195 ปี กำเนิดวงศ์ธรรมยุติกนิกาย


วันนี้วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันถือกำเนิดของคณะธรรมยุต ครบรอบ ๑๙๕ ปี(*) พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์วงศ์จักรี พระองค์ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองในสยามประเทศ โดยทรงตั้งธรรมยุตติกาวงศ์ขึ้น เป็นนิกายใหม่ในพระพุทธศาสนา ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและระเบียบแบบแผน จนมีครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสืบทอดเป็นแบบอย่าง เช่น ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์ สิริจันโท) ,หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ,หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ,หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ,หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น
(* การนับปีนั้นแต่ละพระองค์ท่านเริ่มนับแตกต่างกันจะขอสรุปตอนท้ายโพสต์นี้อีกทีครับ)

• #เรื่องของคณะธรรมยุตินิกาย
ธรรมยุติกนิกาย หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “ธรรมยุต” อันมีความหมายว่า ผู้ประกอบด้วยธรรม หรือชอบด้วยธรรม หรือยุติตามธรรม ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระสงฆ์นี้เกิดขึ้นด้วยมุ่งแสวงหาว่า ข้อใดเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์ (คือคำสั่งสอนของพระศาสดา) แล้วปฏิบัติข้อนั้น เว้นข้อที่ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย ไม่เป็นสัตถุศาสน์ แม้จะเป็นอาจินปฏิบัติ (ข้อปฏิบัติตามกันมาแต่ผิดพระธรรมวินัย)

• #คณะธรรมยุตกับพระสงฆ์นิกายสีมากัลยาณี (รามัญวงศ์)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงผนวชได้ทรงรับสมณวงศ์เถรวาทสายสีมากัลยาณีมาปฏิบัติ ทรงศรัทธาในข้อวัตรของภิกษุรามัญที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย คือ "พระพุทธวังโส(ซาย พุทฺธวํโส) วัดบวรมงคล" ทรงตั้งเป็นคณะธรรมยุติกนิกาย ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๖๙ เพราะถือว่าเป็นวงศ์ดั้งเดิมที่สืบมาจากชมพูทวีปและลังกาวงศ์ อันเป็นการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาของพระภิกษุผู้เป็นธรรมวาที วินัยวาที ตามขัตติยราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์พึงกระทำถวายเป็นพุทธบูชา คือ รักษารูปแบบเดิมของ พระธรรมวินัยให้คงไว้สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ทรงจะกระทำได้ในสมัยครั้งพุทธกาล มิได้เป็นการกระทำสังฆเภท โดยอาศัยเหตุที่พระสงฆ์ปฏิบัตินอกพระธรรมวินัย มีความบกพร่องในสังฆมณฑล เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงอุปสมบท ทรงมีฉายาพระวชิรญาโณ และได้ทรงมาประทับ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส)

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวัดบวรนิเวศวิหาร จึงทรงย้ายมาประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหารสืบมา จนทรงลาสิกขา ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ เพื่อรักษาประคับประคองชาติบ้านเมืองและพระพุทธศาสนา พร้อมอาณาประชาราษฎร์ ในภาวะวิกฤติภัยจากมหาอำนาจตะวันตก (ทรงอุปสมบทอยู่ ๒๗ พรรษา) ทรงประกอบพระคุณประโยชน์ไพศาล ในการสร้างรากฐานพระพุทธศาสนาให้ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย อันเกื้อกูลทั้งฝ่ายปริยัติ เป็นไปเพื่อการปฏิบัติและปฏิเวธธรรม ตามรอยอริยมรรคมีองค์ ๘ สมตามพระพุทธดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ก่อนปรินิพพานโดยย่อว่า “ผู้ใดปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ แล้ว โลกก็ไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย” คณะธรรมยุตนี้ ได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ตลอดมาทุกพระองค์

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ ทรงรจนา เป็นพระนิพนธ์ไว้ราวปี พ.ศ.๒๔๙๔ เกี่ยวกับพุทธศาสนวงศ์ ไว้ตอนหนึ่งว่า ...

“การที่ภิกษุสงฆ์แยกออกเป็นนิกายต่างๆ ไม่ใช่เป็นการแปลกมีในทุกๆ ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา และการที่แยกกันออกไปนั้น อาจกล่าวได้ตามประวัติศาสตร์ว่า ต้องมีเป็นธรรมดา ถึงพยายามรวมให้เป็นหนึ่งสักเท่าใดก็ไม่สำเร็จอาจสำเร็จได้ชั่วคราว แต่ต่อมาไม่นานก็กลับแยกกันออกไปอีก ในศาสนาอื่นๆ ก็มีแยกเป็นลัทธินิกายต่างๆ เหมือนกัน การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา มิใช่อยู่ที่การพยายามเพื่อรวมนิกายสงฆ์ แต่อยู่ที่การพยายามให้สงฆ์ทุกนิกายตั้งอยู่ในพระธรรมวินัย ส่วนการรวมกันนั้น เมื่อดีเสมอกัน หรือเสื่อมเสมอกันก็รวมกันเข้าได้เอง"

• #ทรงฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระ
การคณะสงฆ์ไทยแต่โบราณมา จัดการปกครองออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ 
#ฝ่ายคามวาสี มีหน้าที่เอาธุระ ศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ เรียกว่า "ฝ่ายคันถธุระ" มีพระสังฆราชาหรือพระสังฆราชเป็นประมุขปกครองดูแล และมีพระสังฆนายก รองลงมาเป็นผู้ช่วย 

#ฝ่ายอรัญวาสี มีหน้าที่เอาธุระศึกษาอบรมทางสมถะและวิปัสสนา เรียกว่า "ฝ่ายวิปัสสนาธุระ" มีพระสังฆราชาหรือพระสังฆราชเป็นประมุขปกครองดูแล และมีพระสังฆนายก รองลงมาเป็นผู้ช่วยเช่นเดียวกัน แต่ละฝ่ายต่างปกครองดูแลคณะของตนโดยไม่ขึ้นแก่กัน

แบบแผนการคณะสงฆ์ของไทยได้ดำเนินมาในลักษณะนี้จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง คือมีพระสังฆราชาหรือพระสังฆราช ซึ่งต่อมาเรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช แต่พระองค์เดียวเป็นประมุขของสังฆมณฑล แต่ให้มีพระสังฆนายกฝ่ายคามวาสีและพระสังฆนายกฝ่ายอรัญวาสี ซึ่งต่อมาเรียกว่า ฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย เป็นผู้ช่วยสมเด็จพระสังฆราชปกครองดูแลในฝ่ายนั้นๆ แบบแผนการคณะสงฆ์ลักษณะนี้ ได้ดำเนินสืบมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้มีการเปลี่ยนแปลง

ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนแปลงการคณะสงฆ์ จากเดิมที่จัดเป็นฝ่ายคามวาสีและฝ่ายอรัญวาสี เป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ โดยให้แต่ละฝ่ายปกครองดูแลทั้งพระสงฆ์สามเณรคามวาสีและอรัญวาสี ดังปรากฏในสร้อยนามสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ และเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายใต้ ว่า “มหาอุดร คณฤสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี” และ “มหาทักษิณ คณฤสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี” ทั้งนี้เพราะพระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีมีน้อยลงจนไม่พอที่จะจัดการปกครองเป็นฝ่ายหนึ่งต่างหากเช่นแต่ก่อน แต่ยังคงให้มีเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายอรัญวาสีไว้โดยไม่มีวัดในปกครอง เพราะมีหน้าที่ต้องตามเสด็จ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน

จากลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ของไทยแต่โบราณมาจะเห็นได้ว่า วิปัสสนาธุระถือว่าเป็นหน้าที่ ที่พระสงฆ์สามเณรจะต้องศึกษาอบรมกันอย่างจริงจัง สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงอุปถัมภ์บำรุงอย่างเต็มที่ ถึงกับทรงตั้งพระสังฆราชาและพระสังฆนายกปกครองดูแลกันเองอย่างเป็นเอกเทศ 

แต่การศึกษาอบรมฝ่ายวิปัสสนาธุระค่อยจืดจางลงตามลำดับ พระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีก็ลดน้อยลงตามกาล วัดฝ่ายอรัญวาสีก็ลดน้อยลง จนไม่พอที่จะจัดการปกครองเป็นฝ่ายหนึ่งหรือคณะหนึ่งต่างหากจากฝ่ายคามวาสี ที่สุดฝ่ายอรัญวาสี หรือคณะอรัญวาสีก็เป็นอันยกเลิกไป พระสงฆ์สามเณรฝ่ายอรัญวาสีที่ยังคงพอมีอยู่จึงรวมอยู่ในปกครองของฝ่ายคามวาสีสืบมาจนปัจจุบัน 

เป็นอันว่าธุระหรือหน้าที่ประการหนึ่งของพระสงฆ์สามเณรคือวิปัสสนาธุระได้ถูกลืมเลือนไปหรือได้รับการเอาใจใส่น้อยลงตามลำดับ จนเกือบจะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

ในตอนปลายรัชกาลที่ ๒ ได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระให้เข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระกรุณาโปรดให้อาราธนาพระเถราจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระทั้งในกรุงและหัวเมืองเข้ามาตั้งเป็นพระอาจารย์บอกกรรมฐาน แล้วส่งไปประจำอยู่ตามวัดต่างๆ ทั้งในกรุงและหัวเมือง เพื่อสั่งสอนพระกัมมัฏฐานแก่พระสงฆ์สามเณรและอุบาสกอุบาสิกา แต่พระอาจารย์กัมมัฏฐานที่ทรงพระกรุณาโปรดให้อาราธนาทั้งจากในกรุงและจากปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือครั้งนั้นก็ได้เพียง ๗๖ รูป ฉะนั้น การฟื้นฟูการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระเมื่อครั้งนั้น จึงคงเป็นไปไม่ได้ทั่วถึง และเมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๒ แล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการดำเนินการอย่างใดต่อไปอีก

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การศึกษาของภิกษุสามเณรฝ่ายคันถธุระ เจริญก้าวหน้าไปเป็นอันมาก เพราะได้รับการส่งเสริมและเอาใจใส่ดูแลด้วยดีตลอดมาอย่างต่อเนื่อง 

ส่วนการศึกษาฝ่ายวิปัสสนาธุระกลับซบเซาลงไปตามลำดับ เพราะขาดการส่งเสริมและเอาใจใส่อย่างจริงจัง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยเมื่อเสด็จประทับ ณ วัดสมอรายนั้น นอกจากจะทรง กวดขันให้ภิกษุสามเณรที่ถวายตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนฝ่ายคันถธุระหรือพระปริยัติธรรมอย่างจริงจังแล้ว ยังทรงแนะนำในฝ่ายวิปัสสนาธุระ ทั้งทางสมถะและทางภาวนา ให้ภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์หลวงทั้งหลายได้ศึกษาและปฏิบัติ ได้ทรงพระราชนิพนธ์คำสอนทางพระพุทธศาสนาแสดงแนวทางการศึกษาอบรมทั้งทางสมถะและ วิปัสสนาไว้หลายเรื่อง เช่น วิปัสสนาวิธี วิปัสสนากัมมัฏฐาน อารักขกัมมัฏฐานสี่ พรหมจริยกถา เป็นต้น 

แม้พระองค์เองก็ทรงนำในทางปฏิบัติ ดังเป็นที่ทราบกันว่า เมื่อถึงหน้าแล้งจะทรงนำพระศิษย์หลวงออกจาริกไปตามป่าเขาในหัวเมืองต่างๆ ในมณฑลนครชัยศรี มณฑลราชบุรี มณฑลอยุธยา มณฑลนครสวรรค์ ตลอดขึ้นไปจนถึงมณฑลพิษณุโลก เพื่อบูชาปูชนียสถานสำคัญและแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นประจำแทบทุกปี เป็นการวางแบบอย่างให้แก่ภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุตถือเป็นแนวทางในการศึกษาและปฏิบัติพระศาสนาสืบมา ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏว่าพระสงฆ์ธรรมยุตในชั้นต้นมักเป็นผู้เอาธุระทั้ง ๒ อย่างเป็น ส่วนใหญ่ กล่าวคือ

ในฤดูฝน อยู่จำพรรษาตามอาราม ศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ เป็นการเอาธุระฝ่ายคันถธุระ

เมื่อถึงฤดูแล้ง มักจาริกไปตามป่าเขา เพื่อแสวงหาที่วิเวกเจริญสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นการเอาธุระฝ่ายวิปัสสนาธุระ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังทรงผนวชอยู่ จึงได้ชื่อว่าทรงเป็นผู้ฟื้นฟูการปฏิบัติกัมมัฏฐาน ให้เป็นที่นิยมในหมู่ภิกษุสามเณรขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และยังผลให้เป็นที่นิยมแพร่หลายตลอดไปถึงพุทธศาสนิกชนทั่วไปในเวลาต่อมาด้วย

เพราะเหตุนี้ จึงได้ถือเป็นประเพณีนิยมมาในคณะธรรมยุตว่า พระเถรานุเถระที่เป็นผู้ปกครองหมู่คณะควรเป็นผู้เอาใจใส่ในวิปัสสนาธุระ คือปฏิบัติกรรมฐานด้วย แม้จะสำนักอยู่ในอารามที่เป็นคามวาสี ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นแบบอย่างแก่ภิกษุสามเณรในปกครองสืบไป

• #ธรรมเนียมและแบบแผนของธรรมยุติกนิกาย
ระเบียบแบบแผนในด้านการปฏิรูปทางพระพุทธศาสนาของธรรมยุติกนิกาย โดยพระวชิรญาณเถระ ( เจ้าฟ้ามงกุฏ : พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔)
ทรงตั้งธรรมเนียมนมัสการพระเช้าค่ำ ที่เรียกว่าทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ เป็นประจำ และทรงพระราชนิพนธ์บทสวดเป็นภาษาบาลี เป็นคาถา เป็น จุณณิยบท ซึ่งใช้แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีการรักษาศีลอุโบสถ และแสดงพระธรรมเทศนาเวลาเก้าโมงเช้าและบ่ายสามโมงเย็น ในวันธรรมสวนะและวันอุโบสถ เดือนละ ๔ ครั้ง (ในหนึ่งเดือน จึงปรากฏวันพระ ๔ ครั้งเป็นต้นมา)

ทรงปฏิรูปการเทศน์และการอธิบายธรรมทรงเริ่มการเทศนาด้วยฝีพระโอษฐ์ ชวนให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายและเกิดศรัทธา ไม่โปรดเขียนหนังสือไว้เทศน์นอกจากนี้ยังทรงฝึกหัดศิษย์ให้ปฏิบัติตาม ทรงอธิบายเพื่อให้คนเข้าใจในเนื้อหาของหลักธรรม เผยแพร่หลักธรรมสู่ราษฎร อธิบายหลักอันยุ่งยากซับซ้อน คณะสงฆ์ธรรมยุติได้เพิ่มบทสวดมนต์ภาษาไทยลงไป ทำให้คนนิยมฟังเป็นอันมาก

ทรงกำหนดวันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางศาสนาเพิ่มขึ้นจากวันวิสาขบูชา ทรงพระราชนิพนธ์คำบูชา และวางระเบียบให้เดินเวียนเทียนและสดับพระธรรมเทศนา ทรงชักนำให้บำเพ็ญกุศลตามเทศกาลต่าง ๆ เช่น ถวายสลากภัตร ตักบาตรน้ำผึ้ง ถวายผ้าจำนำพรรษา

ทรงแก้ไขการรับผ้ากฐินให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ คือเริ่มแต่การซัก ตัด เย็บ ย้อม ให้เสร็จภายในวันเดียวกัน

ทรงแก้ไขการขอบรรพชา และการสวดกรรมวาจาในอุปสมบทกรรมให้ถูกต้องยิ่งขึ้น เช่น ระบุนามอุปสัมปทา และนามอุปัชฌายะ ซึ่งเป็นภาษาบาลีในกรรมวาจา การออกเสียง อักษรบาลี ทรงให้ถือหลักการออกเสียงให้ถูกฐานกรณ์ของอักขระตามหลักบาลีไวยากรณ์

ทรงวางระเบียบการครองผ้า คือการนุ่งห่มของภิกษุสามเณร ให้ปฏิบัติไปตามหลักเสขิยวัตรในพระวินัยเพื่อให้สุภาพเรียบร้อย

• #การครองผ้าแบบธรรมยุต
ธรรมเนียมห่มผ้า การห่มจีวรของพระสงฆ์ธรรมยุตในชั้นแรก เมื่อยังมีสำนักอยู่ที่วัดมหาธาตุและ ที่วัดสมอรายนั้น ยังห่มตามแบบพระมหานิกาย อันเป็นแบบที่พระสงฆ์ไทยห่มมาแต่โบราณ เรียกว่า ห่มคลุมหรือห่มหนีบ แม้เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาอยู่ครองวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ในระยะแรกก็ยังทรงห่มจีวรแบบพระสงฆ์ไทยทั่วไป กระทั่งถึงตอนปลายแห่งสมัยที่ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร “พระธรรมยุติกาในครั้งนั้น ลงสันนิษฐานว่า ห่มผ้าคลุมอย่างพระมหานิกายนั้น จะรักษาเสขิยวัตรข้อว่า อย่าเวิกผ้าเมื่อเข้าบ้านให้บริบูรณ์ไม่ได้ จึงได้ห่มคลุมตามแบบที่พระรามัญใช้” ซึ่งเรียกกันว่า “ห่มแหวก” หรือ “ครองมอญ” แต่นั้นมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และภิกษุสามเณรในคณะของพระองค์จึงเปลี่ยนมาห่มแหวก

ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะที่ยังทรงผนวชอยู่ ได้รับสั่งให้พระธรรมยุตครองผ้าเสียใหม่แบบอย่างพระมหานิกาย เพื่อมิให้ขัดพระราชอัธยาศัยพระนั่งเกล้าฯ (รัชกาลที่ ๓) ที่ทรงรังเกียจอยู่ว่า พระจอมเกล้าฯ ถืออย่างมอญ ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จะให้พระสงฆ์ห่มอย่างมอญเสียหมดทั้งแผ่นดิน เล่ากันมาว่า สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) พระมหาเถระผู้ร่วมก่อตั้งวงศ์ธรรมยุติกนิกาย ซึ่งเวลานั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระอริยมุนีอยู่ที่วัดราชาธิวาส ท่านยังยึดมั่นในการครองผ้าแบบ ห่มแหวกตลอดมา ไม่ยอมเปลี่ยนไปห่มอย่างพระมหานิกาย

ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระสงฆ์ธรรมยุตซึ่งต้องห่มผ้าคลุมอย่างมหานิกาย พากันถวายพระพรขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกลับห่มแหวกอย่างเดิม พระจอมเกล้าฯ ตรัสตอบว่า “การปฏิบัติพระธรรมวินัย เป็นการของสงฆ์ แล้วแต่ศรัทธาอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่เกี่ยวด้วยฝ่ายอาณาจักร” เพราะฉะนั้น ไม่ทรงห้ามหรือทรงอนุญาตทั้งสองสถาน นับแต่นั้นมา พระสงฆ์ธรรมยุตก็กลับห่มแหวกเหมือนเดิม แต่สมเด็จพระวันรัตท่านห่มแหวกมาแต่ต้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เพราะท่านเห็นว่าการห่มแหวกนั้นถูกต้องตามพระวินัยแล้วทุกประการ

• #ธรรมเนียมสวดมนต์และการเปล่งเสียง
ในชั้นแรก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าการออกเสียงภาษามคธสำเนียงรามัญหรือของพระสงฆ์รามัญนั้นถูกต้องตามฐานกรณ์มากที่สุด จึงทรงรับเอามาใช้ ในอุปสมบทกรรม 

ต่อมาเมื่อทรงรู้จักใกล้ชิดกับพระสงฆ์ลังกามากขึ้น จึงทรงเห็นว่าวิธีว่าภาษามคธของพระลังกา เป็นดีกว่าของพวกอื่น จึงนำวิธีของลังกามาใช้ในการสวดกรรมวาจาและสวดมนต์ของพระสงฆ์ธรรมยุตสืบมา 

แต่ในขณะเดียวกันก็ยังทรงเห็นว่า การเปล่งเสียงอักขระมุทธชะและทันตชะของพระสงฆ์ลังกาไม่สู้ชัดนัก ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า การออกเสียงภาษามคธอย่างที่พระสงฆ์ธรรมยุตใช้อยู่ในบัดนี้ จึงไม่ใช่ทั้งแบบรามัญและแบบลังกา แต่เป็นแบบที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า และเห็นว่าน่าจะใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดของบูรพาจารย์คณะธรรมยุตเอง 

ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ว่า..
“พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อได้ทรงทราบกว้างขวางออกไป ก็ได้ให้ใช้สำเนียงอย่างธรรมยุติกนิกายใช้อยู่บัดนี้ ซึ่งใกล้ต่อภาษาเดิมยิ่งกว่าสำเนียงอื่น”

ฉะนั้น จึงได้เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ธรรมยุตสืบมาว่า การสวดในสังฆกรรมและสวดมนต์ที่เป็น พระสงฆ์ธรรมยุตล้วนสวดแบบมคธ การสวดมนต์ทั่วไปที่มีพระมหานิกายร่วมด้วยแม้น้อยรูป ย่อมสวดแบบสังโยค อนุวัตรตามแบบมหานิกาย

• #หลังจากการลาผนวชของพระวชิรญาณเถระ
คณะธรรมยุตินิกาย ภายหลังการลาผนวชของพระวชิรญาณเถระ ก็ยังคงเจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะได้พระมหากษัตริย์เป็นผู้อุปถัมภ์ และมีผู้นำที่เข้มแข็งคือ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นผู้ครองบังคับบัญชาคณะธรรมยุติกนิกาย

• #พระสังฆเถระแห่งคณะธรรมยุตในภาคอีสานยุคแรก
คณะธรรมยุตในภาคอีสานล้วนมีปฏิปทาธุดงคกัมมัฏฐาน มีการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังเพื่อคงไว้ซึ่งตามหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดทั้งตามหลักธรรมวินัยก็ให้ไว้คงเดิมตามพระบรมศาสดา มิให้ย่อหย่อน มีการศึกษาทั้งฝ่ายคันธาธุระคือการศึกษาเล่าเรียนพระคัมภีร์ และฝ่ายวิปัสสนาธุระคือศึกษาอบรมสมถะและวิปัสสนา เพื่อความสงัดกายสงัดใจ 

[พระอุปัชฌายาจารย์แห่งคณะธรรมยุตในภาคอีสานยุคแรกๆ เช่น ท่านพระอาจารย์ดี พนฺธุโล และท่านพระอาจารย์ม้าว เทวธมฺมี ท่านทั้งสองมีสัทธิวิหาริกเป็นพระสังฆเถระทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายกัมมัฏฐานเผยแผ่ควบคู่กันไป พระอุปัชฌาย์ที่ทรงคุณธรรมนั้นสำคัญมากเพราะได้เป็นกำลังเผยแผ่และสร้างสานุศิษย์ในภาคอีสานเช่น พระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) (ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์หลวงปู่มั่น), ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ,สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ,ท่านพระอาจารย์พูน สังฆรักขิต , พระครูทา โชติปาลเถร (ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์หลวงปู่เสาร์), ท่านพระอาจารย์แสง ธมฺมธีโร ,พระครูสีทา ชยเสโน (ท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่มั่น) ,ท่านพระมหารัตน์ รฏฺฐปาลเถร (ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์หลวงปู่ดูลย์,หลวงปู่เทสก์) ซึ่งครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ปฏิบัติตามข้อวัตรและปฏิปทาสืบมาจากการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้นตั้งแต่ทรงผนวช สืบมาเป็นต้น ]

• #สรุปกาลกำเนิดแห่งคณะธรรมยุต
นับแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาอยู่คลองวัดบวรนิเวศวิหารและได้ทรงตั้งขนบธรรมเนียมต่างๆ ขึ้นสำหรับเป็นแบบแผนแห่งความประพฤติปฏิบัติและการทำกิจวัตรของพระภิกษุสามเณรในคณะเพื่อความถูกต้องไพบูลย์แห่งการปฏิบัติพระธรรมวินัยแล้ว อาจกล่าวได้ว่า พระสงฆ์ธรรมยุตได้เกิดเป็นคณะหนึ่ง ขึ้นแล้วโดยพฤตินัย แม้ว่าจะไม่ได้รับการยกขึ้นเป็นคณะหนึ่งในทางราชการ และนับแต่พระสงฆ์ธรรมยุตได้มีสำนักเป็นเอกเทศ คือ วัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ได้มีการปกครองดูแลกันเองภายในคณะ โดยมีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประธานแห่งหมู่คณะจนตลอดสมัยแห่งการทรงผนวช แต่เกี่ยวกับกาลกำเนิดแห่งคณะธรรมยุตตามที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น ท่านกล่าวไว้หลายนัยสรุปได้ดังนี้

(๑) ในเรื่องประดิษฐานพระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกาย ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิป ประพันธ์พงศ์ ถือเอาปี พ.ศ.๒๓๖๗ อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เป็นกาลกำเนิดของคณะธรรมยุต

(๒) ในเรื่องพระราชประวัติในรัชกาลที่ ๔ โดยความย่อของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา ปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงกล่าวว่า การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำทัฬหีกรรมคืออุปสมบท ซ้ำในคณะสงฆ์รามัญเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ (จ.ศ. ๑๑๘๘) ซึ่งเป็นปีที่ ๒ แห่งการทรงผนวชนั้น “เป็นต้นคติธรรมยุติกนิกาย”

(๓) ในลายพระหัตถ์ฉบับหนึ่งของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอ้างพระดำรัสเล่าของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ว่า ทรงถือว่า จ.ศ. ๑๑๙๑ (พ.ศ. ๒๓๗๒) อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จจากวัดมหาธาตุไปตั้งสำนักที่วัดสมอราย เป็นกาลกำเนิด ของคณะธรรมยุต

(๔) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถือเอาวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๗๙ (ร.ศ. ๕๕) อันเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จจากวัดสมอรายมาอยู่ครองวัดบวรนิเวศวิหาร ว่า เป็นกาลกำเนิดของคณะธรรมยุต

•• ••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••• ••
#อ้างอิงบรรณานุกรม ; คัดลอกเนื้อหามาจากหนังสือ "พระปรมาจารย์สายพระกัมมัฏฐาน" ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร ; พิมพ์ปี ๒๕๔๖ ; และจากหนังสือ "พุทธศาสนาวงศ์กับธรรมวินัยพระไตรปิฎก จากพระนิพนธ์เจ้า พระคุณสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาบุญกุศลที่มา Fb page ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco