ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง ต.ระเริง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ไม อินทสิริ
วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่ไม อินฺทสิริ รำลึก ๓ ปี อาจาริยบูชาคุณ พระสุปฏิปันโนแห่งวัดป่าเขาภูหลวง ต.ระเริง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ท่านละสังขารด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา ๐๑.๑๒ น. ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๔ สิริอายุ ๗๓ ปี ๗ เดือน ๒ วัน ๕๔ พรรษา
".. ในโลกนี้หรือโลกหน้า
การได้พบได้เจอกัน
หรือจะเป็นพลัดพรากจากกัน
ไม่ใช่สิ่งบังเอิญ ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย .. "
โอวาทธรรมหลวงปู่ไม อินฺทสิริ
#ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่ไม_อินฺทสิริ
วัดป่าเขาภูหลวง ต.ระเริง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
#ชีวิตครอบครัววัยเด็ก
หลวงปู่ไม อินทสิริ ถือกำเนิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๙๑ ตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีชวด เกิดในสกุล "จันทร์เหล็ก" บิดาชื่อ "นายด้วง" มารดาชื่อ"นางจันทร์ศรี" เกิดบ้านเลขที่ ๒๐ หมู่ ๗ ตำบลคอนสาย อำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานี
ท่านเป็นคนที่มีนิสัย รักพ่อรักแม่ รักญาติพี่น้อง เคารพนับถือญาติทุกคน ดี ไม่ดี ก็เคารพ ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมา ถึงแม้บางครั้งจะน้อยใจอยู่บ้าง ท่านอยากบวชตั้งแต่เรียนอยู่ประถมปีที่ ๔ ขอพ่อ พ่อก็ไม่ให้ พ่อขอให้ช่วยงานบ้าน ช่วยแม่เลี้ยงน้อง เพราะน้องยังเล็ก ต้องอาศัยท่านช่วยงานบ้าน ตักน้ำ ตำข้าว ท่านมีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ชาย ๖ คน หญิง ๑ คน คุณพ่อขอให้น้อง ๆ โตก่อนค่อยบวช
ตอนอายุประมาณ ๑๐ – ๑๑ ปี ไปอยู่หนองบัวลำภู เช้าท่านจะนำควายไปเลี้ยงตามทุ่งนา ท่านชอบนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ " ใต้ต้นค้อ” ท่านชอบนั่งหลับตาเป็นนิสัย แต่ไม่ได้ภาวนา ท่านมักจะเห็นสวรรค์เป็นหอปราสาท และเห็นสักกเทวราช (พระอินทร์) ใส่โจงกระเบน เหาะลงมาสอนท่านสวดมนต์คาถา จนท่านท่องจำได้ จนอายุ ๑๖ – ๑๗ ปี ก็ยังเห็นท่านอยู่ ท่านจะสอนธรรมะ คาถาป้องกันตัว อยู่ยงคงกระพัน คาถาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาท่านสักกเทวราชจะกลับ ท่านจะสั่งว่า เวลามีเรื่องอะไร ให้นึกถึงพ่อ ท่านเรียกตัวเองว่า พ่อ ท่านจะลงมาช่วย พระอาจารย์ท่านไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากคุณพ่อ คุณพ่อท่านให้เขียนคาถาเอาไปท่อง เพราะเหตุนี้ เวลามีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มาหาพระอาจารย์ไม ท่านเป่าให้ บอกหาย คนนั้นก็หาย
อายุ ๑๒ – ๑๓ ปี ท่านทำงานบ้านทุกอย่าง ช่วยแม่ตำข้าว ตักน้ำ ทำอาหาร และรับจ้างทุกอย่าง จนเก็บเงินซื้อควายได้ ๒ ตัว ตอนอายุ ๑๓ ปี ( เปรียบเทียบกับคนอายุ ๖๐ บางคนยังซื้อควายไม่ได้เลย ) ท่านเป็นคนที่ไม่กระตือรือร้นในการแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าแบบไหนก็ได้ ไม่ชอบเที่ยว ดูหนัง ร้องรำทำเพลง แต่รำกลอนเป็นเพราะพ่อสอนให้ พ่อเคยเป็นหมอลำเรียกโจทย์แจ้ ตอบปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ ธรรมะ ภาษาไทย บาลี มคธ พ่อสอนเก่งมาก พ่อสอนให้รำ เพราะว่าเป็นประวัติศาสตร์คำสอนในทางศาสนา
อายุ ๑๔ ปี คุณพ่อเสีย ก่อนเสียพ่อป่วยอยู่เป็นปี วันนั้นเฝ้าพ่ออยู่คนเดียวประมาณบ่าย ๓ โมง พ่อสั่งว่าอีก ๓ วันพ่อจะตายให้เลี้ยงน้องให้โตก่อน แล้วบวชให้พ่อด้วย มีคำหนึ่งที่พ่อสั่งไว้ว่า ถ้าพ่อตายแล้วแม่คิดจะมีสามีใหม่ อย่าไปห้ามแม่นะ แต่อย่าให้สามีใหม่มารังแกน้อง อยู่มาอีกปีเศษ มีคนมาชอบแม่ ขอแต่งงาน แม่ถามว่าจะให้แม่แต่งงานหรือไม่ ก็ถามแม่ว่าจะแต่งทำไม แม่ว่าจะได้มาเลี้ยงน้อง ดูแลงานบ้าน พ่อเลี้ยงเป็นนักเลง เล่นการพนัน ชอบขโมยของมาเล่นการพนัน อยู่มาวันหนึ่ง น้องชายคนติดกัน กลับมาจากโรงเรียน แม่บอกให้ไปไล่ควายจากทุ่งนากลับเข้าบ้าน แต่น้องชายไม่รีบไป แม่ก็บ่น พ่อเลี้ยงเสริมว่า ไม่เชื่อฟัง พ่อแม่ จะฆ่ามันตาย จับไม้ค้อนขว้างถูกใส่ส้นเท้าเป็นแผล น้องชายร้องไห้ ตอนนั้นพระอาจารย์ไมอายุ ๑๕ ปี เห็นพ่อเลี้ยงทำอย่างนั้นเสียใจมาก กลางคืนท่านฝนมีดยาว ๑๕ เซนติเมตร อยู่ ๓ วัน ๓ คืน คิดจะฆ่าพ่อเลี้ยง จะแทงตอนเขานอน แต่ก็คิดอีกว่า ฆ่าเขาแล้ว จะหนีอย่างไร เพราะตอนนั้นย้ายบ้านไปอยู่หนองบัวลำภู บ้านไกลจากบ้านเก่าที่ จ.อุดร ก็กลัวจะมีโทษ กลัวโดนจับ กลัวไม่ได้ดูน้อง ผ่านไป ๒ – ๓ วัน จนยับยั้งสติอารมณ์ไว้ได้ เป็นจิตที่รักน้องมากที่สุด ไม่อยากให้ใครมารังแก
ต่อมา ญาติพี่น้องทางบ้านเก่าที่อุดรพากันไปรับมาที่บ้านเกิด บ้านเก่า ซื้อไร่ ซื้อนาใหม่ พ่อเลี้ยงก็ตามมาอีก ก็ยังเล่นการพนันเหมือนเดิม ช่วงนั้นเดือนมีนาคม ชาวอีสานแต่ละบ้านจะจัดงาน มีงาบุญ มีเทศน์ผะเหวต กลางคืนมีมหรสพ หมอลำ ตอนเช้าตื่นสาย แม่ปลุกว่าไม่ไปไร่หรือ เพราะปกติต้องไปขุดไร่ ไถไร่ พวกเราตื่นสายประมาณโมงเศษ ๆ พอแม่บ่น พ่อเลี้ยงก็บ่น ทั้ง ๆ ที่พ่อเลี้ยงไม่เคยช่วยงานอะไรเลย พี่ชายคนที่ติดกัน ดึงปืน พระอาจารย์ก็ชักมีด พี่ชายคนโตก็มาห้าม พ่อเลี้ยงก็หนีไปตั้งแต่บัดนั้น ไม่กลับมาอีก ชีวิตคนมีพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยงก็แบบนี้แหละ
อายุ ๑๗ ปี ไปช่วยงานญาติพี่น้อง ลุง น้า บ้าง ปลูกอ้อย ข้าวโพด ถั่วลิสง ปลูกผักขาย ส่วนมากเป็นน้าของแม่ ซึ่งท่านเรียกพ่อใหญ่ เพราะเขามีลูกเล็กช่วยงานยังไม่ได้
#สู่ร่มกาสาวพัสตร์
อยู่มาอายุ ๑๘ ย่าง ๑๙ ปี ลุงอยากให้มาบวช เพราะที่วัดไม่มีพระเณรมาบวช อีกอย่างเห็นสาวๆ มาคุยเล่นด้วย แต่พระอาจารย์มีจิตใจไม่คิดจะมีลูกเมีย ท่านชอบพูดเล่นกับผู้หญิงสาวๆ ไม่คิดจะแต่งงาน แต่นิสัยจะรังเกียจผู้หญิงที่มาพูดให้ทางผู้ชาย แต่มีความคิดในใจว่า จะแต่งงานกับผู้หญิง ที่มีความรักจริงซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์ต่อเรา เราจะไม่ยุ่งเด็ดขาด ผู้หญิงที่จะมาแต่งงานกับพระอาจารย์ ถ้าไม่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย จะไม่แตะต้องผู้หญิงคนนั้น ท่านมีความคิดเช่นนี้ ก็เลยมีความมั่นใจตนเองว่า จะไม่ล่วงเกินผู้หญิงคนใดทั้งสิ้น
แต่ลุงไม่เชื่อว่า จะมีคนคิดแบบพระอาจารย์ ลุงขอร้องให้บวช กลัวจะมีเมียก่อน ลุงเคี่ยวเข็ญทุกวัน สุดท้ายจึงตกลงใจบวช ตกลงไปเข้านาค ก่อนเข้านาคสัญญากับลุงว่า ถ้าหลานไปบวชออกพรรษาเมื่อไร ก็สึกเมื่อนั้น อย่าห้าม ก็เลยไปเข้านาค ๑ เดือน บรรพชาเป็นสามเณรไม เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ที่วัดศิริวัฒนา จ.อุดรธานี บวชเป็นเณรอยู่ ๒ พรรษา ( ๑ ปี ๘ เดือน ๑๙ วัน)
ระยะเวลาเป็นเณร อยู่อุปัฎฐากครูบาอาจารย์ อาหารไม่ค่อยมี ไปตัดยอดหวาย หน่อไม้ ตอนเช้าไปทำอาหาร เช่น แกงขี้เหล็ก เลี้ยงถวายครูบาอาจารย์ ถ้าพระ เณรไม่มา พระอาจารย์ตอนเป็นเณร กิจวัตรประจำวัน ตักน้ำจากบ่อเป็นน้ำสรงครูบาอาจารย์ ทุ่มหนึ่งทำวัตรเย็น ๒ ทุ่ม เดินจงกรม ๒ ทุ่มครึ่งนั่งสมาธิ ท่านมีความตั้งใจปฎิบัติ เข้มงวดกวดขัน
#สัจจธรรม
ท่านพระอาจารย์ปฎิบัติธรรมได้ตั้งแต่เป็นเณร อายุ ๑๘ ปี จิตของท่านจะน้อมถึงอดีต ท่านคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมาเสียเวลาไปมาก สร้างบาปมาเยอะตั้ง ๑๘ ปี กลัวจะกลับไปเป็น ฆราวาสทำบาปอีก ท่านเคยตั้งสัจจะไว้หลายภพ หลายชาติ เริ่มตั้งสัจจะตั้งแต่เป็นหนุ่ม คนธรรมดาจะคิดเรื่องมีครอบครัวว่าถ้าบวชสึกออกมาอายุ ๒๐ ปี จะต้องมีครอบครัว หาเงินหาทองไว้ก่อนเพื่อให้มีอยู่มีกิน จะแต่งงานกับผู้หญิงมีความบริสุทธิ์ ถ้าผู้หญิงไม่บริสุทธิ์ จะไม่แตะต้องคนนั้นเลย แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นบริสุทธิ์ เรายังไม่ได้ขอแต่งงานก่อน เราจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวเลย คิดอยู่เช่นนี้ ปีหนึ่งผ่านไป ผู้หญิงก็หนีไปแต่งงานหมด ไม่มีคนบริสุทธิ์เลย ท่านเลยผ่านพ้นมาได้ ไม่หลงในภพในชาติมากเหมือนคนอื่น
ตอนที่ปฏิบัติใหม่ ๆ เราเพิ่งจะฝึกปฏิบัติธรรม ตอนเดินจงกรมไม่เท่าไหร่ แต่พอไปนั่งสมาธิ มันเห็นทุกข์ เห็นทุกข์ทันทีเลย พอนั่งไป ๒๐-๓๐ นาที นี่มันรู้เลย ทุกข์มันเกิดขึ้น เหน็บมันไม่รู้มาจากที่ไหน พอเรานั่งไปถึง ๒๐-๓๐ นาที มันจะขึ้นเลย ขึ้นที่เท้าเราเสียก่อน แล้วขึ้นมาตามขา จนขึ้นตามสันหลัง ขึ้นไปบนศีรษะ ทำให้จิตใจท้อแท้ไปหลายครั้งหลายหน
นี่สู้ด้วยตนเองมา ตอนบวชเข้ามาใหม่ๆ ยังไม่รู้เดียงสาอะไร การศึกษาก็ยังไม่มี เพราะว่าเราเพิ่งบวชใหม่ โอกาสที่จะได้ไปศึกษาธรรมะก็ยังไม่มี แต่วันไหนว่างๆ ก็พอได้อ่านประวัติพระพุทธเจ้า อ่านหนังสือพุทธประวัติเล่มหนึ่ง แต่ทำอย่างอื่นนั้นยังไม่รู้ แต่ครูบาอาจารย์สอนให้เรานั่งสมาธิ นั่งสมาธินั่งแบบไหน เดินจงกรมเดินแบบไหน ท่านบอกเรา เวลาเดินก็กำหนดเอาต้นไม้ที่ห่างจากกัน ๒๐-๓๐ เมตร แล้วเดินจากต้นไม้ต้นนั้น ไปต้นไม้ต้นนั้น มีจุดหมายปลายทางเดินแล้วก็มานั่ง ตอนนั่งมันจะเป็นทุกข์ได้ง่ายกว่าเดิน
เพราะอิริยาบถนั่งจะเป็นการนั่งอยู่ท่าเดียว ถ้าเรายังไม่เกิดความเคยชิน เราจะนั่งไม่ได้นาน อันนี้เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มปฏิบัติธรรม มองทางสุขไม่มีเลย มีแต่ทุกข์อย่างเดียว การปฏิบัติธรรมอันดับแรกมองเห็นแต่ทุกข์อย่างเดียว ไม่มีสุขเพราะมันเจ็บปวด มันทรมาน ทั้งที่เราอยากรู้อยากเห็นอยากได้ธรรมะ อยากให้จิตสงบเป็นสมาธิ แต่สิ่งที่รบกวนก็ดลบันดาลอยู่อย่างนั้น ทำให้จิตใจของเราท้อถอยอยู่ตลอดเวลา
นั่งแต่ละวันได้ ๒๐-๓๐ นาที ก็ลุกขึ้นแล้ว
ไปเดินแล้วเปลี่ยนอิริยาบถใหม่แล้ว เดินไปเป็นชั่วโมง มานั่งอีก ๒๐-๓๐ นาทีก็ไปอีกแล้ว พยายามอยู่อย่างนี้ก็แพ้อยู่อย่างนี้ ทำเป็นเดือนก็อยู่อย่างนี้ ทีนี้ทำยังไงถึงได้ตัดสินใจ การตัดสินใจคือตัดสินใจด้วยการได้ยินได้ฟัง จากครูบาอาจารย์ท่าอบรมสั่งสอนเรา ครูบาอาจารย์ท่านแสดงอภินิหารให้เราเห็น แสดงอภินิหารแบบไหน ท่านมีความรู้พิเศษ ท่านสอนเราให้ปฏิบัติแล้วเราทำไม่ได้ ท่านค่อยมาเตือนเราทีหลังพอเราเจอทุกข์ ทีนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่จูงใจ ให้เราปฏิบัติกล้าตัดสินใจต่อสู้ จริงๆ จังๆ แล้วนั่น คือ
พระอาจารย์ของเราท่านบอกว่า วันนี้ มีพระท่านกำลังเดินทางมา ระยะทางนั่น ๗-๘ กิโลเมตรจากวัดเราไปหาวัดท่าน
ฉันเช้าเสร็จท่านบอกว่า ไปล้างบาตรแล้วเอาบาตรเราไปส่งกุฏิ อย่าเพิ่งไปนะ ท่านพูดอย่างนี้ ทีนี้อาตมาก็เลยเอาบาตรล้างบาตรเสร็จเรียบร้อยก็เอาบาตรไปไว้ที่กุฏิ
ก็นั่งคอยท่านอยู่ ซักพักท่านก็ขึ้นกุฏิไป
พอท่านขึ้นกุฏิไป ท่านบอกว่า ตอนนี้มีพระท่านกำลังเดินทางมา พระองค์นั้นชื่อ อาจารย์บุญเกิด ท่านอยู่วัดป่าศรีคุณาราม บ้านจีบ อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี ส่วนอาตมาอยู่วัดป่าศิริวัฒนา บ้านโนนถั่วดิน
ท่านอาจารย์องค์ที่เป็นอาจารย์ของอาตมา ชื่อพระอาจารย์ศรี อุจโย ท่านบอกว่าพระอาจารย์บุญเกิดกำลังเดินทางมา ท่านจะไปบ้านเลาใหญ่ ไปขอไม้ไผ่กับท่านอาจารย์สาลี วัดป่ามัจฉิมวงศ์ ที่อ.กุมภวาปี มาทำซี่กลด เพราะว่าไม้ไผ่ในสมัยนั้น วัดป่ามัจฉิมวงศ์เป็นวัดเก่าแก่
ไม้มันแก่ดี เอามาทำซี่กลดได้มอดมันไม่กิน แต่ส่วนวัดพวกเราเป็นวัดใหม่ ไม้ไผ่ยังไม่มี
ท่านก็เลยบอกว่าท่านกำลังเดินทางมา มีพระองค์หนึ่งใส่แว่นตาดำเดินตามหลังมา มีเด็กวัด ตัวเล็กๆ สะพายย่ามเดินอยู่กลาง ท่านว่าอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกให้เอาเสื่อมาปู เอากามากรองน้ำ พอท่านบอกอย่างนั้น พระองค์หนึ่งเป็นพระบวชใหม่พร้อมอาตมา ก็เลยพูดขึ้นว่า "โอ๊ย ท่านอาจารย์นี่ ไม่รู้ว่าพูดอะไร คนไม่มีก็พูดไปเหมือนกับบ้า" พระใหม่นี่เพิ่งบวชได้เดือนเศษๆ เฮ้! พระนี่พูดให้ฟัง มันไม่ฟัง ถ้าไม่ทำรีบลงกุฏิหนีนะ ท่านก็ดุเลยไล่ลงกุฏิ ถ้าไม่ลงไปโดนไม้ค้อนนะ พระนั่นก็เลยลงกุฏิไป
ท่านก็เลยพูดว่า “ไม” อย่าไปกับเขานะ
เอาเสื่อมาปู เอากามากรองน้ำ เราก็กลัวท่านดุ ก็เลยเอาเสื่อมาปูเอากามากรองน้ำ
เอาไปจัดอาสนะเอาไว้เรียบร้อย
ท่านก็บอกนั่งลง พอเราทำเสร็จ
ท่านบอกว่าตอนนี้ท่านอาจารย์บุญเกิด กำลังจะเข้ามาในหมู่บ้านโนนถั่วดินให้
ท่านเดินทางมาถึงโรงเรียน หน้าโรงเรียนจะมีต้นมะม่วงต้นหนึ่ง ท่านบอกว่า ถ้าท่านเดินมาถึงต้นมะม่วงหน้าโรงเรียน เราก็เดินลงจากกุฏิ เดินไปถึงริมรั้ววัดทางทิศตะวันออก ที่ประตูออกไปบิณฑบาต ท่านก็จะเดินจากต้นมะม่วงมาถึงนั่นพอดี เราก็ไปรับย่ามท่านมา ท่านบอกอย่างนี้
วันนี้ท่านมาแล้วท่านจะมาพักที่วัดเราเสียก่อน เพราะวันนี้แดดมันร้อน ท่านพูดอย่างนี้ บ่าย ๓ โมงแดดอ่อนเสียก่อน ท่านถึงจะไปบ้านเลาใหญ่ ท่านพูดอย่างนี้ อาตมาก็คิดอยู่ในใจ
เฮ้! พระนี่บวชมาหลายๆ พรรษาได้เป็นเจ้าอาวาส หาแนวทางที่จะมาหลอกศรัทธาญาติโยม หลอกพระสงฆ์องค์เจ้าอยู่อย่างนี้เหรอ หลอกพระเณรอย่างนี้หรือ หาเรื่องหลอกลวงอยู่อย่างนี้เหรอ
ทำอย่างนี้คนก็มาหลงงมงายทำบุญทำทานกัน คนเรานี่มันก็โง่" เราก็คิดไป คิดแล้วก็เดินไป ก้มหน้าเดินไป พอเดินไปถึงประตูที่ออกบิณฑบาตเงยหน้าขึ้นมอง
หลวงพ่อบุญเกิดมาถึงที่นั่นพอดี ทำให้เรานี่ตกใจ ตกใจวูบเลย ท่านรู้ได้อย่างไร อาจารย์ของเรา ท่านไม่ได้โกหกเรานี่ เราก็นึก หรือว่าท่านจะเขียนจดหมายไปบอกกันว่า.. ผมจะไปบ้านเลาใหญ่ ผมจะไปพักที่วัดท่าน บ่าย ๓ โมงถึงจะเดินทาง เพราะวันนี้แดดมันร้อน เฮ้! ถ้าเขียนจดหมายมาบอก ทำไมถึงรู้ว่ามาถึงนั้นแล้วมาถึงนี้แล้ว
ท่านเดินมาถึงต้นมะม่วงหน้าโรงเรียนกับกุฏิที่เราเดินลงไป ถึงประตูรั้ววัด ที่จะออกไปบิณฑบาต เหมือนกับท่านได้เอาตลับเมตรไปวัดไว้เลย มันตรงเป๊ะเลย
เราอัศจรรย์ใจ ก็เดินออกไปรับย่ามจากหลวงพ่อบุญเกิด ท่านก็ถามว่าเณรมาอะไร ตอนนั้นอาตมาเป็นเณรนะ เพิ่งบวชได้เดือนเศษๆ เป็นเณรอยู่ บวชใหม่ด้วย
ทีนี้หลวงพ่อบุญเกิดก็ถามว่า..
เณรมาอะไร
มารับท่านอาจารย์
ใครบอกมา
บอกว่าท่านอาจารย์บอกมา
เท่านั้นนะท่านก็ยิ้ม เดินตรงไปที่กุฏิเลย ยังไม่ขึ้นกุฏิ
พอถึงหน้ากุฏิ ท่านอาจารย์อยู่บนกุฏิ ก็ลงมาถามว่า
เอ้าท่านอาจารย์จะไปไหน
หลวงพ่อบุญเกิดบอกว่า ผมจะไปบ้านเลาใหญ่
ท่านอาจารย์จะไปอะไรบ้านเลาใหญ่
จะไปขอไม้ไผ่ท่านอาจารย์สาลีมาทำซี่กลด
เอ้า! นิมนต์ขึ้นมาฉันน้ำเสียก่อนไม่ดีเหรอ
เฮ้อ! จะขึ้นไปพักที่นี่ก่อนวันนี้แดดมันร้อน บ่าย ๓ โมงถึงจะไป
ท่านพูดอย่างนี้
เอ๊ะ! เราก็งงอีก บอกเราหมดแล้วทำไมถึงเดินลงมาถาม
เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกลับ เราบวชใหม่ก็งงๆ เอ๊ะรู้ได้ไง
ก็เลยคิดว่าท่านอาจารย์เรียนคาถาอะไรน๊อ !
เราคิดอยากเรียน ก็คิดอยู่ในใจ
ท่านก็คุยกัน คุยสักพักท่านก็นอนหลับ
บ่าย ๓ โมง หลวงพ่อบุญเกิดลุกขี้นมา
เฮ้ย! ได้เวลาแล้วแดดอ่อนแล้ว เราจะเดินทาง กลัวมันจะมืดก่อน หลวงพ่อเราก็เลยบอกว่าเณรไปส่งท่าน ไปแล้วรีบกลับมานะ อาตมาก็เลยไปส่งท่าน
พอไปส่ง ถึงทางออกวัดแล้วเราก็กลับมา
พอกลับมาท่านก็นั่งคอยอยู่บนกุฏิ
ขึ้นไปก็ไปกราบลง พอกราบลงเท่านั้นแหละ ท่านถามคำแรกขึ้นมา อยากมีมั๊ยหูทิพย์ตาทิพย์ ท่านพูดตรงๆ อย่างนี้
อยากมีครับผม เราก็ประนมมือขึ้น อยากมีครับผม เราก็กราบลง ถ้าอยากมี เดินจงกรมให้มันขาด้วน พูดแบบนี้ นั่งให้มันตาย กิเลสไม่ตายคนตาย พูดแค่นี้เดินเข้ากุฏิใส่กลอนเลย ไม่พูดอะไรอีก ล็อคกุฏิไว้เลย เราได้แค่นี้ เราเป็นยังไง จิตใจของเรา หูทิพย์ตาทิพย์ ได้มาจากเดินจงกรมนั่งสมาธิอย่างนี้หละ เรานึกอย่างนี้ คืนนี้เราจะเอามันให้ได้
พอค่ำมาไปทำวัตรเย็นเสร็จ ลงมาทุ่มเศษๆ เข้าทางจงกรม เดินจงกรมก็อยากนั่ง คือจิตใจมันกำลังต้องการ เดินจงกรมก็อยากนั่งสมาธิแต่ต้องทำ เพราะว่า ก่อนที่จะนั่งต้องเดินเสียก่อน ทุกวันจะต้องทำอย่างนั้น อย่างน้อยก็ต้องได้ชั่วโมงหนึ่งเสียก่อน เดินยังไม่ถึงชั่วโมง จิตมันอยากนั่ง อยากมีหูทิพย์ตาทิพย์ พอเดินจงกรมไปถึงชั่วโมง ก็รีบขึ้นกุฏิไปนั่ง พอไปนั่งปุ๊บ ๒๐-๓๐ นาที โอ๊ยมันจะตายเลย เหมือนเดิมเลย. พวกเราเป็นไม๊เจ็บปวดทรมาน นี่เขาเรียกว่ามาร
ตอนนั้นยังไม่รู้มารหรอก พอเจ็บปวดก็หลับตาลง รู้สึกว่าร่างกายของเรามืด ดำสนิทเลย กำหนดจิตเข้าไป พอกำหนด พุทโธๆ ลมหายใจเข้า พุทธ หายใจออก โธ มีสติควบคุมอยู่อย่างนั้น แต่ว่าร่างกายของเราตัวแข็งดำสนิทเลย ในร่างกาย มีแต่ความเจ็บปวด ทรมาน ผลสุดท้ายก็ลุกขึ้นไปเดิน ไม่เหมือนกับที่เราตั้งใจเอาไว้ เราตั้งใจเอาไว้มันไม่เหมือนเลย พอไปเดินแล้วกลับขึ้นมานั่งใหม่ ก็เป็นอีกเหมือนเดิม วันนั้นพยายามอยู่อย่างนั้นจนอ่อนใจก็เลยหยุดพักผ่อน
วันหลังมาก็ทำใหม่ จากนั้นมา ทำได้ ๖-๗ วัน สู้อยู่อย่างนั้น เจ็บอยู่อย่างนั้น ปวดอยู่อย่างนั้น ทีนี้ได้ ๗ วัน กวาดตาดตอนเย็น ทั้งกวาดตาดทั้งคิด เอ๊ ทำยังไงน๊อ ถึงจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ได้อย่างที่ท่านอาจารย์พูด ถ้าเป็นอย่างนี้เราไม่มีโอกาสที่จะได้หูทิพย์ตาทิพย์ นึกในใจก็เกิดอ่อนใจ ก็เอามือหนึ่งจับคันตาด นั่งเขียนดินเล่นเหมือนกับคนไม่มีอะไรตายอยาก หมดอาลัยแล้ว หมดความหวังแล้ว ก็เอามือเขียนดินเล่น ซักพักหนึ่ง ท่านอาจารย์มายืนอยู่ตรงหน้าเรา ท่านมาเมื่อไหร่ไม่รู้ จิตมันเผลอถึงขนาดนั้น ลืมตัวขนาดนั้น เรามัวแต่ก้มเขียนดินเล่น ไม่รู้เขียนอะไรไม่เป็นตัวเป็นตนหรอก ก็ขีดไปงั้นๆ แหละ ท่านก็เลยถามว่า เณรเป็นยังไงเดินจงกรมนั่งสมาธิ ตกใจแหงนหน้ามา ท่านมาได้ยังไงเราไม่ได้ยิน พนมมือขึ้นว่าจะตอบท่านว่า.. กระผมเดินจงกรมนั่งสมาธิ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงมีแต่ความเจ็บปวด นึกว่าจะพูดอย่างนี้ ท่านบอกหยุดๆ ตามเราขึ้นไปกุฏิ ท่านพูดอย่างนี้ ท่านก็เดินกลับกุฏิเลย
ก็เลยเดินตามท่านขึ้นไป ท่านก็ไปนั่งบนอาสนะ บนอาสน์สงฆ์ เราก็มานั่งข้างหน้า ก็กราบท่าน พอกราบท่าน ท่านก็ถามเลย
พระพุทธเจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พอท่านถามอย่างนี้ เราได้ธรรมะแล้ว มันก็แปลกนะ มันแปลออกมาเลย
เราก็ตอบว่าเป็นผู้ชายครับผม
เราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
เป็นผู้ชายครับผม
คำแปลในใจพวกเราจะแปลว่าไง อยากจะให้ใครตอบซักคนหนึ่ง
อันนี้เกิดขึ้นมาจากใจปุ๊บ
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชายเราก็เป็นผู้ชายทำไมถึงโง่ขนาดนี้
ไม่ใช่ผู้หญิงเหรอใจอ่อนแออย่างนี้เหรอ
ทำไมไม่ไปนุ่งผ้าถุงเหมือนอย่างผู้หญิง
มันออกมาจากจิตเลย พอได้ตัวนี้ มันเข้มแข็ง จิตใจมันเข้มแข็ง นี้พระพุทธเจ้าออกบวชอายุเท่าไร ตอนนั้นไปอ่านพุทธประวัติเล่มหนึ่ง ก็เลยรู้ว่าพระพุทธเจ้าออกบวชตอนอายุ ๒๙ ปี
ตรัสรู้อายุเท่าไร
๓๕ ครับผม
เราอายุเท่าไร
๑๘ ย่าง ๑๙ ปี ครับผม
มันโง่ขนาดนั้นเหรอ สู้ผู้เฒ่าไม่ได้
อายุ ๑๘-๑๙ มาปวดแข้งปวดขา ปวดหลังปวดเอวอย่างนี้เหรอ
ท่านพูดแรง ท่านพูดดุๆ
แล้วท่านก็ถามอีกคำหนึ่ง พระพุทธเจ้าเอาชนะอะไร ก่อนที่ท่านจะตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลก
เราตอบไม่ได้ เพราะเราไม่เคยปฏิบัติ
เราก็นิ่ง พอเรานิ่งปุ๊บ ท่านก็พูดขึ้นมาว่า
พระพุทธเจ้าเอาชนะมารไม่ใช่เหรอ กิเลสมาร สังขารมาร
พระพุทธเจ้าเอาชนะตรงนี้ถึงได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกในโลก
พอท่านพูดคำนี้ เรานี้ใจขึ้นเลย นี่เหรอมารที่เรานั่งปวดขาอยู่ทุกวันนี้รู้เลย คืนนี้กูจะสู้ให้มันตาย กูจะไม่ยอมหยุดมัน มันสู้เลย จิตมันต่อสู้เลย พอได้ฟังอย่างนั้น เหมือนกับได้ยาบำรุง มันมีคนจูงใจ มีสิ่งที่จะจูงใจ จิตมันถึงจะต่อสู้ คอยมีครูบาอาจารย์แก้ไข ถ้าเราไม่มีครูมีอาจารย์ ไปหยุดอยู่แค่นั้นมันก็ทำไม่ได้ ถ้าแพ้ก็คือแพ้ไป ถ้าเราไม่สู้อีกก็แพ้ไป ได้ยินแล้วไม่ปฏิบัติก็คือแพ้ไป นี่มันจะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นมีความตั้งใจ ก็เลยคิดว่าตอนนั้นมันใกล้จะค่ำแล้วก็อยากจะไปเดินจงกรม ยังไม่ได้สรงน้ำยังไม่ได้ทำวัตรเย็น คิดอยากจะเดินจงกรมอีกแล้ว ใจมันขึ้น อยากจะเดินจงกรม จากนั้นมาก็เลยลง
ท่านก็สั่ง ไปไป สรงน้ำ ไปทำวัตร เราก็ลงจากกุฏิ ท่านก็ไปสรงน้ำ แล้วก็ขึ้นศาลา ไปจัดอาสนะที่ศาลา แล้วก็ทำวัตรเย็น พอทำวัตรเสร็จ ท่านก็สั่งให้เลิก ไป ไปภาวนา ท่านพูดอย่างนี้ มีพระเณร ปีนั้น ๑๒ รูป ที่อยู่ด้วยกัน ทั้งพระทั้งเณร แต่องค์อื่นท่านไม่เคยบอก ไม่เคยเคี่ยวเข็ญ ท่านเร่งแต่อาตมาองค์เดียว. ทีนี้พอลงมา ก็เดินไปที่ต้นไม้ที่เรากำหนดเอาไว้ เป็นทางจงกรม แล้วก็ไปเดินจงกรม ตอนเดินจงกรมได้ไม่ถึงชั่วโมงก็อยากจะไปนั่งแล้วเหมือนเดิมแหละ เหมือนเดิม ใจมันขึ้นแล้ว มันอยากรู้มันอยากเห็น วันนี้จะต้องเอาชนะให้มันได้ เรื่องมารเรื่องกิเลส
ทีนี้พอเดินจงกรมไปถึง ๒ ทุ่ม ก็เลยขึ้นกุฏิ กุฏิก็กุฏิเล็กๆ ประตูที่กุฏิมันไม่มีกลอน เหมือนอย่างทุกวันนี้ เอาไม้ขัดเอา ขัดบานประตู ขัดประตู ล็อคประตูอย่างดีแล้ว นึกในใจ กราบลงที่หัวนอนที่เราจะนอนนั่นแหละ ที่นอนของเรา กราบลงแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า....
"..ถ้าข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็นธรรมในวันนี้ คืนนี้ จะไม่ลุกจากที่นี่ พอตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็นั่ง พอนั่งไป ๒๐-๓๐ นาที เหมือนเดิม มาอีกแล้ว มารมาอีกแล้ว แต่มาเที่ยวนี้ เราสู้ เราสู้ตาย พอมันเกิดขึ้นมาปุ๊บ นี่หรือมาร จำคำที่ท่านอาจารย์พูดให้ฟัง ว่ามารคือสังขารมาร นี่หรือมาร เราจะยังแพ้อยู่อีกหรือ พระพุทธเจ้าเอาชนะได้ เราต้องเอาชนะให้ได้ พอนั่งไปกำหนดไป ก็เจ็บไป ปวดไป แต่สติไม่เคยขาดจากพุทโธ
กำหนดรวมเลย รวม "พุท" หายใจเข้า "โธ" หายใจออก มีความรู้สึกจากหน้าอกมาถึงปลายจมูก นั่งอยู่นั่นแหละ กำหนดอยู่อย่างนั้น ตอนที่กำหนดอยู่นั้น ร่างกายสังขารของเราดำสนิทเลย ดำสนิทตัวแข็งทื่อ เหน็บขึ้นเป็นช่วงๆ ชากันไปถึงศีรษะ จนขนหัวลุกซู่ขึ้นมา แต่คิดว่า เราจะยอมตายถ้าเราไม่ชนะมารในคืนนี้ จิตมันคิดต่อสู้ เราจะสู้ให้ตาย ถ้าเราตาย เราได้มีโอกาสมาเกิดในภพหน้า เราคงจะไม่ปฏิบัติได้ยากเหมือนอย่างปัจจุบันนี้ เพราะว่าในอดีตชาติเราคงไม่ได้พบพุทธศาสนา ได้พบธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เคยรักษาศีลกินทาน เวลามาปฏิบัติในภพนี้ ถึงได้เป็นอย่างนี้จิตมันเลยย้อนอดีตไป
ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้
เราเป็นลูกชาวนา เกิดมาพอรู้เดียงสาไปนากับพ่อ ไปหาปูหาปลา จับกบจับเขียดสารพัดที่จะเป็นอาหาร จนมาบวชอายุ ๑๘ ย่าง ๑๙ หากเอามารวมกองกันไว้สัตว์ทั้งหลายสูงท่วมกุฏิที่เรานั่งอยู่ จิตก็เลยท้อแท้อ่อนแอ เกิดสงสารตัวเอง
โห เราทำกรรมหนักถึงขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าเราตายไป เกิดว่าไปใช้ชีวิตสัตว์แต่ละตัวละตนแต่ละชีวิต ชีวิตละภพเป็นยังไง
เราจะใช้อยู่กี่แสนภพกี่แสนชาติ พอนึกอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ยอมออกจากสมาธิ ข้าพเจ้าจะยอมตายเลยในคืนนี้ จะไม่กลับไปทำบาปอีก ที่เราทำบาปมามากๆ นี่ เราก็เห็นชัดเจนแล้วในคืนนี้
เรานั่งหลับตาลงไปตัวของเราแข็งทื่อมีแต่ เจ็บปวดดำสนิท
ตัวดำ ๆ นี้คือตัวจิตที่มันเป็นบาป มันเศร้าหมองเหมือนกับก้นหม้อนึ่ง ที่เรานึ่งข้าวเราค้างเตาไฟ ถ้าเป็นปีเป็นยังไง ก้นหม้อมันหนาขึ้นมากมั้ย มันรมควันไฟอยู่นั้นเป็นปีสองปี ถ้าเทียบกับอายุของเรา ๑๘-๑๙ ปี หนามากมั้ย ควันไฟที่ติดที่ก้นหม้อนึ่ง นี่คือเราทำบาปเอาไว้เยอะถึงขนาดนี้เราจะมาขัดอยู่วันเดียว ก้นหม้อนึ่งจะไม่มีวันว่าขาวสะอาด จะต้องใช้เวลาหลายวัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะต้องยอมตายกับสมาธิในคืนนี้ ขอให้ตายไปเถอะ แล้วก็ขอมาเกิดใหม่ ภพชาตินี้ข้าพเจ้าพบพระพุทธศาสนาแล้วพบของจริง
แล้วอย่างที่อาจารย์ได้แสดง ให้เราเห็น
พอนึกอย่างนั้น จิตใจมันก็สู้ พอจิตใจมันสู้ จิตมันน้อมเข้าไปสู่พุทโธ ดิ่งเข้าไป ดิ่งเข้าไป พอถึงเที่ยงคืน เราดูความทุกข์ของร่างกาย ที่มันเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น
ที่มันตัวแข็ง ที่มันดำอยู่อย่างนั้น กำหนดจิตพุทโธ พุทโธ ไม่ยอมหยุด ไม่มีขาดระยะ ไม่มีเผลอตัว สติเพียบพร้อมหมด
พอไปถึงเที่ยงคืนปุ๊บ ได้จุดเด่นขึ้นมาจากปลายจมูก โยงไปถึงหน้าอก เป็นสีขาวเหมือนกับด้ายเส้นเดียว นี่คืออะไรเส้นด้าย เส้นด้ายมันเป็นสีขาว ถ้าเส้นด้ายขาวๆนี้ขาดคือชีวิตของเรานี่ขาดแล้วก็ตาย เรายิ่งเร่งแหละยิ่งกำหนดดู
พอเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นมาก็ดูแต่สีขาวๆ สีด้ายเส้นเดียวนั้นนะ ส่วนพุทโธมันไปไหนหมดแล้วไม่รู้ มาอยู่ที่จุดนี้เลยอยู่ที่เส้นด้ายขาวๆ นี่ พอมองดูเส้นด้าย ขาวๆ เพ่งอยู่ เกือบจะตีหนึ่ง เกิดเสียงดังเหมือนกับเราจุดเปิดที่เตาแก๊ส พอจุดแก๊สมีเสียงฟู่ที่ตรงหน้าเรามีแสงสว่างออกที่ตรงหน้าเรา ห่างจากหน้าเราประมาณซักแขนหนึ่ง ประมาณ ๒ ศอก แล้วก็เป็นลูกกลมเหมือนดวงพระจันทร์สีสว่างนวลเหมือนอย่างพระจันทร์ จิตของเราก็ตาม พอตามดูแสงสว่างเท่านั้นแหละ ซักพักหนึ่งเหมือนกับตัวของเรา อยู่กลางดงพระจันทร์ พอไปอยู่กลางดงพระจันทร์ มันไม่มีข้างหน้าข้างหลัง พอไม่มีข้างหน้าข้างหลังนี่มันไม่มีอะไรขวางกั้นความรู้ของเราได้เลย อยู่ในกุฏิสามารถที่จะมองเห็นลานวัดทั้งหมด เห็นกุฏินั้นกุฏินี้ เห็นศาลา เห็นผู้คนเดินไปมา
#อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๑๑ ขณะอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมี พระครูปภัสสรศีลคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์บุญเกิด ยุตฺตธัมโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์บุญฤทธิ์ สุเมโธ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ตรงกับวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๑๑ เมื่อเวลา ๑๕.๓๐ น. ณ วัดอัมพวัน ตำบลคอนสาย อำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานี ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า "อินฺทสิริ" แปลว่า "ผู้ประกอบด้วยความดี ความยิ่งใหญ่"
เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่ไม อินฺทสิริ มีโอกาส ได้ศึกษาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์สายกรรมฐานที่เป็นศิษย์องค์ สำคัญของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลายรูป อาทิ หลวงปู่ศรี อุจจโย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นต้น
บวชได้ ๑ เดือน ๒๐ วัน ก็ปฎิบัติธรรม รู้ธรรม เห็นธรรม สู้เป็นสู้ตาย ไม่หลับไม่นอนหลายวันหลายคืน ปฎิบัตจริงจัง ปฎิบัติเอาเป็น เอาตาย พอจิตเข้าถึงธรรมแล้ว จิตยึดมั่นอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านปฎิบัติไม่ท้อถอย อดทน ต่อสู้ งานวัดไม่ว่าวัดไหน งานก่อสร้าง ศาลาการเปรียญ จะตั้งใจช่วยงาน
นับตั้งแต่ท่านหลวงปู่ไม อินฺทสิริ ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ในบวรพระพุทธศาสนา ท่านก็ได้ดำเนินเจริญตามรอยธรรมพ่อแม่ ครูอาจารย์ในการประพฤติปฏิบัติธรรมและรักษาพระธรรมวินัย โดยเคร่งครัด ท่านจึงเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่าง ไพศาล สมกับเป็นสงฆ์สาวกของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธศาสนา เป็นสมณะผู้มุ่งสู่มรรคผลนิพพาน อุดมด้วย ธรรมทานอย่างสิ้นสงสัย
#ทายาทธรรมพระอุปคุต
หลวงปู่ไม อินฺทสิริ ท่านเป็นทายาทธรรมพระอุปคุตโดยตรง ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นสามเณรติดตามอุปัฏฐากรับใช้พระอุปคุตมาก่อน (ประวัติพระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม เป็นพระภิกษุ องค์สำคัญองค์หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นพระ เถระที่เกิดในช่วงยุคหลังของพระพุทธเจ้า พระอุปคุตท่าน ได้บำเพ็ญธรรมตามรอยพระพุทธองค์ และได้บำเพ็ญอยู่ ใต้ท้องทะเลหรือสะดือทะเล)
หลวงปู่ไม ท่านเคยเมตตาเล่าไว้ตอนเทศนาว่า “คืนหนึ่งเราเดินจงกรมอยู่ พอจิตมันรวม เราเลยไปยืนสงบนิ่งอยู่ เลยนิมิตเห็นพระอาจารย์ท่านมาโปรด ตอนนั้นปรากฏภาพพระเถระมาปรากฏกายยืนลอยเด่นรัศมีสว่างจ้าอยู่ ประมาณยอดต้นไม้ที่เราเดินจงกรมอยู่นั้น ท่านบอกว่าเราคือ “พระอุปคุต” เรามาอนุโมทนากับเธอ เพราะเธอเคย เป็นลูกศิษย์เราในอดีตสมัยพุทธกาล
ท่านบอกว่า “เราเป็นห่วงเธอ เพราะในสมัยนั้นเธอยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เธอเกิดเป็นไข้มาลาเรีย” ในช่วงนั้น กำลังเดินธุดงค์จะไปถึงที่พัก ห่างที่พัก เดินยังไม่ถึงที่พัก ประมาณอีก ๒-๓ ชั่วโมงก็จะถึงแล้ว จากนั้นคิดว่า ๓ ทุ่ม จะเดินไปถึง ตอนนั้นน่าเป็นบ่าย 4 โมงเย็นแล้ว ทางที่จะเดินถึงนะอีก ๓๐ กิโล เดินไปถึงครึ่งทางนะ ไข้มาลาเรีย มันขึ้น เราก็เป็นเณรน้อยทั้งพายบาตร แบกกลด หิวกาน้ำ นี่เดินนำหน้า ท่านให้เดินนำหน้าคล้าย ๆ ว่าคุมเราไป ท่านก็รู้ว่าเราเป็นไข้ขึ้นหนักอยู่ แล้วต้องเดินทางด้วยกัน บังเอิญไขมันขึ้นสูง หลวงปู่ก็เลยชัก ชักจนขามันงอขึ้นมา มันล้มคะมชักกะแด่ว ๆ วนไปวนมาอยู่พื้นดิน องค์ท่านพระอุปคุตท่านก็ยืนอยู่ ยืนอยู่นั้น จะก้มลงไปอุ้มเรา ในภาพ ที่หลวงปู่เห็นในนิมิตในขณะที่ท่านกำลังเล่าอยู่นะ ท่านเล่าอยู่บน ลอยอยู่บนอากาศ ภาพที่เราเห็นในประเทศอินเดีย ก็เป็นตามที่ท่านเล่าทุกอย่าง นี่แหละจิตใจถึงผูกพันกับพระอุปคุต จึงได้สร้างพระอุปคุตขึ้นมา
#ธรรมโอสถรักษาพิษไข้มาลาเรีย
“ธรรมะของพระพุทธเจ้ากำจัดภัยได้จริง”
“ใช้เป็นบุญญาฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเด้”
ในสมัยก่อนไปธุดงค์ตามที่ต่าง ๆ เวลาเจอแหล่งน้ำตามที่นั่น ๆ นะ ตักน้ำขึ้นมาก็เอามาต้ม (ต้มน้ำฉัน) พอมัน เดือดแล้ว เราก็เอามาวางให้เย็นแล้วก็กรอง กรองแล้วก็เอาใส่กระติกไว้เป็นน้ำฉัน ถ้าเราไม่ต้มละ ไข้มาลาเรียนะ
โอ้ย ยุงไปไข่ใส่ไว้นั้นพ่นมาลาเรียใส่น้ำนะ ใครไม่ระวังนะ โอ้ย ๓-๔ เดือนเท่านั้นละ ตกบ่ายมานั่งอยู่อย่างนี้ละ หน้าดำคร่ำเขียวหมด มันเป็นธรรมชาติของมัน พอบ่ายมานะ ปวดหัวก็ปวด หนาวก็หนาว เหมือนกับก้อนน้ำแข็ง อยู่ในอก มันเย็นเป็นพิเศษ มันหนาว ถ้าใครไม่เคยเป็นไข้มาลาเรียไปลองดู (หลวงปู่หัวเราะ)
ปวดหัวนี้กอดหัวอย่างนี้เลย โอ้ย เส้นเอ็นทุกส่วนมันเจ็บไปหมด แต่ก็อาศัยเป็นธรรมะ เอ้า ถ้ามันจะตาย ก็เร่งภาวนา ก็ภาวนาเร่งเอา หลวงปู่ไปหายที่จันทบุรีไข้มาลาเรียนะ รักษาที่ขอนแก่นเป็นปีสองปีไม่หาย อยู่ที่ศูนย์ มาลาเรียเขาเลย หมอนี้ไปเต็มกุฏิทุกวันแต่ไม่หาย
พอตัดสินใจไปตายที่จันทบุรี เขาว่ามาลาเรียที่จันทบุรีมันแรงก็เลยไป ไปนั่งจนจิตสงบที่นั่น ที่มันไข้สูง ตอนนั้นนะ ไข้มาลาเรียขึ้นมาซัดเลย ก็เลยกางกลด เราก็เข้าไปนั่งแคร่ไม้ไผ่ เย็นตรงนี้มันเหมือนเอาน้ำแข็งมาใส่ พอจิตของเรามันรวมลง มันเห็นใส ๆ อยู่อย่างนี้ ใสเข้า ๆ รวมปุ๊บ “โอ้ย มันเห็นหมดในโลกอันนี้”
ดิ่งขึ้นไปบนสวรรค์ เห็นหอปราสาทราชวังแต่ละชั้น ๆ ไป เทพเทวดาอยู่ที่ไหนไปท่องเที่ยวหมด ไปอบรม ไปเทศน์ ไปสอน ไปปรึกษาธรรมะ ไปสนทนาธรรม เขาจะนั่งเต็มเลย
โอ้ย ไปมีความสุขอยู่ที่ตรงนั้น
พอเสร็จจากนั้นพอถึงตีห้าจนเขาบอกหมดเวลา รู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่ก็เลยนั่งต่อไป วันหลังก็ไปอีก พอตกเย็นมา ทุ่มหนึ่งก็ไปอีกแล้ว จากนั้นไข้มาลาเรียก็หาย ไม่รู้ว่าหายด้วยวิธีไหน ก็เลยมานึกคำสอนหลวงปู่อ่อน (หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ) อยู่บ่อย ๆ เรื่อง “ธรรมโอสถ”
คำว่า “ธรรมโอสถ” มันเป็นอย่างนี้เหรอ
ธรรมโอสถไม่ต้องไปฉันยา ไม่ต้องไปกินยา เราก็รักษามานานแล้ว ฉีดยาก็ฉีด โอ้ย หมอที่ขอนแก่นนี่ ฉีดแล้ว ฉีดอีกจนสะโพกจะเปื่อยเว้ย ฉีดเท่าไหร่ก็ไม่หาย ฉีดทุกวันก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น พอไปมันหาย หายเพราะจิตสงบ รวมลงเท่านั้นแหละ
มันหายหมดไข้มาลาเรีย หายเด็ดขาดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ เพราะมันเป็นมาแล้ว ไม่ใช่ว่า ให้แต่หมอฉีดนะ เราฉีดเอาเองก็มี ก่อนนี้ฉีดยาเก่งนะหลวงปู่นี่ ฉีดเข้าเส้นเข้ากล้าม ฉีดเอาเอง ฉีดเข้ากล้ามแขน กล้ามสะโพก ชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วยตามบ้านป่าตามเขา เราไปเจอนี่ฉีดยาให้เลย หาย ทำน้ำมนต์ให้ด้วย ผูกข้อมือ ให้ด้วย เอาหมดทุกอย่าง รักษาเขาพอได้ข้าวเขากิน แต่มันก็ดีเด้ละ
#พบหลวงปู่แหวน_สุจิณฺโณ
โอ้ ไปพบกับหลวงปู่แหวนนี้ก็น่าอัศจรรย์ใจเด้ ไปกับหลวงพ่อศิลา ไปจากนครพนม ไปพักที่อำเภอนาแก กับหลวงพ่อศิลา ชวนไปเที่ยว เมืองเหนือไปกราบหลวงปู่แหวน พอไปกราบ หลวงปู่แหวนท่านก็นั่งอยู่ หลวงพ่อศิลาท่านก็นึกขึ้นมาเลย นึกในใจนะ นึกขอไตรจีวรเด้
“หลวงปู่ครับผม เกล้ากระผมอยากได้ไตรจีวรครับผม ถ้าหลวงปู่ให้ เกล้ากระผมจะเอาไปใช้ตลอดชีวิต” (นึกในใจนะ นั่งอยู่ข้างหน้ากราบ แล้ว)
ตอนนั้นหลวงปู่ท่านก็ไม่ค่อยพูดนะ
หลวงปู่แหวน : “เณรน้อยๆ ไปเปิดตู้ดูสิ หาไตรจีวรสวยๆ มาให้ หลวงปู่หน่อย” (เณรก็ไปเอาเลือกมา)
เฮ้ย ยังไม่ถูกใจเรา เอากลับไปใหม่ หามาใหม่ เรียกมาครั้งที่สอง อันนี้ยังไม่ถูกใจอีก เอากลับคืนไปไว้ (เณรก็ เลือกมาๆ อันนี้ปู่ อันนี้ดีที่สุดแล้ว)
หลวงปู่แหวน : “เอ่อ ใช้ได้ เอ้า ญาครูเอาไปใช้ตลอดชีวิตเด้อ” (เสียงสาธุดังๆ ของญาติโยม)
พระอรหันต์นะ นี้หลวงปู่แหวนนะ ต่อหน้าต่อตาเลยไปกับหลวงพ่อศิลา แล้วยังไม่พออีกนะ ครั้งที่สองอีก หลวงปู่แหวนท่านสูบบุหรี่ม้วนใบจากนะ ทางเมืองเหนือจะยาว ๆ อย่างนี้ ท่านสูบเหลืออยู่ประมาณนี้ละ ท่านก็วางไว้ ท่านก็มาต่อ คุยไปท่านก็หัวเราะไป ท่านก็เอาบุหรี่มาสูบต่อ เฮ้ย จุดเท่าไหร่มันก็ไม่ติด
หลวงปู่ศิลาก็ว่าอีกละ : “โอ้ หลวงปู่ ถ้ามันจุดไม่ติดก็ให้ลูกหลานไปบูชาซะ” (นี่นึกในใจนะนี่)
หลวงปู่แหวน : “เอ้า มันไม่ติดก็เอาไปบูชาซะญาครูว่างั้น” (หลวงปู่หัวเราะกับญาติโยม)
นี้ง่าย ๆ อย่างนี้เด้ จะไม่ให้เราเชื่อได้ยังไง มันก็ลืมไม่ได้ตั้งแต่โน้นมาจนปัจจุบันนี้ นี้มันฝังใจเราในความรู้ ของพระอรหันต์นะ พอเราได้อย่างนี้เราได้อะไรละ พอกลับมาเรามีกำลัง กำลังที่จะมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา อยากให้มันเป็นอยากให้มันรู้เหมือนอย่างกับท่าน คือมันได้มามันก็จะเป็นอย่างนี้ ไปแต่ละองค์มันก็จะได้แต่ อย่างนี้แหละ อย่างหลวงปู่ชอบก็เหมือนกัน หลวงปู่ไหนก็เหมือนกัน ก็ได้แต่ละองค์ ๆ มา ได้กำลังใจมา
นี้คือการไปหาหลวงปู่ครูบาอาจารย์ ให้พวกเราได้ยินได้ฟังก็พากันเอาไปปฏิบัติเด้อ แล้วจะได้ถึงฝั่งซะที ไม่ต้อง มาเดินทางอ้อมไปอ้อมมา โอ้ย ไกลแท้เด้ ไกลทางอ้อมนะ มันไกลแท้เด้ ตรง ๆ นี้มันถึงง่ายเด้
บั้นปลายชีวิตสมณะ หลวงปู่ไม อินฺทสิริ ท่านได้มาสร้างวัดป่าเขาภูหลวง ตั้งอยู่ที่ตำบลระเริง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และ พำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
#อาการอาพาธ
หลวงปู่ไม อินฺทสิริ ได้เข้ารับการ รักษาอาการอาพาธที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔ ด้วยอาการ เหนื่อยหอบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ อ่อนเพลีย ฉันภัตตาหารไม่ได้ ความดันโลหิตตก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำมาก ระดับอัลบูมินในเลือดต่ำ การทำงานของหัวใจล้มเหลว และภาวะโลหิตจาง ติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษา ใส่สายเพื่อระบายน้ำดีที่ติดเชื้อออกเป็นการเร่งด่วน ถวายการฟอกไต ถวายยาเพิ่มความดันโลหิตแก้ไขภาวะความเป็นกรดในเลือด แก้ไขภาวะของเสียคั่งผลการรักษาอาการอาพาธของหลวงปู่ไม ดีขึ้นตอบสนองต่อการรักษาแต่ยังไม่พ้นภาวะวิกฤต
วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ หลวงปู่ไม ท่านเริ่มมีภาวะแทรกซ้อน ของอาการสมองขาดเลือดและมีหลอดเลือดแดงอุดตันเฉียบพลันที่ขาทั้งสองข้าง ซึ่งอาการอาพาธของหลวงปู่ไม วิกฤตมาก ทางคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง เต็มสุดกำลังความสามารถ
ในวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.
หลวงปู่ไม ท่านมีอาการดีขึ้น ระดับรู้สึกตัวดีขึ้น
ท่านตอบสนองต่อเสียงเรียก ความดันโลหิต ๑๐๐/๗๐ มิลลิเมตรปรอท จากนั้นแพทย์ได้ถวายการฟอกไต โดยใช้เทคนิคตัวกรองพิเศษในการนำของเสียและ Cytokines ออก เลือดไม่มีภาวะความเป็นกรด แพทย์เริ่มถวายสารอาหารทางหลอดเลือดดำขณะฟอกไตเพื่อรักษาธาตุขันธ์
คณะแพทย์ยังถวายการรักษาหลวงปู่เต็มที่ในทุก ๆ ด้าน หลังจากที่อาการอาพาธของหลวงปู่ตอบสนองดีขึ้น
และเมื่อเวลา ๐๑.๑๒ น. ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๔ หลวงปู่ไม อินฺทสิริ ท่านได้ละสังขารลงด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร สิริอายุ ๗๓ ปี ๗ เดือน ๒ วัน ๕๔ พรรษา
".. เกิดแล้วเกิดอีก เจ็บแล้วก็เจ็บอีก
ป่วยแล้วก็ป่วยอีก เสียใจแล้วก็เสียใจอีก
ตายแล้วก็ตายอีก ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ไม่เบื่อบ้างหรือเพราะกิเลสตัวเดียว
มันเอาความสุขชั่วคราวมาทับเสีย
ก็เลยลืมทุกข์ที่ว่านี้หมด .. "
โอวาทธรรมหลวงปู่ไม อินฺทสิริ
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น