประชาชุมพลพัฒนาราม อ.เมือง จ.อุดรธานี พระอริยเจ้าผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รูปหนึ่ง ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว ท่านไม่ติดในลาภสักการะ ไม่ได้ติดในคำสรรเสริญ เยินยอ พูดจาตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ตรงประเด็น ยิ่งเรื่องรักษาสัจจะแล้ว ท่านเคร่งมากในเรื่องนี้

"..รำคาญ พวกธรรมแตก ดีแต่พูด จะปฏิบัติให้ได้เพียงหนึ่งในล้านตามที่คุยก็ลำบาก สมาธิไม่เคยเกิด ไม่เคยเห็น ไม่เคยพบแม้ช้างกระดิกหู หรือ แค่งูแลบลิ้น.." โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร

#ประวัติและปฏิปทา

หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร มีนามเดิมว่า อ่อนสา เมืองศรีจันทร์ เกิดที่บ้านโนนทัน ต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๕๗ ตรงกับวันศุกร์ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาล โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายมา และนางโม้ เมืองศรีจันทร์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๑๐ คน เป็นผู้ชาย ๕ คน ผู้หญิง ๕ คน 

#ชีวิตฆราวาส

หลวงปู่อ่อนสาเป็นบุตรคนโตซึ่งมีน้องต้องค่อยดูแลถึง ๙ คน ครอบครัวของหลวงปู่เป็นเกษตรกร ด้วยเป็นบุตรคนโตจึงมีโอกาสศึกษาจนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที ๔ จากนั้นได้ออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาและดูแลน้อง ๆ 
      
หลวงปู่ท่านเล่าว่า “ ในสมัยที่หลวงปู่เรียนหนังสืออยู่นั้น โยมบิดา – โยมมารดา ของท่านไม่เคยเดือดร้อน ในเรื่องของเงินซื้อสมุด หนังสือ ดินสอ เพราะว่าท่านเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง สอบไล่ได้เป็นที่ ๑ ทุกครั้ง จึงได้รับแจกหนังสือเป็นรางวัลจนเรียนจบ”

#ช่วงวัยหนุ่ม

หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า “ เมื่อตอนเป็นหนุ่มนั้นท่านเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือโยมบิดา – โยมมารดา ในการทำไร่ ทำนา เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย สานตะกร้า กระบุง หวดนึ่งข้าว รับจ้างถางไร่ (ได้ค่าจ้างเดือนละ ๓ บาท ในสมัยนั้นถือว่าเป็นรายได้มาก) ท่านต้องรับภาระที่หนักอันเนื่องมาจากท่านเป็นบุตรคนโตของครอบครัว”
        
หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า “ ในสมัยก่อนนั้น ท่านเป็นหนุ่มท่านก็เคยไปเที่ยวกันกับหมู่เพื่อน ๆ ตามปะสาคนหนุ่ม ไม่ว่าจะชวนไปสักยันต์ตามแขนตามขา (เรียนถามท่านว่าเจ็บไหมครับหลวงปู่ ท่านตอบว่า “ไม่เจ็บ” ไปเที่ยวเล่นสาว (จีบสาว) จ่ายผญาใส่ผู้สาวกับเพื่อน ๆ ท่านก็เคยไป ท่านบอกว่า “เว้าผญา” สู้ผู้สาว (ผู้หญิง) เขาไม่ได้ ซุ้มผู้หญิงมันเว้าเก่ง”

เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ท่านได้ไปเกณฑ์ทหารแต่ไม่ติด ท่านจึงได้ขออนุญาตโยมบิดา-โยมมารดาไปบวช โดยได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดโยธานิมิต ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๗๘ เวลา ๑๓.๔๗ น. โดยมี พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระครูศาสนูปกรณ์ (หลวงพ่ออ่อนตา เขมฺกโร) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า สุขกาโรภิกขุ (อุปสมบทหลัง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ๑ พรรษา) 

#การศึกษาพระปริยัติธรรม

หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า
   - ท่านสอบได้นักธรรมชั้นตรี ได้ในพรรษาที่ ๑ (พ.ศ.๒๔๗๘)
   - ท่านสอบได้นักธรรมชั้นโท ได้ในพรรษาที่ ๒ (พ.ศ.๒๔๗๙)
   - ท่านสอบได้นักธรรมชั้นเอก ได้ในพรรษาที่ ๗ (พ.ศ.๒๔๘๔)
   - ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมทูต จากอธิบดีกรมการศาสนา (พันเอกปิ่น มุทุกันต์) 

ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ และ พ.ศ. ๒๕๐๘ รับผิดชอบสายที่ ๑ มีขอบเขตรับผิดชอบดังนี้ คือ เลย , หนองคาย , อุดรธานี , สกลนคร , นครพนม , ขอนแก่น , กาฬสินธุ์ , ร้อยเอ็ด , มหาสารคาม , และอุบลราชธานี หลวงปู่ท่านสามารถท่องจำพระปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาที่ ๒ ชึ่งนับว่าท่านเป็นพระภิกษุผู้มีความวิริยะอุตสาหะเป็นเลิศแล้ว นับว่าหาได้ยากยิ่งอีกรูปหนึ่ง

ต่อมาหลวงปู่ได้ออกธุดงค์ไป อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม เพื่อหาที่สัปปายะบำเพ็ญภาวนา และบังเอิญท่านได้พบกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แล้วได้พากันไปภาวนาที่ภูลังกาและออกธุดงค์ด้วยกัน ต่อมาหลวงปู่ได้มีโอกาสกราบนมัสการ พระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ธุดงค์ติดตามไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับหลวงตามหาบัว และเข้าจำพรรษากับพระอาจารย์หลวงปู่มั่น หลังจากที่หลวงปู่อ่อนสาได้บำเพ็ญภาวนาพอสมควรแล้วท่านได้ย้อนกับมายังภาคอีสาน 

#การเข้าไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น

หลวงปู่หลุยเล่าให้ฟังว่า...สมัยที่หลวงปู่มั่น จำพรรษาอยู่ที่วัดหนองผือนาใน มีลูกศิษย์ลูกหา มาจำพรรษาและศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น จำนวนมาก กุฎิแทบไม่มีหลังใดว่าง เพราะทุกคน ไม่ว่า พระหรือโยม ต่างมุ่งตรงไปที่จุด ๆ เดียวคือ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระที่จะเข้าไปจำพรรษาที่วัดหนองผือ ดังกล่าว เมื่อมาถึง จะพากันปักกลดใกล้ ๆ วัดหนองผือ แล้วค่อยเรียบเคียงมาที่วัดหนองผือ เมื่อได้โอกาสแล้ว จะกราบเรียนขออนุญาตหลวงปู่มั่นเสียก่อน เมื่อหลวงปู่มั่นอนุญาตแล้ว จึงจะไปเอากลดและเครื่องใช้ เข้ามาจำพรรษาหรือพักที่วัดหนองผือได้

หลวงปู่หลุยเล่าว่า มีแต่ท่านอ่อนสาองค์เดียวนี่แหละ ที่อยากมาก็มา เดินแบกบาตรแบกกลดมาวางกลางศาลาแล้วก้มกราบหลวงปู่มั่น พร้อมเรียนถามว่า จะให้พักที่กุฎิหลังไหน ซึ่งหลวงปู่มั่นท่านก็เมตตา หาที่พักให้ทุกครั้ง เวลาจะไป ก็แบกกลดและบาตร มาลาไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าแต่ประการใด หากเป็นองค์อื่น คงได้ฟังเทศน์หลายกัณฑ์ หลวงปู่มั่น ท่านเมตตาท่านอ่อนสา มากจริง ๆ หลวงปู่อ่อนสา อยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าหนองผือรวม ๕ พรรษา

#หลวงปู่อ่อนสา_กับ_ผีกองกอย

โดยปกติวิสัยแล้ว หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร จะไม่ให้ลูกศิษย์ลูกหาเชื่อในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อาทิเช่น เรื่อง พญานาค หากต่อหน้าคนจำนวนมาก มีคนถามท่านว่า พญานาคมีจริงหรือไม่ บั้งไปพญานาค
มีจริงหรือไม่ ท่านจะเลี่ยงไม่ตอบ แต่อยู่ลับหลังคนหมู่มาก ท่านตอบว่า พญานาคมีจริง ท่านเคยกราบเรียนถามหลวงปู่มั่น และหลวงปู่มั่นก็ยืนยันว่า พญานาคมีจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงปู่มั่นยืนยัน เช่น นรก สวรรค์ มีจริง ต้องเป็นความจริงเสมอ เป็นอย่างอื่นไม่ได้

หลวงปู่อ่อนสา เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อท่านธุดงค์ไปแถวภาคกลาง คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านปักกลดและอยู่ในมุ้งกลดตามลำพัง ท่านสังเกตุว่า มีดวงตาคู่หนึง จับจ้องท่านอยู่

หลวงปู่กำหนดจิต จ่อไปที่ดวงจิตของดวงตาคู่นั้น เสียงหล่นตกจากต้นยางใหญ่ดัง "บึบ"

ครั้นพอสว่าง หลวงปู่ก็เดินไปตรงจุดที่คิดว่า เป็นเสียงวัตถุตกหล่นลงมา ท่านเห็นขนสัตว์หยิบมือหนึ่ง เป็นขนสีขาว ๆ คล้ายขนของชะนี

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า นี่คือ ผีกองกอย เพราะตอนมา เขาจะร้องเสียง ก๋อย ก๋อย เห็นด้วยตาเนื้อว่า มีรูปร่าง โตกว่าชะนี มีขนสีขาวออกเหลือง แต่เป็นสัตว์ที่ฉลาด คือ เวลาเดินลงจากต้นไม้ จะเดินถอยหลังลงและจะเดินถอยหลังเรื่อยมาที่กลดซึ่งท่านปักอยู่

เขามาขออาหารที่หลวงปู่ฉันเหลือ หรือ เศษอาหารที่พระภิกษุทิ้งไว้ เขาไม่ได้เป็นผี หรือ วิญญาณใด แต่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่ไปเรียกเขาว่า เป็นผีนั้น ก็ด้วยความฉลาดของเขาเอง เพราะหากไม่ทราบพฤติกรรมการเดิน เข้าออกของเขาแล้ว จะหลงคิดว่า หากปลายนิ้วเท้าหันไปทางใด จะเดินไปทางนั้น เป็นความคิดที่ผิด กล่าวคือ ถูกผีหลอกแล้ว ประกอบกับมีนิยายปรำปราว่าด้วย ผีกองกอย เป็นสัตว์ที่ชอบกินเลือด เสียงร้องที่โหนหวยชวนขนลุกในบรรยากาศมืดครื้มของป่าด้วยแล้ว ทำให้เกิดความกลัว และสติแตกมามากต่อมาก

#กรรมประมาทพระอรหันต์

"ในคราหนึ่งมีลูกศิษย์ทางภาคกลางได้นิมนต์หลวงปู่อ่อนสาไปทำบุญที่บ้านของเขาแถวภาคกลาง ในงานนี้เขาได้พระสงฆ์มาหลายรูป
ในคราวนั้นหลวงปู่อ่อนสาได้เดินทางไปถึงบ้านของโยมคนนั้นเป็นองค์แรก หลวงปู่ขึ้นไปนั่งบนอาสนะแรก เพราะท่านรู้ว่าพระที่นิมนต์มานั้น หลวงปู่ท่านมีพรรษาสูงสุด 

หลวงปู่อ่อนสา ท่านนั่งพักผ่อนได้ระยะหนึ่งพระในพื้นที่ ที่เขานิมนต์มาในงานนี้ก็มากันครบ และหนึ่งในนั้น ชื่อว่าหลวงพ่อพรหม เป็นพระที่มีชื่อเสียงมากในพื้นที่เขตนั้น
พระทุกองค์ก็เข้านั่งในอาสนะที่เขาเตรียมไว้ให้แต่เว้นไว้คือ อาสนะรอง เพื่อให้หลวงพ่อพรหมนั่ง แต่ปรากฏว่า หลวงพ่อพรหมนั้นไม่ยอมนั่ง กลับไปยืนจ้องหน้าหลวงปู่อ่อนสาอยู่ไม่ละวางสายตา แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร หลวงพ่อพรหมยืนอยู่ระยะหนึ่ง
เมื่อหลวงปู่เห็นเช่นนั้น ท่านจึงเกิดความรำคาญ หลวงปู่จึงลุกขึ้นแล้วลงมานั่งที่ อาสนะรอง แล้วหลวงพ่อพรหม ก็ได้ไปนั่งอาสนะแรก สมดังตั้งใจ

เมื่อพระสงฆ์ได้เจริญพระพุทธมนต์อยู่นั้น ปรากฏว่าหลวงพ่อพรหมได้เกิดอาการ ไอ และ สำลักเป็นเลือดออกมา แล้วก็เป็นลมสลบไป ทางญาติโยมเขาก็นำส่งโรงพยาบาล แล้วหลวงปู่ก็นำเจริญพุทธมนต์ต่อจนเรียบร้อย จนงานเสร็จสิ้น
ประมาณตอนบ่ายโมง หลวงปู่จะเดินทางกลับอุดร ท่านก็ทราบว่าหลวงพ่อพรหมนั้น ได้ออกจากโรงพยาบาลมาพักรักษาตัวที่วัดของท่านแล้ว หลวงปู่จึงมีดำริที่อยากจะไปเยี่ยมหลวงพ่อพรหมบ้าง ท่านจึงให้คนขับรถพาไปที่วัดของหลวงพ่อพรหม
พอรถไปถึงวัด โดยหลวงปู่อ่อนสายังไม่ทันลงจากรถ หลวงพ่อพรหมได้วิ่งลงมาจากกุฏิของท่านมาที่รถหลวงปู่ แล้วกราบแทบเท้าขอขมาโทษอันได้ล่วงเกินหลวงปู่ตอนที่ไปเจริญพระพุทธมนต์ในหมู่บ้าน
หลวงพ่อพรหม นิมนต์หลวงปู่ขึ้นไปบนกุฏิ แล้วจัดหาน้ำท่ามาต้อนรับตามธรรมเนียมเป็นอย่างดี 

หลวงปู่กล่าวว่าท่านมิได้ถือโทษโกรธเคืองหลวงพ่อพรหมแต่ประการใด หากแต่พระวินัยนั้นเป็นสิ่งต้องรักษา แล้วท่านก็กล่าวอะไรอีกนิดหน่อย แล้วหลวงปู่ก็ขอตัวเดินทางกลับวัดทางอุดรธานี
สองสามวันต่อมาหลวงปู่ได้ข่าวว่าหลวงพ่อพรหมนั้น ได้มรณภาพเสียแล้ว แล้วมีลูกศิษย์มาเล่าให้ฟังว่า ก่อนหลวงพ่อพรหมจะสิ้นลมนั้น ได้สั่งเสียว่า

"กรรมของเราคือกรรมได้ประมาทพระอรหันต์ หลวงปู่อ่อนสาท่านเป็นพระอรหันต์นะพวกเธอทั้งหลายจงอย่าไปประมาทท่านหรือพระอรหันต์องค์อื่นๆ เพราะมันเป็นกรรมหนัก หากเราผู้เป็นอาจารย์ของพวกเธอทั้งหลายสิ้นแล้ว ให้พากันไปพึ่งหลวงปู่อ่อนสานะ" หลังจากนั้น หลวงพ่อพรหมก็สิ้นลม มรณภาพไป

**หมายเหตุ หลวงพ่อพรหมองค์นี้ ในหนังสือมิได้กล่าวว่าเป็น พระสงฆ์องค์ใด อยู่แห่งหนตำบลไหน หากแต่กล่าวว่าอยู่ภาคกลาง และผู้เขียน มิได้หมายเพื่อลบหลู่ดูหมิ่นท่านแต่ประการใด หากแต่เพื่อถ่ายทอดให้เป็นคติเตือนใจแก่ผู้ต้องการธรรมะเท่านั้น หรือหากได้ล่วงเกินท่านเหล่านั้นไป ก็ขมาโทษไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย (คัดลอกจากหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร)

#ชีวิตในร่มผ้ากาสาวพัตร

พรรษาที่ ๑-๓ (พ.ศ.๒๔๗๘- ๒๔๘๐)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดโยธานิตร อ.เมือง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๔-๕ (พ.ศ.๒๔๘๑- ๒๔๘๒)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๘๓)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดบ้านช้าง อ.เมือง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๗-๘ (พ.ศ. ๒๔๘๔ - ๒๔๘๕)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดบ้านโพนสูง หมู่ ๑ ต.โพนสูง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๙ (พ.ศ. ๒๔๘๖)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดโยธานิตร อ.เมือง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๔๘๗)
- ท่านได้จำพรรษาที่ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

พรรษาที่ ๑๑-๑๔ (พ.ศ. ๒๔๘๘ – ๒๔๙๒)
- ท่านได้ร่วมจำพรรษา กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร (๕ พรรษา) เมื่อท่านพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ละสังขารลงแล้ว หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร พร้อมคณะสงฆ์ ศิษย์ผู้ใหญ่หลวงปู่มั่น และญาติโยมได้อยู่ช่วยงานศพท่านพระอาจารย์มั่น จนเสร็จสิ้นภารกิจ ณ วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร จนเสร็จสิ้นภารกิจ แล้วหลวงปู่ท่านจึงได้แยกย้ายไปธุดงค์ต่อไป

พรรษาที่ ๑๖ (พ.ศ. ๒๔๙๓ )
- ท่านได้จำพรรษากับท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ที่วัดป่าบ้านนากู่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๔๙๔ )
- หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ได้มอบหมายให้หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ไปจำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพร บ้านนาหัวช้าง ต.พรรณนานิคม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร แทนองค์ท่านในพรรษานั้น เพราะองค์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านจะขึ้นไปจำพรรษาที่ถ้ำขาม ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร จึงให้หลวงปู่จำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพรแทน

พรรษาที่ ๑๘ (พ.ศ. ๒๔๙๕)
- ท่านได้จำพรรษากับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และหลวงปู่สุบิน ที่ป่าช้าแห่งหนึ่งใน อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

พรรษาที่ ๑๙ (พ.ศ. ๒๔๙๖)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดบ้านเหล่าหนองขุ่น อ.เมือง จ.อุดรธานี 

พรรษาที่ ๒๐-๒๗ (พ.ศ. ๒๔๙๗-๒๕๐๕)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดป่าเวฬุวันวนาราม หมู่ที่ ๔ บ้านข้าวสาร ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๒๘-๔๓ (พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๒๐)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดป่าสีทน บ้านหนองตูม ต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๔๔-๖๒ (พ.ศ. ๒๕๒๑- ปัจจุบัน)
- ท่านได้จำพรรษาที่วัดประชาชุมพลพัฒนาราม บ้านหนองใหญ่ ต.บ้านจั่น อ.เมือง จ.อุดรธานี  

#พระผู้รักสันโดษ

หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร เป็นพระที่มีจิตใจมั่นคง เด็ดเดี่ยว ท่านชอบอยู่ตามลำพัง หากมีหมู่คณะร่วมธุดงค์เกินกว่า ๓-๔ รูป หลวงปู่จะปลีกวิเวกไปแต่เพียงลำพัง หลวงปู่เป็นพระที่มีเมตตาสูงมา ท่านสงเคราะห์คนทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกชั้นวรรณ แต่สำหรับพระสงฆ์แล้ว ท่านจะเข้มงวดเป็นพิเศษ เพราะต่อไป จะต้องออกไปเป็นแบบอย่างให้กับญาติโยม
ด้วยจริตที่ไม่ชอบคลุกคลีกับหมู่คณะ อันเป็นที่ประจักษ์ในวงศิษยานุศิษย์สายพ่อแม่ครูจารย์มั่น ภูริทัตโต ประกอบกับองค์หลวงปู่ก็ไม่ชอบพูด คือ ไม่ช่างสนทนา ประวัติของหลวงปู่จึงหาอ่านได้ยากลำบากนัก ต้องอ้างอิงไปหาหนังสือประวัติพ่อแม่ครูจารย์องค์อื่นที่กล่าวถึง หลวงปู่อ่อนสา

หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร เป็นผู้ก่อตั้งวัดประชาชุมพลพัฒนาราม หรือวัดหนองใหญ่ ตั้งแต่ครั้งที่บ้านหนองใหญ่ยังเป็นเพียงหมู่บ้านชุมชนเล็ก ๆ ท้ายสุดท่านได้มาจำพรรษา ณ วัดประชาชุมพลพัฒนาราม บ้านหนองใหญ่ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี อันเป็นแผ่นดินเกิดของท่าน 
    
#อาการอาพาธและกาลละสังขาร

พระนครินทร์ ปริมุตโต พระอุปัฏฐาก ได้เล่าว่า หลวงปู่มีอาการอาพาตหนักตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ โดยมีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ และเข้ารับการผ่าตัดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ ที่โรงพยาบาลเอกอุดร จ.อุดรธานี หลังจากเข้ารับการผ่าตัดหลวงปู่ก็มีอาการอัมพาตไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งท่านได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกอุดรตลอดในระยะเวลา ๒-๓ ปี หลังการผ่าตัด จากนั้นจึงย้ายมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคมได้ประมาณ ๑ ปี เศษ แต่อาการไม่ดีขึ้น 

พระนครินทร์ กล่าวต่อว่า คณะลูกศิษย์และญาติของหลวงปู่ได้ทำการปรึกษาหารือกันกับแพทย์ว่า ระยะเวลาที่รักษาตัวหลวงปู่รักษามานานแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น ซึ่งอาจจะละสังขารที่โรงพยาบาล 

คณะลูกศิษย์และญาติจึงได้มีความเห็นตรงกันว่าอยากจะให้หลวงปู่ละสังขารที่ วัดประชาชุมพลพัฒนาราม จึงได้นำตัวหลวงปู่กลับมายังวัดเพื่อละสังขาร และ เมื่อเวลา ๑๖.๑๗ น. ของวันพุธที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร หลวงปู่ก็ได้ละสังขาร สิริอายุรวมได้ ๙๕ ปี ๒๖ วัน พรรษา ๗๕ 

"..การที่มาขอธรรมะนโยบายปฏิบัตินั้น..ในสมัยพระอาจารย์ใหญ่ท่านก็ให้ ถ้าได้มาขอท่านก็บอกอุบาย อันแยบคายให้ แต่นั่นก็เป็นธรรมะท่ออกมาจากจิตใจของท่าน มันยังไม่ใช่ธรรมะที่ออกจากจิตใจเรา โดยแท้..แม้จะเอาของดีไปก็ไม่สามารถรักษาให้อยู่กับตัวได้ บางทีขอไปวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมวางไว้ที่ไหน ก็ไม่รู้นะ..! ก็ไม่ใช่ของเรานั่นเอง ถ้าเป็นของเราแล้วจะอยู่กับเราตลอด จำได้แม่นยำ เราตื่นก็มีอยู่ เราหลับก็มีอยู่เราตายไป ธรรมนั้นก็ตามไปกับจิตเราด้วยเสมอ..ก็เหมือนกับสภาวะปัจจุบัน ไหนใคร ลองบอกมาหน่อยซิว่า วันนี้เป็นโชคของเรา..ไม่มีใข่ไหม?..ถ้าเป็นของเราละก็ มันต้องอยู่กับเรา ตลอดไป ถ้ากลางวันก็ต้องอยู่อย่างนี้ จะมืดค่ำไม่ได้ต้องอยู่กับเรา ฉะนั้นธรรมะก็เช่นนั้..ทุกวันนี้พวกเราชาวพุทธนักปฏิบัติเขาว่าอย่างนั้นนะ เที่ยววิ่งขอธรรมะแต่ไม่ ยอมปฏิบัติเลยสักที เหลาะ ๆ ..แหละๆ เดี๋ยวน้ำ เดี๋ยวแห้งไม่เอาจริงสักที...ระวังเน้อ.สะสมธรรมะมาก ไม่ดี พุงจะแตกเอา..! ต้องนำออกมาระบาย คือการพิจารณาแยกเหตุแยกผล ของธรรมะบ้าง เราเรียก ว่า..วิปัสสนาก็ได้..เอาลองดูซิ ความจริงธรรมะนั้นไม่มีใครเขาให้มากหรอก มันจะฟุ้งซ่าน บางทีเกิดลังเลสงสัย..ต้องแสดงเลย ความลังเลจึงจะหมด แล้วจะคลายสงสัยได้เด็ดขาดเลย..."

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร วัดประชาชุมพล อ.เมือง จ.อุดรธานี

--------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco