ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงพ่อโสภา สมโณ วัดป่าแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา



    ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อโสภา สมโณ 
     วันที่ ๑๒ ตุลาคม​ ๒๕๖๗ เป็นวันเจริญอายุวัฒนมงคลครบรอบ ๖๐ ปี พระอาจารย์โสภา สมโณ ประธานสงฆ์วัดป่าแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา 

"..ภาวนากันบ้างสิของดี ๆ ก็มีแต่ให้พระแต่กิเลสรับเอาหมดทุกคนเลยฟังเทศน์จนพอแล้วไปหาหลวงปู่หลวงตามาหมดแล้วไม่เห็นเอาท่านเป็นแบบอย่างบุญมันอยู่ที่ตัวเจ้าของกับไม่ทำกันแข้งขาก็มีเหมือนท่าน ขันธ์ห้าก็มีเท่ากันไม่เอาไปเร่งภาวนามีแต่เอาไปตักแต่กิเลสกัน ปัญญามันไม่น้อยหรอกลองไปสบประมาทว่าโง่ดูสิจ้างให้ก็ไม่พอใจ คือความไม่ยอมรับว่าตนเองมีปัญญาน้อย มีแต่คนฉลาดทั้งนั้นแหละแต่มันเรียนเกินวิชาทางโลกเรียนมากก็ยิ่งส่งออกมากเท่านั้นไม่น้อมเข้ามาดูตัวเองรู้มากเท่าไหร่ยิ่งสังหารโลกนี่แหละปัญหาโลกแตกทรัพยากรของชาติยิ่งจะไม่เหลือโลกไม่ได้เจริญหรอกมันเสื่อมลงกินอะไรก็กลัวแต่มะเร็งฉีดยากันไปหมด ไปทำบุญไม่ได้นั่งล้อนั่งเกวียนกันเมื่อไหร่ก็ยังบอกไม่มีเวลาคิดดูกิเลสมันคว้าเอาไปกันหมด ถ้าไม่เอาใจฝากไว้กับพระพุทธเจ้ายังไงก็ไม่ปลอดภัยนะพวกเรา.." โอวาทธรรมคำสอนท่านพระอาจารย์โสภา สมโณ

ประวัติโดยย่อ ท่านพระอาจารย์โสภา สมโณ ท่านอุปสมบทครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๗ ที่วัดบ้ายฝ่ายมหานิกายใน จ.สุรินทร์ และได้เดินทางธุดงค์ จากจ.สุรินทร์ มาพักที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ประมาณ ๓ เดือน จากนั้นจึงเดินทางไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ใช้ระยะเวลาในการเดินทาง ๑ เดือน ๒๕ วัน และได้ไปกราบรับฟังข้ออรรถข้อธรรมจากหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ทำให้เกิดศรัทธา จึงญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต ณ วัดป่าเจริญธรรม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ได้ ๕ พรรษา ภายหลังได้ญัตติซ้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๒ ณ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย โดยมีพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) เป็นพระอุปัชฌาย์ อีก ๖ วันต่อมาจึงเดินทางไปอยู่ศึกษากรรมฐานกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เป็นเวลา ๑๐ ปีจึงออกจากวัดป่าบ้านตาดวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๒ แล้วไปอยู่ที่วัดทัพไทย ต.สนม อ.สนม จ.สุรินทร์

ปี พ.ศ.๒๕๔๙ พระอาจารย์โสภา มีอาการอาพาธจึงเดินทางมาจำพรรษาบนเขาสลัดได อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เพราะสถานที่แห่งนี้นอกจากอากาศสัปปายะต่อธาตุขันธ์แล้วยังดีต่อการภาวนา แต่เนื่องจากสถานที่นี้อยู่ในเขตอุทานแห่งชาติทำให้ไม่สามารถอยู่ถาวรได้ พระอาจารย์โสภา ท่านจึงคิดหาสถานที่ที่ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนักอยู่แทน ประกอบกับท่านเกิดนิมิตฝันว่า.. แบกบาตรสะพายกลดไปถึงภูเขาสองลูก เมื่อไปยืนหน้าภูเขาก็ปรากฏมีภาษาเขมรขึ้นมาซึ่งแปลเป็นคำภาษาไทยว่า “กระเทือนเลื่อนลั่น” องค์ท่านเองก็ไม่ทราบว่านิมิตนี้หมายถึงกระเทือนเลื่อนลั่นทางดีหรือทางไม่ดีอย่างไร

เมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐ ท่านพระอาจารย์โสภา ได้มาพบที่ดินบริเวณที่ตั้งวัดในปัจจุบันมองเห็นภูเขาเขียวเหมือนกับที่เคยนิมิตเห็นภูเขาสองลูกมาก่อน จึงคิดทำอาศรมสำหรับพักอาศัยชั่วคราว ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ พระชินวงศาจารย์ เจ้าคณะอำเภอปักธงชัย-วังน้ำเขียว (ธรรมยุต) ออกหนังสือรับรองที่พักสงฆ์ ที่ จอ. ๐๒/๒๕๕๐ ภายหลังจากนั้นเจ้าของบ้านไร่ปลายตะวันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักสงฆ์บอกถวายไม้ แต่พระอาจารย์โสภา ท่านก็บอกปัดถึง ๓ ตรั้ง อยู่มาวันหนึ่งพระอาจารย์ท่านเกิดนิมิตฝันว่า.. พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน นั่งรถมาจอดในบริเวณที่พักสงฆ์แห่งนี้ ท่านจึงให้พระอาจารย์อำนวย สุขวัฑฒโน ไปพิจารณาดูว่าไม้นั้นจะสามารถเกิดประโยชน์แก่สมณธรรมอย่างใดได้บ้าง พระอาจารย์อำนวยพิจารณาเห็นว่าไม้นั้นสามารถทำเสาได้ ๓๒ ต้น ท่านพระอาจารย์โสภา ได้พิจารณาใคร่ครวญเกี่ยวกับนิมิตที่พ่อแม่ครูจารย์หลวงตาพระมหาบัว นั่งรถมาจอดในบริเวณที่พักสงฆ์แห่งนี้ ดังนั้นท่านจึงดำริให้นำไม้นั้นมาสร้างศาลาโดยใช้เวลาเพียง ๔ เดือน

วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นวันที่ฉลองศาลาเสร็จเพียง ๑๕ วันและเป็นวันที่พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน นั่งรถมาที่พักสงฆ์แห่งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกับในนิมิต ท่านอาจารย์จึงทราบทันทีว่า “กระเทือนเลื่อนลั่น” นั้นหมายความว่าอย่างไร

“..วันนี้มีคนมามากนะ เต็มศาลาเลย พวกเราถ้ามีตาทิพย์เราจะได้เห็นคนเต็มแผ่นดิน เทวดาบนฟ้าเต็ม แต่นี่พวกเราพวกตาบอดไม่เห็น ยกแต่ว่าคนมามากคนมามาก เทวดามามากกว่านี้อีกไม่เห็น พวกเราเข้าใจหรือเปล่าล่ะ..” ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แสดงธรรมโปรดญาติโยม ณ วัดแสงธรรมวังเขาเขียว จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๑๒.๕๐ น.

ความสัมพันธ์ระหว่างหลวงตาพระมหาบัว กับวัดแสงธรรมวังเขาเขียว

ปากช่อง-เขาใหญ่-เขาเขียว-เขาสะแกราช ถึงอ.ปักธงชัย เป็นเส้นทางเดินธุดงคกรรมฐานของพระสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อาทิ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม, หลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่คำดี ปภาโส, ท่านพ่อลี ธัมธโร, หลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต,หลวงปู่มี ญาณมุนี, หลวงปู่ทา จารุธัมโม เป็นต้น รวมถึงหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ขณะในวัยหนุ่มเมื่อมีเวลาว่างจากการศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดคีรีวัลลิ์ วัดศาลาทอง วัดสุทธจินดาวรวิหาร ระหว่างปีพ.ศ.๒๔๗๙-๒๔๘๒ องค์ท่านมักจะปลีกวิเวกมาปากช่อง-เขาใหญ่-เขาเขียว-เขาสะแกราช

การที่องค์หลวงตาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดจะมีผู้คนเดินทางมาหาตลอดเวลาทำให้ไม่มีเวลาได้พักผ่อนซึ่งองค์ท่านจะได้พักผ่อนร่างกายต่อเมื่อเดินทางอยู่บนรถ เมื่อวัดแสงธรรมวังเขาเขียวก่อตั้งขึ้นโดยลูกศิษย์พระธุดงคกรรมฐาน หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน จึงเดินทางมาโดยมุ่งหวังประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นดังนี้
๑.เพื่อเมตตาต่อคนกรุงเทพฯ คนภาคกลาง และคนภาคตะวันออกที่ต้องการพบองค์ท่านจะได้ใช้เวลาเดินทางน้อยลงไม่ต้องเดินทางไปถึงจ.อุดรธานี
๒.เพื่อเมตตาต่อเทวดาบริเวณปากช่อง-เขาใหญ่-เขาเขียว-เขาสะแกราช สืบต่อปฏิปทาหลวงปู่มั่น ที่เคยมาเมตตาเทวดาที่ถ้ำสาริกาซึ่งเป็นหัวหน้าเทวดาในบริเวณนี้ด้วย
๓.เพื่อเมตตาต่อลูกศิษย์ลูกหาได้มีกำลังใจในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อไป

พ่อแม่ครูจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เมตตาเดินทางมาวัดแสงธรรมวังเขาเขียว ตั้งแต่ครั้งแรกวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ถึงครั้งสุดท้ายวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓ รวมแล้ว ๒๖ ครั้ง

ครั้งสุดท้าย คือวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓ วันนั้นหลังจากที่องค์พระหลวงตามหาบัว ฉันจังหันที่วัดป่าบ้านตาดเสร็จแล้ว องค์ท่านเดินทางมาวัดแสงธรรมวังเขาเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ได้แสดงธรรมเทศนาโปรดฆราวาส โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า.. “วันนี้ได้มาพบกับพี่น้องทั้งหลายเต็มศาลาวันนี้ เราก็พอใจกับพี่น้องทั้งหลาย แสดงเรื่องธรรม มีธรรม จิตใจมีแต่ธรรมทั้งนั้นเต็มอยู่นี่ วันนี้เรามาสู่ธรรมมาเห็นครูบาอาจารย์ แล้วก็เห็นธรรมด้วยกัน เราก็พอใจ พี่น้องทั้งหลายก็คงจะพอใจ ไม่พอใจมาไม่ได้ มานี้แสดงว่าพอใจมา เราก็ใจเสียสละมาจากอุดรวัดป่าบ้านตาดกี่ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๔๐ นาที เกือบ ๔ ชั่วโมง มานี้เราก็เสียสละมา เราก็สบายมา แล้วมาพบพี่น้องทั้งหลาย อีกก็สมใจกับเราเสียสละเพื่อพี่น้องทั้งหลายเหมือนกัน นี่เราก็จะกลับหละ กลับวัดเราได้พบกันได้เห็นได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม วันนี้ก็ชื่นตาชื่นใจนะ ทีนี้กลับไปก็ด้วยความชุ่มเย็นในหัวใจเป็นบุญเป็นกุศลหละ”

ในการมาครั้งสุดท้ายนี้องค์หลวงตาได้พูดบอกพระอาจารย์โสภาว่า “เฮาจะไปแล้วเด้อ ต่อไปเฮาซิบ่อได้มาอีก” (เราจะไปแล้วนะ ต่อไปเราจะไม่ได้มาอีก) หลังจากนั้นองค์หลวงตาได้อาพาธและได้เข้าสู่อนปาทิเสสนิพพานเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔

เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ประทานนามวัดว่า “วัดแสงธรรมวังเขาเขียว” พร้อมทั้งประทานพรว่า ขอวัดที่ให้นามแล้วนี้ จงอำนวยประโยชน์เป็นที่พักผ่อน ปฏิบัติธรรม สงบกาย สงบใจ เจริญเป็นอุดมมงคล ให้เกิดความสวัสดีแก่พระภิกษุ สามเณร และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ตลอดจิรกาล

วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่องตั้งวัดในพระพุทธศาสนา อาศัยความตามข้อ ๔ แห่งกำกับกระทรวง ฉบับที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๐๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงประกาศตั้งเป็นวัดขึ้นในพระพุทธศาสนามีนามว่า “วัดแสงธรรมวังเขาเขียว” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป วัดแห่งนี้ตั้งอยู่เลขที่ ๒๖ หมู่ที่ ๑๙ บ้านบุตะโกเมืองใหม่ ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ถนนสายกบินทร์บุรี – นครราชสีมา แยกตรงถนน กม. ๖๖ เข้าไปประมาณ ๑ กิโลเมตร มีเนื้อที่ ๓๗ ไร่ แปลงที่ใช้ก่อสร้างวัด ๒๓ ไร่ และแปลงที่ใช้ก่อสร้างพระมหาเจดีย์ศรีแสงธรรมวิสุทธิมงคล ๑๓ ไร่เศษ พระอาจารย์โสภา สมโณ เป็นประธานสงฆ์ พระอาจารย์อำนวย สุขวัฑฒโน เป็นเจ้าอาวาส

การที่พ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ให้ความเมตตาคณะศิษย์และชาวบ้านทั้งที่อยู่ใกล้และอยู่ไกลอันนำมาซึ่งความปลาบปลื้มเป็นสุขแก่ทุกดวงใจ “ด้วยสำนึกในพระสังฆคุณอันหาที่สุดประมาณมิได้ที่องค์ท่านเมตตาอบรมสั่งสอนคุณงามความดีทุกสิ่งทุกประการ สอนกรรมฐานทางสู่มรรค ผล นิพพานอย่างแจ่มแจ้ง ทั้งสงเคราะห์โลกด้านต่าง ๆ และทั้งช่วยชาติไทยให้พ้นจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ ทำอย่างไรเราจึงจะตอบแทนพระคุณขององค์ท่านได้อย่างถูกต้องเหมาะสมที่สุด” เมื่อคณะศิษย์มีโอกาสได้รับมอบอัฐิธาตุขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จากวัดป่าบ้านตาด จักนำมาประดิษฐานไว้บนศาลาวัดแสงธรรมวังเขาเขียวเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการสร้างพระมหาเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิธาตุเป็นการถาวรสืบไป

วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๔ ท่านพระอาจารย์โสภา สมโณ คณะศิษยานุศิษย์ ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมทั้งชาวบ้านหมู่บ้านบุตะโกเมืองใหม่ ได้ประชุมหารือการจัดทำประชาคมร่วมกันภายในวัดแสงธรรมวังเขาเขียว โดยข้อสรุปการทำประชาคม ทุกท่านยืนยันเจตนาเดิมที่จะสร้างอนุสรณ์ คือพระมหาเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิธาตุขององค์หลวงตาฯ และเป็นเสมือนสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคณะศิษย์และชาวพุทธทั่วไป เพื่อการสร้างคุณงามความดีตามรอยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และตามคำสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อเป็นอนุสรณ์แทนองค์หลวงตาฯ เสมือนว่ายังอยู่คู่กับชาวอำเภอวังน้ำเขียวตลอดไป และเพื่อความเป็นสิริมงคลของทุกท่านที่ได้มาสักการบูชาหรือปฏิบัติบูชาที่วัดแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

“...บุญกฐินมันไม่ได้ทำทุกวัน มันไม่ได้ทำทุกเดือนหรอก มันเป็นกาลทาน พี่น้องทั้งหลายไปกฐินวัดนั้นไปกฐินวัดนี้ กระเป๋าแห้งหล่ะ จริง แบ่งไปวัดนั้น แบ่งไปวัดนี้ เดือนทั้งเดือน ถือว่าเดือนนี้เป็นเดือนของเจ้าของแล้วกัน เดือนของวัฏฏะมันตั้ง ๑๑ เดือนหรอก เดือนนี้เป็นเดือนของตัวเอง ทำบุญให้กับเจ้าของ ทำเอาเถอะ อย่าขี้เกียจทำบุญ ถ้าขี้เกียจทำบุญแล้วบุญจะน้อย 

...พวกเรานี่มันขี้เกียจนั่งภาวนาเอาแต่หลับเอาแต่แผ่นหลังภาวนา ให้นั่งภาวนาไม่ค่อยจะนั่งภาวนา ต้องเอาแผ่นหลังภาวนา คือนอนหน่ะชอบ(หัวเราะ) อริยบทนี้เป็นอริยบทที่เด่นมากเลย ถ้านั่งเนี่ย นั่งภาวนาไม่ถึง ๕ นาที ลืมตาแล้ว (หัวเราะ) เฮ้อ...ขี้เกียจนั่งภาวนา เอาแต่แผ่นหลังภาวนา อย่างงี้หรอกิเลสมันจะหลุด มีแต่มันเพิ่มกิเลสหน่ะซี่ กิเลสมันไม่กลัวนะ มันกลัวแต่คนขยัน กิเลสมันชอบคนขี้เกียจ กิเลสมันชอบคนอ่อนแอ คนเข้มแข็งใส่มันมันไม่ชอบหรอก จริงๆ ยิ่งอ่อนแอเท่าไหร่ เหมือนโรคหน่ะ ยิ่งภูมิต้านทานยิ่งน้อย โรคยิ่งแทรกแซงได้เยอะ ยิ่งแทรกแซงได้เร็ว คนยิ่งอ่อนแอยิ่งขี้เกียจเท่าไหร่ กิเลสยิ่งได้ท่าใหญ่เลย ระวังให้ดีเราเป็นทาสกิเลสหน่ะ...

...พวกเรามันเห็นกิเลสเป็นคุณ เห็นธรรมเนี่ยเป็นภัยเลยนะ เพราะฉะนั้น พอภาวนาซิ โอ๊ย..ไม่เอาหรอก หงุดหงิด(หัวเราะ) เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์กว่าท่านจะนั่นเน๊าะ ท่านรอดล้มรอดตายมา พวกเราไม่มีอะไรจะตาย มีแต่ธรรมตาย พวกเรานี่กิเลสไม่หงาย มีแต่เท นอนหงายผึ่งเลย(หัวเราะ) เออ เอาซิ ทีนี้มันบอกว่าไง เอาแค่ทำบุญ พอไม่ตกนรกพอแล้ว ไปแล้วนะทีนี้ เอ้า จริงๆ เรื่องนี้

...โอ๊ย มีโอกาสพยายาม ทำไมพวกเราไม่เร่งเอา พี่น้องทั้งหลาย ธรรมของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ไม่ได้เสื่อม ได้สูญไปไหน มรรคผลก็มีอยู่ ทำไมไม่เอากัน อยู่รอบกาย มันก็อยู่ใกล้กับกิเลสหล่ะ ไล่กิเลสออกไปได้เมื่อไหร่ ธรรมก็เข้าเมื่อนั้น เหมือนความร้อนหน่ะ เอาความเย็นเข้าไปเมื่อไหร่ ความร้อนก็จางไปตรงนั้น ความมืดเหมือนกันนั่นแหละ เอาความสว่างเข้าไปอยู่ตรงไหน ความมืดก็หายไปเอง คนสิ้นกิเลส คนไม่มีกิเลส คนกิเลสบอบบาง ก็มาจากคนกิเลสหนาทั้งนั้นแระ แต่พอปฏิบัติก็บอกกิเลสหนา เนี่ยนะ ถ้าจะปฏิบัติก็บอกวาสนาเราน้อย เนี่ยแระ มันไม่น้อยหรอก มันได้เท่ากันหมดแล้ว ขันธ์ ธาตุสี่ ขันธ์ห้า มันได้เท่ากันหมดแล้ว เวลาก็ได้เท่ากันแล้ว ไม่มีใครได้เปรียบ เสียเปรียบหรอก นอกจากกิเลสมันจะซุกใจของใครอยู่ใต้อุ้งมือของมันเนี่ยหล่ะ เร่งภาวนาเอา บุญมันถึงได้หลาย 

..บุญทอดกฐินมันก็มากอยู่เหมือนกันนั่นแระ ไม่ใช่น้อยหรอก แต่น้อมบุญน้อมกุศลให้ผลักดันหัวใจออกไปให้ได้ อย่าไปปรารถนาขอให้มาเกิดเป็นลูกเศรษฐี ไม่งั้นมันก็จะมาเกิดมาตายอีก คุณงามความดีทุกประเภท เอามาเป็นพลังหนุนใจให้ออกจากวังวนให้ได้ นี่ยังมาปรารถนาให้อยู่ในวังวนอยู่ เศรษฐีมันจะไม่ตายหรอ จนก็ตาย รวยก็ตาย โง่ก็ตาย ฉลาดก็ตาย ตายหมด เห็นไหม ในหลวงท่านก็ยังสวรรคต ไม่มีอะไรจะไปหักห้ามความตายได้ เพราะฉะนั้น เวลาทำบุญเนี่ย น้อมบุญให้เป็นพลังสู่ใจทำลายขวากหนาม สิ่งที่มันกั้นในจิต ให้มันออกให้หมดให้ได้ ไม่งั้นมันก็จะติดอยู่อย่างเนี้ย ไปเป็นเทพเทวดาก็จะไม่ลงมาเกิดเร้อ ยิ่งเป็นมนุษย์ด้วยแล้ว มันจะไม่ตายหรอ เพราะว่าโลกทั้งสามนี่ มันเปลี่ยนไปหม๊ด มันไม่อยู่คงที่หรอก เอาความดีนั้นหนุนใจไปให้ได้ ถ้าเราไม่เอามาหนุนตรงนี้นะ เราเอาไปหนุนกิเลส ฟังให้ดีนะ สาธุ..ขอให้ได้เกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี พอมาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี ก็มาหลงกับการมีมหาสมบัติ แล้วบุญมันก็ไม่ทำ มีเศรษฐีคนไหนมันหิ้วตะกร้าไปทำบุญ ก็เห็นแต่ว่ายุ่ง เห็นแต่ว่าให้ลูกน้องเอาไปให้ เท่านั้นเอง เป็นเทพเทวดาก็เสวยแต่ทิพยสมบัติ ไม่คิดว่าตนเองจะมีทุกข์ ไม่คิดว่าตนเองจะหมดบุญ ก็อยู่เสวยทิพยสมบัติอยู่นั่น พอสุดท้ายมาบุญหมด เหงื่อโซมแล้ว พอเหงื่อโซม ร่างกายเริ่มเศร้าหมองลง จึงรู้ว่าตนเองจะหมดบุญ พอรู้ก็สายเกินแก้ อย่างพวกเราเหมือนกันนะ ตอนเป็นหนุ่มเป็นแน่น ก็ไม่รีบทำบญ พอแก่เฒ่ามาก็หมดหวังแหละ คือมามัวเมากับของพวกเนี้ย สุดท้ายมา พอถึงเวลาแล้วก็ไปหล่ะที่นี้ 

...เร่งภาวนาเข้า เดินจงกรมเข้า บางคนสมัยปัจจุบัน ฟังมามาก แต่กิเลสก็ละไม่ได้ เรียนมามาก แต่กิเลสหนาเหมือนเก่าเหมือนเดิม ครูบาอาจารย์ท่านบางทีท่านเทศน์ไม่ถูก เทศน์แทนท่านก็มี ทำเป็นเก่งอีก เพราะบางทีท่านใช้คำพูดในทางสมมุติ ท่านไม่คล่อง ก็เทศน์ให้ท่านเลย เรื่องสมมุติ มันเป็นการใช้ธาตุใช้ขันธ์ บางทีท่านก็จำไม่ได้ ความอัจฉริยะพวกนี้มันเป็นสมมุติ แต่เร่งจิตของท่าน เป็นด้วยเรื่องอรรถเรื่องธรรมของท่าน อันนั้นท่านไม่ลืม เรื่องอริยสัจสี่ในหัวใจของท่าน เราจำอริยสัจสี่ได้แต่ในนวโกวาท ได้แต่ในหนังสือ อันนั้นงัดกิเลสไม่ได้หรอก ยิ่งคนฟังมามาก จำมามาก ยิ่งทิฐิสูง ยิ่งภาวนาไม่ได้เลย ความจำมาก เพราะงั้นครูบาอาจารย์ หลวงตามหาบัว เข้าหาหลวงปู่มั่น ท่านว่า ท่านมหา เห็นมั้ย หรือครูบาอาจารย์องค์ไหน เข้าไปหาหลวงปู่มั่น วางวิชาความรู้ที่ท่านเรียนมาก่อน แบบเดียวกับหลวงปู่ใหญ่หลวงตามหาบัวเลย วิชาความรู้ที่ท่านเรียนมาให้วางเสียก่อน ให้ไปปฏิบัติ

แต่ทุกวันนี้ ไปเรียนมาไปท่องมา ท่องมาจนกิเลสไม่ถลอกปอกเปิก มันต้องแลกกันด้วย.. เหมือนเราจะออกกำลังกาย เราอยากได้กำลัง เราก็ต้องแลกด้วยการออกกำลัง ทำไมท่านจึงสอนให้มีสมาธิ รวมกิเลสมันให้มาจุดเดียวก่อน ไม่อย่างงั้น มันเป็นน้ำไหลบ่า ดูตรงช่องไหนมันก็เต็มไปหมด การทำสมาธิเพื่อดึงจิตให้มารู้ในจุดเดียว เหมือนตะล่อมกิเลสทั้งหลายให้มาอยู่ในจุดเดียว เหมือนน้ำที่ตะกอนมันขึ้นเต็มขวด แต่พอมันนิ่ง ตะกอนมันก็ลงไปอยู่ที่ก้นขวด การภาวนาด้วยจิต จิตมันสงบแล้วมันจึงมองเห็นกิเลสได้ชัด เหมือนจะการฆ่าวัว ใครมันจะไปฆ่าได้ทีละร้อยตัว มันต้องจับมาฆ่าที่ละตัวซิ กิเลสเหมือนกัน ต้องฆ่าทีละนั่นซิ โอ๊ย..ไม่มีสมาธิ ไม่เอาสมาธิแล้วทุกวันนี้ มันจะเอาแต่มรรคแต่ผล จิตที่ไม่มีสมาธิคือจิตที่ไม่คม ปัญญาก็ไม่เฉียบ เหมือนคมมีดไม่คมแล้วจะไปฟันไม้มันก็ไม่ขาด รู้อันนี้ อจิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้กิเลสน้อยใหญ่ รู้หม๊ด แต่ละไม่ได้ เพราะมันรู้ภายนอก รู้ในความทรงจดทรงจำ มันไม่ใช่รู้ภายใน ถ้ารู้ภายในมันจะแก้ของมันเอง ทีเนี้ย ยังไงก็ไม่รู้ กิเลสหนาก็ไม่รู้ ยังจะไปสู้ ยังจะไปฆ่าอวิชชาอีก นั่นแระตัวอวิชชา มันรู้เร้อ ท่องก็ท่องไปซิ ปฏิจจสมุปบาท ท่องไปซิ สติปัฏฐานสี่ ท่องไปซิ อริยสัจสี่ ถ้าจิตไม่ลงดิ่งสู่ความสงบเมื่อไหร่นะ จะไม่เห็นพลังของจิต ปัญญาจะไม่เกิด ปัญญาที่เรานำมาใช้เป็นปัญญาของกิเลสไป ใช่ภาวนามยปัญญาเมื่อไหร่ ถ้าภาวนามยปัญญามันจะหมุนเป็นอัตโนมัติ นั่นมันถึงจะไปฆ่ากิเลสภายในได้.. 

...มาจะให้พร อนุโมทนาเน้อไปทอดกฐินมา อย่าให้บุญหายนะ นั่งรถไปอย่าให้บุญหายไป..ไปทอดกฐินวัดไหน ไปทำบุญวัดไหนมันก็เป็นบุญเหมือนกัน บุญมันไม่ได้อยู่ที่วัดหรอก มันอยู่ที่จิตของคนนั้นทำ แต่สถานที่เป็นต้นเหตุเฉยๆ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ที่ประเทศอินเดีย เป็นเพียงสถานที่เท่านั้น จริงๆ แล้วพระพุทธองค์ตรัสรู้ภายในพระหทัยท่านต่างหาก แล้วสถานที่อินเดียเป็นเครื่องหมาย เป้าหมายของพระองค์ท่านอยู่ในพระหทัยของท่านต่างหาก บุญทำตรงไหนก็ได้บุญ บาปเหมือนกันทำตรงไหนก็บาปเหมือนกันนะ ไปทำอยู่อวกาศ ก็ได้บาปอยู่อวกาศเหมือนกันแหละนะ ไปทำอยู่ใต้ดินบาปก็อยู่ใต้ดินนั่นแระ เป็นสถานที่เฉยๆ แต่บาปมันอยู่ที่ใจ มา จะให้พร พี่น้องเดินทางมาไกลจะได้ไปทำบุญวัดอื่นต่อ ไปนะไปใหคุ้มเลย ออกมาทั้งทีแล้ว พรุ่งนี้ก็วัดหลวงปู่แบน (หลวงปู่แบน ธนากโร วัดวังเพิ่ม-พระภาวนา) หลวงปู่อุทัย(กฐินวัดป่าเขาใหญ่ฯ) ก็ผ่านมาแล้วนี่ ไปทำกับหลวงปู่แบนนั่น ไปนะครูบาอาจารย์ดีๆ อยากให้ไปทำบุญกับพระดีๆ หาโอกาสใช่ว่าจะมีนะ 

บางทีมีวัดแต่ไม่มีศรัทธา บางทีมีวัด มีศรัทธา แต่ไม่มีเวลาจะไปทำบุญก็มี พอจะมีเวลา มีทรัพย์ มีศรัทธา แต่ไม่มีครูบาอาจารย์ที่สว่างด้วยธรรม เราจะไปทำบุญที่ไหน อย่างเนี้ย เรามีองค์ประกอบของมันแล้ว ไปทำเถอะ อย่างหลวงปู่แบนหน่ะ ทุ่มไป อย่างหลวงปู่จันทร์เรียนหน่ะ หลวงปู่ลีหน่ะ ทำเข้า ถ้าเรามีโอกาสหน่ะทำเข้า ถ้าพลาดโอกาสแล้ว เราจะไปทำบุญกับใคร ไปเกิดเป็นฝรั่งหน่ะมันจะรู้จักทำบุญที่ไหน เป็นพ่อค้าวาณิชย์เนี่ยมันคิดแต่จะหาแต่เงิน จะมีโอกาสทำบุญที่ไหน นี่พวกเรายังมีศรัทธาอยู่ จะจนก็ตาม จะรวยก็ตาม โง่ก็ตาม ฉลาดก็ตาม ขอให้ได้ทำบุญ นอกนั้นนะจะฉลาดขนาดไหน หากไม่ได้ทำบุญก็โง่นั่นเอง หากโง่ขนาดไหนไม่ได้ทำบุญก็คนอาภัพนั่นเอง จะโง่ฉลาดขลาดอวดเก่งขนาดไหนก็ขอให้ได้ทำบุญเถอะ ให้อยู่กับบุญ...เอ้าให้พรนะ...อนุโมทนากับทุกคนๆ นะ...”  

โอวาทธรรมคำสอนท่านพระอาจารย์โสภา สมโณ 
เมตตาให้ไว้กับคณะท่องถิ่นธรรม ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๙
ณ วัดแสงธรรมวังเขาเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา


ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco