วิธีเจริญวิปัสสนา สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทธสิริ)

วิธีเจริญวิปัสสนา
สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทธสิริ)
วัดโสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

๏ สุภมัตถุ ขอความงามความดีจงมีแก่สาธุชนผู้บำเพ็ญเพียรจะเจริญวิปัสสนาภาวนานี้ เมื่อท่านจะเจริญพึงรู้จักอรรถ รู้จักความของวิปัสสนาภาวนาดังนี้ว่า ข้อซึ่งสาธุชนมาทำวิปัสสนาปัญญาที่เห็นแจ้งชัดในอารมณ์ ให้เกิดให้มีขึ้นในจิตต์ด้วยเจตนาอันใด เจตนาอันนั้นชื่อวิปัสสนาภาวนา ก็วิปัสสนาภาวนานี้ เมื่อสาธุชนจะเจริญพึงศึกษาให้รู้จักธรรม ๓ อย่าง

คือ ธรรมเป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น ๑

คือ ธรรมเป็นรากเง่าเป็นเหตุเกิดขึ้น ตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น ๑

คือ ตัววิปัสสนานั้นด้วย ๑

อะไรเล่า เป็นภูมิ เป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น สังขารธรรมที่ปัจจัยประชุมตกแต่งสร้างขึ้น เป็นอุปาทินที่นามธรรมถือเอาอาศัยอยู่ และเป็นอนุปาทินที่นามธรรมไม่ถือเอาอาศัยอยู่ หรือเป็นนามปละรูปที่พุทธาทิบัณฑิตแจกออกโดยประการต่าง ๆ มีขันธ์ ๕ และ อายตนะ ๑๒ และธาตุ ๑๘ และอินทรีย์ ๒๒ เป็นต้นทั้งสิ้นเหล่านี้ เป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนานั้น ต้องเรียนธรรมที่เป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น และไต่ถามให้รู้ความจำทรงท่องบ่นไว้ให้ชำนาญด้วยดี จึงควรจะเจริญวิปัสสนานั้นได้ ฯ

๏ อะไรเล่า เป็นรากเง่าเป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น สีลวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของศีล จิตฺตวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของจิตต์ คือ อุปจารสมาธิ และอปฺปนาสมาธิ วิสุทธิทั้ง ๒ นี้เป็นรากเง่าเป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนานั้น ต้องปฏิบัติให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นผู้มีจิตต์บริสุทธิ์ด้วยสมาธิเสียก่อน จึงควรจะเจริญวิปัสสนานั้นได้ ถ้าเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ไม่ได้สมาธิ มีจิตต์ฟุ้งสร้านอยู่แล้ว ก็เป็นผู้อาภัพ ไม่ควรจะเจริญวิปัสสนานั้นเลย เพราะศีลและสมาธิเป็นเหตุแรงกล้าให้เกิดวิปัสสนานั้น ฯ

๏ ก็อะไรเล่าเป็นตัววิปัสสนานั้น วิสุทธิ ๕ อย่าง คือ

๑. ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของความเห็น

๒. กงฺขาวตรณวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของปัญญาที่เห็นชัดข้ามล่วงกังขาเสียได้

๓. มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของความรู้จริงเห็นจริงว่านี่เป็นทางปละใช่ทาง

๔. ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของความรู้ความเห็นเป็นข้อปฏิบัติจะให้อริยมรรคเกิดขึ้น

๕. ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ความบริสุทธิ์ของความรู้ความเห็นซึ่งเป็นโลกุตร คือรู้เห็นในมรรคทั้ง ๔ ฯ

๏ ก็การกำหนดรู้เห็นนามและรูปมีจริงเป็นจริงตามลักษณะเครื่องหมายแจ้งชัดไม่หลงในสมมติ ว่าสัตว์ ว่าบุคคล ว่าตัว ว่าตนดังนี้ ชื่อว่า ทิฏฐิวิสุทธิ, กำหนดรู้จริงเห็นจริงซึ่งนามและรูปทั้งเหตุทั้งปัจจัยข้ามล่วงกังขาในกาลทั้ง ๓ เสียได้ ไม่สงสัยว่าเราจุติมาแต่ไหน เราเป็นอะไร เราจะไปเกิดที่ไหน เทวดามีหรือไม่มีดังนี้ ชื่อว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ, ความรู้จริงเห็นจริงว่า นี่เป็นตัววิปัสสนา เป็นทางมรรคผล นี่เป็นอุปกิเลสใช่ทางมรรคผลดังนี้ ชื่อว่า มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ, วิปัสสนาญาณทั้ง ๙ มี อุทยัพพยญาณเป็นต้น มีอนุโลมญาณเป็นที่สุด ชื่อว่า ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ, อริยมรรคทั้ง ๔ ชื่อว่า ญาณทัสสนวิสุทธิ

   วิสุทธิทั้ง ๕ นี้ เป็นตัววิปัสสนา ฯ

๏ อนึ่ง ปัญญาที่รู้จริงเห็นจริงในสภาวะความเป็นเองของสังขาร คือเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รู้แจ้งเห็นชัดว่า สิ่งใดไม่เที่ยงเกิดแล้วดับไป สิ่งนั้นเป็นทุกข์ทนยากจริง สิ่งใดเป็นทุกข์ทนยาก สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ใช่ตัวใช่ตนจริง สิ่งใดเป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตน สิ่งนั้นไม่ควรจะถือว่าของเราด้วยตัณหา ไม่ควรจะถือว่าเราด้วยมานะ ไม่ควรจะถือว่าตัวตนด้วยทิฏฐิจริง เพราะว่าเราตัวตนไม่มี ปัญญาที่รู้เห็นแจ้งชัดอย่างนี้แก่กล้าจนถึงนิพพิทา เบื่อเกลียดชังสังขาร ไม่เพลิดเพลินในสังขาร และวิราคะ หน่ายไม่กำหนัดยินดีในสังขาร และวิมุตติปล่อยวางสังขารเสีย หลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้งสิ้น นี้ก็เป็นวิปัสสนาเหมือนกัน ฯ

๏ สาธุชนผู้บำเพ็ญเพียรในตัววิปัสสนาซึ่งว่ามานี้ ทำให้บริบูรณ์แล้ว ก็เป็นอันเจริญวิปัสสนาด้วยดี เป็นผู้ถึงซึ่งยอดแห่งวิปัสสนานั้น ฯ อันนี้เป็นความสังเขปในวิปัสสนานั้น ฯ

๏ ก็ความพิสดารในวิปัสสนานั้นอย่างว่านี้ สาธุชนผู้จะเจริญวิปัสสนานั้น พึงปฏิบัติให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นผู้มีจิตต์บริสุทธิ์ด้วยสมาธิอันใดอันหนึ่ง ทิฏฐิความเห็นวิปริตเป็นเหตุให้ถือผิดไปต่าง ๆ เหล่าใดมีอยู่ในโลก พึงหยั่งลงพิจารณาด้วยปัญญาเห็นว่าทิฏฐิเหล่านั้นผิด ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่ทางวิปัสสนาแล้ว พึงละเว้นเสียด้วยประการทั้งปวง ฯ

๏ อนึ่ง ให้สาธุชนผู้จะเจริญวิปัสสนานั้น พึงรู้จักลักษณะและกิจและผลและเหตุของวิปัสสนานั้นด้วย พึงรู้จักวิภาคความจำแนกอีก ๖ อย่างของวิปัสสนานั้นด้วย ฯ

๏ อะไรเป็นลักษณะเครื่องหมายของวิปัสสนานั้น สภาพความเป็นเองของสังขาร คือเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจริงย่างไร ความรู้ความเห็นว่าสังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแจ้งชัดจริงอย่างนั้น อันนี้แลเป็นลักษณะเครื่องหมายของวิปัสสนานั้น เป็นลักษณะให้รู้จักตัววิปัสสนานั้น ถ้ารู้เห็นเป็นอย่างอื่น ๆ ไป ไม่ถูกต้องตามลักษณะนี้แล้ว ก็ไม่ใช่วิปัสสนานั้น ฯ

๏ อะไรเล่าเป็นกิจ เป็นคุณของวิปัสสนานั้น มืดคือโมหะ ความหลงในสังขารว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวเป็นตนอันใด ปิดบังปัญญาไว้ ไม่ให้เห็นความเป็นจริงของสังขาร คือเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความขจัดมืดคือโมหะนั้นเสียสิ้น ไม่หลงในสังขารว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวเป็นตน เป็นของงาม อันนี้แลเป็นกิจเป็นคุณของวิปัสสนานั้น ฯ

๏ อะไรเล่าเป็นผลของวิปัสสนานั้น ความเห็นจริง ส่องสว่างเห็นทั่วไปในความที่สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มืดคือดมหะความหลงไม่มี เข้าตั้งอยู่เฉพาะหน้า ปรากฏอยู่ดังดวงประทีปส่องสว่างอยู่ฉะนั้น อันนี้แลเป็นผลของวิปัสสนานั้น ฯ

๏ อะไรเล่าเป็นเหตุเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ของวิปัสสนานั้น จิตต์ที่ไม่ฟุ้งสร้าน ตั้งมั่นด้วยสมาธิอันใดอันหนึ่ง อันนี้แลเป็นเหตุเกิดขึ้นตั้งอยู่ของวิปัสสนานั้น วิปัสสนานั้นย่อมอาศัยสมาธิ จึงเกิดขึ้นตั้งอยู่ได้ ถ้าไม่เจริญให้สมาธิเกิดขึ้นก่อนแล้ว ก็ไม่สามารถจะเจริญวิปัสสนานั้นให้เกิดขึ้นได้ เพราะสมาธิเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนานั้น โดยนัยนี้ ผู้ที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ไม่ได้สมาธิ มีจิตต์ฟุ้งสร้านอยู่แล้ว จะมาอวดอ้างว่าได้สำเร็จในวิปัสสนาภาวนาอย่างนั้น ๆ ไม่ควรจะเชื่อถือเลย เพราะศีลที่บริสุทธิ์ให้เกิดสมาธิ สมาธิเล่าก็เป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนา วิปัสสนานั้นเล่าก็เป็นเหตุให้เกิดอริยมรรค อริยมรรคนั้นเล่าก็เป็นเหตุให้เกิดอริยผล เป็นธรรมดานิยมมีอยู่อย่างนี้ ไม่ยักย้ายอย่างอื่นไปได้เลย ให้ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนานั้น พึงรู้จักลักษณะและกิจและผล และเหตุของวิปัสสนานั้น ด้วยประการดังว่ามาฉะนี้ ฯ

๏ ก็วิภาค ความจำแนก ๖ อย่าง คือ

อนิจฺจํ ของไม่เที่ยง ๑ อนิจฺจลกฺขณํ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นของไม่เที่ยง ๑

ทุกฺขํ ของที่สัตว์ทนยาก ๑ ทุกฺขลกฺขณํ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ๑

อนนตฺตา สภาวะใช่ตัวใช่ตน ๑ อนตฺลกฺขณํ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าใช่ตัวใช่ตน ๑

ในวิภาคทั้ง ๖ นั้น

สังขารของที่ปัจจัยประชุมแต่งสร้างขึ้นเป็นอุปาทินที่นามธรรมถือเอาอาศัยอยู่อย่าง ๑ เป็นอนุปาทินที่นามธรรมไม่ถือเอาอาศัยอยู่อย่าง ๑ หรือเป็นนามและรูปที่พุทธาทิบัณฑิต แจกออกโดยประเภทต่าง ๆ มีขันธ์, อายตนะ, ธาตุ เป็นต้น ที่เป็นภูมิเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาทั้งสิ้น เป็นตัวอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง เพราะเกิดขึ้นแล้วดับไปด้วย แปรปรวนยักย้ายเป็นอย่างอื่น ๆ ไป ไม่คงอยู่อย่างเดิมด้วย ก็ความเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสิ้นดับไป และผันแปรเป็นอย่างอื่น ๆ ไปนั้นนั่นแลเป็นตัวอนิจจลักขณะ เครื่องหมายที่จะให้รู้ให้เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยงจริง

สังขารและนามรูปที่เป็นของไม่เที่ยงนั้นนั่นแลเป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นของอันความเกิดดับและผันแปรยักย้ายเป็นอย่างอื่น ๆ ไป ด้วยเพลิง คือ ชรา, พยาธิ, มรณะ, บีบคั้นเบียดเบียนเผาผลาญอยู่เป็นนิตย์ ก็อันความเกิดดับและผันแปรเป็นอย่างอื่น ๆ ไป ด้วยชรา, พยาธิ, มรณะ เบียดเบียนเผาผลาญอยู่เป็นนิตย์นั้นนั่นเองเป็นตัวทุกขลักขณะ

เครื่องหมายที่จะให้รู้ให้เห็นว่าเป็นทุกข์จริง ธรรมหมดทั้งสิ้นที่เป็นสังขารและวิสังขาร คือนิพพานเป็นตัวอนัตตา เพราะเห็นธรรมศูนย์จากตัวจากตน ศูนย์จากสัตว์จากบุคคล ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นเจ้าของ เป็นแต่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง ๆ ไปหมดสิ้น ก็ความเป็นของศูนย์จากตัวจากตน ศูนย์จากสัตว์จากบุคคล ไม่มีเจ้าของเป็นแต่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง ๆ ไปหมดสิ้นนั้นนั่นแล เป็นตัวอนันตลักขณะ เครื่องหมายที่ให้รู้ให้เห็นว่าเป็นอนัตตาจริง

ให้ผู้ที่จะเจริญวิปัสสนานั้นพึงรู้จักวิภาค ๖ อย่างด้วยประการดังว่ามานี้ ฯ

๏ สาธุชนผู้บำเพ็ญเพียร เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ มีสีลวิสุทธิเป็นต้น ดังว่ามานี้แล้ว ก็เป็นผู้ควรเจริญวิปัสสนาด้วยดี เป็นผู้สามารถจะยังวิปัสสนานั้นให้บริบูรณ์ได้ด้วยประการทั้งปวงทีเดียว ฯ

๏ ลำดับนี้จะได้แสดงธรรมที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา และวิธีที่จะเจริญวิปัสสนานั้น ตามนัยที่มาในบาลีและอรรถกถา ความว่า

สังขารของที่ปัจจัยประชุมแต่งสร้างขึ้นเป็นอุปาทิน ที่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถือเอาอาศัยอยู่แล้ว และเป็นอนุปาทิน ที่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่อาศัยอยู่แล้ว สังขารทั้งสิ้นนั้นนั่นแลเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา วิปัสสนาที่มีสังขารทั้งสิ้นเป็นอารมณ์นั้นได้ในอนิจจทุกขลักขณะ ทุกขลักขณะ ทั้ง ๒ มาแล้วในบาลีว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งสิ้นเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งสิ้นเป็นทุกข์ อันสัตว์ทนยากดังนี้

อนึ่ง ธรรมทั้งสิ้นที่เป็นสังขารและวิสังขาร คือนิพพาน ก็เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา วิปัสสนาที่มีธรรมทั้งสิ้นเป็นอารมณ์นั้นได้ในอนัตตลักขณะอย่างเดียว มาแล้วในบาลีว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งสิ้นไม่ใช่ตัวใช่ตน ศูนย์จากตัวจากตนดังนี้ ก็นิพพานที่มีสังขารไปปราศจากแล้ว ไม่ได้ในคำว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา, สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา ดังนี้

เพราะนิพพานนั้นเป็นธรรมเที่ยงถาวร มีอยู่ทุกเมื่อ และเป็นบรมสุขด้วย ก็แต่นิพพานนั้นเป็นอนัตตา ใช่ตัวใช่ตน ใช่สัตว์ ใช่บุคคล เป็นอสังขตธาตุอย่างหนึ่งต่างหาก จึงได้ในคำว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ดังนี้

สาธุชนเมื่อจะเจริญวิปัสสนาที่มีสังขารและธรรมเป็นอารมณ์นั้น พึงเจริญตามนัยที่มาในบาลีว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา, สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา, สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ดังนี้ก็ได้ ฯ

๏ อนึ่ง ขันธ์ ว่าหมวดว่ากอง มีอยู่ ๕ คือ รูป กอง ๑, คือ เวทนา กอง ๑, คือ สัญญา กอง ๑, คือ สังขาร กอง ๑, คือ วิญญาณ กอง ๑

ในกอง ๕ นั้น

รูป มีอันทรุดโทรมฉิบหาย เพราะปัจจัยที่เป็นข้าศึกแก่ตนมีเย็นร้อนเป็นต้น เป็นลักษณะเครื่องหมายเฉพาะตัว คือ มหาภูตรูป ๔ คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม และรูปที่อาศัยมหาภูตรูปทั้ง ๔ นั้น รูปทั้งสิ้นนี้เป็นกองรูป

เวทนา มีความรู้แจ้ง ความเสวยอารมณ์เป็นลักษณะเครื่องหมายเฉพาะตัว คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา เกิดแต่สัมผัส ความเสวยอารมณ์ทั้งสิ้นนี้เป็นกองเวทนา

สัญญา มีความรู้จักอารมณ์ จำอารมณ์ได้ เป็นลักษณะเครื่องหมายเฉพาะตัว คือรู้จักรูป จำรูปได้ รู้จักเสียง จำเสียงได้ รู้จักกลิ่น จำกลิ่นได้ รู้จักรส จำรสได้ รู้จักสัมผัส จำสัมผัสได้ รู้จักธรรมารมณ์ จำธรรมารมณ์ได้ ความรู้จักจำได้ทั้งสิ้นเป็นกองสัญญา

สังขาร มีอันตกแต่งจิตปรุงจิต เป็นเครื่องหมายเฉพาะตัว คือสัญเจตนาความคิดกับจิตในอารมณ์มีรูปเป็นต้นก็ดี คือ เจตสิกธรรมที่เกิดในจิตทั้งสิ้น ยกแต่ เวทนา สัญญา เสียก็ดี เป็นสังขาร

วิญญาณ มีอันรู้จักอารมณ์วิเศษเป็นลักษณะเครื่องหมายเฉพาะตัว คือจิตที่อาศัย จักษุ, โสต, ฆานะ, ชิวหา, กาย, ใจ เกิดขึ้น เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง จิตทั้งสิ้นนี้เป็นกองวิญญาณ

ขันธ์ ๕ กองซึ่งว่ามานี้ เป็นภูมิ เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา

วิปัสสนามีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์นั้น ได้ในอนิจจลักขณะ และอนัตตลักขณะทั้ง ๒ มาแล้วในบาลีว่า

รูปํ อนิจฺจํ รูปไม่เที่ยง

เวทนา อนิจฺจา ความเสวยอารมณ์ไม่เที่ยง

สญฺญา อนิจฺจา ความจำหมายไว้ไม่เที่ยว

สงฺขารา อนิจฺจา ธรรมที่ตกแต่งจิต ปรุงจิตไม่เที่ยง

วิญฺญาณํ อนิจฺจํ จิตที่รู้จักอารมณ์วิเศษไม่เที่ยง

รูปํ อนตฺตา รูปใช่ตัวใช่ตน

เวทนา อนตฺตา ความเสวยอารมณ์ใช่ตัวใช่ตน

สญญฺญา อนตฺตา ความจำได้หมายไว้ใช่ตัวใช่ตน

สงฺขารา อนตฺตา ธรรมที่ตกแต่งจิตปรุงจิตใช่ตัวใช่ตน

วิญฺญาณํ อนตฺตา จิตที่รู้จักอารมณ์วิเศษใช่ตัวใช่ตน

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งสิ้นไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งสิ้นที่เป็นสังขารและวิสังขารใช่ตัวใช่ตน ดังนี้

วิปัสสนาที่มีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ได้ในอนิจจลักขณะ อนัตตลักขณะทั้ง ๒ มาแล้วในบาลีด้วยประการดังนี้ บาลีนี้แสดงอนิจจลักขณะ อนัตตลักขณะทั้ง ๒ ไม่แสดง ทุกขลักขณะไว้ เพราะทุกขลักขณะนั้นนับเข้าเสียในอนิจจลักขณะนั้น เพราะว่าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เมื่อเห็นอนิจจลักขณะแล้ว ทุกขลักขณะย่อมปรากฏด้วย เพราะเหตุนี้ บาลีจึงแสดงแต่อนิจจลักขณะ, อนันตตลักขณะทั้ง ๒ เท่านั้น สุธุชนผู้บำเพ็ญเพียร พึงเจริญวิปัสสนาที่มีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ตามนัยที่มาแล้วในบาลีดังว่ามานี้ก็ได้แล ฯ

๏ อนึ่ง วิปัสสนาที่มีขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์นั้น ได้ในลักษณะทั้ง ๓ คือ อนิจจลักขณะ และทุกขลักขณะ และอนัตตลักขณะ มาแล้วในบาลีดังนี้ว่า รูปํ อนิจฺจํ รูปเป็นของไม่เที่ยง ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ รูปใดเป็นของไม่เที่ยง รูปนั้นเป็นทุกข์ ยํ ทุกฺขํ ตํ อนตฺตา รูปใดเป็นทุกข์ รู้นั้นใช่ตัวใช่ตน ยทนตฺตา ตํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เม โส อนตฺตา รูปใดใช่ตัวใช่ตน รูปนั้นไม่ใช่ของเรา รูปนั้นไม่ใช่เรา รูปนั้นไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงของรูปนั้นดังนี้เถิด เวทนา อนิจฺจา ความเสวยอารมณ์เป็นของไม่เที่ยง ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นใช่ตัวใช่ตน ยทนตฺตา ตํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เม โส อตฺตา สิ่งใดไม่ใช่ตัวใช่ตน สั่งนั้นไม่ใช่ของเรา สั่งนั้นไม่ใช่เรา สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างไรของสัญญาดังนี้เถิด สงฺขารา อนิจฺจา ธรรมที่ปรุงจิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ สิ่งใดเป็นของไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นใช่ตัวใช่ตน นทนตฺตา ตํ เนตํ มม เนโสหมสฺมิ น เม โส อตฺตา สิ่งใดใช่ตัวใช่ตน สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา สิ่งนั้นไม่ใช่เรา สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริง อย่างไรของสังขารดังนี้เถิด วิญฺญาณํ อนิจฺจํ จิตรู้จักอารมณ์วิเศษเป็นของไม่เที่ยง ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ สิ่งใดเป็นของไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นใช่ตัวใช่ตน ยทนตฺตา ตํ เนตํ มม เนโสหมสฺสมิ น เม โส อตฺตา สิ่งใดใช่ตัวใช่ตน สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา สิ่งนั้นไม่ใช่เรา สิ่งนั้นไม่ตัวใช่ตนของเรา ท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างไรของวิญญาณดังนี้เถิด อนึ่ง วิปัสสนาที่มีขันธ์ ๕ ทั้งเหตุทั้งปัจจัยเป็นอารมณ์ ได้ในลักษณะทั้ง ๓ มาแล้วในบาลีดังนี้ว่า

รูปํ อนิจฺจํ รูปไม่เที่ยง ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดรูปขึ้น ถึงธรรมนั้นก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน รูปที่เกิดขึ้นพร้อมกันด้วยเหตุอันไม่เที่ยงแล้วจะเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน

เวทนา อนิจฺจา ความเสวยอารมณ์ไม่เที่ยง ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาขึ้น ถึงธรรมนั้นก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน เวทนาซึ่งเกิดพร้อมด้วยเหตุอันไม่เที่ยงแล้ว จะเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน

สญฺญา อนิจฺจา ความจำหมายไว้ไม่เที่ยง ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัญญาเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน สัญญาที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันไม่เที่ยงแล้วจะเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน

สงฺขารา อนิจฺจา ธรรมทั้งหลายที่ตกแต่งจิต ปรุงจิตไม่เที่ยง ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สังขารเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน สังขารที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันไม่เที่ยงแล้ว จะเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน

วิญฺญาณํ อนิจฺจํ จิตที่รู้อารมณ์วิเศษไม่เที่ยง ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้วิญญาณเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน วิญญาณที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันไม่เที่ยงแล้ว จะเป็นของเที่ยงมาแต่ไหน ๆ

รูปเป็นทุกข์ทนยาก ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นทุกข์ทนยากเหมือนกัน รูปที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันเป็นทุกข์แล้ว จะเป็นสุขมาแต่ไหน

เวทนาเป็นทุกข์ทนยาก ธรรมอันใดเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เวทนาเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นทุกข์ทนยากเหมือนกัน เวทนาที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันเป็นทุกข์แล้ว จะเป็นสุขมาแต่ไหน

สัญญาเป็นทุกข์ทนยาก ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัญญาเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นทุกข์ทนยากเหมือนกัน สัญญาที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันเป็นทุกข์แล้ว จะเป็นสุขมาแต่ไหน

สังขารทั้งสิ้นเป็นทุกข์ทนยาก ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สังขารเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นทุกข์ทนยากเหมือนกัน สังขารที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันเป็นทุกข์แล้ว จะเป็นสุขมาแต่ไหน

วิญญาณเป็นทุกข์ทนยาก ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้วิญญาณเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นทุกข์ทนยากเหมือนกัน วิญญาณที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุอันเป็นทุกข์แล้ว จะเป็นสุขมาแต่ไหน

รูปเป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตน ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตนเหมือนกัน รูปที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุเป็นอนัตตาแล้ว จะเป็นตัวเป็นตนมาแต่ไหน

เวทนาเป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตน ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เวทนาเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตนเหมือนกัน เวทนาที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุเป็นอนัตตาแล้ว จะเป็นตัวเป็นตนมาแต่ไหน

สัญญาเป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตน ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัญญาเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตนเหมือนกัน สัญญาที่เกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุเป็นอนัตตาแล้ว จะเป็นตัวเป็นตนมาแต่ไหน

สังขารเป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตน ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สังขารเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตนเหมือนกัน สังขารเกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุเป็นอนัตตาแล้ว จะเป็นตัวเป็นตนมาแต่ไหน

วิญญาณเป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตน ธรรมอันใดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้วิญญาณเกิดขึ้น ถึงธรรมนั้นก็เป็นอนัตตาใช่ตัวใช่ตนเหมือนกัน วิญญาณเกิดขึ้นพร้อมด้วยเหตุเป็นอนัตตาแล้ว จะเป็นตัวเป็นตนมาแต่ไหน

วิปัสสนาที่มีขันธ์ ๕ ทั้งเหตุปัจจัยเป็นอารมณ์ ได้ในลักษณะทั้ง ๓ มาแล้วในบาลีดังนี้ สาธุชนผู้บำเพ็ญเพียรพึงเจริญวิปัสสนาที่มีขันธ์ ๕ ล้วนเป็นอารมณ์ก็ดี ที่มีขันธ์ ๕ ทั้งเหตุทั้งปัจจัยเป็นอารมณ์ก็ดี โดยนัยที่มาแล้วในบาลีดังว่ามานี้ก็ได้ทีเดียว ฯ

๏ ก็วิธีเจริญวิปัสสนา ซึ่งมาในอรรถกถานั้นดังนี้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียร ถ้าได้ฌานแล้ว เป็นสมถยานิก ย่อมทำฌานที่ตนได้ให้เป็นบาทแห่งวิปัสสนา คืออกจากฌานแล้วกำหนดองค์ฌานทั้ง ๕ คือ วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข และ เอกัคคตา ทั้งสัมปยุตธรรมที่เกิดกับด้วยองค์ฌาน ซึ่งสันนิษฐานเข้าใจแน่ว่า องค์ฌานและสัมปยุตตธรรมเหล่านี้เป็นนามธรรม เพราะเป็นธรรมน้อมไปยังอารมณ์แล้วจึงแสวงหาที่อาศัยของนาธรรมนั้น จึงเห็นหทัยรูปเป็นที่อาศัยของนามธรรมนั้น มหาภูตรูปและอุปาทายรูป เป็นที่อาศัยของหทัยรูปนั้น จึงสันนิษฐานเข้าใจรู้ชัดว่า หทัยรูป, มหาภูตรูปและอุปาทายรูปเหล่านี้ เป็นรูปธรรม เพราะเป็นของทรุดโทรมฉิบหายไป ด้วยปัจจัยที่เป็นข้าศึกแก่ตน มีเย็นร้อนเป็นต้น ผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้ฌานแล้ว เป็นสมถยานิก ย่อมกำหนดรู้จักนามและรูปได้แจ้งชัดด้วยประการฉะนี้ ฯ

๏ ฝ่ายวิปัสสนายานิก ผู้มีฌานคือวิปัสสนา ไม่ได้ฌานสมาบัติอันใด เมื่อเจริญวิปัสสนา มากำหนดสังขารมีนามและรูปเป็นต้น อนึ่งมากำหนดกายทั้งจิตเจตสิกนี้ โดยประเภทแห่งกองทั้ง ๕ คือ กองรูปเป็นของทรุดโทรม ๑ กองเวทนาความเสวยอารมณ์ ๑ คือกองสัญญาความจำหมายอารมณ์ ๑ คือกองสังขารเป็นผู้ตกแต่งจิต ๑ คือกองวิญญาณใจเป็นผู้รู้อารมณ์วิเศษ ๑ บรรจบเป็น ๕ กอง เมื่อกำหนดกายทั้งจิตและเจตสิกนี้แตกออกเป็น ๕ กองดังว่ามานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรรู้จักขันธ์ทั้ง ๕ แจ้งชัดตามลักษณะเฉพาะฉะนี้แล้ว พึงย่นขันธ์ทั้ง ๕ นั้นเข้าเป็น ๒ คือ นาม ๑ คือรูป ๑ รูปขันธ์กองรูปคงอยู่เป็นรูป เพราะเป็นของทรุดโทรมอยู่โดยธรรมดา แต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อรูปขันธ์ทั้ง ๔ นั้นเป็นนาม เพราะเป็นธรรมน้อมไปยังอารมณ์ เมื่อกำหนดสังขารที่เป็นไป ๓ ภพ ย่นลงได้โดยเป็นนาม ๑ เป็นรูป ๑ ฉะนี้แล้ว ก็ได้สันนิษฐานชัดว่า สัตว์หรือบุคคลว่าตัวหรือตนว่าเทวดาหรือพรหม อื่นนอกจานามและรูปไปแล้วไม่มี มีแต่นามและรูปอย่างเดียวเท่านั้น เป็นไปใน ๓ ภพ ก็คำว่าสัตว์ ว่าบุคคล ว่าตัวว่าตน ว่าเทวดา ว่าพรหมนั้น ไม่มีโดยปรมัตถ์ มาบัญญัติสมมตินามรูปนั้นเองว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน เป็นเทวดา เป็นพรหม ประหนึ่งสมมติไม้ว่า เป้นกราบ เป็นมาด หรือ เป็นเรือฉะนั้น ก็นามและรูปทั้ง ๒ นี้ อาศัยกันและกัน แล่นไปในสังสารสาคร ประหนึ่งมนุษย์กับเรือทั้ง ๒ อาศัยกันและกันแล่นไปในสมุทรสาครฉะนั้น เมื่อกำหนดรู้เห็นนามและรูปชัดตามเป็นจริงย่างไร ละสัตตูปลัทธิ สัตตสัญญาเสียได้ ตั้งอยู่ในความเป็นผู้ไม่หลงในบัญญัติว่าสัตว์ว่าบุคคล ว่าตัว ว่าตน ว่าเทวดา ว่าพรหม ฉะนี้แล้ว ทิฏฐิความเห็นของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นก็บริสุทธิ์ด้วยดี ชื่อว่า ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นตัววิปัสสนาที่ ๑ ฯ

๏ สาธุชนผู้บำเพ็ญเพียรให้ทิฏฐิวิสุทธิ บริบูรณ์ขึ้นแล้ว ควรเจริญวิปัสสนาปัญญาต่อไป แสวงหาเหตุและปัจจัยของนามและรูปนั้น ประหนึ่งแพทย์ผู้ฉลาดในการรักษาโรค เมื่อเห็นโรคแล้ว ย่อมแสวงหาโรคนิทานเหตุเกิดขึ้นของโรคนั้นฉันใด ผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อรู้จักนามและรูปชัดแล้ว ควรแสวงหาเหตุและปัจจัยของนามและรูปฉันนั้น เมื่อกำหนดรู้เหตุและปัจจัยของนามและรูปนั้นได้แจ้งชัดแล้ว ก็ย่อมข้ามล่วงกังขาในกาลทั้ง ๓ เสียได้ ฯ

๏ ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยของนามและรูปนั้น นามและรูปนั้นอาศัยเหตุและปัจจัยอะไรจึงเกิดขึ้น กรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัยของนามและรูปนั้น นามและรูปนั้นเป็นตัววิบาก ผลสุกวิเศษของกรรม อาศัยกรรมเกิดขึ้น กรรมนั้นเป็น ๒ อย่าง คือกุศลกรรมและอกุศลกรรม นามและรูปใดที่เกิดขึ้นด้วยอกุศลกรรม นามและรูปนั้นเป็นของหยาบทุรพลเลวทรามต่ำช้า นามและรูปใดที่เกิดขึ้นด้วยกุศลกรรม นามและรูปนั้นเป็นของสุขุมละเอียดประณีตนัก ด้วยเหตุนี้ จึงว่า กรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัยของนามและรูปนั้น ก็แต่กรรมอย่างเดียว ไม่เป็นเหตุให้เกิดนามและรูปได้ ต้องอาศัยอุปาทาน เชื้อเครื่องถือมั่นคือฉันทราคะ ความพอใจและความยินดี อุปาทานเล่าก็ต้องอาศัยตัณหา ความอยากเป็นเหตุให้สะดุ้งดิ้นรนไป ตัณหาเล่าก็ต้องอาศัยอวิชชา ความไม่รู้แจ้ง ความไม่รู้จริง เพราะเหตุนี้ อวิชชาจึงเป็นปัจจัยของตัณหา ตัณหาจึงเป็นปัจจัยของอุปาทาน อุปาทานจึงเป็นปัจจัยของกรรมคือภวะ กรรมจึงเป็นปัจจัยของชาติ คือนามและรูป โดยนัยนี้ จึงได้ความสันนิษฐานเห็นชัดว่า ธรรม ๔ อย่างคืออวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม เป็นเหตุเป็นปัจจัยของนามและรูปนั้น นามและรูปนั้น อาศัยธรรม ๔ อย่างนี้จึงเกิดขึ้น จึงเป็นไป มหาภูตรูป คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม และอาหาร เป็นปัจจัยของรูปธรรม ด้วยอุปถัมภ์บำรุงรูปนั้นไว้ ผัสสะเป็นปัจจัยของนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร เวทนา สัญญา สังขาร ๓ อย่างนี้ อาศัยปัจจัยคือผัสสะเกิดขึ้นเป็นไป นามและรูปเป็นปัจจัยของนามธรรมคือ วิญญาณ เพราะเหตุวิญญาณนั้นอาศัยจักษุและรูปทั้ง ๒ เกิดขึ้นจึงชื่อว่า จักขุวิญญาณ อาศัยโสตและเสียงทั้ง ๒ เกิดขึ้น จึงชื่อว่าโสตวิญญาณ อาศัยฆานะและกลิ่นทั้ง ๒ เกิดขึ้น จึงชื่อว่า ฆานวิญญาณ อาศัยชิวหาและรสทั้ง ๒ เกิดขึ้น จึงชื่อว่าชิวหาวิญญาณ อาศัยกายและสัมผัสทั้ง ๒ เกิดขึ้น จึงชื่อว่า กายวิญญาณ อาศัยใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ เกิดขึ้น จึงชื่อว่ามโนวิญญาณ จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ทั้ง ๕ นี้ มีรูปอย่างเดียวเป็นปัจจัย อาศัยรูปเกิดขึ้นเป็นไป มโนวิญญาณมีนามและรูปทั้ง ๒ เป็นปัจจัย อาศัยนามและรูปทั้ง ๒ เกิดขึ้นเป็นไป ด้วยเหตุนี้ นามรูปนี้จึงเป็นปัจจัยของนามธรรม คือ วิญญาณ วิญญาณ อาศัยนามและรูปทั้ง ๒ นั้นเกิดขึ้นเป็นไป ได้ความสันนิษฐานรู้เห็นชัดว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม อาหาร เป็นเหตุปัจจัยของรูปธรรม รูปธรรมอาศัยปัจจัย ๕ อย่างนี้เกิดขึ้นเป็นไป อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัยของนามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร เวทนา สัญญา สังขาร อาศัยปัจจัย ๕ อย่างนี้ เกิดขึ้นเป็นไป อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม นามและรูป เป็นเหตุเป็นปัจจัยของนามธรรมคือวิญญาณ วิญาณอาศัยปัจจัย ๕ อย่างนี้เกิดขึ้นเป็นไป เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรมากำหนดเหตุปัจจัยของนามและรูปนั้นแจ้งชัด ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็เข้าใจแน่ว่า นามและรูปที่เป็นปัจจุบัน อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไปฉันใด ถึงนามและรูปที่เป็นอดีตล่วงแล้วก็ดี ที่เป็นอนาคตยังไม่มาถึงก็ดี ย่อมอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไปฉันนั้นนั่นแล เมื่อผู้บำเพ็ญเพียร มากำหนดเหตุปัจจัยของนามรูปรู้เห็นแจ้งชัดฉะนี้แล้ว ย่อมข้ามล่วงกังขา ความสงสัยในกาลทั้ง ๓ เสียได้ กังขาในกาลทั้ง ๓ นั้น คือกังขาอันปรารภส่วนอดีตล่วงแล้ว ๕ อย่าง คือ กังขาปรารภส่วนอนาคตข้างหน้าที่ยังไม่มาถึง ๕ อย่าง คือ กังขาปรารภในส่วนปัจจุบัน ที่เกิดเฉพาะหน้าบัดนี้ ๖ อย่าง บรรจบเป็นกังขา ๑๖ อย่างในกาลทั้ง ๓ ฯ

๏ ก็กังขาอันปรารภส่วนอดีตที่ล่วงแล้ว ๕ อย่างนั้น ว่าเราได้มีแล้วหรือหนอในชาติก่อน หรือเราไม่ได้มีแล้ว เราได้มีแล้วในชาติก่อนเป็นอะไรหนอ เราได้มีแล้วในชาติก่อน เราเป็นผู้มีสุขมีทุกข์เป็นอย่างไรหนอ เราได้เป็นอะไรแล้วจึงเป็นอะไรอีกเล่าในชาติก่อน ๆ ดังนี้ กังขาอันปรารภที่ล่วงแล้ว ๕ อย่างดังว่ามานี้ ฯ

๏ ก็กังขาอันปรารภส่วนอนาคต ๕ อย่างนั้น ว่าเราจักมีหรือหนอในชาติหน้า หรือเราจักไม่มี เรามีในชาติหน้าเราจักเป็นอะไรหนอ เราจักมีในชาติหน้า เราจักเป็นผู้มีสุขทุกข์เป็นอย่างไรหนอ เราจักเป็นอะไรแล้ว จึงจักเป็นอะไรในชาติหน้าต่อไปอีกเล่าหนอดังนี้ กังขาอันปรารภส่วนอนาคต ๕ อย่างดังว่ามานี้ ฯ

๏ ก็กังขาอันปรารภส่วนปัจจุบัน ๖ อย่างนั้น ว่าเดี๋ยวนี้เรามีหรือหนอ หรือเราไม่มี เรามีอยู่เดี๋ยวนี้เราเป็นอะไรหนอ เรามีอยู่เดี๋ยวนี้เราเป็นอย่างไรหนอ เราเป็นสัตว์มาแต่ไหนหนอ เราจะไปเกิดที่ไหนอีกเล่าหนอดังนี้ กังขาอันปรารภส่วนปัจจุบัน ๖ อย่างดังว่ามานี้ จึงบรรจบกังขาอดีต ๕ อย่าง ในอนาคต ๕ อย่าง ในปัจจุบัน ๖ อย่าง เป็นกังขา ๑๖ อย่างด้วยกันดังนี้ ฯ

๏ เมื่อกำหนดเหตุปัจจัยของนามและรูป เห็นแจ้งชัดฉะนี้แล้ว ย่อมข้ามล่วงกังขา ๑๖ อย่างเสียได้ เป็นผู

ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ธรรม FB พระธัมมธโร ครูบาแจ๋ว
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco