ชีวประวัติ ปฏิปทาสมเด็จพระมหาสมณ เจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร กรุงเทพฯ


..วัน​ที่​ ๒ สิงหาคม​ ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์​ ในวาระครบรอบ​ ๑๐๓ ปี ขององค์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส "พระอริยเจ้าจากสมัยพุทธกาลสู่กรุงรัตนโกสินทร์" พระองค์เป็นพระราชโอรส ในรัชกาลที่ ๔ และเป็นอดีตสมเด็จพระสังฆราช ลำดับที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ลำดับที่ ๓ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตท่านเมตตาเล่าว่า พระอริยบุคคลในยุครัชกาลที่ ๔ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งเป็นพระโอรสของรัชกาลที่ ๔ นั้นเอง เป็นองค์แรก

ท่านเป็นพระอริยบุคคลโสดาบัน ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์ เทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระสหาย เพื่อปลดเปลื้องคำปฏิญญาที่พระพุทธเจ้าได้ให้ไว้ เมื่อเสด็จออกผนวชครั้งแรก (พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงพบพระโพธิสัตว์สิทธัตถะเมื่อทรงออกผนวชแล้ว และได้ตรัสปฏิญญาว่า "ถ้าพระองค์ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงเสด็จมาที่แว่นแคว้นของหม่อมฉันก่อน" พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงรับปฏิญญาของพระเจ้าพิมพิสารไว้ -ภิเนษกรมณ์) พระชาติปัจจุบันของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เป็นชาติที่ ๗ ชาติสุดท้าย ทรงแตกฉานในจตุปฏิสัมภิทาญาณ อย่างสมบูรณ์แบบในยุคนี้

ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านยกตัวอย่าง ความสามารถที่ไม่มีใครเทียบสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่า แต่ก่อนพวกบัณฑิตที่เรียนบาลี คือ มูลกัจจายน์คัมภีร์ สนธิ-นาม ต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงแปลบาลีออก สมเด็จฯ ทรงรจนาบาลีไวยกรณ์ให้กุลบุตรเล่าเรียน ในปัจจุบัน ๓ เดือน ก็แปลหนังสือบาลีออก นั่นอัศจรรย์ไหมท่าน

ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าต่อไปว่า เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงรจนาวินัยมุขเล่ม ๑ หลักสูตรนักธรรมตรี จิตของพระองค์กำหนดวิปัสสนาญาณ ๓ ที่กล่าวมาแล้ว คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ได้บรรลุชั้นสกิทาคามี

ต่อมาพระองค์เสด็จประพาสสวนหลวง เมืองเพชรบุรี ทรงรจนาธรรมวิจารณ์ พระหฤทัยของพระองค์ก็บรรลุพระอนาคามี

พระองค์ทรงมีภาระมาก ดูจะทรงรีบเร่งเพื่อจัดการศึกษา และปฏิบัติสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ประกอบกับสุขภาพของพระองค์ ก็อย่างที่พวกเราเห็นในพระฉายาลักษณ์นั้นเอง ดูจะทรงงานมาก ผอมไป และยุคนั้นการแพทย์ก็ไม่เจริญ แต่พระองค์ก็บำเพ็ญกรณียกิจ จนเข้ารูปเข้ารอย จนพวกเราสามารถจะประสานต่อไปได้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นสังขารของพระองค์ ว่าไปไม่ไหวแล้ว จึงเร่งวิปัสสนาญาณ สำเร็จพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน

นี่คือคำบอกเล่าของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่ผู้เล่าคือหลวงตาทองคำ จารุวัณโณ อดีตพระอุปัฏฐากได้รับฟังมา

#สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ และเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ ปีวอก จ.ศ. ๑๒๒๑ ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ เมื่อวันประสูติ นั้นฝนตกใหญ่ พระบรมชนกนาถ จึงทรงถือเป็นมงคลนิมิต พระราชทานนามว่า พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ หลังจากประสูติได้เพียงปีเดียว เจ้าจอมมารดาของพระองค์ ก็ถึงแก่กรรมพระองค์จึง ทรงอยู่ในความเลี้ยงดูของกรมหลวงวรเสฐสุดา (พระองค์เจ้าบุตรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งเป็นพระญาติ ทรงเรียกว่าเสด็จป้า มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ต่อมา ทรงย้ายมาอยู่กับท้าวทรงกันดาร (ศรี) ผู้เป็นยาย

เมื่อพระชนมายุ ๘ พรรษา ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี ทรงศึกษาอยู่จนสามารถแปลธรรมบทได้ ก่อนที่จะทรงผนวชเป็นสามเณร และทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษกับครูฝรั่งเมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษา นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาโหราศาสตร์กับครูที่เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ มาแต่พระชนม์ยังน้อย

• #ทรงผนวช
เมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณรตามราชประเพณี ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับเจ้านายอื่นอีก ๒ พระองค์ สมเด็จพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิศธาดา (พระนามเดิม ศิขเรศ) เป็นประทานสรณะและศีล เมื่อทรงผนวชแล้ว มาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๒ เดือนเศษ จึงทรงลาผนวช

ครั้นพระชนมายุ ๒๐ พรรษา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๒๒ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทรงผนวช แล้วเสด็จมาอยู่จำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ถึงหน้าเข้าพรรษาของปีนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ ฯ มาทรงถวายพุ่มพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามราชประเพณี และในคราวนั้น ได้เสด็จ ฯ ไปถวายพุ่มพรรษา แด่พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ซึ่งเพิ่งทรงผนวชใหม่ ถึงกุฏิที่ประทับ พร้อมทั้งทรงกราบด้วยพระอาการเคารพ อันเป็นพระอาการที่ไม่เคยทรงปฏิบัติต่อพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์อื่นที่ทรงผนวช เป็นเหตุให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น ทรงตัดสินพระทัย ไม่ทรงลาผนวชแต่วันนั้น

• #ทรงกรมและเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง
เมื่อทรงผนวชได้ ๓ พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติ ธรรมหน้า พระที่นั่ง ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหราฬ ห้องเขียวท่ามกลางประชุมพระราชาคณะผู้ใหญ่ ๑๐ รูป มีสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นประธาน ทรงแปลได้เป็นเปรียญ ๕ ประโยค และทรงหยุดอยู่เพียงนั้น

หลังจากทรงแปลพระปริยัติธรรมได้เป็น เปรียญ ๕ ประโยคแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระอิศริยยศเป็น กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะรองในธรรมยุตินิกาย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ พระองค์ทรงเป็นเจ้าคณะรองในคณะธรรมยุตเป็นพระองค์แรก และทรงเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ทรงมีพรรษา
ยุกาลน้อยที่สุด คือ ๓ พรรษาเท่านั้น

• #ทรงปรับปรุงการพระศาสนาและการคณะสงฆ์ในด้านต่างๆ
เนื่องจากพระองค์ เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ตามหัวเมืองต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง อย่างถี่ถ้วนเกือบทั่วพระราชอาณาจักร สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ จึงทรงทราบถึงความเป็นไปของคณะสงฆ์ ตลอดถึงสภาพของประชาชนและความเป็นไปของบ้านเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ เป็นอย่างดี ทำให้พระองค์ทรงทราบถึงปัญหา และกำหนดวิธีการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงปรับปรุงแก้ไขการพระศาสนาและการคณะสงฆ์ในทุก ๆ ด้านเพื่อให้พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ มีความเจริญมั่นคงและสามารถทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองได้อย่าง เหมาะสมแก่กาลเทศะ

• #ทรงเป็นนักการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ของไทย
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ กล่าวได้ว่า เป็นยุคที่พระสงฆ์มีบทบาททางการศึกษาของชาติมากที่สุด และผู้ที่มี บทบาทโดดเด่นเป็นผู้นำทางการศึกษาอยู่ในขณะนั้น ก็คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เริ่มแต่ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยสำหรับเป็นสถานศึกษาวิทยาการทั้งทางคดีโลก และคดีธรรม สำหรับภิกษุสามเณรและกุลบุตร ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และจากความสำเร็จในการจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยนั่นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตัดสินพระราชฤทัย มอบหมายให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรับภาระอำนวยการจัดการศึกษาในหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ ซึ่งเป็นการมอบหมายภาระ ในการวางรากฐานการศึกษาขั้นประถมศึกษาของชาติให้พระองค์ทรงดำเนินการ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็ได้ทรงจัดการศึกษาขั้นประถมศึกษา อันเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของชาติ ได้เป็นผลสำเร็จภายในเวลา ๕ ปี แม้ว่าจะเป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็กล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดการศึกษาขั้นประถมศึกษาของไทย

นอกจากจะทรงเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาระดับประถมศึกษาแล้ว ยังทรงพระดำริที่จะพัฒนาการศึกษาระดับมัธยมศึกษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยทรงพระดำริที่จะพัฒนาโรงเรียนภาษาไทย ของมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ให้เป็นโรงเรียนราษฎร์แบบอยู่ประจำ เพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นการช่วยรัฐบาล แต่พระดำรินี้ ไม่สามารถดำเนินไปได้ตลอด เพราะขาดงบประมาณดำเนินการ

ในด้านการศึกษาของคณะสงฆ์ที่เรียกว่า การศึกษาปริยัติธรรมนั้น ก็ทรงมีแนวพระดำริว่า ภิกษุสามเณรควรจะมีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะ "รู้ทางโลก ก็เป็นสำคัญ อุดหนุนรู้ทางธรรมให้มั่น ให้กว้าง พระศาสดาของเรา ก็ได้ความรู้ทางโลกเป็นกำลังช่วย จึงประกาศพระพุทธศาสนาด้วยดี" 

การที่ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นในครั้งนั้น ก็เพื่อจัดการศึกษาแก่ภิกษุสามเณรในแนวนี้ ซึ้งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ การจัดการศึกษาแบบใหม่ ของมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น ก็เพื่อจะลองหาทางแก้ไขการเรียนพระปริยัติธรรมให้ดีขึ้น คือ ให้ผู้เรียนรู้ได้เร็วไม่เปลืองเวลา ไม่พักลำบาก รู้ได้ดี กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทรงหาวิธีการที่จะทำให้ภิกษุสามเณรใช้เวลาเรียนแต่น้อย แต่ได้ความรู้ดีตามต้องการ แม้ว่าการจัดการศึกษาแบบมหามกุฏราชวิทยาลัย จำต้องเลิกไปในเวลาต่อมา แต่แนวพระดำริของพระองค์ดังกล่าว ก็ได้เป็นรากฐานให้แก่การจัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงของคณะสงฆ์ ที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ในเวลาต่อมา

เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงมีวิสัยทรรศน์ทางด้านการศึกษาที่แหลมคมและกว้างไกล ทรงมีแนวพระราชดำริที่ล้ำยุค และล้ำหน้ากว่าใคร ๆ ในยุคเดียวกัน จึงกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักการศึกษาที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของไทย

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แม้ว่าจะทรงเป็นเจ้านายสุขุมาลชาติ แต่ในสมัยที่ทรงบริหารการคณะสงฆ์ และทรงจัดการศึกษาของชาติในส่วนหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ก็ได้เสด็จออกไปตรวจการณ์การคณะสงฆ์และการศึกษาในหัวเมืองมณฑลต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักรเท่าที่จะสามารถเสด็จไปถึงเป็นครั้งคราวอยู่เสมอ บางแห่งที่เสด็จไป ต้องทรงลำบากพระวรกายเป็นอย่างมากบ่อยครั้งต้องเสด็จดำเนินไปด้วยพระบาทเปล่า จากตำบลหนึ่งไปสู่อีกตำบลหนึ่ง แต่พระองค์ก็ทรงมีพระขันติและวิริยะอุตสาหะ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาและการศึกษาของชาติ โดยมิเคยทรงนำพาถึงความทุกข์ยากส่วนพระองค์

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระองค์เป็นผู้นิพนธ์ตำรับตำราวิชาการศึกษาภาษาบาลี ที่พระสงฆ์ตลอดถึงนักศึกษาชาวพุทธไทยได้ศึกษา เช่น นวโกวาท วินัยมุข เล่ม ๑-๒ ธรรมวิภาคธรรมวิจารณ์ และอุปสมบทวิธี ทรงรจนาหนังสือเบญจศีลเบญจธรรม และธรรมวิภาค ภาคคิหิปฏิบัติแสดงคำสอนเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาสำหรับสามัญชนทั่วไปจะได้ศึกษา และนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทรงรจนาอรรถศาสน์ แสดงประโยชน์อันบุคคลจะพึงได้ในชาตินี้ และชาติหน้าตามคติทางพระพุทธศาสนา อันเป็นคำสอนที่สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งเป็นกลาง และทรงรจนาธรรมวิจารณ์ แสดงคำสอนชั้นสูงทางพระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมชั้นสูง จะได้ศึกษาและนำไปเป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติเป็นต้น

นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงเป็นผู้ริเริ่มในการรจนาหนังสือธรรมแสดงคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาอย่างง่ายๆ เช่น ทรงรจนาเทศนาด้วยถ้อยคำและสำนวนแบบธรรมดา เหมาะแก่กาลและสมัย เป็นแบบอย่างสืบมาจนบัดนี้ ทั้งหมดล้วนมาจากพระปรีชาและพระกรุณาของพระองค์ท่าน

• #สิ้นพระชนม์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงประชวรวัณโรค มีพระอาการเรื้อรังมาเป็นเวลานาน กระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๔ อันเป็นปีที่ทรงเจริญมายุครบ ๖๐ พรรษา อาการประชวรกำเริบมากขึ้น จึงเสด็จโดยทางเรือไปรักษาพระองค์ทางชายทะเล จนถึงจังหวัดสงขลา พระอาการยิ่งทรุดหนักลง ประจักษ์แก่พระหฤทัยว่า กาลที่สุดใกล้จะถึง จึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๖๔ 

ครั้งถึงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๖๔ เวลา ๔ นาฬิกา ๓๕ นาทีก่อนเที่ยง (๑๐.๓๕ น.) ก็สิ้นพระชนม์ สิริรวมพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ๓ เดือนเศษ ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร ๓๐ ปี ทรงดำรงตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช ๑๐ ปี กับ ๗ เดือนเศษ 

ถึงเดือนเมษายน ๒๔๖๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง

คัดลอกมาจาก : หนังสือ "รำลึกวันวาน" เกร็ดประวัติปกิณกธรรมและพระธรรมเทศนาท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ; ผู้เขียนบันทึก หลวงตาทองคำ จารุวณฺโณ ; พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม ๒๕๔๗ ; หน้า ๑๓๑-๑๓๒ ; จัดพิมพ์โดย กองทุนแสงตะวัน วัดปทุมวนาราม

°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°°

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรมเนื่องในวาระ ๑๐๐ ปีแห่งการสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ๒ สิงหาคม ๒๕๖๔ ความว่า

เจ้าพระคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นมหาอนาคาริยรัตน์เลิศล้ำด้วยพระบุญญาธิการ ในฐานที่เสด็จอุบัติมาในมหาจักรีบรมราชวงศ์ ทรงดำรงพระองค์เหมาะควรทุกสถานตามพระชาติวุฒิ พระวัยวุฒิ และพระคุณวุฒิ ทรงพระศีลาจารวัตรบริสุทธิ์ สถาพรด้วยพระกัลยาณกิตติประวัติงามสง่า ล่วงผ่านกระแสกาลเวลามาบรรจบกว่าศตวรรษได้โดยเด่นชัดมิเสื่อมสลาย พระกรณียะเป็นอเนกปริยายทั้งฝ่ายคดีธรรมและฝ่ายคดีโลก อำนวยศุภโชคมาสู่ชาวไทยทั่วหน้า หาจำเพาะแต่พุทธบริษัท เพราะพระธัมมานุธัมมปฏิบัติที่ทรงกอปรไว้ ล้วนเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์มหาชน มิจำกัดเลือกตัวบุคคล เชื้อชาติ ศาสนา เพศ พรรณ ชนชั้น วัย ทรงพระอัชฌาสัยไว้ที่มหากรุณาอันเป็นลักษณะแห่งมหาบุรุษ ทรงเป็นศาสนนายกดิลกสงฆ์ ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระประมุขฝ่ายพุทธจักรผู้ทรงพระวิริยอุตสาหะดำเนินพระกุศโลบายด้วยพระปรีชาญาณ ผสานกับพระบรมราโชบายฝ่ายอาณาจักร ของสมเด็จพระบรมธรรมิกมหาราชาธิราชผู้พุทธศาสนูปถัมภกสองรัชกาล กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทั่งการบริหารงานคณะสงฆ์ทุกองคาพยพ บรรจบพร้อมด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรม และแผนกบาลี ทวีอาณาประโยชน์สู่การศึกษาของเยาวชนทั่วราชอาณาจักร อีกทั้งทรงเป็นหลักเป็นประธานในศิลปวิทยาหลากสาขา อาทิ อักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี มีพระอัธยาศัยสุขุมคัมภีรภาพเพียบพร้อมความเป็นคุรุฐานียะแห่งพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และชนนิกรทุกหมู่เหล่า พระเดชพระคุณของพระองค์อันเป็นมูลฐานแห่งความเจริญมาตราบเท่าทุกวันนี้ มีนานัปการเหลือจะพรรณนาได้หมดสิ้น

บัดนี้ เราทั้งหลายผู้เป็นปัจฉิมาชนตาชน ทั้งฝ่ายบรรพชิต ทั้งฝ่ายคฤหัสถ์ ร่วมกับรัฐบาล และองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ พรั่งพร้อมกันประกาศถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณ เนื่องในสมัยคล้ายวันสิ้นพระชนม์บรรจบปีที่ ๑๐๐ ในวันที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ จัดเป็นกตัญญูกตเวทิตาคุณอันควรแก่การอนุโมทนา เป็นบทพิสูจน์แห่งพระกรุณาธิคุณที่ทรงรักษาไว้เสมอพระชนม์ สมตามพระธรรมภาษิต ซึ่งทรงพระนิพนธ์ไว้ด้วยพระองค์ ว่า “มหาปุริสภาวสฺส ลกฺขณํ กรุณาสโห” แปลความว่า “อัชฌาสัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณา เป็นลักษณะของมหาบุรุษ” ทุกสถาน

ขอสาธุชนทุกหมู่เหล่า จงตามระลึกศึกษาพระประวัติ พระกรณียกิจ พระนิพนธ์ และพระเกียรติคุณของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น แล้วอัญเชิญมาเป็นวิถีทางประพฤติแห่งตน พร้อมเพรียงกันบำเพ็ญกุศลจริยา ให้สามารถเจริญรอยตามพระคุณลักษณะแห่งมหาบุรุษฉะนั้น ตลอดกาลนาน.


--------
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
กราบขอบพระคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม FB ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน..
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่พล ยโสธโร วัดภูหล่มขุม บ.หนองนกเขียน ต.ร่มเกล้า อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร