ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันนโน วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) อ.เมือง จ.อุดรธานี

     

   ประวัติและปฏิปทา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน 
     วันนี้วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖​๗ รำลึก ๑๑๑ ปีชาตกาล รำลึกบูชาคุณองค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี 

อมตธรรมวาจา “..เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว… เราตายแล้ว… เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล..”

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านยิ่งใหญ่ด้วยบุญบารมี เป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ชาติและพระพุทธศาสนา เป็นพระของแผ่นดินไทยที่ประวัติศาสตร์ต้องจดจารึกเป็นศักดิ์ศรีและเกียรติยศประดับวงศ์พระพุทธศาสนาอย่างสง่างาม ปฏิปทาและคำสอนของท่านหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก ท่านสามารถทำในเรื่องที่บุคคลอื่นทำได้ยาก เรื่องที่ยากแสนยาก เมื่อท่านดำริ กลับเป็นเรื่องง่ายประดุจพลิกแผ่นดินได้ ท่านคิดทำเรื่องใดไม่ว่าน้อยใหญ่ กิจนั้นสำเร็จราวปาฏิหาริย์ บาทวิถีที่ท่านก้าวย่างผ่านไป นำความสงบสุขและแสงสว่างมาให้แก่สัตวโลกทั้งปวง

◎ ชาติกำเนิด

พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) หรือ หลวงตามหาบัว เดิมมีชื่อว่า "บัว โลหิตดี" ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ณ ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี มีพี่น้องทั้งหมด ๑๖ คน ในวัยเด็กท่านเป็นคนที่เลื่อมใสในศาสนาพุทธ โดยได้ทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ

◎ อุปสมบท

เมื่อท่านอายุครบอุปสมบทแล้ว บิดาและมารดาของท่านปรารถนาให้ท่านบวชด้วยหวังพึ่งใบบุญ แต่ท่านก็ไม่ตอบรับ ทำให้บิดาและมารดาของท่านถึงกับน้ำตาไหล ท่านจึงกลับพิจารณาออกบวชอีกครั้ง ที่สุดจึงตัดสินใจออกบวชโดยท่านกล่าวกับมารดาว่า "เรื่องการบวชจะบวชให้ แต่ว่าใครจะมาบังคับไม่ให้สึกไม่ได้นะ บวชแล้วจะสึกเมื่อไหร่ก็สึก ใครจะมาบังคับว่าต้องเท่านั้นปีเท่านี้เดือนไม่ได้นะ" ซึ่งมารดาก็ตกลงตามที่ท่านขอ

ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ที่วัดโยธานิมิตร ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยได้ฉายานามว่า "ญาณสมฺปนฺโน" แปลว่า "ถึงพร้อมแล้วด้วยญาณ" ท่านมีความเคารพเลื่อมในเรื่องการภาวนา และกรรมฐาน ท่านได้สอบถามวิธีการภาวนาจากพระอุปัชฌาย์ของท่านและได้รับการแนะนำให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ท่านจึงปฏิบัติภาวนาและเดินจงกรมเป็นประจำ

◎ เรียนปริยัติ

ระหว่างนั้นท่านเริ่มเรียนหนังสือทางธรรมและศึกษาเกี่ยวกับพุทธประวัติ รวมทั้งพุทธสาวก โดยหลังจากพุทธสาวกเหล่านั้นได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าแล้วจะเดินทางไปบำเพ็ญในป่าอย่างจริงจังจนสำเร็จอรหันต์ ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสและตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรหัตผลให้ได้ จึงตั้งสัจอธิษฐานว่า เมื่อเรียนจบเปรียญธรรม ๓ ประโยคแล้วจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว

อย่างไรก็ตาม ท่านยังสงสัยว่า ถ้าท่านดำเนินตามแนวทางปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้น จะสามารถบรรลุถึงจุดที่ท่านเหล่านั้นบรรลุหรือไม่ และมรรคผลนิพพานจะมีอยู่เหมือนครั้งพุทธกาลหรือไม่ ความสงสัยเหล่านี้ทำให้ท่านมุ่งหวังได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งท่านเชื่อมั่นว่าท่านอาจารย์มั่น จะสามารถไขปัญหานี้ให้ท่านได้

◎ คำพยากรณ์ จากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ ท่านพระอาจารย์มั่น ได้กล่าวยกย่องและทำนายภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งยังไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน ด้วยอนาคตังสญาณว่า "ในอนาคตอีกไม่นาน จักมีพระหนุ่มรูปหนึ่ง เข้ามาหาเราเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ เธอจะทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา" และต่อมาเป็นที่ทราบกันว่า ภิกษุหนุ่มรูปนั้นคือ "ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน" หลวงตามหาบัว องค์ท่านเล่าว่า "เดิมจริงๆ ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ แต่มาพิจารณาเห็นว่าจะเป็นการเนิ่นช้า จึงถอนความปรารถนานั้นเสีย มุ่งตรงเข้าสู่แดนนิพพานโดยตรง"

◎ เข้าศึกษาอบรมธรรม จากพระบูรพาจารย์ใหญ่สายพระกัมมัฏฐาน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ที่เป็นทั้งพ่อแม่ และครูอาจารย์

ในปี พ.ศ.๒๔๘๕ – ๒๔๙๒ หลวงตามหาบัว ท่านได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น ถึง ๘ ปี ยอมสยบในภูมิจิตภูมิธรรมอันละเอียดอ่อนแยบยลที่ท่านพระอาจารย์มั่น อบรมสั่งสอนถึง ๓ วาระ
วาระที่ ๑ ท่านนั่งสมาธิตลอดรุ่งติดต่อกันหลายวัน จนก้นพุพองแตกน้ำเหลืองไหลเยิ้ม ท่านพระอาจารย์มั่น ให้อุบายว่า "กิเลสไม่ได้อยู่ที่กายนะ มันอยู่ที่ใจ -เหมือนสารถีฝึกม้า ถ้าม้าหายพยศ การฝึกหนักควรลดลง"
วาระที่ ๒ ท่านติดสมาธิอยู่ถึง ๕ ปี จิตสงบแน่วไม่หวั่นไหวดั่งภูผาหิน ท่านพระอาจารย์มั่น ให้อุบายว่า "สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน -สมาธิทั้งแท่ง เป็นสมุยทัยทั้งแท่ง - ให้ออกเดินทางด้านปัญญา"

วาระที่ ๓ ท่านเพลินในการพิจารณาด้านปัญญาทั้งวันทั้งคืนเกินตัว ไม่หลับไม่นอน คิดตำหนิสมาธิว่านอนตายอยู่เฉยๆ ปัญญาต่างหากสามารถแก้กิเลสได้ ท่านพระอาจารย์มั่น ให้อุบายว่า "บ้าหลงสังขาร" คือการพิจารณาเพลินเกินตัว ไม่รู้จักประมาณ - สมุทัยแทรกเข้าในจุดนี้ - ให้พักจิตเข้าสมาธิ เหมือนถอนเสี้ยนหนาม -จากนั้นก็เข้าสู้มหาสติมหาปัญญา กิเลสที่ใดตามต้อนจนหมด

หลวงตามหาบัว ท่านอยู่อุปัฏฐากรับใช้ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จนนิพพานในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ ท่านพระอาจารย์มั่น ไว้วางใจและยกย่องท่านว่า "เป็นผู้ฉลาดทั้งภายนอกภายใน ต่อไปจะเป็นที่พึ่งแก่หมู่คณะได้มาก" ยามที่ท่านพระอาจารย์มั่น นิพพานไป ท่านจึงเป็นแม่ทัพใหญ่ ทดแทนสืบทอดมรดกมรรคปฏิปทาเหมือนยามที่ท่านพระอาจารย์มั่น ยังปรากฎอยู่

◎ สอุปาทิเสสนิพพาน 

ท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตรงกับวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลา ๕ ทุ่มตรง บนหลังเขา วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
จากคำเทศนาธรรมของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน “..บทสุดท้ายที่จะคว่ำวัฏจิตวัฏจักร ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงการเกิดการตายทับถมกันนี้ มายุติในวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปฟ้าดินถล่มที่นั่นละ ฟ้าดินถล่มนี้เราไม่เคยเห็นนะ เพราะเกิดมาก็ไม่เคยคาดเคยหมายว่าสวรรค์เป็นอย่างไร พรหมโลกเป็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร เราก็ไม่เคยรู้เคยเห็น มีแต่คาดแต่หมายไปอย่างนั้น แต่ในคืนวันนั้นพูดให้มันชัดเจนเสีย เป็นอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งเลย วันที่ ๑๕ เดือนพฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละตอนที่ฟ้าดินถล่มถล่มในตอนนั้น พอฟ้าดินถล่มตัวนี้พุ่งขึ้นบนอากาศมันขึ้นไปได้อย่างไร ฟังซิน่ะมาอวดท่านทั้งหลายเหรอ นั่งอยู่ธรรมดานี่ละร่างกายของเรานี้มันพุ่งขึ้นมันขึ้นไปได้อย่างไร เราเองก็อัศจรรย์เองนะพอพุ่งขึ้นไปลงมาแล้วมันสั่นไปหมดในร่างกาย ตัวสั่นเหมือนโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย สว่างจ้าขึ้นมาครอบหลังวัดดอยธรรมเจดีย์

มองไปที่ไหนว่างหมดไม่มีอะไรเหลือเลย โอ้โห เป็นอย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระธรรมแท้ก็คือธรรมชาติ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วนั่นละธรรมแท้ เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นแล้วนะนั่น นั่นละเป็นวาระสุดท้าย ฟ้าดินถล่มวันนั้น จากนั้นมาเรื่องภพเรื่องชาติขาดสะบั้นไปพร้อมๆ กันหมดไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจเลย เป็นในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี นั่นละกิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ สว่างจ้าขึ้นมา อัศจรรย์ตัวเอง ถึงขนาดพูดว่า เหอ..พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ เอ๊..พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร มันเป็นแล้วนะนั่น

แต่ก่อนพอระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะมาพร้อมกันๆ แต่ในขณะใหญ่นี้ผ่านไปแล้วกลายเป็นว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร เป็นอันเดียวกันแล้วธรรมทั้งแท่ง จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน สว่างจ้าเลย นี่ก็อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่ได้ลืมนะ วัดนี้จึงเป็นวัดที่สลักปักลึกในหัวใจเรามากทีเดียว ไปทีไรต้องจ้องอยู่นั่นละ แต่ทุกวันนี้มันขึ้นข้างบนไม่ได้ ก็ไปอยู่ที่ศาลาข้างล่าง แต่ก่อนไปปั๊บขึ้นเลย ไปชมอะไรพูดไม่ถูกละ ชมธรรมอัศจรรย์ของเราที่เป็นในที่เช่นไร มันจะวิ่งเข้าถึงนั้นเลย แต่เวลานี้ขึ้นไม่ได้ มีแต่มองไปด้วยจิตเท่านั้นละ เห็นบุญเห็นคุณวัดดอยธรรมเจดีย์ของเรา

เราได้ปฏิบัติมาก็อย่างนี้ละกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเวลาออกปฏิบัติทีแรกจิตมันดีดมันดิ้น มันฟัดมันเหวี่ยงกับเรานี้ โอ๊ยหัวคว่ำหัวหงายไปเลย ครั้นเอาไปเอามาก็มีกำลังฟัดกันๆต่อไปกิเลสก็หงายเลย พอกิเลสหงายฟ้ากระจ่างขึ้นมาเลยเรียกว่าฟ้าดินถล่มในสถานที่นั่นวัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั่นละวันเปิดโลกธาตุ ภพชาติต่างๆที่เกิดที่ตายมากี่ภพกี่ชาติตายกองกันทั้งเขาทั้งเรา เฉพาะเรื่องธรรมเรื่องความเกิดความตายความทุกข์ความทรมานในวัฏสงสารของเราเองได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วในขณะนั้นอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย

คืนวันนั้นไม่นอนเลย พอนั่งแล้วก็คำนึงถึงความอัศจรรย์ของธรรมพระพุทธเจ้าก็มาอยู่อันเดียวกันเสีย พระธรรมก็เป็นอันเดียวกันเสียพระสงฆ์ก็เป็นอันเดียวกันเสียเลยไม่ปรากฏว่าเป็นสองเป็นสามเหมือนที่เราเคยคิดมาแต่ดั้งเดิมพอมาถึงจุดนั้นแล้วผางทีเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆจากนั้นมาแล้วพระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆพระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นี่เป็นแล้วนะนั่น มันเป็นแล้วอัศจรรย์ตั้งแต่บัดนั้นมา ขาดสะบั้นเรื่องภพเรื่องชาติตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ไม่ได้คิดได้คาดว่าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนเกิดแล้วจะไปตายที่ไหน จะขึ้นจะลงที่ไหน หมดปัญหาโดยประการทั้งปวงพอแล้วอยู่กับคำว่าธรรมธาตุ พอแล้วอยู่กับคำว่านิพพานเที่ยงรวมอยู่นั้นหมด ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่ไหนองค์ไหนก็แบบเดียวกันๆ ถามหาพระพุทธเจ้าองค์ไหนองค์นั้นชื่อว่าอย่างไรองค์นี้ชื่อว่าอย่างไร พระนามของท่านชื่อว่าอย่างไรไม่ถาม

ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้เป็นอันเดียวกันเหมือนกันกับน้ำที่ตกลงมาจากฟ้านั่นละ เมฆก้อนไหนก็ตามลงมาสู่น้ำมหาสมุทรแล้ว เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลยไม่ได้แยกแยะว่าเมฆก้อนหนึ่งเป็นฝนมาจากเกาะไหนดอนใดไม่มีลงนั้นแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด อันนี้พอผางขึ้นมหาวิมุตติมหานิพพานแล้วเป็นอันเดียวกันหมด ถามที่ไหนเมฆก้อนไหนตกลงมาก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เมฆหมายถึงธรรมก้อนไหนตกเข้ามาในหัวใจเราจากความเพียรของเราก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานไปตามๆ กันหมด หายสงสัยตั้งแต่บัดนั้นมาหายสงสัยแล้ว การเกิดการตายเราจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการเกิดการตายของเรา เราพูดจริงๆ เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเสีย หมดเรื่องภพเรื่องชาติล้างป่าช้าในชาตินี้ล้างหมดเรียบร้อยไม่มีเหลือ ก็จะมีตั้งแต่เวลาเราตายนี้เขาจะเอาศพของเราไปให้ไฟเผาเท่านั้นเอง ข้อแม้อันหนึ่งนั้นคือว่าพินัยกรรมของเราได้ประกาศไว้แล้วตั้งแต่เรายังไม่ตายนี่เวลาเราตายบรรดาญาติโยมลูกศิษย์ลูกหาทางใกล้ทางไกลที่นับถือพุทธศาสนา เวลาเราตายนี้ ต่างคนก็ต่างจะเอาสมบัติเงินทองเข้ามาอนุโมทนา มันทนไม่ไหวแล้วจะต้องตายก็ต้องยอมรับ ปัจจัยทั้งหลายก็มาทุ่มให้เราๆ ศพเมรุเน่าๆ นั้นแหละ

พอเขาถวายหมดแล้วเราก็มีพินัยกรรมของเราอีก นี่เวลาเราตายนี้แล้วท่านผู้ใดที่มีศรัทธาความเคารพเลื่อมใสต่อเรา เห็นว่าสุดวิสัยแล้วต่างก็เอาจตุปัจจัยไทยทานมาบริจาค ทีนี้จตุปัจจัยไทยทานที่มาบริจาคเรามีพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว เวลาเราตายพินัยกรรมของเราบอกว่า สมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคทานเพื่อเผาศพของเรานี้ สมบัติเหล่านี้เราตั้งกรรมการรับผิดชอบไว้หมดเลย พอเสร็จเรียบร้อยแล้วจะยกเงินทองทั้งหมดนี้เอาไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง ตัวเราเองจะเผาด้วยไฟเท่านั้น หายห่วงไปเลย ลบป่าช้าความเกิดแก่เจ็บตายไปหมด นรกสวรรค์ชั้นไหน พรหมโลกอยู่ชั้นไหนลบหมดไม่มีอะไรเหลือ หากประจักษ์ในหัวใจนี้เอง เหลือตั้งแต่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เหลือเท่านั้นละ คำว่านิพฺพานํ คือธรรมธาตุ จิตเป็นธรรมธาตุ จิตเป็นธาตุ ธาตุเป็นจิต เรียกว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว หาอะไรอีก หมดโดยสิ้นเชิง นี่ละการปฏิบัติมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายก็มาเป็นในคืนวันนั้นละ เป็นที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นี่ละกิเลสได้ขาดสะบั้นลงจากใจ

ตั้งแต่บัดนั้นมา เราจึงไม่เคยลืมบุญลืมคุณของวัดดอยธรรมเจดีย์นะ คุณอันนี้ฝังลึกมากทีเดียว เราระลึกย้อนหลังไปหาพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ในต้นโพธิ์ใหญ่ ได้ถือต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพุทธศาสนา เพราะพระองค์ทรงเห็นบุญเห็นคุณของต้นโพธิ์ใหญ่นั้น นี่ก็เห็นบุญเห็นคุณของธรรมกองใหญ่ ธรรมธาตุขึ้นในที่นั่น จึงไม่มีวันลืมเลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ ทุกคนให้จำเอาไว้ นี่ละการปฏิบัติศีลธรรม ปฏิบัติไม่หยุดไม่ถอยได้ไม่สงสัย คำว่าตรัสรู้บรรลุธรรมอย่างนี้ก็ไม่เคยได้คิดได้อ่าน แต่ก่อนพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร องค์นั้นเป็นอย่างไร องค์นี้เป็นอย่างไร มันไขว่มันคว้าไปหมด พอธรรมธาตุได้ผางขึ้นมาในหัวใจแล้วพระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไรไม่ถามธรรมะแท้เป็นอย่างไรไม่ถาม พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นธรรมอันเดียวกันทีนี้ก็ไม่ต้องถามใคร เป็นอันเดียวกันหมด ให้พากันจำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้..”

◎ อนุปาทิเสสนิพพาน 

เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔ ณ ธรรมสถานวัดป่าบ้านตาด เหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์องค์พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ต่างมาเฝ้ารอดูอาการอาพาธหนัก และหวังเพียงปาฏิหารย์ครั้งสุดท้าย ทุกคนต่างสงบดวงจิต ตั้งไว้ถึงซึ่งพระรัตนตรัยน้อมระลึกถึงองค์หลวงตา บริเวณจุดใส่บาตร ผู้คนต่างยินดีเมื่อมีละอองฝนโปรยปรายดั่งน้ำทิพย์ชโลม ต่างคิดว่าทวยเทพเทวดา คงได้ยินเสียงอธิษฐานจิตกึกก้องไปทั่ว ๓ โลกธาตุ

...แต่พอช่วงตี ๔ ในเวลาที่มืดมิดในวันที่หนาวเหน็บของเช้าวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔ สิ่งที่ไม่พึงปราถนาของเหล่าปุถุชน กลับเป็นจริงตามที่จิตตรึกไว้ก่อนหน้า โอ้องค์พระหลวงตา ท่านได้ทิ้งขันธ์อันหนักอึ้งไว้ตามกฏของไตรลักษณ์ องค์ท่านไปอย่างอริยชน ข้ามไปยังสถานที่ปุถุชนมิอาจไปถึงได้ ไปยังที่ที่ องค์ท่านเคยบำเพ็ญเพียรมาหลายอสงขัย หลายกัปป์ ไปอย่างอริยสาวก ดั่งคำที่ท่านเคยประกาศก้องให้เหล่าสานุศิษย์ได้ฟังได้รับได้รู้ได้ปีติ ย้ำแล้วย้ำอีกว่า... "เรามีชีวิตอยู่นี้ เราทำด้วยความเมตตาสงสารต่อโลก เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เห็นเป็นตัวอย่าง เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราไม่กลับมาเกิดอีก เป็นตลอดอนันตกาล" องค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔ เมื่อเวลา ๐๓.๕๓ น. สิริรวมอายุ ๙๘ ปี หลังอาพาธด้วยอาการปอดติดเชื้อมาเป็นเวลานาน

ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco