ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร วัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่


๏ ประวัติและปฏิทา หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ๏ 
    วันนี้วันที่ ๓๑ มกราคม​ ๒๕​๖​๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร รำลึก ๒๔ ปี อาจาริยบูชาคุณ "พระอริยเจ้าผู้มีธรรมสว่างดุจดวงจันทร์” แห่งวัดถ้ำผาผึ้ง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร เป็นพระป่าวิปัสสนากรรมฐานในสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ, ท่านพ่อลี ธัมมธโร, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร หลวงปู่บุญจันทร์ท่านมีปฏิปทาน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสยิ่งนัก ท่านเป็นผู้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ผาดโผนมาโดยตลอด ภายหลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว ท่านมีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่น จึงได้กล่าวกับโยมพ่อว่า ทรัพย์สินที่ไร่ที่นาทั้งหลายให้ขายให้หมด หากท่านอยู่ในพระพุทธศาสนาไม่ได้ สึกออกมาท่านจะหาเอาเอง หากหาไม่ได้ก็จะกินดินแทนข้าว และยังได้บอกกับโยมพ่อด้วยว่า ทรัพย์สินของโยมพ่อก็ขายให้หมดด้วย แล้วเอาเงินไปทำบุญ โยมพ่อเองก็ให้ออกบวชเสีย หลวงปู่บุญจันทร์ เป็นพระผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว อาจหาญตามแบบครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ปฏิบัติมา ท่านเป็นอภิชาตบุตรโดยแท้ เพราะได้ชักนำให้โยมพ่อบวชพระและโยมแม่บวชชี เพื่อปฏิบัติธรรมจวบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของโยมทั้งสอง

• #ประวัติและปฏิปทาหลวงปู่บุญจันทร์_จันทวโร 
วัดถ้ำผาผึ้ง ต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ 

นามเดิมท่านชื่อ "บุญจันทร์ พงศ์สวัสดิ์" มีบิดาชื่อ นายเพียร พงศ์สวัสดิ์ มารดาชื่อ นางสงบ พงศ์สวัสดิ์ เกิดที่เมืองพล อำเภอพล ตำบลเมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น เกิดวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๙ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอังคาร มารดาและบิดาเป็นชาวนา อาชีพทำนาทำสวน เมื่อเกิดมาแล้วมารดาและบิดาก็ได้เลี้ยงดูเจริญขึ้นตามลำดับ จนมีอายุได้ ๘ ปี ก็ได้ฝากให้เรียนหนังสือ ที่โรงเรียนประชาบาลเมืองพล จนเรียนจบประถมสี่ ก็ได้ออกจากโรงเรียนมาอยู่ที่บ้าน ช่วยบิดามารดาทำนาทำสวน 

ครั้นอายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ชีวิตความเป็นหนุ่มก็กำลังเจริญขึ้น กิเลสความโลภ อยากได้ยินดี มันก็เจริญขึ้น จึงต้องทำงานต่างๆ ทำนาบ้าง ทำสวนบ้าง ค้าขายบ้าง หาปู หาปลา ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเอามากิน เอามาเลี้ยงพ่อแม่ เอามาขาย เอาเงินเก็บหอมรอมริบ เพื่อจะมีครอบครัวในอนาคต จนอายุเจริญขึ้นย่างเข้า ๒๑ ปี พ่อแม่ก็ปรารภเรื่องจะให้มีครอบครัว เจ้าตัวเองก็เลยคิดว่า ถ้าไปมีครอบครัว แล้วกลัวจะไม่ได้บวช ฉะนั้น เมื่อพิจารณาตกลงใจว่า จะต้องบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่เสียก่อน ถ้าอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา ก็ค่อยมีครอบครัวทีหลัง จึงบอกความประสงค์ให้พ่อแม่ทราบ ท่านก็ยินดีอนุโมทนาด้วย 

ต่อมาท่านจึงนำไปฝาก ท่านอาจารย์ทองสุข ที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ เมืองพล เพื่อฝึกหัดครองนาคและฝึกขัอวัตรปฏิบัติในเบื้องต้น เช่น หัดกราบไหว้ หัดปฏิบัติครูบาอาจารย์ หัดกินข้าวหนเดียว หัดท่องครองนาค และฝึกทำนองมคธภาษา หัดไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ตักน้ำใส่โอ่ง ส่วนบริขารเครื่องบวชนั้นบิดามารดาท่านเป็นเจ้าภาพจัดหาตระเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย ไปหัดนาคอยู่ ๑๕ วัน บิดาท่านก็ได้ไปติดต่อพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเวลานั้นมี พระครูอนุโยคธรรมฌาน เป็นพระอุปัชฌาย์ มีอาจารย์มหาประสงค์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้บรรพชาและอุปสมบทที่พัทธสีมา วัดสระจันทร์ เมื่ออายุ ๒๑ ปี วันที่ ๓๑ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๙๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ วัดสระจันทร์ ตำบลเมืองเกา อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น 

เมื่อเสร็จการบรรพชาอุปสมบทแล้ว ก็ได้ลาพระอุปัชฌาย์ ไปจำพรรษาที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ มีท่านอาจารย์ทองสุข เป็นอาจารย์ ได้มอบกายถวายตัวเป็นศิษย์ท่าน ท่านก็แนะนำสั่งสอน ให้ท่องทำวัตรเช้าเย็น แนะนำให้ท่องสวดมนต์ แนะนำให้ท่องนวโกวาท แนะนำให้ดูหนังสือนักธรรมตรี ครั้นถึงเวลาเช้า ก็นำทำวัตรเช้า ตอนเย็นก็นำทำวัตรเย็น ตอนเช้า ตื่นระยะเวลา ตี ๓-๔ ก็ลงมาที่ศาลา ปัดกวาดบนศาลา เสร็จก็ปูเสื่อ ปูอาสนะ ที่นั่งของอาจารย์ และพระตามลำดับ ตั้งน้ำฉัน ตั้งกระโถนเตรียมบาตร เมื่อถึงเวลาออกบิณฑบาต ประมาณ ๗ โมง ก็ไปบิณฑบาต บ้านคึมชาติบ้าง บ้านเหล่านาคีบ้าง บิณฑบาตเสร็จก็กลับมาฉันที่ศาลาภายในวัด จัดแจงอาหารแจกจ่ายกันทั่วถึง แล้วก็ลงมือฉันด้วยความสำรวม ฉันเฉพาะในบาตร ฉันวันละครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อฉันเสร็จก็นำบาตรไปล้าง แล้วนำมาเช็ดให้แห้ง เอาผึ่งแดดพอสมควร แล้วก็เอาใส่สลกตั้งไว้ แล้วก็ช่วยกันปัดกวาดศาลา เก็บเสื่อเก็บอาสนะ เก็บกระโถนที่ล้างแล้วก็เอามาเช็ดให้แห้ง แล้วนำไปเก็บไว้ให้เรียบร้อย ต่อมาก็เก็บบาตร และเครื่องใช้ของตนไปกุฏิ เอาบาตรและบริขารอื่นไปไว้แล้ว ก็เตรียมท่องหนังสือ สูตรไหนที่ยังไม่ได้ก็เตรียมท่องต่อไป 

ระหว่างที่เป็นนวกภิกษุผู้บวชใหม่ กิจที่จะต้องศึกษายังมีมาก ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน บางทีท่องหนังสือไป มันเหนื่อย ก็หยุดพัก ภาวนา พุทโธ พุทโธ บางทีก็พิจารณากายในอาการสามสิบสอง โดยความเป็นปฏิกูลบ้าง บางครั้งก็กำหนดลมหายใจเข้าออก พร้อมทั้งคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มีโยมชาวบ้านเขาตาย เขาก็มานิมนต์พระไปให้บุญคนตาย คือนิมนต์ไปสวดมาติกาและบังสุกุล ก็มานึกในใจว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เวลาตายลง เขามีบ้านมีเรือน ก็เอาไปไม่ได้ เขามีวัตถุ ข้าวของ เงินทองก็ เอาไปไม่ได้ บางคนทรัพย์สินเงินทองข้าวของมากมี เวลาตายเป็นผี เอาไปไม่ได้ ความตายนี้ไม่มีอะไรป้องกัน คนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น อย่าว่าแต่คนอื่นจะตายเลย ตัวเราก็จะต้องตายเหมือนกัน เมื่อความตายมาถึงเรา เราจะเอาอะไรในกายนี้ แม้แต่ผมเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้

เมื่อพิจารณาไป ก็เกิดสังเวชสลดใจ จึงได้พิจารณากายตัวเอง ถึงมรณานุสติ มากเข้า ต่อนั้นมา การพิจารณากายคสติ กับมรณานุสติ มักจะไปด้วยกัน แต่ในตอนนั้น มันเป็นพรรษาแรก ไหนจะเจริญกรรมฐานบ้าง ไหนจะไปท่องสวดมนต์บ้าง ไหนจะไปดูธรรมะบ้าง ไหนถึงเวลาทำข้อวัตรก็ต้องเบ่งเวลาไป ทำให้รู้สึกว่าการเจริญกรรมฐานยังได้น้อย

บางครั้งตัณหากิเลสมันก็แสดงออกไปภายนอก เพราะไปนึกถึงเรื่องอดีต ที่พ่อแม่แบ่งนาไว้ให้ แบ่งสวนไว้ให้ แบ่งวัวแบ่งควายไว้ให้ และพ่อก็ไปขอสาวไว้ให้ แม่ก็ไปขอสาวไว้ให้ ถ้าสึกมาเมื่อไร ก็จะได้แต่งงานกัน

คิดทางโลก ซึ่งเป็นเรื่องกามวัตถุ เมื่อคิดไปแล้วมันก็คิดทบทวน มาหาคนที่ตาย เห็นไหมผู้หญิงคนนั้นตาย เขาก็เอาเผาไฟ ไฟก็ไหม้หมด ไหม้หัว ไหม้หน้าตา ที่สวยงามๆ ไหม้แขน ไหม้มือ ไหม้ตัว ไหม้ขา ไหม้แข้ง ไหม้ตีน ไหม้หมด ทั้งหนังเนื้อเส้นเอ็นและกระดูก แม้แต่ตัวเขา ก็เอาอะไรไม่ได้ มีวัตถุข้าวของเงินทองมากมายได้อะไร ใจรู้ไหม ใจเห็นไหม ใจนี้มันตายไหม ถ้าใจมันตาย ไปด้วยกัน เอาไปเผาหมดทั้งกาย ทั้งใจเห็นจะดี ไม่มีกาย ไม่มีใจแล้ว เห็นจะไม่มี ทุกข์ยากลำบากอะไร แต่ในหนังสือธรรมะ ท่านว่า ใจไม่ตาย กายตาย ใจไปเกิดอีก เป็นนั่นเป็นนี่ เป็นเรื่องของกรรม ถ้าทำกรรมดี ใจก็ไปเกิดที่ดี ถ้าทำกรรมชั่ว ใจก็ไปเกิดที่ชั่ว

เมื่อมีความเห็นอย่างนี้ใจก็น้อมไปในการเจริญกรรมฐานมากขึ้น ตายไม่ได้อะไร สึกไปทำไม ถ้าสึกไปเอาเมีย เมียมันก็ตาย ตัวเราก็ตาย คนทั้งโลกตายกันทั้งนั้น ไม่มีใครได้อะไร สมบัติเครื่องใช้ในโลกชั่วคราว ดูซิ เศรษฐีมีเงินร้อยล้าน พันล้าน ตายลง บาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ ในเวลามีชีวิตอยู่ลุ่มหลงมัวเมาหาแต่วัตถุข้าวของเงินทอง เมาเสียจนมืด สิ้นบุญกุศล จะให้ทานก็กลัวแต่มันจะหมด เรื่องหมดไม่ชอบ ชอบแต่เรื่องร่ำรวยมั่งมี ยิ่งมียิ่งตระหนี่ขี้เหนียว เศรษฐีบางคนเอาทรัพย์ไปซ่อนไว้ เอาไปฝังไว้ กลัวลูกหลานเขาจะแย่งเอาไป เวลาตายก็ไปเป็นผี เฝ้าเงินเฝ้าทอง ยิ่งทำโทษหนักให้แก่ตัวเอง เพราะหลงมืดมน ไม่สนใจในธรรมะ จึงไม่รู้จักประโยชน์การใช้เงิน 

ในใจมันหลงมัวเมา ในกิเลสกามและวัตถุกาม จนมืดมนอนธการ หลงบ้านเรา หลงผัวเรา หลงเมียเรา หลงลูกเรา หลงหลานเรา หลงญาติมิตรพี่น้องเรา ใจเมาในสังขารจนตาย ก็ไปเกิดกับสังขารอีก เป็นอย่างนี้มาหลายร้อยหลายพันกัปมาแล้ว ยังหลงต่อไปในอนาคต

คนคงจะระลึกได้รู้ใจละมั้ง ไม่ว่าแต่วัตถุข้าวของเงินทองภายนอก ตัวของคุณนี้แหละ ตายจริงๆ นะ ถือเอาอะไรเลยก็ไม่ได้ ในร่างกายนี้ใช้รอเวลาเท่านั้นแหละ ใจอย่าไปลุ่มหลงมัวเมามันนัก ใจที่ไม่ตายนี้ มีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง 

อริยทรัพย์ คือ สัทธาธนัง ใจมีไหม 
อริยทรัพย์ คือ ศีลธนัง ใจมีไหม 
อริยทรัพย์ คือ หิริธนัง ใจมีไหม 
อริยทรัพย์ คือ โอตตัปปธนัง ใจมีไหม 
อริยทรัพย์ คือ สุตธนัง ใจมีไหม 
อริยทรัพย์ คือ จาคธนัง ใจมีไหม 
อริยทรัพย์ คือ ปัญญาธนัง ใจมีไหม 

ถ้าใจมีอริยทรัพย์ท่านเรียกว่า ใจไม่จน

ถ้ามีโภคทรัพย์ข้าวของเงินทอง บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา อันเทรัพย์เครื่องใช้ในโลก ใจเอาไม่ได้ ร่างกายตายแล้ว ก็ทิ้งไว้ในโลกทุกคน จะตายกันหมดทุกคน จะไม่ได้อะไร แม้ขันธาธิโลก ก็ทิ้งเอาไว้ในโลก ฉะนั้นท่านผู้รู้จึงเตือนเอาไว้ว่า อย่าประมาทตาย ตายนะ รีบกินรีบใช้ รีบทำบุญ เดี๋ยวตาย อย่าไปมัวอ้างกาล อ้างเวลาอยู่

ในปีแรกนี้ การศึกษาธรรมะ การเล่าเรียนก็ดำเนินต่อไปเพราะได้คติธรรม คือ มรณานุสติ สอนใจ เมื่ออยู่จำพรรษา วัดป่าคึมชาติ จนออกพรรษาแล้ว ก็ได้กราบลาท่านอาจารย์ ์ไปเยี่ยมโยมบิดามารดาที่บ้านแฮด ก็ได้พักที่วัดป่า มีหลวงพ่อ อิสสโร ท่านอยู่ที่นั้น เมื่อพักอยู่ที่นั้น ก้ได้ฟังธรรมจากท่าน แนะนำสั่งสอนมีหลายอุบาย แต่อารมณ์กรรมฐาน ท่านใช้ กายคตายสติ กับพุทโธ ใจบริกรรมพุทโธ แล้วพิจารณาในอาการ ๓๒ พิจารณาในความเป็นของปฏิกูลบ้าง พิจารณาความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อนัตตาบ้าง

ครั้นอยู่ต่อมา ท่านก็เป็นโรคเท้าบวม หลังเท้าของท่านบวมเป็นหนอง เดินไปมาลำบาก การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะต้องใช้กระโถน ญาติโยมช่วยหายามารักษา ท่านทั้งยาทา ทั้งยากิน ทั้งยาประคบ แต่อาการไม่ทุเลา อาการบวมพองกลัดหนองข้างใน ฉันก็ไม่ค่อยได้ นอนก็ไม่ค่อยหลับ เราก็ได้เฝ้าดูแลการรักษาพยาบาลท่านมาในคืนหนึ่ง ปรากฏอาการเจ็บปวดรุนแรงมาก เราก็เอายาทาให้และช่วยตักเตือนท่าน ให้ระลึกพุทโธ และเตือนท่านให้ละความยึดมั่นถือมั่น บางครั้งเราก็เป่าให้ท่าน แต่รู้สึกว่า อาการของโรครุนแรงมาก เท้าที่แตก หนองไหลออกมา แทนที่ว่าอาการจะเบาลง กลับกำเริบแรงกล้า จนถึงท่านสิ้นลมหายใจตายลงในคืนนั้นเอง

พระเณรที่เฝ้าอยู่และญาติโยมได้เห็นก็เกิดสังเวชสลดใจ จนถึงเวลาเช้า ก็ไปบอกญาติโยม ทางในบ้าน และส่งข่าวไปถึง ท่านอาจารย์สีโห ท่านก็ได้พาพระเณร มาจากวัดป่าสุมนามัย อำเภอบ้านไผ่ เมื่อท่านมาแล้วก็ได้บอกให้โยมทำหีบ เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็เอาขึ้นมาที่ศาลา เพราะท่านพักอยู่ศาลา ทำพิธีรดน้ำศพแล้วก็เอาศพของท่านบรรจุลงในหีบ ทำพิธีสวดมติกา และชักอนิจจา ต่อมาเมื่อคณะสงฆ์มีท่านพระอาจารย์สีโห เป็นประธาน พร้อมพระเณร ญาติโยม ก็ได้พากันทำฌาปณกิจที่วัดนั่นเอง เวลาจูงศพท่านไปขึ้นเชิงตะกอน แล้วทำพิธีชักผ้าบังสุกุลเสร็จ ก็พากันใส่ดอกไม้จันทน์แล้วก็เผาที่นั่นเอง

ขณะที่เผาศพของท่าน ก็ได้ยืนดูพิจารณาไฟที่ไหม้ ไหม้กระดาษ ไหม้โลงพังออก เห็นตัวท่านไฟไหม้ผ้าจีวรที่คลุม ไหม้สบง ไหม้อังสะ ไหม้หัว ไหม้หน้า ไหม้ตา ไหม้หู ไหม้จมูก ไหม้ปากและไหม้ลำคอ ไหม้แขน ไหม้มือ ไฟไหม้อก ไฟไหม้ลำตัว ไฟไหม้หลัง ไฟไหม้สีข้างทั้งสอง ไฟไหม้ท้อง ไฟไหม้ขา ไฟไหม้แข้ง ไฟไหม้หนัง แล้วก็ไหม้เนื้อ ไหม้เข้าไปในเส้น ไหม้ม้าม ไหม้เนื้อหัวใจ ไหม้ตับ ไหม้ไต ไหม้ไส้พุง มีเลือด น้ำเหลืองหลั่งไหลออกมา ไฟก้ไหม้ไปจนหมดเหลือแต่ กระดูกขาว กองอยู่ปนกับถ่าน

นี้แลหนอจุดจบของร่างกาย ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ ตายแล้วไม่เผาก็ฝัง มองเห็นเด่นชัดว่า ตายไม่ได้อะไร จบลงแค่ตาย จบลงแค่เผาแค่ฝัง หมดทุกข์เรื่องบริหารร่างกาย ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำ ไม่ต้องทำงานทำการ ข้าวของเงินทอง บางคนหาไว้เยอะเมื่อยังไม่ตาย เมื่อตายแล้ว เอาอะไรไม่ได้ ฉะนั้นนักปราชญ์บัณฑิต จึงเตือนให้ระลึกถึงบุญ ตรวจตรองบุญว่า บุญ บารมีเราพอหรือยัง ถ้ายังไม่พอ ให้รีบทำนะ เดี๋ยวตาย จะเสียใจว่า ไม่ได้ทำบุญ ผู้จะรับผลบุญผลบาป ก็คือใจที่ไม่ตาย เมื่อพิจารณาเขาก็มาพิจาณาเราตายเหมือนกัน ล่วงพ้นความตายไม่ได้ ก่อนความตายมาถึง ต้องรวบรวมบุญกุศลมรรคผล ให้ถึงพร้อมภายในใจ

เมื่อเสร็จสิ้นการทำฌาปนกิจเศษอัฐิธาตุของท่านแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลอีกครั้งสุดท้าย อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ท่านอีก ครั้นต่อมา พระเณรครูบาอาจารย์ที่ท่านมาในงาน ท่านกลับไปวัดท่าน ยังเหลืออยู่สามรูป ก็มีแต่พระบวชใหม่ เพิ่งได้พรรษาเดียว จิตใจก็หว้าเหว่ นึกหาครูบาอาจารย์อีก เพราะตนยังเป็นผู้ศึกษาอยู่ทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ก็คิดจะลาญาติโยมไปจังหวัดอุดรธานี จึงได้ไปหาโยมบิดา เล่าความประสงค์ให้ท่านฟัง โยมบิดาบอกว่าจะเอานาไว้ให้ จะเอาสวนให้ จะเอาวัวให้ จะเอาควายให้ ถ้าสึกออกมา ก็จะหาภรรยาให้ จะมอบทรัพย์สมบัติให้ ก็เลยพูดกับท่านว่า พ่อ ไม่ต้องห่วงอาตมา ถ้าอาตมาอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา จะหาเอาเอง ถ้าหาเอาเองไม่ได้ จะพามันกินดิน ได้พูดกับท่านอย่างนี้ และได้บอกท่านว่า เอาขายเสียให้หมด แล้วเอาเงินไปทำบุญ โยมพ่อเองก็ให้ออกบวชเสีย

เมื่ออาตมาพูดท่านก็ฟัง แล้วท่านก็พูดออกมาว่า จะขายให้หมดแล้ว จะออกบวช เมื่อได้พูดปรับเความเข้าใจกันแล้ว อาตมาก็ลาท่าน พ่อไปส่งที่สถานีรถไฟบ้านแฮด อาตมาก็ขึ้นรถไฟไปอุดร ไปขอจำพรรษาที่วัดทิพยรัตน์ มีท่านอาจารย์ฐิน เป็นเจ้าอาวาส เมื่อจำพรรษาที่วัดทิพย์รัตน์ ก็ได้เรียนนักธรรมโท และท่องสวดมนต์แปลด้วย และได้ท่องปฏิโมกข์ด้วย จนออกพรรษาได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่ชอบ จำพรรษาอยู่หนองวัวซอ จึงคิดว่าจะไปกราบนมัสการท่าน เพื่อขอฟังธรรมคำสั่ง สอน จึงได้ไปขออนุญาติท่านอาจารย์ฐิน ก็เลยเตรียมเอาบริขารของตน ลาท่านเดินทางไป

เมื่อถึงวัดบ้านเล่า ท่านอาจารย์แพท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็เลยพูดให้ฟัง ว่าหลวงปู่ชอบ ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ไม่ทัน ก็เลยลาท่านอาจารย์กลับมาวัดทิพย์อีก จนรับกฐินเสร็จ ก็ได้ลาท่านอาจารย์ฐิน บอกท่านว่า จะไปเชียงใหม่ เพื่อตาม หาหลวงปู่ชอบ ก็ได้ออกเดินทาง ผ่านบ้านตาดไปอำเภอผือ ไปขอพักที่วัดป่าอำเภอผือ มีอาจารย์บุญมา อยู่ที่นั่น เริ่มสวดปาฏิโมกข์ ครั้งแรกที่วัดป่า อำเภอผือนั้น

ครั้นวันหลังต่อมา ก็ได้ลาอาจารย์บุญมา ออกเดินทางไปพักวัดบ้านค้อ มีอาจารย์คำมีอยู่ที่นั่น ได้พักที่วัดป่าบ้านค้อ หลายวัน ต่อมาก็ได้ลาอาจารย์คำมี เดินทางต่อไป พักที่พระบาทบัวบก ต่อมาก็ย้ายไปพักที่ถ้าพระนาผักหอก พักภาวนาอยู่ที่ นั่นหลายวัน ต่อมาก็ได้ไป พักที่บ้านคึมสะโนด มีบ้านสามหลัง ตอนในพรรษา หลวงปู่หล้า ท่านได้จำพรรษาที่นั้น เมื่อ ออกพรรษาแล้ว ท่านก็ย้ายไปอยู่ถ้ำพระนาหลวง ก็คิดจะไปกราบนมัสการ เพื่อขอฟังธรรม ข้อปฏิบัติจากท่าน ต่อมาก็ได้ลา โยมที่นั่นเดินทางไปพักที่บ้านน้ำซึม ต่อมาก้ได้ไปพักที่บ้านนาเก็น โยมบ้านนาเก็นนี้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น คนหนึ่งชื่อผู้ใหญ่เหี่ยว ไปเห็นที่ไร่ที่นาดี ก็เลยสึกมีครอบครัวอยู่ที่นั่น

ก็ได้พักภาวนาอยู่ใกล้บ้านนาเก็น เขาไปทำที่พักให้ข้างทางช้าง ช้างออกจาดงมาก็มากินน้ำ สมัยนั้นสี่สิบกว่าปีมาแล้ว ช้าง เสือ กวาง ฟาน หมู ไก่ป่า อย่างนี้ชุกชุม โยมเาทำที่พักข้างทางช้าง เขาจะลองดูว่าอาตมาจะกลัวไหม บุญรักษาอาตมา ก็มีคำว่าบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เท่านี้เป็นอารมณ์อยู่ภายในใจ แต่ปรากฏว่าช้างไม่ลงมากินน้ำ ช่วงที่อาตมาพักภาวนา อยู่ที่นั้น พักภาวนาอยู่หลายวัน ก็เลยลาโยม เดินทางไปบ้านสว่าง ที่วัดป่าบ้านสว่างนั้น มีหลวงปู่จันทร์อยู่ หลวงปู่จันทร์ ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น พักภาวนาอยู่กับท่านหลายวัน เลยขอให้โยมเขาพาไปหาหลวงปู่หล้า ที่ถ้ำพระนาหลวง ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำผาตัก ขอให้โยมไปส่ง เขาไม่รู้จักก็เลยไม่ได้พลหลวงปู่หล้า จึงได้กลับมาพักที่วัดป่าบ้านสว่างอีก

ต่อมาได้ลาหลวงปู่จันทร์ เดินทางผ่านบ้านปากลาง เดินทางผ่านดงปากเจียง ในดงนนี้มีช้างมาก มีช้างสีดอตัวหนึ่ง ไม่กลัวคน เห็นคนมันจะไล่ โยมเขาบอกว่า ครูบาเดินผ่านดงนี้ ให้ระวังช้าง ถ้าเห็นช้างหมู่ให้เป่ามือ มันจะแตกหนีไป ถ้าเห็นช้างสีดอ ให้หลบให้ดีมันจะไล่ เราก็มีของดีคือ พุทโธ ไม่ต้องกลัว พุทโธป้องกันภัยอันตรายทุกอย่าง เดินไปจนเป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่า จึงข้ามพ้นจากดง ไปถึงบ้านหนอง บ้านนี้อยู่ฝั่งโขง ก็เดินผ่านบ้านหนองไปใกล้จะถึงบ้านหาดเบี้ย จึงพักปักกลด นอนจนถึงรุ่งเช้า บิณฑบาตบ้านหาดเบี้ย โยมใส่บาตรดีเหลือเกิน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อฉันแล้วล้างบาตร เช็ด บาตรแห้งดีแล้ว ก็เอาผ้าครอง สิ่งของเอาใส่ในบาตร เตรียมเดินทางต่อไป

จำพรรษาที่ลำปาง คือ วัดป่าสำราญนิวาส เกาะคา ลำปาง ขณะที่ท่านนั่งทำสมาธิอยู่นั้น มีคนวิกลจริตเดินเข้ามาในวัด ถือมีดมาไล่ฟันคนในวัด ผู้คนแตกตื่นกันหมด ยิ่งไปกว่านั้น คนวิกลจริตผู้นั้นวิ่งตรงเข้าไปหาโยมแม่ของท่าน ซึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ท่านได้ยินเสียงอึกทึกจึงออกมาดู ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นในวัด คนวิกลจริตผู้นั้นวิ่งเข้าไปที่กุฏิโยมแม่ของท่าน แล้วเงื้อมีดฟันลงที่คอโยมแม่เกือบขาด โยมแม่สิ้นใจต่อหน้าของท่าน ขณะที่เข้าไปช่วย ปรากฏว่า เมื่อภาพอันเสียดแทงใจทำลายจิตใจของมนุษย์ปุถุชนอย่างรุนแรง เมื่อท่านเห็นแล้วท่านพิจารณาและหันหลังกลับไปที่กุฏิของท่าน ภาวนาเพื่อดับความสลดสังเวชอย่างสงบ

เมื่อเริ่มแรกที่ท่านมาสร้างวัดถ้ำผาผึ้งใหม่ๆ ท่านต้องระเบิดหินเพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างวัด และทางเดิน ท่านไม่ได้ใช้ระเบิดลูกเกลี้ยง แต่ท่านใช้ไดนาไมต์มาระเบิดหิน พอวางชนวนเสร็จท่านก็เดินออกไป 

น่าแปลกใจ ระเบิดไม่ทำงานสักที ท่านจึงเดินไปดู พระเณรที่อยู่ด้วยก็เฉย ไม่ไปด้วย คิดว่าไม่มีอะไร แต่เมื่อท่านเดินไปถึงจุดฝังไดนาไมต์ ระเบิดก็ทำงานทันที เสียงระเบิดดังบึ้มๆๆ สนั่นหวั่นไหว ฝุ่นฟุ้งตลบเป็นวงกว้าง พระเณรต่างตาลีตาเหลือกมองหน้ากัน ท่านเดินออกมาเอามือปัดอังสะสองสามที ไม่เป็นไรเลยแม้แต่น้อย 

หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ท่านได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๓ สิริอายุ ๗๔ ปี 

หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร ท่านเป็นพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งที่อัฐิ, เกศา เป็นพระธาตุเฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านอื่นๆ ปฏิปทาของหลวงพ่อบุญจันทร์ ท่านมุ่งเน้นไปในทางอบรมสั่งสอนธรรมะให้พระภิกษุสามเณร ตลอดจนญาติโยมที่มากราบนมัสการเป็นสำคัญ

คัดลอกจากหนังสือ อัตโนประวัติและจันทวโรวาท พระอาจารย์บุญจันทร์ จนฺทวโร ; (ต้นฉบับพิมพ์เมื่อ ๒๕๓๓) ; พิมพ์เมื่อ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ 
-----
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาบุญที่มา FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco