ชีวปะวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม วัดพิชัยพัฒนาราม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ
๘๙ ปี ชาตกาล หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม
วัดพิชัยพัฒนาราม(เขาน้อยสามผาน) อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี พระอริยสงฆ์ผู้เป็นนักรบแห่งกองทัพธรรม ผู้มีเมตตาธรรมและพลังจิตอันแกล้วกล้าแห่ง
วัดพิชัยพัฒนาราม (เขาน้อยสามผาน) อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ท่านเป็นศิษย์ของท่านพ่อลี ธัมมธโร
และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีศีลาจาริยวัตรรูปหนึ่ง หลวงปู่บุญมี
ปริปุณโณ ศิษย์รุ่นพี่ของหลวงปู่ฟักได้เคยกล่าวไว้ว่า
" ท่านฟักเป็นผู้ที่มีนิสัยเรียบร้อย รักและเทิดทูนพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวเป็นที่สุด
ท่านไม่เคยโดนดุ คงเคยสร้างบารมีมาด้วยกัน
อาจจะเป็นลูกท่านมาก่อน ”
“พวกเราไม่เคารพไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เป็นการไม่รักตัวเองที่ชอบด้วยธรรม แต่เป็นการรักในกิเลสตัณหาโลภะอย่างไม่มีขอบเขต จึงทำลายตนเองและส่วนรวมอย่างสิ้นเชิง” โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม
หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม ท่านเป็นชาวจังหวัดจันทบุรีโดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๘ โยมบิดามารดาของท่านชื่อ “คุณพ่อสังข์-คุณแม่เจน” นามสกุล “พูลกสิ” เล่ากันว่าในสมัยเด็ก ๆ
ด้วยความที่ท่านอ้วนขาว เหมือนลูกฟัก
ท่านเลยถูกเรียกว่า “ฟัก”
แต่พ่อแม่จะเรียนท่านว่า “หนู”
ในวัยเยาว์เด็กชายฟักได้ชื่อว่าเป็นเด็กเรียบร้อย
มีความฉลาดและความจำเป็นเลิศ
ด้วยเหตุนี้ผลการเรียนของเด็กชายฟักจึงเป็นการสอบได้ที่หนึ่งมาตลอด โดยเฉพาะกับความสามารถในวิชาคณิตศาสตร์ที่ค่อนข้างสูง ทำให้เด็กชายฟักต้องรับบทบาทคำนวณราคาและคำนวณพื้นที่เสมอ ๆ เวลาที่มีการซื้อขายที่ดินครับ
มีเรื่องเล่าถึงความมีปัญญาของเด็กชายฟักโดยกำนันเวกซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องว่า เด็กชายฟักชอบชวนเด็กชายเวกไปเก็บผลไม้บนเขาน้อย ซึ่งในขณะนั้นเขาน้อยยังเป็นที่รกร้างและมีผลไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากมายหลายชนิด
ครั้งหนึ่งเด็กชายฟักได้ชวนเด็กชายเวกไปเก็บ “ลูกคุย” ซึ่งเป็นผลไม้ลูกกลม ๆ โต ๆ ขนาดผลหมาก ด้วยความที่เด็กชายเวก มีอายุที่อ่อนกว่าทำให้ต้องยอมและรับฟังเด็กชายฟักทุกเรื่อง
ก่อนขึ้น “ต้นคุย” ทั้งสองคนได้มีการตกลงว่า ผลลูกคุยที่เป็นช่อ ๆ เป็นของเด็กชายเวก ส่วนผลลูกคุยที่ร่วง ๆ เป็นของเด็กชายฟัก กำนันเวกเล่าว่าตอนนั้นฟังแล้วดูเหมือนออกแนวพี่ใหญ่เสียสละให้น้องเล็ก แต่พอขึ้นไปเก็บจนเสร็จและนำมาแบ่งกัน พี่ฟักกลับเป็นผู้ที่ได้ผลลูกคุยเยอะมาก ส่วนน้องเวกได้ผลลูกคุยติดมือกลับบ้านไปเพียงไม่กี่ช่อ
ต่อมากำนันเวกได้พิจารณาย้อนหลังจึงเป็นอันได้ความว่า ต้นคุยต้นนี้เป็นต้นที่สูงใหญ่มากเมื่อขึ้นไปเด็ดจะต้องโยนผลกลับลงมา พวกช่อที่ถูกเด็ดออกมาจะต้องระกิ่งไม้ลงมาเรื่อย ๆ และกว่าช่อที่ถูกเด็ดจะถึงพื้นดิน ผลลูกคุยก็ร่วงจากช่อจนเกือบหมดแล้ว
ว่ากันว่าหากพูดเรื่องนี้ให้หลวงปู่ฟังเมื่อไร ท่านจะหัวเราะจนหน้าแดงเสมอ ๆ พร้อมกับบอกว่า
“จำได้ๆ”
หลวงปู่ฟัก อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ณ วัดอโศการาม ในงานวันฉลองกึ่งพุทธกาล ความตั้งใจของท่านในครั้งแรกคือต้องการบวชแค่ ๗ วัน
ท่านเล่าว่าแค่บวชวัดแรกก็คิดอยากจะสึกเสียแล้ว เนื่องจากในวันดังกล่าวมีคนเข้ามาบวชจำนวนมากหลายร้อยคนทำให้เกิดความสับสนและบาตรของท่านที่ได้รับจากพระอุปัชฌาย์ได้อันตรธานสูญหายไป
เรื่องสะเทือนใจดังกล่าวทำให้ท่านคิดมากจนเกิดเป็นความทุกข์ ท่านว่าถ้าจะดวงไม่ดีเพราะแค่วันแรกที่บวชก็ต้องใช้กะละมังเป็นภาชนะรับอาหารแทนบาตรเสียแล้ว
“ถ้าท่านหนูสึก ผมเสียใจ”
คำตัดพ้อของโยมพ่อทำให้พระใหม่ที่คิดจะสึก ต้องกลับมาคิดใหม่อีกครั้ง
ท่านว่าหลังจากที่ได้ยินน้ำเสียงของโยมพ่อที่พูดออกมา ทำให้ท่านหวนคิดถึงพระคุณและความปรารถนาดีของผู้ที่เป็นพ่อแม่ที่มีต่อบุตร ท่านจึงได้เลิกความคิดที่จะสึกและเพื่อเป็นการขจัดเงาดำ ความวิตกต่างๆ ที่ยังคงเคลือบจิตใจ โยมพ่อของท่านจึงได้พาท่านไปกราบหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
“แค่บาตรบริขารหาย สามารถซื้อหาใหม่ได้ แต่การที่พระจะสึก อะไรสำคัญกว่ากัน บาตรหายก็ให้คิดเสียว่าทำทานบารมีเพิ่ม”
คำเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในวันที่พระภิกษุฟักไปกราบขอเป็นศิษย์ อุปมาดั่งเครื่องเจียระไนชั้นดีที่ขัดเกลาพลอยเนื้อดีแห่งเมืองจันทบุรีเม็ดนี้ให้สุกสกาว
ท่านว่าหลังจากฟังคำเทศนาของหลวงตาในวันนั้นแล้ว ท่านก็ไม่มีความคิดที่จะสึกอีกเลย..
ต่อมาเมื่อสิ้นบุญท่านพ่อลี ธัมมธโร หลวงปู่ฟักท่านจึงได้ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงตามหาบัว ณ วัดป่าบ้านตาด ก่อนที่ท่านจะเดินทางมาถึงวัดป่าบ้านตาดไม่กี่วัน หลวงตามหาบัวได้สอบถามคุณแม่ชีน้อมว่า
“เมื่อคืนฝันอะไร”
“ฝันว่าได้ครกตำบักหุ่งจากจันทบุรี ผิวนอกขรุขระแต่ผิวในเนียนเรียบ” คุณแม่ชีน้อมกราบเรียน
“เลี้ยงพระได้ทั้งวัดบ่”
“เลี้ยงได้ทั่วอยู่”
“ได้เบิ่งข้างในไหม”
“จิตเพิ่นผ่องใสดี”
ความผ่องใสของจิตที่เปล่งประกายออกมาให้เห็นทางอุปนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ชีวิตเรียบง่าย กตัญญูและมีน้ำใจต่อหมู่คณะ ทำให้ท่านได้รับความเมตตาและความไว้วางใจจากหลวงตามหาบัวให้เป็นพระอุปฐากคอยดูแล รวมไปถึงการได้รับมอบหมายภาระหลายอย่างให้ปฏิบัติแทนท่าน
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ วัดป่าบ้านนาคูณ จังหวัดอุดรธานี ศิษย์อาวุโสองค์หนึ่งของหลวงตามหาบัว ซึ่งเคยร่วมจำพรรษากับหลวงปู่ฟัก ได้เล่าไว้ว่า
“ท่านอาจารย์ฟักเข้ามาที่วัดป่าบ้านตาดตั้งแต่ปี ๒๕๐๔ พร้อมกับท่านอาจารย์เจี๊ยะ จุนฺโท แต่ท่านอาจารย์ฟักสนิทกับท่านอาจารย์แสวงมากที่สุด ระหว่างที่อยู่บ้านตาด ท่านเป็นคนมีฝีมือทางช่างมาก ฝีมือแนบเนียน จึงได้รับผิดชอบงานสร้างกุฏิ โรงครัวและรั้ววัด
ท่านเป็นผู้ที่มีนิสัยเรียบร้อย รักและเทิดทูนพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวเป็นที่สุด ท่านไม่เคยโดนดุ คงเคยสร้างบารมีมาด้วยกัน อาจจะเป็นลูกท่านมาก่อน”
ว่ากันว่าการเดินทางของความจริงใจที่ผ่านการพิสูจน์มาอย่างยาวนาน ย่อมมีคุณค่ามากกว่าคำพูดหรือการกระทำอันใด อย่างเช่นกรณีของหลวงปู่ฟักที่มีต่อพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว
ในบันทึกประวัติของหลวงปู่ฟักได้บอกเล่าเหตุการณ์หลายอย่างที่เกี่ยวกับความเข้าใจกัน การอยู่ร่วมกัน การเสียสละและการให้อภัยของอาจารย์และลูกศิษย์ครับ
ครั้งหนึ่งมีการซ่อมศาลาโรงฉันของแม่ขาวที่วัดป่าบ้านตาด หลวงตามหาบัวท่านสั่งให้ตอกตะปูได้เลยและได้มีการตอกตะปูลงไปบางส่วนแล้ว พอดีจังหวะที่หลวงปู่ฟักท่านเห็นว่ายังไม่ได้ฉาก ด้วยความที่เห็นแก่งานเป็นใหญ่ ต้องการให้งานนั้นออกมาดีและสวยงามที่สุด ท่านเลยห้ามไม่ให้ตอก ซึ่งการห้ามดังกล่าวถือว่าเป็นการขัดคำสั่งของพ่อแม่ครูอาจารย์
ภายหลังเมื่อหลวงปู่ฟักท่านได้กลับมาพิจารณาอีกครั้ง ท่านก็รู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้น ตกกลางคืนท่านจึงได้เข้าไปขอขมาหลวงตา ด้วยว่าท่านขาดความเคารพ ต่อมาในวันประชุมสงฆ์หลวงปู่ฟักท่านคิดว่าหลวงตามหาบัวท่านคงจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในเชิงตำหนิอย่างแน่นอน แต่กลับปรากฏว่าท่านมิได้ถูกตำหนิเพราะหลวงตาได้พูดขึ้นว่า...
“ท่านฟักนี่เราก็เห็นใจ ทำอะไรก็ไม่ให้ผิดแม้สักเซ็นต์เดียว ให้พึงรักษาปฏิปทานี้ไว้ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านชมนักคนแบบนี้”
จะว่าไปแล้วคำพูดของหลวงตามหาบัวเป็นเหมือนการสะท้อนให้เราเห็นถึงคุณสมบัติของความเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่ดีออกไปให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คน เพราะการถ่ายทอดความรู้สึกอย่างจริงใจด้วยความรัก ความเมตตา เพียงเพื่อหวังให้ผู้ที่ได้รับพ้นจากความทุกข์และเกิดความสงบขึ้นในจิตใจ คือจาคะอันยิ่งใหญ่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้
หลังจากที่หลวงปู่ฟักใช้ชีวิตการเป็นพระในวัดป่าบ้านตาดมานานหลายปี ท่านก็มีเหตุต้องอำลาจากวัดป่าบ้านตาดกลับมายังบ้านเกิดของท่านคือจันทบุรี เพื่อคอยอยู่ดูแลโยมพ่อโยมแม่ของท่านที่อายุมากและมีสุขภาพไม่แข็งแรง
“ท่านฟักพอจะตั้งไข่ได้แล้ว แต่ทางจันทบุรียังไม่มีใคร ให้กลับมาพัฒนา”
ซึ่งหากเรานับนิ้วจำนวนปีที่หลวงปู่ฟักได้ใช้ชีวิตอยู่ในวัดป่าบ้านตาดบวกเข้ากับความอาลัยของพระสงฆ์ในวัดป่าบ้านตาดทุกองค์ที่มีให้ท่าน คงจะบอกได้ว่าการออกจากวัดป่าบ้านตาดครั้งนี้ ย่อมนำมาซึ่งความเศร้าและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หากแต่อีกนัยหนึ่งนั้นก็เป็นการย้ำเตือนถึงสัจธรรมความจริงที่ว่าไม่มีอะไรที่จีรังนอกจากความดีของคนต่างหากที่เป็นนิรันดร์ครับ
ท่านเล่าว่าในช่วงแรกที่กลับมาอยู่สำนักสงฆ์เขาน้อยสามผาน สิ่งที่มีมากที่สุดคือความอัตคัตขัดสน เพราะคนที่มาทำบุญก็มีแต่เฉพาะญาติพี่น้องเท่านั้น กุฏิสงฆ์เป็นเพียงกระต๊อบเล็กๆ หลังคามุงจาก พื้นกุฏิเป็นไม้ฝาโลงที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
“ตอนนั้นลำบากมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยหลับตาแล้วภาวนาพุทโธอย่างเดียวไปเรื่อยๆ ในที่สุดอะไรๆ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ”
ไม่ว่าความลำบากจะถาโถมเข้ามาอย่างมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่ความเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมสะกดคำว่าแพ้ต่อความทุกข์ยากรวมไปถึงการไม่ยอมละทิ้งในเรื่องของการปฏิบัติภาวนาอันเป็นหัวใจของพระกรรมฐาน ทำให้ในที่สุดท่านก็สามารถปลูกต้นศรัทธาให้เจริญงอกงามลงในหัวใจของชาวบ้านได้สำเร็จ
สำนักสงฆ์เขาน้อยสามผานได้รับการยกฐานะเป็น “วัดพิชัยพัฒนาราม” ในปี ๒๕๒๐ ตรงตามที่ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม เคยพยากรณ์ไว้เมื่อปี ๒๔๙๙ ว่า...
“สถานที่ตรงนี้ต่อไปจะกลายเป็นวัดและจะมีการสร้างพระเจดีย์ขึ้นด้วย”
ไม่เพียงแต่พัฒนาวัดให้มีความสมบูรณ์และเหมาะสมเท่านั้น ในทางโลกหลวงปู่ยังสนใจในเรื่องของการพัฒนาคน พัฒนาคุณภาพชีวิต ตลอดจนถึงเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ เช่น การสร้างโรงพยาบาลสองพี่น้อง บริจาคเครื่องมือแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ขาดแคลน ตลอดจนร่วมน้อมถวายเงิน และทองคำในโครงการผ้าป่าช่วยชาติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน นอกจากนี้ท่านยังได้พิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วพบว่า...
“ความทุกข์เกิดจากความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักพอเป็นบ่อเกิดของการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน”
ท่านว่ามนุษย์รุกรานธรรมชาติด้วยสารเคมี ธรรมชาติจึงลงโทษมนุษย์ด้วยการให้ที่พักพิงแก่เชื้อโรคร้าย
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้ตกลงใจว่า ท่านจะสงเคราะห์โลกด้วยการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่คนทั่วไปและเป็นตัวแทนคืนความเป็นธรรมให้แก่ธรรมชาติ
“คนเราต้องทำมาหากินโดยไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ชาวไร่ชาวนาใช้ยาฆ่าแมลงก็ไม่รู้ว่าจะมีสัตว์กี่มากน้อยที่ต้องตายตกตามไป สัตว์ก็รักชีวิตมีชีวิตเหมือนเรา
ภพชาตินี้เราเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ถ้าทำไม่ดี ภพชาติหน้าอาจจะตกต่ำลงไปกว่านี้ก็ได้ ถ้าเราทำดี อย่างต่ำก็น่าจะเกิดเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเราไปทำร้ายคนอื่น อนาคตเราอาจจะถูกเขาทำร้ายตอบก็ได้ ทุกอย่างมีสิทธิ์เป็นไปได้”
หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม ละสังขารลงด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓ เวลา ๑๓.๔๕ น. ณ โรงพยาบาลธนบุรี กรุงเทพฯ สิริอายุ ๗๔ ปี ๑๐ เดือน ๕๒ พรรษา
ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
ขอขอบคุณ อนุโมทนาบุญผู้รวบรวม เผยแพร่ FBพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ขอสรรพมงคลจงมีแด่ท่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น