ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่หา สุภโร วัดสักกะวัน(ภูกุ้มข้าว) อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธ์
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่หา สุภโร ๏
วันนี้วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๙๙ ปี ชาตกาล หลวงปู่หา สุภโร หรือหลวงปู่ไดโนเสาร์ วัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว) อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ พระญาณวิสาลเถร หรือหลวงปู่หา สุภโร มีนามเดิมว่า หา เกิดในสกุล ภูบุตตะ เมื่อขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีฉลู ตรงกับวัน ศุกร์ที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ที่บ้านนาเชือก ตำบลเวอ (ปัจจุบันเป็นตำบลนาเชือก) อ.ยางตลาด(ปัจจุบันเป็นอำเภอเมือง) จังหวัดกาฬสินธ์ โยมบิดาชื่อ คุณปู่ สอ ภูบุตตะ โยมมารดาชื่อ คุณย่า บัวลา ภูบุตตะ มีพี่น้องรวมกัน ๗ ท่าน
ท่านถือกำเนิดในตระกูล คหบดี ในหมู่บ้านนาเชือก ซึ่งอพยพมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มีฝูงวัวกว่า ๒๐๐ ตัว มีที่นากว่า ๓๐๐ ไร่ โยมแม่เลี้ยงหม่อนกว่า ๑๐๐ กระด้ง ซึ่งถือว่ารวยที่สุดในแถบนั้น
เมื่อท่านเป็นฆาราวาส ท่านช่วยพ่อแม่ทำงาน ทุกอย่างและที่สำคัญท่านเป็นนักมวย แต่ด้วยโยมพ่อท่านไม่ชอบที่ท่านเป็นนักมวยจึงยื่นคำขาดให้ท่านเลิกเป็นนักมวย ท่านจึงเบื่อหน่ายการครองเพศฆราวาส
ท่านบรรพชา เมื่ออายุ ๑๙ ปี ที่วัดสุวรรณชัยศรี (ปัจจุบันนี้เป็นท่านาชาวบ้าน ในตำบลท่าเรือ อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์) โดยมีหลวงปู่ลือ เป็นอุปัชฌาย์
ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๐ ปี ที่อุโบสถหลังเดิมและอุปัชฌาย์ องค์เดิม แต่เนื่องด้วย แต่ก่อนคณะธรรมยุติและคณะมหานิกาย ยังไม่แยกกันอย่างเป็นทางการและคณะสงฆ์ในสมัยนั้นยังทำสังฆกรรมร่วมกันอยู่ การอุปสมบทของท่านจึงเป็นการรวมสองนิกาย คือพระอุปัชฌาย์เป็นคณะมหานิกาย ส่วน พระกรรมวาจารย์ พระอุสาวนาจารย์เป็นธรรมยุติกนิกาย เมื่อท่านอุปสมบทแล้วจึงมีคำสั่งให้แยกคณะกันชัดเจนและแยกกันทำสังฆกรรม เป็นปัญหาที่หลวงปู่เพราะพระอาจารย์ท่าน(พระครูประสิทธิ์สมณญาณ)เป็นคณะธรรมยุติแต่พระอุปัชฌาย์ท่าน(หลวงปู่ลือ)เป็นคณะมหานิกาย ท่านจึงต้องญัตติเป็นคณะธรรมยุติอีกครั้งหนึ่ง
ท่านญัตติเป็นภิกษุธรรมยุติกนิกาย ที่พัทธสีมาวัดสุวรรณชัยศรี ตำบลเว่อ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อ วันที่ ๒๑ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. โดยมีพระครูประสิทธิ์สมณญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่อ่อน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่สุข เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า "สุภโร" แปลว่า "บรรพชิตผู้เลี้ยงง่าย"
เมื่อท่านยังเป็นนวกะ(ผู้บวชใหม่) ได้จำพรรษาที่วัดสุวรรณชัยศรี จนสอบไล่นักธรรมตรี โท เอกได้ และได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่วัดนรนาถสุทริการาม ได้มีโอกาสอุปฐากท่านเจ้าประคุณสมเด็จมหามุนีวงศ์(สนั่น จนฺทปชฺโชโต) ด้วยนิสัยใฝ่เรียนรู้ของท่าน ท่านจะเรียนบาลีประจำทุกวัน เมื่อเว้นว่างจากการเรียนบาลีแล้ว ท่านก็จะเดินทางด้วยเท้าเปล่า เพือ่ไปเรียนกรรมฐานจาก พระครูญาณวิริยะ วัดป่าสะแก เขตพระโขนง ปัจจุบันคือ พระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินธโร) วัดธรรมมงคล และพระสุทธิธรรมรังสี (ลี ธมฺมธโร) วัดอโศกการาม สมุทรปราการ แต่ด้วยท่านเริ่มมีอาการดีซ่าน การเรียนการสอนทั้งปริยัติและปฏิบัติจึงได้ถูกยับยั้งไว้และเมื่ออาการมากขึ้นจนต้องไปนอนพักที่โรงพยาบาลสงฆ์ ถึง ๓ เดือน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ท่านจึงทอดอาลัยในชีวิต ตั้งปารถนาขอใช้ชีวิตที่เหลือรับใช้การพระศาสนาสมเป็นผู้อุทิศตนต่อชาวโลกแล้ว จึงเดินทางกลับมาที่บ้านเกิด
ในขณะนั้นท่านก็ได้รับการรักษาจากหมอพื้นบ้านและการอบรมทางใจ ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานเข้าช่วยเหลือ จึงเป็นผลให้อาการของโรคทุเลาลงจนหายขาดในที่สุด เมื่อหายเป็นปกติแล้วท่านจึงออกเที่ยวปฏิบัติรุกขมูล หาความวิเวกทางกายและใจ ออกธุดงค์ไปยังภาคต่างๆในประเทศไทยและข้ามไปยังฝั่งลาว เข้ากัมพูชา จนเห็นผลทางจิตอันแน่นอนแล้วจึงกลับมาช่วยงานการพระศาสนา
ในขณะที่ท่านออก ธุดงค์กรรมฐานนั้น ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์พอประมวลได้ดังนี้ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิตฺโต , พระสุทธิธรรมรังสี (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) หลวงปู้วิริยังค์ สิรินธโร เป็นต้น
ประวัติการพบวิญญาณไดโนเสาร์ด้วยวิถีญาณสมาธิ
ในขณะที่หลวงปู่หา สุภโร ท่านกำลังดำเนินการก่อสร้างวัดสั่งสอนผู้คนพุทธศาสนิกชน สอนปริยัติธรรมแก่พระภิกษุ-สามเณรบริหารการปกครองคณะสงฆ์อยู่นั้นท่านก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติในทางการอบรมจิตทำสมาธิภาวนา เมื่อมีเวลาว่างท่านจะขึ้นบนยอดภูกุ้มข้าวกางกลดนั่งสมาธิครั้งละ ๑๕ วัน โดยไม่ฉันอาหารไม่เข้าห้องน้ำ อบรมจิตใจตนเองอย่างนี้โดยวิธีนี้เรียกว่าการเข้า “ปฏิสลี”มีเพียงบางวันที่สามเณรจะเอายาต้มไปส่งแต่ถ้าเห็นหลังปู่ไม่เปิดกลดก็จะกลับลงมาโดยไม่ได้ถวายยาต้มนั้น
ในบางปีท่านฉันภัตตาหารเพียงวันเข้าพรรษาและวันออกพรรษาเท่านั้น ประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านได้พบนิมิตโอภาส คือพบแสงสว่างที่ใสมากเป็นแสงที่ท่านไม่เคยพบในโลกนี้สว่างไปทั่วโลกธาตุ สว่างทั้งจักรวาล มองทะลุภูเขา มองทะลุต้นไม้มองเห็นทุกอย่างอยากเห็นสิ่งใดก็เห็นไปหมด แล้วก็ปรากฏสัตว์ชนิดหนึ่ง คอยาว ตัวใหญ่กว่าช้างเท้าใหญ่เท่ากระบุง เดินไปเดินมาในบริเวณภูกุ้มข้าว กินยอดไม้ เล่นน้ำ และล้มลงตายขณะที่เห็นมีลักษณะเป็นเหมือนฟีมล์หนังกลางแปลงในสมัยก่อนพอสัตว์นั้นตายลงก็หมดม้วนพอดี เป็นอย่างนี้อยู่ ๒-๓ครั้ง
ในปี พ.ศ.๒๕๓๖ และปี พ.ศ.๒๕๓๗ ก็มีลักษณะเดียวกัน ครั้งสุดท้าย พอเห็นจบแล้วก็มีเสียงมาบอกว่า จะมาขออยู่ด้วยเตรียมตัวไว้พรุ่งนี้จะมีฝนมาจากทิศอุดรห่าใหญ่ผมจะมากับฝน ครั้งล่าสุดท่านเข้าปฏิสลีได้เพียง ๓ วันเท่านั้น ท่านจึงเก็บบาตรและกลดลงจากยอดเขาสั่งให้พระเณรเก็บสิ่งของไปไว้บนกุฏิเวลาประมาณเที่ยงวันฝนก็เริ่มตั้งเคาและตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาหลวงปู่หา สุภโร ท่านได้กางร่มเดินออกมาตรวจบริเวณวัดขณะฝนตก ร่มที่กางโดนลมพัดจนหักและปลิวไปกับลมเหลือเพียงด้ามร่มเท่านั้น บริเวณทั้งหมดมืดไปหมดมองสิ่งใดไม่เห็นท่านจึงนั่งลงตรงที่เห็นสัตว์นั้นตายในนิมิต ฝนตกกว่า ๓ ชั่วโมงจึงเริ่มซา และหายไปในที่สุด จากฟ้าที่มืดก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นมาแผ่นดินที่เคยสูงโดนน้ำเซาะจนเห็นเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ หลายสิบชิ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณที่ท่านนั่ง ท่านก็สั่งให้คนเก็บกระดูกนั้นไว้และส่งข่าวไปยังนายอำเภอเพื่อมาตรวจสอบ ทางอำเภอจึงส่งข่าวไปยังศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เจ้าหน้าที่ก็ได้มาตรวจสอบปรากฏว่าเป็นไดโนเสาร์พันธ์กินพืชที่ใหญ่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมา (ภายหลังให้ชื่อว่า อีสานโนซอรัสสิรินธรเน่)
ต่อมามีการแจ้งว่าจะมีการจะขอทำการขุดค้นเพิ่มเติมจึงกราบเรียนถามองค์หลวงปู่เพื่อชี้จุดที่เห็นในนิมิตเพิ่มเติมท่านจึงได้ชี้ใต้ต้นไม้ทางทิศเหนือของวัดก็พบฟอสซิลไดโนเสาร์อีกหลายตัว(ปัจจุบันคือ“อาคารหลุมขุดค้นไดโนเสาร์พระญาณวิสาลเถร” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ค้นพบครั้งแรก)อีกทั้งยังมีการรวบรวมฟอสซิลไดโนเสาร์จากทั่วสาระทิศมารวมที่วัดสักกะวันและก่อสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสัตว์โลกล้านปีได้รับพระราชทานนามว่า“พิพิธภัณฑ์สิรินธร”
คณะศิษย์ยานุศิษย์ ลูกหลาน จึงถวายฉายานามหลวงปู่ว่า“หลวงปู่ไดโนเสาร์” (แต่เดิมท่านชื่อพระหา ภายหลังได้รับถวายตำแหน่งพระฐานานุกรมในตำแหน่งพระสมุห์ชาวบ้านจึงให้ชื่อว่าพระอาจารย์สมุห์หาภายหลังเมื่อมีการถวายสัญญาบัตรพัดยศเป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูวิจิตรสหัสคุณชาวบ้านก็เรียกหลวงตาวิจิตร เมื่อท่านค้นพบไดโนเสาร์ชาวบ้านจึงนิยมเรียกท่านว่าหลวงตาวัดไดโนเสาร์ เมื่อเรียกบ่อยๆจึงเหลือแต่หลวงตากับไดโนเสาร์ แต่คณะศิษย์ในภายหลังไม่อาจเรียกท่านว่าหลวงตาได้(เพราะคำว่าหลวงตาคือคนที่มีครอบครัวแล้วมาอุปสมบท)จึงเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์จวบจนปัจจุบัน)
ปัจจุบัน องค์หลวงปู่หา สุภโร มีอายุ ๙๘ ปี ยังดำเนินสมณธรรม โปรดศิษยานุศิษย์อยู่มิได้ขาด
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
กราบขอบพระคุณข้อมูลจาก FB พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น