ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร
วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๑๔ ปี ชาตกาล หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน บุตรของกองทัพธรรม พระอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ซึ่งหลวงปู่บุญมี สิริธโร มีโอกาสได้พบและได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยตรง การเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ของหลวงปู่บุญมี อยู่สํานักเดียวกับหลวงปู่เสาร์ คือ วัดเลียบ และไปพํานักอยู่วัดบูรพาสํานักเก่าแก่ดั้งเดิมของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตเถระ นั่นเองด้วยบริบทและสภาวะธรรมของสํานักวัดเลียบ วัดบูรพาราม และทราบประวัติ ของพระอาจารย์ใหญ่บูรพาจารย์ทั้งสองขณะที่ศึกษาปริยัติอยู่วัดนี้ ซึ่งเป็นแบบอย่างของการแสวงหาโมกขธรรม เกิดแรงบันดาลใจและมองเห็นลู่ทางธรรมที่เหนือกว่าการศึกษาปริยัติ จึงเป็นสิ่งที่หลวงปู่ฝังใจตลอดเวลา เมื่อไปศึกษาปริยัติธรรมที่เมืองกรุงที่วัดปทุมวนารามก็ได้รับทราบเรื่องราวที่บูรพาจารย์และพระป่ามาพํานักที่นี่หลวงปู่จึงทิ้งป่าคอนกรีตออกปฏิบัติธรรมอย่างอุกกฤษ ตามรอยพระพุทธองค์และบูรพาจารย์ทั้งสอง โดยมีสหธรรมมิกที่เคยปรนนิบัติและรับใช้บูรพาจารย์ที่ธุดงค์ ร่วมกันถ่ายทอดคําสั่งสอนมรรควิธีของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่จึงถือว่าบูรพาจารย์ทั้งสองเป็นพระอาจารย์ และมีความสนิทคุ้นเคยกับกลุ่มกองทัพธรรมสายนี้ที่สุด ดังจะเห็นได้ว่าหลวงปู่เป็นที่เคารพนับถือของพระสุปฏิปันโนทั้งรุ่นศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น และรุ่นหลานศิษยานุศิษย์เป็นอันมาก นับตั้งแต่หลวงปู่มหาบัว ญานสมปนโน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หลวงปู่ศรี มหาวีโร หลวงพ่อเมือง หลวงพ่ออุ้น วัดป่าแก้ว พระอาจารย์อินทร์ถวาย ฯลฯ
ดังจะเห็นได้จากงาน พระราชทานเพลิงศพที่เป็นวาระการชุมนุมของคณะศิษยานุศิษย์สายหลวงปู่มั่น มากที่สุดครั้งหนึ่ง และในงานรําลึกบูชาพระเถราจารย์ฝ่ายปฏิบัติธรรมศิษย์หลวงปู่มั่น ณ วัดโพธิสมพร อุดรธานี ประวัติและรูปของหลวงปู่ก็ได้รับการเผยแพร่ในงานนิทรรศการนี้ด้วย
เดิมชื่อ บุญมี สมภาค เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ ตรงกับวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปี ๑๑ คือปีจอ เป็นบุตรโทนของนางหนุก สมภาค และนายทํามา สมภาค ที่บ้านขี้เหล็ก ตําบลรังแร้ง อําเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อครั้งเป็นเด็กจะมีนิสัยรักความสงบและมีความใฝ่ใจในพุทธศาสนาอย่างมาก
จนมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านเลี้ยงควายอยู่กลางทุ่งนาร่วมกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน ท่านได้พบภาพพระพุทธรูปในแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งเข้า ก็เกิดความสนใจมากเป็นพิเศษจึงได้เก็บกระดาษแผ่นนั้นซ่อนเอาไว้ พอมีเวลาว่างท่านก็จะเอามานั่งดูจนเกิดปิติ จึงเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นพระพุทธรูป โดยมีเด็กเลี้ยงควายพากันนั่งดู และก็ปั้นบ่อยๆ มีความสวยงามด้วย เมื่อมีมากขึ้นหลวงปู่จึงได้แจกและ แบ่งปันให้เพื่อน ๆ เอาไป ตอนนั้นหลวงปู่บอกว่ามีอายุประมาณ ๘-๙ ปีเห็นจะได้ พออายุได้ประมาณ ๑๐-๑๒ ปี ท่านก็ได้เริ่มเรียนหนังสือกับหลวงน้า ซึ่งบวชพระอยู่ที่วัดใกล้ ๆ บ้าน ท่านช่วยโยมมารดาทํานาและช่วยงานบ้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานของเด็กผู้หญิงก็ตาม ท่านทําทุกอย่าง นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถกว่าเด็กทั่ว ๆ ไป และที่สําคัญก็คือ มีนิสัยชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้านไม่ว่าเขาจะทําอะไร ไม่ว่าจะเป็นงานหนักงานเบา ถ้าพอจะช่วยเหลือได้ท่านจะรีบช่วยทันที โดยไม่ต้องให้คนอื่นขอร้อง และชอบถามคําถามที่เกี่ยวกับธรรมะอยู่เสมอ เช่น เห็นคนตายก็จะถามว่า คนไม่ตายไม่ได้หรือ คนป่วยไม่ป่วยไม่ได้หรือ อย่างนี้เป็นต้น
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
หลังจากที่หลวงปู่ พระมหาบุญมี สิริธโร เรียนจบชั้นประถมปีที่ ๒ แล้ว ก็ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาช่วยโยมมารดาทํานาและงานบ้านเลี้ยงควาย จนอายุได้ ๑๗ ปี จึงได้มาบวชเป็นสามเณร อยู่กับหลวงน้า คือพระอาจารย์สิงห์ ผู้เป็นน้องชายของมารดา โดยบวชในฝ่ายมหานิกาย หรือที่ เรียกว่า “วัดบ้าน” บวชได้ ๑ พรรษา พอจวนจะเข้าพรรษาที่ ๒ ซึ่งเหลือเวลาเพียง ๑ เดือน โยมมารดาก็ขอร้องให้สึกออกมาช่วยทํางานบ้าน เพราะสุขภาพไม่ดี ท่านจึงต้องสึกออกมาช่วยโยมมารดา ทํางานและได้สมัครทํางานเป็นคนขนหินทําทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา – สุรินทร์
เมื่อหลวงปู่ อายุย่าง ๑๙-๒๐ ปี โยมมารดาจะขอผู้หญิงให้ตั้งหลายครั้ง แต่ท่านก็ปฏิเสธทุกครั้งไม่ยอมมีครอบครัว เพราะดูคนทั้งหลายแล้วมีความทุกข์วิตกกังวล แทบทั้งสิ้น ยากที่จะทําจิตของตนให้ผ่องแผ้วได้ ท่านระลึกอยู่ว่าบวชจึงจะมีสุขหนอ การมีชีวิตอยู่อย่างฆราวาสนี้มีแต่ทุกข์ วิตกกังวล ไม่สิ้นสุดมีแต่ความรุ่มร้อน เหมือนฝุ่นละอองมาจากทิศต่าง ๆ มีเต็มอากาศไม่รู้ว่าจะ หนีไปทิศใดได้มีแต่จะคลุกเคล้าละอองพิษลงสู่ใจ ใจก็มีแต่ความเศร้าหมอง เพราะท่านเห็นโทษของ กามคุณ ถ้าผู้ใดกําลังเสพกามารมณ์อยู่เสมือนบริโภคเหล็กเผาไฟแดงๆ อยู่ จิตของท่านจึงรําลึก น้อมไปถึงการอุปสมบท ท่านจึงเอาความดําริในใจนี้เล่าสู่มารดาฟัง ว่าท่านอยากบวช โยมมารดาของ ท่านจึงได้อนุโมทนาและอนุญาตให้ออกบรรพชาอุปสมบทได้ จนถึงอายุ ๒๑ ปี จึงขออนุญาตโยมมารดาบวชเป็นพระฝ่ายมหานิกาย โดยมีพระอาจารย์สิงห์ เป็นภาระรับไปดําเนินการให้ทุกอย่าง
ด้วยจิตใจที่ใส่ในเรื่องของการศึกษาในธรรม ท่านจึงมีความปรารถนาที่จะเรียนด้านปริยัติธรรม แต่เนื่องจากการศึกษาธรรมะ ในสมัยนั้นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือวัดเลียบ ซึ่งเป็นวัดที่ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เคยพํานักมาก่อนแต่เนื่องจากท่านเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย จึงค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะวัดเลียบเป็นวัดธรรมยุต ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์สิงห์ (ไม่ใช่พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน) ซึ่งเป็นหลวงน้าของท่าน ได้รับภาระนําไปฝาก ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก เจ้าอาวาส วัดเลียบ ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่าจะต้องญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต พอได้ฟังดังนั้นหลวงปู่ก็ดีใจเป็น อันมาก ในการบวชใหม่ครั้งนี้ มี พระศาสนดิลก เป็นอุปัชฌาย์ พระมหาสว่าง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า “สิริธโร”
อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ วัดเลียบ ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากที่ได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็ได้ตั้งใจ เล่าเรียนข้อวัตรปฏิบัติ จนเป็นที่เล่าลือว่าท่านเก่งมาก เพียงเวลาไม่นานท่านก็สอบนักธรรมตรี โท เอก ได้ และในปี พ.ศ.๒๔๗๘ ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดบูรพา อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นวัดที่ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พํานักอยู่สมัยปฏิบัติธรรมเริ่มแรก จากนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๗๙ ก็ได้เดินทางเข้าไปศึกษาหาความรู้ในกรุงเทพมหานคร จําพรรษาที่วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ อยู่ไม่นานก็สอบ ได้เปรียญ ๓ ประโยค มีความแตกฉานพระปริยัติมาก
หลังจากที่หลวงปู่ ได้อุปสมบท ๒ พรรษา โยมมารดาก็ได้ถึงแก่กรรม ในระหว่างนั้นจิตก็วิตกกังวลไปต่างๆ ท่านได้พิจารณาเห็น “อนิจจัง” ต่อมาท่านอยากจะออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมตามคําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเดินทางกลับมายังภาคอีสาน แล้วก็ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมอย่าง จริงจัง
พ.ศ.๒๔๙๐ – ๒๔๙๔ จําพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านห้วยทราย อําเภอคําชะอี จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์, หลวงปู่มั่น, หลวงปู่ขาว, หลวงปู่ มหาบัวฯ ฯลฯ เคยจําพรรษา พํานักปฏิบัติธรรมมาก่อน
พ.ศ.๒๔๙๕ – ๒๕oo จําพรรษาอยู่ที่วัดบ้านม่วง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
พ.ศ.๒๕๐๑ – ๒๕o๓ จําพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองบัว อ.พังโคน จ.สกลนคร
พ.ศ.๒๕๐๔ – ๒๕๐๕ จําพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเหล่า อ.คําชะอี จ.มุกดาหาร
พ.ศ.๒๕๐๖ – ๒๕๐๘ จําพรรษาอยู่ที่วัดบ้านท่าสําราญ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย (ปัจจุบัน จ.บึงกาฬ)
พ.ศ.๒๕๐๙ – ๒๕๑๙ จําพรรษาอยู่ที่วัดในเขตจังหวัดเลยหลายวัด เช่น ถ้าเต่า บ้านหมากแข้ง ฯลฯ
พ.ศ.๒๕๒๐ – ๒๕๓๐ จําพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
พ.ศ.๒๕๓๑ – ๒๕๓๒ จําพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีโพธิ์ทอง อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด
พ.ศ.๒๕๓๓ จําพรรษาอยู่ที่วัดหนองเกาะ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์
พ.ศ.๒๕๓๔ – ๒๕๓๕ จําพรรษาอยู่ที่วัดป่าวังเลิง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
ปัจฉิมบท
หลวงปู่เริ่มอาพาธหนักในช่วงเดือน พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ในระหว่างที่พักจําพรรษา อยู่ที่ วัดป่าศรีโพธิ์ทอง อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด สาเหตุเกิดจากการหกล้มในขณะเดินเข้าห้องน้ําแล้ว เกิดอาการเข่าอ่อน หลังจากนั้นท่านเกิดอาพาธเดินไม่ได้ คณะศิษย์จึงได้พยายามช่วยกันรักษา พยาบาลอาการอาพาธของท่าน ทั้งด้วยยาแผนโบราณและยาแผนปัจจุบันแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นในที่สุด ผู้ใหญ่สัญชัย และกํานันเซ็ง จึงได้นิมนต์ท่านไปรักษายาแผนโบราณ ที่ อ.สตึก โดยพักจําพรรษาที่ วัดป่าเกาะแก้วประเสริฐ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ พร้อมกับไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชด้วย ในบางโอกาส จนอาการดีขึ้น
ภายหลังจากนั้น คณะศิษย์จากจังหวัดมหาสารคามได้พากันไปอาราธนานิมนต์ท่านให้มา จําพรรษาที่วัดป่าวังเลิง และท่านก็ได้มาพักจําพรรษาที่วัดป่าวังเลิง เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓ ครั้นต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๔ หลวงปู่ก็ได้เกิดอาพาธอีกครั้งหนึ่ง คณะศิษย์จึงได้นําตัวท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และตั้งแต่นั้นมาอาการอาพาธของหลวงปู่ก็มีแต่ทรงกับทรุดมาตลอด ตามลําดับดังนี้
เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ครั้งที่ ๑ วันจันทร์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ออกจาก โรงพยาบาลเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๓๔
เข้ารักษาที่โรงโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ครั้งที่ ๒ วันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ ออกจาก โรงพยาบาลเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๓๕
เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ครั้งที่ ๓ วันศุกร์ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๕ และในเช้า วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๓๕ ท่านก็ได้อนุญาตให้ นายแพทย์วันชัย วัฒนศัพท์ เพื่อทําการผ่าตัดใส่สายยางทางหลอดลม เข้า โอ อาร์ เวลา ๑๖.๑๕ ออกเกือบจะเวลา ๑๗.๐๐ น. และฟื้นเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น.
หลังจากนั้นอาการอาพาธของหลวงปู่ก็ทรุดหนักมาเรื่อย ๆ จนเป็นที่หนักใจของแพทย์ และคณะศิษยานุศิษย์ผู้เฝ้ารักษาพยาบาลเป็นอย่างมาก จนในที่สุดหลวงปู่ก็ละสังขารไปด้วยอาการ อันสงบเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๕ เวลา ๑๐.๑๐ น. ตรงกับวันจันทร์แรม ๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก สิริรวมอายุหลวงปู่ได้ ๘๑ ปี ๖ เดือน ๖ วัน พรรษา ๖๑
เหลือเพียงภาพลักษณ์แห่งความเป็นพระภิกษุที่เยือกเย็นเบิกบาน เมตตาหาที่ประมาณมิได้ สันโดษ เรียบง่าย และแบบอย่างแห่งมรรควิธีไปสู่ความหลุดพ้น ที่พุทธศาสนิกชนจะต้องปฏิบัติตาม ขออํานาจบารมีธรรมของหลวงปู่ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาจงแผ่เมตตาบารมีให้ พุทธบริษัท ได้เกิดธรรมจักษุ พบแก่นพุทธธรรม เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสรรพสัตว์ทั้งพิภพด้วยเทอญ
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น