หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด บรรลุธรรม


การบรรลุธรรมและลาขันธ์ ของหลวงปู่ศรี มหาวีโร

ท่านสละชีวิต ไม่หวั่นความตาย

ความเป็นไปในช่วงวิกฤตนั้นปรากฏความอยู่ในหนังสือ หลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้มากด้วยบารมี ว่า “พิจารณาอวิชชาซึ่งเป็นเชื้อของใจให้พาเกิดพาตายวุ่นวายอยู่ไม่หยุดหย่อน พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลัง ข้างบนข้างล่าง ตั้งแต่ต้นจนรอบจิต ด้วยอาศัยสติปัญญาอันแหลมคมปราดเปรียวว่องไวกระฉับกระเฉง คอยทะลุทะลวงกิเลสซึ่งเป็นเสี้ยนหนามคอยทิ่มแทงจิตไม่รู้จบสิ้น

พิจารณาตั้งแต่เช้ายันดึก ตั้งแต่ดึกยันค่ำ จะกี่วันกี่เวลาไม่สนใจในข้าวปลาอาหารมากกว่าการได้คว่ำกิเลสตัวหลอกลวง อันเป็นวัฏจักรวัฏจิตซึ่งทำให้เจ็บแค้นฝังลึกบาดใจมาช้านานหาประมาณมิได้ กำลังกายและใจมีเท่าใด ความเพียรกล้ามีเท่าใดทุ่มลงไปจนหมด ตะลุมบอนกับข้าศึกสงคราม ภายในที่ยังมีเชื้อไฟคือ อวิชชา ถึงจะทุกข์ทรมานแสนสาหัสอย่างไรก็ตามก็ไม่ลดละการพิจารณาระหว่างอวิชชากับใจ เพื่อให้ปรากฏความจริงคือ อริยสัจธรรม อันไม่มีธุลี คือ กิเลสปลอมปน

ในที่สุดก็มายุติตรงที่ว่า อวิชชาดับ เกิดญาณหยั่งทราบแน่ชัดว่า จิตหมดการก่อกำเนิดในภพต่างๆ อย่างประจักษ์ใจ โลกธาตุหวั่นไหว ธาตุ 4 ขันธ์ 5 ต่างอันต่างเป็นอิสระ อินทรีย์ 5 อายตนะ 6 ทำงานตามหน้าที่ของตน ไม่กระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์เหมือนดังแต่ก่อน ดับทุกข์ที่เผาลนจิตใจมาช้านานด้วยประการทั้งปวง เหลือแต่ดวงจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ ...ถึงความเป็นอัตตมโนภิกขุ คือ ภิกษุผู้มีใจเป็นของตน ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอะไรอีกต่อไป”

หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเกิดในตระกูล “ปักกะสีนัง” เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 3 พ.ค. 2461 ณ บ้านขามป้อม ต.ขามป้อม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เป็นบุตรนายอ่อนสี และนางทุมจ้อย ปักกะสีนัง มีพี่น้องรวมกัน 11 คน หลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนสารคามพิทยาคม ปี พ.ศ. 2480 ท่าน‌สอบบรรจุครูได้ เริ่มรับราชการครูในปี พ.ศ. 2481 ‌อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2488 เข้านมัสการฝากตัว‌เป็นศิษย์ใต้ร่มธรรมของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ‌ในพรรษาที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2492 ที่ วัดหนองผือ ‌ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ได้รับการชี้แนะจากหลวงปู่บัวจนบรรลุธรรม‌เมื่อปี พ.ศ. 2506

ก่อตั้งวัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) บ้านศรี‌สมเด็จ ต.โพธิ์ทอง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด เป็น‌ศูนย์กลางโดยมีวัดในสาขาในประเทศไทยถึง 145 ‌สาขา

ท่านได้รับสถาปนาเป็น“พระเทพวิสุทธิมงคล”‌เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2545

ในปีนั้นเองท่านเริ่มเทศนาและพูดจาน้อยลง ‌สัญญาขันธ์และกำลังกายก็เริ่มเสื่อมถอย ไม่‌สามารถควบคุมบังคับได้ตามปกติ

ปลายปี พ.ศ. 2549 เริ่มฉันภัตตาหารได้น้อย‌จนซูบผอม และได้เลิกเคี้ยวหมากตั้งแต่ต้นปี ‌2550 ต่อมาเกิดอาการสำลักจนต้องเข้า‌โรงพยาบาล หลังจากอาการดีขึ้นแล้วองค์ท่านก็‌กลับมาอยู่ที่วัดป่ากุง แต่สุขภาพขององค์ท่านก็‌อ่อนแอลงเรื่อยๆ จนแทบจะไม่พูดคุยอะไรกับพระ‌และญาติโยมผู้ที่คอยอุปัฏฐากอีกเลย

ดึกเวลาประมาณ 4 ทุ่มของช่วงต้นปี พ.ศ. ‌2553 พระอุปัฏฐากได้เคยกราบเรียนถามองค์‌หลวงปู่ว่า

“หิวบ่?”ท่านก็ตอบว่า“บ่”

“หนาวบ่?”ท่านก็ตอบว่า“บ่”

“ล้าบ่?”ท่านก็ตอบว่า“ล้าอยู่ สังขารร่วงโรย‌มันก็ล้าเป็นธรรมดา ต้องล้า”

จากนั้นมาองค์หลวงปู่ก็ไม่ได้สนทนากับใคร‌นานๆ แบบนี้อีกเลย

28 มี.ค. 2554 ท่านต้องเข้ารับการรักษาตัวที่‌โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งด้วยอาการติดเชื้อใน

ปอดทำให้ปอดบวม ปลายเดือน ก.ค. ระบบต่างๆ ‌ในร่างกายเริ่มหยุดการทำงานลง ไม่ว่าจะเป็น‌ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ระบบกรอง

ของเสีย ยกเว้นระบบประสาทการรับรู้และระบบ‌หายใจ ทางคณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์จึงประชุม‌และตกลงที่จะนำองค์ท่านกลับมาที่วัดประชาคม‌วนาราม จ.ร้อยเอ็ด ในวันที่ 27 ก.ค. 2554

เมื่อกลับมายังกุฏิกลางน้ำที่ท่านเคยอยู่จำ‌พรรษามากว่า 40 พรรษา ดูเหมือนอาการของ‌องค์ท่านจะดีขึ้นในระยะแรกๆ แต่ก็กลับทรงและ‌ทรุดลงเรื่อยๆ จนถึงช่วงรุ่งสางของวันที่ 16 ส.ค. ‌ท่านเริ่มแสดงอาการลาขันธ์ ท่านอยู่ในท่านอนหงาย ลมหายใจอ่อนและละเอียดลงไปตามลำดับ จนหายเงียบไปอย่างละเอียดสุขุมในที่สุด ‌พระอุปัฏฐากที่นั่งคอยเฝ้าดูอยู่จึงถอดถ่านนาฬิกา‌ออกเมื่อเวลา 05.34 น. วันที่ 16 ส.ค. 2554 สิริอายุ 93 ปี 
3 เดือน 14 วัน 65 พรรษา

-----
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย

ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่เบา โอภาโส วัดป่ากิตติพรพุทธาราม อ.วังยาว จ.นครพนม