ชีวประวัติ ปฏิปทาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ป.ธ.9


วันนี้วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖​๗ เนื่องในโอกาสเจริญอายุวัฒนมงคล ๘๖ ปี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.๙, ศ.(พิเศษ), ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์) ที่ปรึกษามหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม ศาสตราจารย์พิเศษ ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ที่ปรึกษาทางวิชาการประจำ มูลนิธิแผ่นดินธรรม ในพระสังฆราชูปถัมภ์

ขอน้อมถวายมุทิตาสักการะในโอกาสอันเป็นมงคลนี้

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นามเดิม ประยุทธ์ อารยางกูร ฉายา ปยุตฺโต หรือที่รู้จักกันดีทั่วไปในนามปากกา "ป. อ. ปยุตฺโต" เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๑ ที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๙๔ และเข้ามาจำพรรษาที่วัดพระพิเรนทร์ กรุงเทพมหานคร จนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม ๙ ประโยค ขณะยังเป็นสามเณร นับเป็นรูปที่สองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเป็นรูปที่สี่ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยได้รับการอุปสมบทโดยเป็นนาคหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๔ ณ พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ) เป็นพระอุปัชฌาย์

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระนักวิชาการนักคิดนักเขียนผลงานทางพระพุทธศาสนารุ่นใหม่ มีผลงานทางวิชาการพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ผลงานของท่านที่เป็นที่รู้จัก เช่น พุทธธรรม เป็นต้น ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก ด้วยผลงานของท่านทำให้ท่านได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลายสถาบันทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ท่านเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพ จากยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education) 

นอกจากนี้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่ท่านได้รับรวมมีมากกว่า ๑๕ สถาบัน ซึ่งนับว่าท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ไทยที่ได้รับการยกย่องให้ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มากที่สุดในปัจจุบัน 

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ปัจจุบันสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และจำพรรษาอยู่ที่วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม

"ความหรูหรา คือยาพิษของพระ 
ความหรูหรา สงฆ์ไม่ควรกระทำ
หากยังไม่ละความหรูหรา
ก็อย่าได้เข้ามาในผ้ากาสาวพัสตร์เลย"
โอวาทธรรมสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) 

๏ ลำดับสมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค (ขณะเป็นสามเณร) นับเป็นสามเณรเปรียญธรรม ๙ ประโยค รูปที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ พระศรีวิสุทธิโมลี
พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชวรมุนี ศรีปริยัติบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพเวที ศรีวิสาลปาพจนรจิต ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ พระธรรมปิฎก อดุลญาณนายก ปาพจนดิลกนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ในราชทินนามที่ พระพรหมคุณาภรณ์ สุนทรธรรมสาธก ตรีปิฎกปริยัติโกศล วิมลศีลาจาร ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ในราชทินนามที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ปาพจนดิลกวรานุศาสน์ อารยางกูรพิลาสนามานุกรม คัมภีรญาณอุดมวิศิษฎ์ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี

#พรรับปีใหม่
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยุตฺโต)

คือคาถาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...
" กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา. "
กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ พร้อมกันไปกับตัวมันเองเนี่ย อันนี้เป็นคาถาที่เรียกว่า น่าจะเอามาใช้เอาพูดกันบ่อยๆ

เพราะว่า กาลเวลามันกลืนกินสัตว์ มันแน่นอนแหละ เราเกิด แก่ เจ็บ ตายไป แล้วก็กลืนกินตัวมันเอง ตัวมันเองก็ผ่านไป เดือนมกรา กุมภา มาจนถึงธันวา ก็เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นปีเก่า เปลี่ยนเป็นปีใหม่ กาลเวลากลืนกินตัวมันเอง มันก็พร้อมกับกินเราทั้งหลายไปด้วย

แต่ทีนี้ท่านก็สอนว่า ให้คนเนี่ยกินเวลาด้วย อย่าให้มันกินเราฝ่ายเดียว ถ้ากินมันเก่ง กินมันทัน มันก็กินเราไม่ได้ 

ทีนี้กินเวลา กินยังไง ก็คือ ให้เวลาเนี่ยมันเกิดมีประโยชน์ เหมือนเรากินเวลาแล้วก็ย่อยมันออกมา ย่อยออกมาเป็นงานการ ย่อยออกมาเป็นประโยชน์

แม้แต่ว่าชีวิตของเราเอง ถ้าหากว่า คนไหนหน้าตาจิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว มีแต่ทุกข์เนี่ย เท่ากับถูกเวลากิน แย่ลงเรื่อยๆ เลย

ทีนี้ ถ้าเรากินเวลาก็คือว่า อย่างที่บอกเมื่อกี้ เวลาผ่านไปเอ้าเราใช้เวลานั้น ทำให้มันเกิดประโยชน์ เหมือนกับย่อยมันออกมา กินเวลาแล้วก็ย่อยออกมา เป็นผลงาน เป็นประโยชน์ต่างๆ

ทีนี้ ว่าถึงชีวิตเฉพาะแต่ละเวลาที่ผ่านไป ก็คือว่า
ถ้าชีวิตของเราเนี่ยไม่ขุ่นมัวเศร้าหมอง เราก็ไม่ถูกเวลากิน
เพราะว่าเรามีหน้าตาจิตใจผ่องใส เบิกบานอยู่เสมอเนี่ย
เรากลายเป็นผู้ใช้เวลา อยู่กับเวลาได้อย่างดีเลย เราไม่ถูกเวลากิน เราเป็นฝ่ายมีชัยชนะ

เพราะฉะนั้นก็ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
แค่ว่า เวลาผ่านไปๆแต่ละเวลาเนี่ย
ให้จิตใจร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส หน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน
แค่นี้ก็เป็นฝ่ายที่กิน เป็นผู้กินเวลา ไม่ใช่ถูกเวลากิน
ยืนยงอยู่ มีชีวิตชีวาอยู่ตลอด

ก็เลยว่าให้ญาติโยมเนี่ย
มีปีติ มีปราโมทย์ ร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส
แล้วก็ต่อแต่นั้นด้วยจิตใจที่ดีงามผ่องใส
แล้วก็ทำดีงาม ทำคุณประโยชน์
ประโยชน์ความดีงามอะไรต่างๆ
ก็ยิ่งเพิ่มพูนพัฒนาขึ้นมา
เราก็ใช้เวลา กินเวลา ย่อยออกมา ได้ประโยชน์ทุกที
เราเป็นฝ่ายกินเวลาแทน ไม่ให้ถูกเวลากิน
เพราะฉะนั้นก็แข่งกัน

ทีนี้ถ้าหากว่าเรากินเวลาได้สำเร็จอย่างดีเนี่ย
จนกระทั่งเวลามากินเราไม่ได้ ก็จะเป็นพระอรหันต์ ว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเรียกพระอรหันต์ว่า
" กาลฆโส " แปลว่า " ผู้กินเวลา "
นั่นคือพระอรหันต์ เวลากินไม่ทัน
เวลากินพระอรหันต์ไม่ทัน 
เวลากินผู้ที่มีความดีงาม มีปัญญามีอะไร มีคุณสมบัติดีงาม พร้อมรู้จักใช้เวลาเป็น จนกระทั่งว่า เวลากินคนไม่ทัน
คนก็เลยเป็นผู้ที่เหมือนอมตะไปเลย

ก็ขอให้เป็น ผู้ที่ยืนยง
และได้คู่กับเวลาโดยไม่ถูกเวลากิน
แต่เป็นผู้กินเวลา มีชัยชนะเหนือเวลา
มีความสุข เริ่มด้วยปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ เป็นต้นไป
ทุกเมื่อเทอญฯ 

ขอขอบคุณข้อมูล : เพจ วัดญาณเวศกวัน , เพจพัดยศ สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย และ th.m.wikipidia.org
------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณที่มา FB page ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco