พระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม และพระอาจารย์ทองฮวด ฐิตวัณโณ ลูกศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วันนี้วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพรำลึก ๔๓ ปี เหตุการณ์สะเทือนใจชาวพุทธและวงศ์กัมมัฏฐานของท่านพระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม และท่านพระอาจารย์ทองฮวด ฐิตวณฺโณ ท่านทั้งสองเป็นศิษย์ในองค์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พระสงฆ์ผู้มีคุณต่อแผ่นดิน ถูกผกค.ทำร้ายท่านอย่างทารุณจนถึงแก่มรณภาพ ในปี พ.ศ.๒๕๒๔ บนเทือกเขาภูพาน จากส่วนหนึ่งของประวัติหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ได้เล่าถึงท่านพระอาจารย์ทองฮวด และท่านพระอาจารย์ปิ่น ดังนี้ ... นอกจากสัตว์ชุกชุมแล้ว พวกผู้ก่อการร้ายยังซ่องสุมกำลังอยู่ในป่าเยอะ อยู่มาวันหนึ่งพระอาจารย์ทองฮวดและพระอาจารย์ปิ่น ออกเดินธุดงค์พร้อมพระเณรอีก ๕-๖ รูปที่ติดตามไปด้วย เดินทางผ่านมาวัดถ้ำศรีแก้ว เพื่อกราบลาพระอาจารย์สุวัจน์เข้าไปธุดงค์ในป่าลึก พระอาจารย์ทองฮวดท่านได้พูดติดตลกกับพระอาจารย์สุวัจน์ว่า “ท่านอาจารย์ ถ้าผมถูกจับ ผมจะบอกเขาว่ามาจากวัดถ้ำศรีแก้วนะ”
ในที่สุดพระอาจารย์ทองฮวดและคณะ ก็ถูกจับ ผู้ก่อการร้ายจับเอาพระอาจารย์ทองฮวดและพระอาจารย์ปิ่นไปยิงทิ้งทั้งสองรูป ตอนแรก ๆ ยิงไม่ออก ต้องเอาผ้าถุงผู้หญิงคลุมหัวยิง ส่วนพระเณรที่เหลือเขาปล่อยกลับออกมา เมื่อผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นฆ่าพระ จึงเกิดวิบัติอย่างหนัก ถูกทางการปราบปรามจนสิ้นซากไม่มีเหลือ
• #ประวัติพระอาจารย์ปิ่น_ปิยธมฺโม
ท่านพระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม เป็นชาวลพบุรี เกิดที่ ตำบลโคกตูม อำเภอเมือง บิดาชื่อ นายพวง พุ่มอรุณ มารดาชื่อ นางลูกอินทร์ พุ่มอรุณ ในขณะที่เกิดเหตุนั้นท่านอายุ ๓๙ ปี ๑๙ พรรษา โดยบวชในปี พ.ศ.๒๕๐๕ ที่วัดมณีชลขัณฑ์ ตำบลพรหมาศาสตร์ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี หลังจากการคัดเลือกทหารแล้วเสร็จ ได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ๑ ปี แล้วเดินทางไปจำพรรษาที่ จังหวัดจันทบุรี อีก ๑ ปี ในปี พ.ศ.๒๕๐๖ ต่อไปได้เดินทางมายัง จังหวัดสกลนคร ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร ต่อมาออกพรรษาในปี พ.ศ.๒๕๐๙ ได้ออกธุดงค์ทางภาคเหนือนานเป็นเวลา ๕ ปี แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพรอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.๒๕๑๕ จนกระทั่งมรณภาพ
แอดมินท่องถิ่นธรรม เคยได้กราบเรียนถามหลวงปู่กวง โกสโล วัดป่านาบุญ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และหลวงปู่เสถียร คุณวโร วัดถ้ำพระภูวัว อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ว่าหลวงปู่ปิ่น กับหลวงปู่ทองฮวด ต่างเป็นสหธรรมิกของท่านทั้งสองรูป ซึ่งเป็นพระที่ภาวนาเก่ง และธุดงค์เก่งมาก ถือเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลยทีเดียวครับ
• #ประวัติพระอาจารย์ทองฮวด_ฐิตวณฺโณ
ท่านพระอาจารย์ทองฮวด ฐิตวณฺโณ ท่านเป็นลูกคนจีนในอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เดิมมีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือ และยังทำหน้าที่เป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์ด้วย โดยท่านได้เคยบวชเป็นพระภิกษุ สังกัดฝ่ายมหานิกายมาก่อน ราวๆ ๒-๓ พรรษา จากนั้นจึงลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตเป็นชาวบ้านอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงบวชเป็นพระในฝ่ายธรรมยุติกนิกายอีกครั้ง ท่านจบการศึกษาระดับครู ปกศ. และจบนักธรรมชั้นเอก ในระหว่างที่ลาสิกขามาเป็นชาวบ้านนั้น มีอยู่ระยะหนึ่งท่านได้สอนหนังสือที่ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา
การบวชครั้งหลังนี้ท่านมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมด้านภาวนากรรมฐานอย่างจริงจัง โดยท่านได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร แห่งวัดถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร เพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมเรื่อยมาจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน โดยเท่าที่ทราบท่านเคยจำพรรษาที่วัดถ้ำขาม ๕ พรรษา และท่านได้ไปศึกษาธรรมกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด รวม ๓ พรรษา
• #ธุดงค์ท่องถิ่นธรรมภาคเหนือ
ท่านพระอาจารย์ทองฮวด ท่านได้ธุดงค์มายังภาคเหนือหลายจังหวัด โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับเพื่อนพระภิกษุหลายรูป ท่านยังเคยธุดงค์ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และออกวิเวกไปตามบ้านป่าชาวเขาชาวมูเซอ และหนึ่งในคณะพระภิกษุสามเณรที่ร่วมธุดงค์นั้นมีท่านพระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม เจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร รวมอยู่ด้วย(ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด)
และยังเดินธุดงค์เข้าไปในเขต อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย บ้านหนองดินดำ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอ อีกด้วย การมาภาคเหนือของท่านพระอาจารย์ทองฮวด ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านหลายเรื่อง กล่าวคือ ท่านได้มาเกี่ยวข้องกับ วัดป่าเจดีย์เหลี่ยม ตำบลแม่ก๊า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ดังนี้
เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๑๔ ท่านพระอาจารย์ทองฮวด ได้เดินทางมาปักกลดที่วัดร้างที่หมู่บ้านหนองครอบ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า วัดป่าเจดีย์เหลี่ยม ขณะนั้นเป็นวัดที่รกร้าง เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เถาวัลย์ และกอหญ้าเต็มไปหมด ซึ่งชาวบ้านไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปเพราะกลัวผี กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น ด้วยทราบกันว่าเป็นวัดเก่าแก่ สมัยพระนางจามเทวี มีอายุกว่าพันปีล่วงมาแล้ว ท่านเล่าให้หลวงพ่อสุแก้ว สุรตโน ลูกศิษย์และเป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนี้ว่า การที่ท่านมาปักกลดที่วัดป่าเจดีย์เหลี่ยมนี้ เนื่องจากท่านนั่งสมาธิแล้วเกิดนิมิตว่าพบวัดร้างแห่งหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอสันป่าตอง และมีลักษณะแบบนี้ ต่อมาเมื่อท่านมาพักที่วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านจึงได้สอบถามท่านเจ้าคุณธรรมดิลก (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) ซึ่งในสมัยนั้นท่านมีตำแหน่งเป็น พระวินัยโกศล ว่ามีวัดแบบนี้ๆ อยู่ทางทิศใต้ของอำเภอสันป่าตองไหม ซึ่งได้รับคำตอบว่ามีหลายวัดที่เป็นวัดร้าง แต่น่าจะเป็นวัดร้างที่บ้านหนองครอบนี้มากกว่า จึงได้แนะนำให้ท่านพระอาจารย์ทองฮวด มาตรวจดู ซึ่งเมื่อท่านมาถึงที่วัดป่าแห่งนี้แล้ว ก็ตรงตามที่ท่านเกิดนิมิตนั้นทุกประการ (ท่านมาของท่านเพียงรูปเดียว)
จากนิมิต ท่านพระอาจารย์ทองฮวด ฐิตวณฺโน งานฉลองพระเจดีย์ มีตัวเลขติดหลังเก้าอี้ในนิมิต ๑๔๒๐ จึงสัณนิษฐานว่า สร้างพระเจดีย์ เมื่อ พ.ศ.๑๔๒๐ ศักราชมอญ ๒๓๙ (จุลศักราช) โดยมีเศรษฐีสามี-ภรรยา คู่หนึ่งที่เป็นประธานสร้างเป็นวัดธรรมดามาก่อน ต่อมามีสามี-ภรรยา อีกคู่หนึ่ง สร้างเป็นวัดใหญ่ขึ้น จนเศรษฐี สามี- ภรรยาคู่นี้ได้เสียชีวิตลง ก็ฝังไว้คู่กันและก่อเป็นรูปพระเจดีย์ไว้ ขณะนี้เรียกว่า กู่เจ้าวัด อยู่ที่หลังพระประธาน และต่อมาวัดนี้ร้างไปประมาณ พ.ศ.๑๖๐๐ - ๑๗๐๐ ภายหลังจึงเริ่มมีการบูรณะ หลังจากที่ท่านพระอาจารย์ทองฮวดมาปักกลด โดยชาวมอญ (ไทยรามัญ) ช่วยกันสร้างขึ้นจากวัดร้างของชาวมอญโบราณ
เหตุที่วัดนี้มีชื่อว่า วัดป่าเจดีย์เหลี่ยม ทั้งๆ ที่เจดีย์ก็ไม่ได้เหลี่ยมเพราะทางกรมศาสนาสำรวจวัดร้างแห่งนี้ ว่า วัดป่าเจดีย์เหลี่ยม ทความจริงแล้วชาวมอญเรียกวัดนี้ว่า เจไตเหลี่ยม จึงเพี้ยนมาเป็นเจดีย์เหลี่ยม ก็เลยเป็นวัดเจดีย์เหลี่ยมมาจนถึงทุกวันนี้
พระอาจารย์ทองฮวด ท่านมีอุปนิสัยชอบแสวงหาที่วิเวก และมักจะออกปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ปิ่นเสมอๆ ต่อมาท่านได้รับเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าหนองไผ่ จังหวัดสกลนคร และจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่นั้นเรื่อยมา จนมาถึงตอนที่มีเหตุการณ์ที่ท่านมรณภาพลงนั้น ท่านมีอายุรวม ๔๐ ปี พรรษาที่ ๑๒
แม่ชีสุนีย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อุปัฏฐากท่าน ซึ่งขณะนี้ประจำอยู่ที่สำนักชีวัดโคกเสาขวัญ เป็นคนเก็บรูปของท่านพระอาจารย์ทองฮวด
• #ลำดับเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จับพระสงฆ์สามเณร จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์เดช ฌานรโต พระผู้อยู่ในเหตุการณ์
ย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๓ หลังจากงานวางศิลาฤกษ์เจดีย์และพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๓ เหล่าพระเณรต่างแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม
พระอาจารย์ปิ่น และพระอาจารย์เดช (ปัจจุบันหลวงปู่เดช ฌานรโต พำนักอยู่ที่วัดป่าหนองปลิง จ.สกลนคร) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ก็จะออกแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรมเช่นกัน โดยมีนายเซ็ง สกุลทอง เจ้าของร้านเซ็งพาณิชย์ ซึ่งขายของชำ ได้ไปรับพระอาจารย์ทั้งสอง ที่วัดป่าอุดมสมพร และไปส่งที่ท่ารถบ้านสร้างค้อ เพื่อจะขึ้นรถโดยสารต่อไปที่ถ้ำผากง ในเขตหมู่บ้านสานแว้ โดยไปอยู่ปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ทองฮวดและคณะระยะหนึ่ง จนใกล้วันครบรอบวันมรณภาพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
คณะพระเณรจึงได้ออกเดินธุดงค์โดยเลือกที่จะใช้เส้นทางมาที่บ้านแก้งนาง และผ่านไปที่บ้านนาหลัก เพื่อจะเข้าไปร่วมงานที่วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
โดยคณะพระเณรที่ออกเดินธุดงค์มานั้นประกอบไปด้วย
๑.พระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
๒.พระอาจารย์ทองฮวด ฐิตวัณโณ วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร
๓.พระอาจารย์ทับ ธมฺมปทีโป วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
๔.พระอาจารย์เดช ฌานรโต วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร (ปัจจุบัน วัดป่าหนองปลิง อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร)
๕.สามเณรพรชัย นิ่มสวัสดิ์ (เวช) วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร (ลูกศิษย์พระอาจารย์ทองฮวด)
๖.สามเณรสุพจน์ ................ วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร (ลูกศิษย์พระอาจารย์ทองฮวด เคยไปอยู่กับหลวงปู่อุทัย ที่วัดถ้ำพระภูวัว ภายหลังลาสิกขาแล้ว)
๗.สามเณรอุทัย จันใด วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร (น้องชายพระอาจารย์ทับ / ภายหลังลาสิกขาแล้ว)
พระสงฆ์-สามเณร จำนวนทั้งหมด ๗ รูป ได้ออกเดินทางจากบ้านสานแว้ ไปบ้านแก้งนาง ( ต.กกดุม กิ่งอ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ) และพักที่บ้านแก้งนาง ๑ คืน โดยได้พักที่ศาลาวัดประจำหมู่บ้าน ซึ่งในขณะนั้นหมู่บ้านละแวกนี้เป็นเขตพื้นที่อิทธิพลของพวก ผกค.(พื้นที่สีแดง) เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ (ตรงวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีวอก) พอฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านแก้งนางแล้ว จึงได้ออกเดินธุดงค์เพื่อไปที่บ้านนาหลัก
การเดินทางนั้นเดินทิ้งระยะห่างกันพอสมควร เพื่อจะได้สะดวกแก่การภาวนา มีบางช่วงก็หลงกันบ้าง จึงได้เป่ามือเป็นเสียงสัญญาณบอกกัน ซึ่งอาจทำให้พวก ผกค. เกิดความระแวงก็ได้ ว่าเป็นพวกทหารที่มาสอดแนม
ต่อมาในเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัด ซึ่งต้นเสียงนั้นอยู่ห่างไปประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เมตร แต่คณะก็ยังเดินทางต่อไปจนมาพบพวกผู้ชาย ๖ คนกำลังอาบน้ำอยู่(ซึ่งคาดว่าเป็นพวก ผกค.) พระอาจารย์ทองฮวด จึงได้สอบถามถึงเส้นทางที่จะไปบ้านนาหลัก เขาตอบว่า “ไปทางนี้แหละ ไม่ทันค่ำก็จะถึง”
พอเดินต่อมาได้อีกประมาณ ๑๐๐ เมตร พวกผกค. ที่อาบน้ำอยู่ก็ได้วิ่งตามมา และร้องบอกให้หยุด พร้อมกันนั้นก็มีพวก ผกค. ติดอาวุธจำนวนประมาณ ๒๐ คน ได้ออกมาจากที่ซุ่มและมาล้อมไว้ทุกด้าน แล้วได้ขอค้นตัวตรวจบริขาร ซึ่งพวก ผกค.ได้ยึดใบสุทธิพร้อมทั้งนาฬิกาพกของพระเณรทุกรูป และได้พูดขอให้คณะพระเณรพักค้างคืนกับพวกเขาหนึ่งคืน จากนั้นพวก ผกค. ได้พาคณะพระเณรเดินหลบไปข้างทางซึ่งไม่ไกลมากนัก และเขาให้พักรอบๆ จอมปลวกที่อยู่ในที่นั้นและจัดการกางกลดให้เรียบร้อย จวนเวลาพลบค่ำก็มี ผกค. ประมาณ ๑๐๐ คนเศษมาถึง
จากนั้นพวกเขาได้จัดน้ำร้อนและน้ำกาแฟน้ำตาลที่สามเณรถือมา ชงถวาย ในขณะที่กำลังฉันน้ำร้อนนี้ สังเกตเห็นพวกผกค.ส่วนใหญ่ได้ประชุมหารือกัน หลังจากฉันน้ำร้อนเสร็จ
พวกนั้นก็ประชุมกันเสร็จพอดี แล้วมีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เก็บกลดเลยสหาย” และพวกเขาก็จัดการเก็บกลดและบริขารอย่างรวดเร็ว
พวกหนึ่งก็มาจับมือพระเณรไพล่หลัง และมัดด้วยเชือกแต่ไม่แน่นมากนัก พอให้เดินได้สะดวก จากนั้นพวกเขาก็ให้สัญญาณเพื่อออกเดินทางในคืนนั้นเลย อาศัยไฟฉายของแต่ละคนเพื่อส่องทาง โดยมีพวกเขาเดินนำหน้าและตามหลังพระทุกองค์
ส่วนบาตรและบริขารเขาสะพายไปให้ ซึ่งทางที่เขาพาเดินไปนั้นเป็นทางป่า ต้องมุดบ้าง ข้ามกิ่งไม้บ้าง การเดินเป็นไปด้วยความเงียบสงบ แทบจะไม่มีเสียงพูดคุยกันเลย เดินกันอยู่นาน จนประมาณเที่ยงคืน
อาศัยสังเกตจากแสงของพระจันทร์ พวกเขาจึงสั่งให้พัก ซึ่งที่นั่งพักเป็นพลาญหินกว้าง โดยพวกเขาได้ปูผ้ายางให้นั่งห่างๆ กัน แต่ยังพอได้ยินเสียงกันบ้าง และทุกรูปจะมีคนของเขานั่งคุมและคอยซักถามด้วยหนึ่งคน
จากนั้นก็มีหัวหน้า ผกค. ๒ คน จะเดินมาสอบถามพระเณรทุกรูป โดยใช้เวลาซักถามไปประมาณ ๑ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็พาคณะพระเณรออกเดินทางต่อไป จนประมาณ ๐๔.๐๐ น.จึงได้หยุดพักและให้อยู่รวมกัน โดยพวกผกค.ได้ก่อกองไฟล้อมคณะพระเณรไว้
จนกระทั่งสว่าง ผกค.ส่วนใหญ่ก็หลบไป เหลืออยู่ประมาณ ๘-๑๐ คน ที่คอยควบคุมพระเณร
เมื่อสว่าง (เป็นวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔) ก็มีผกค.มาถามว่าจะฉันกาแฟ หรือนมไหม พระก็ตอบว่า “ ไม่ฉัน จะฉันข้าวครั้งเดียว ” ประมาณ ๐๘.๐๐ น. เขาก็จัดภัตตาหารมาให้ มีข้าวเหนียว ๒ กระติบ และยำปลากระป๋อง ๒ ถ้วย (สำหรับพระ ๑ ถ้วย เณร ๑ ถ้วย) ก็ฉันพออิ่ม หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ผกค.ก็มานิมนต์พระอาจารย์ทองฮวดไปคุยกับหัวหน้าของเขา พร้อมนำบริขารไปด้วยทั้งหมด
ต่อมาเวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ก็ได้มานิมนต์พระอาจารย์ปิ่น ไปคุยกับหัวหน้าอีก และนำบริขารของท่านไปด้วยเช่นกัน
โดยสังเกตว่าพระอาจารย์ปิ่นได้ถูกพาเดินไปเส้นทางเดียวกันกับพระอาจารย์ทองฮวด ในระหว่างที่นิมนต์พระอาจารย์ทองฮวดและพระอาจารย์ปิ่นไปนั้นได้มีพวก ผกค.ญ ทยอยมาพูดคุยสอบถามพระเณรที่เหลือเป็นชุดๆ ชุดละประมาณ ๑๐ คน
รวมทั้งหมดกะว่ากว่า ๑,๐๐๐ คน โดยเขาสอบถามแต่ละรูปเกี่ยวกับประวัติเรื่องโยมพ่อ โยมแม่ ว่าเคยเป็นตำรวจบ้างหรือไม่
พวกเขาได้เล่าให้ฟังถึงลัทธิอุดมการณ์ของเขา และพูดโจมตีนายกรัฐมนตรี และ สถาบันศาสนา พระมหากษัตริย์ และได้กล่าวหาโจมตีว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่าเป็นผู้นำแผ่นทองคำที่หุ้มยอดองค์พระธาตุพนมไปขาย (พระธาตุพนมหักเมื่อ ๑๔ ส.ค. ๑๘)
พอประมาณ ๑๖.๐๐ น. ก็ได้มานิมนต์พระอาจารย์เดช ฌานรโต (ขณะนั้น ท่านอายุ ๒๗ ปี พรรษา ๗) พระอาจารย์เดช ถามว่า “จะให้เอาบริขารไปด้วยไหม”
เขาตอบว่า “ไม่ต้องเอาไป ให้เอาแต่กระติกน้ำไป”
โดยนำท่านไปไม่ห่างจากบริเวณนั้นเท่าใดนัก และท่านได้นั่งคอยอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีหัวหน้าผกค.มา ๒ คนอายุประมาณ ๕๐ ปี ลักษณะน่าจะเป็นข้าราชการ ได้มาสอบถามท่านว่า “มาจากไหน บวชที่ไหน บวชเมื่อไร พ่อแม่เคยรับราชการตำรวจ ทหารไหม”
หลังจากที่ท่านตอบคำถามเขาแล้ว ตอนท้ายพระอาจารย์เดช ก็ถามถึงพระอาจารย์ปิ่นและพระอาจารย์ทองฮวด ว่าอยู่ที่ไหน เขาตอบว่า “ได้ส่งกลับวัดไปก่อนแล้ว
ส่วนท่านและคณะขอนิมนต์ให้อยู่พักค้างคืนกับพวกผมอีกสัก ๑ คืน พรุ่งนี้จะให้สหายไปส่ง”
จากนั้นเขาจึงพากลับมาที่พัก ซึ่งเวลาใกล้ค่ำแล้ว ก็มานิมนต์พระอาจารย์ทับ (ปัจจุบันเป็นประธานสงฆ์อยู่ที่วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร) ไปสอบถามอีก แต่ใช้เวลานานไม่เท่ากับพระอาจารย์เดช พอมืดก็พาพระอาจารย์ทับกลับมาที่พัก และพักอยู่ด้วยกันจนเช้า
เวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น. พวกผกค.ก็นำข้าวเหนียว ๒ กระติบกับแกงไก่ใส่กะหล่ำปลีมาถวาย ขณะที่กำลังฉันอยู่ ก็ได้ยินเสียงพวกผกค.พิมพ์เอกสารซึ่งภายหลังทราบว่า เป็นใบผ่านทาง และบัตรอวยพรวันขึ้นปีใหม่
เมื่อฉันเสร็จ แต่ละรูปก็ได้รับใบผ่านทางและบัตรอวยพร ซึ่งบัตรอวยพรนั้นให้ไปแจกใครก็ได้ พร้อมปัจจัยถวายรูปละ ๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่ารถเดินทาง แต่ทุกองค์ไม่รับปัจจัย เพราะไม่มีไวยาวัจกรถือปัจจัย เขาจึงนำปัจจัยกลับคืนไป
ระหว่างที่อยู่ในความควบคุมของผกค.ก็พูดคุยด้วยอัธยาศัยไมตรีไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด ก่อนออกเดินทางพวกผกค.ประมาณ ๒๐ คน ได้จัดแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง และยกมือไหว้คณะพระเณรทุกคน และได้จัดกำลังจำนวน ๑๑ คนเพื่อตามมาส่งที่หมู่บ้านพร้อมกับสะพายถุงบาตรมาให้ด้วย
ระหว่างทางพวกผกค.ได้เล่าให้ฟังว่ามีพวกผกค.ผู้หญิง และพวกเด็กๆ ตั้งแต่อายุ ๑๑ ปีอยู่ด้วย แต่พวกเขาไม่อนุญาตให้มาเจอพระ พอใกล้ถึงเขตหมู่บ้านได้ยินเสียงคนฟันไม้ พวกผกค.จึงได้ลากลับไป
เส้นทางที่ผกค.มาส่งนั้นไม่ใช่เส้นทางที่จะไปบ้านนาหลัก แต่เป็นเส้นทางที่จะไปบ้านค้อ ซึ่งอยู่ระหว่างอำเภอคำชะอี กับอำเภอมุกดาหาร เขตจังหวัดนครพนม(เมื่อก่อนมุกดาหารเป็นอำเภอหนึ่งยังไม่แยกเป็นจังหวัด) พระเณรจึงเดินทางต่อ
พอเกือบถึงหมู่บ้านก็มาพบรถ ๖ ล้อ ซึ่งไปขนฟืนที่ทุ่งนา จึงขอโดยสารมากับเขา และเขาได้มาส่งที่วัดซึ่งอยู่กลางทุ่งนาและมีกอไผ่อ้อม
เมื่อเข้าไปที่วัด ไม่พบว่ามีพระเณรอยู่ ทราบภายหลังว่าเจ้าอาวาสได้กลับไปเยี่ยมญาติ คณะได้พักอยู่ที่วัด ๑ คืน
ในตอนกลางคืนก็มีชาวบ้านประมาณ ๒๐ คนได้มาร่วมทำวัตรสวดมนต์ โดยมีพระอาจารย์ทับและพระอาจารย์เดชเป็นผู้พาทำวัตร
ส่วนเณรทั้งสามรูปป่วยเป็นไข้มาเลเรียมาตั้งแต่ก่อนถูกควบคุมตัว จึงพักอยู่ หลังจากทำวัตรเสร็จแล้วได้พูดคุยและบอกชาวบ้านว่า พรุ่งนี้จะเดินทางต่อไปยังมุกดาหาร ซึ่งชาวบ้านบอกว่ามีรถโดยสารที่จะไปอำเภอมุกดาหารเพียงเที่ยวเดียวและจะออกในตอนเช้า หลังจากนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จึงลากลับบ้าน เหลือพักค้างคืนที่วัดอยู่ประมาณ ๔-๕ คน
ตอนเช้าวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ พระเณรได้ออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่มีบ้านอยู่ประมาณ ๑๐๐ หลังคาเรือน
หลังจากบิณฑบาตเสร็จแล้ว ได้กลับมาฉันที่วัด มีชาวบ้านประมาณ ๑๕-๒๐ คน ได้ตามมาถวายจังหัน และเรี่ยไรปัจจัยเพื่อเป็นค่ารถ โดยปกติ แล้วรถโดยสารจะออกจากหมู่บ้านประมาณ ๐๖.๐๐ น.
แต่วันนี้รถได้รอรับพระเณรจนถึงเวลา ๐๙.๐๐ น. เพื่อไปส่งที่อำเภอมุกดาหาร โดยมีโยมในหมู่บ้านถือปัจจัยตามไปส่งถึงอำเภอมุกดาหารด้วย ๑ คน พอดีพระอาจารย์เดชมีตั๋วแลกเงินของไปรษณีย์อยู่ ๑ ใบ ราคา ๕๐ บาท
ท่านจึงให้โยมนำไปแลกที่ทำการไปรษณีย์อำเภอมุกดาหาร เพื่อนำไปใช้เป็นค่ารถจากอำเภอมุกดาหาร ไปสกลนคร ซึ่งค่าโดยสารในขณะนั้นคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๐ บาท ยังเหลืออยู่อีก ๒๐บาท โยมที่ติดตามมาจึงได้ฝากปัจจัยที่เหลือให้คนขับรถโดยสาร
รถโดยสาร(เป็นรถของบริษัทสหมิตร)ได้มาส่งที่สถานีขนส่งจังหวัดสกลนคร และได้เดินทางต่อด้วยรถโดยสารประจำทางสายสกลนคร-อุดรธานี
คณะพระเณรมาถึงวัดป่าอุดมสมพร ประมาณ ๑๕.๐๐ น. เห็นพระเณรที่วัดกำลังกวาดตาดกันอยู่ สอบถามได้ความว่า พระอาจารย์ปิ่นและพระอาจารย์ทองฮวดยังมาไม่ถึง
พระอาจารย์เดชได้พักรออยู่ที่วัดป่าอุดมสมพรและช่วยเตรียมงาน จนกระทั่งถึงวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร คือวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ ก็ไม่เห็นว่าพระอาจารย์ทั้งสองกลับมาที่วัด จึงได้กราบเรียนเหตุการณ์กับท่านพระครูอุดมธรรมสุนทร (พระอาจารย์แปลง สุนทโร เจ้าอาวาสวัดป่าอุดมสมพร)
จากนั้นพระอาจารย์แปลง จึงได้บอกผู้ใหญ่บ้านบะทอง เพื่อไปแจ้งให้ทางอำเภอพรรณานิคมทราบ เมื่อนายอำเภอทราบแล้ว จึงได้รายงานไปยังฝ่ายทหาร ค่ายกฤษณ์ สีวะรา
จากนั้นทางฝ่ายทหารได้ตามมาสอบถามที่วัด โดยนำแผนที่มาสอบถามเส้นทาง เพื่อหาข้อมูลสถานที่พระอาจารย์ทั้งสองหายตัวไป ซึ่งทราบว่าน่าจะเป็นบริเวณห้วยทราย หลังจากนั้น ๑-๒ วัน ก็ได้นิมนต์พระเณรทั้ง ๕ รูปไปที่ค่ายกฤษณ์ สีวะรา เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อฝ่ายทหารทราบเรื่องพระอาจารย์ปิ่น และพระอาจารย์ทองฮวด ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว
จึงได้นำเครื่องบินไปประกาศให้ฝ่ายผกค.ปล่อยตัว และทางการก็ได้นำมวลชนไปกดดันผกค.ที่บ้านสานแว้ ต่อมาการเดินขบวนได้ขยายจำนวนมากขึ้นทั่วทั้งจังหวัดสกลนคร
เป็นผลให้ผกค.สกลนคร สลายตัวและออกมอบตัวเพื่อพัฒนาชาติไทยตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น
ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างยุติลงแล้ว ท่านพระอาจารย์แจ๋ว ขนฺติพโล วัดถ้ำพระผาป่อง บ้านขัวสูง ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งวัดของท่านอยู่ในละแวกหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ท่านได้ติดตามหาข้อมูลจนมาพบกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า...
พวกผกค.ได้ลงมือทำร้ายหัวหน้าคณะพระธุดงค์ทั้งสอง ในวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยใช้ด้ามเสียมทุบตีที่บริเวณท้ายทอยจนถึงแก่มรณภาพ ท่านพระอาจารย์ทองฮวด มรณภาพลงสิริอายุ ๔๐ ปี พรรษา ๑๒ ส่วนท่านพระอาจารย์ปิ่น ท่านมรณภาพสิริอายุ ๓๙ ปีและบวชมา ๑๙ พรรษา
หลังจากทำร้ายทุบตีพระอาจารย์ทั้งสองรูปจนมรณภาพแล้ว จึงได้นำร่างของท่านทั้งสองไปฝังไว้ ในหลุมเดียวกันใกล้กับบริเวณน้ำตกห้วยเรา ซึ่งเป็นสาขาของห้วยทราย
หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไป พวกผกค.เกรงว่าจะมีคนมาพบหลักฐานจึงได้นำศพของท่านอาจารย์ทั้งสองขึ้นมาเผา และนำอัฐิที่เหลือของท่านทิ้งลงน้ำตกแห่งนั้น
•••••
• #ลำดับเหตุการณ์เล่าโดยหลวงปู่หนูทับ_ธัมมทีโป
จากการสนทนาของ หลวงปู่น้อย(หลวงปู่คำพอง ปัญญาวุโธ กับหลวงพ่อหนูทับ ธัมมทีโป ณ วัดป่าแก้วชุมพล
หลวงปู่น้อย : ไหน คนไหน ท่านทับที่ไปธุดงค์ แล้วคอมมิวนิสต์จับไปตั้งแต่เป็นเณร จะมา สัมภาษณ์ เป็นเณรยังไม่ตายรอดมาได้
พระอาจารย์ทับ : ตอนนั้นเป็นพระแล้วได้ ๘ พรรษา
หลวงปู่น้อย : จำผิด นี่องค์นี่ละรอดมาได้ไม่ตาย เขาจับไปฆ่า ๒ องค์ เดี๋ยว ๆ ตอนที่ไปอยู่ ไปถูกจับ ไปกับใคร ไปยังไง ประสบการณ์ มายังไง ไปกันกี่องค์ ที่ไปด้วยกันใครไปบ้าง
พระอาจารย์ทับ : ๗ องค์ครับ อาจารย์ปิ่น อาจารย์ฮวด ข้าฯ น้อย อาจารย์เดช เณรอุทัย เณรเวช เณรสุพจน์ รวมเป็น เณร ๓ พระ ๔
หลวงปู่น้อย : ไปพักอยู่หมู่บ้านไหน
พระอาจารย์ทับ : บ้านแก้งนาง
หลวงปู่น้อย : เขามาหาตอนไหน
พระอาจารย์ทับ : ไปหาเขา ก็ไปหาคอมมิวนิสต์เขาเอง
หลวงปู่น้อย : ซิไปเทศน์ ให้เขาฟังหรืออย่างไง พระอาจารย์ทับ : ก็เดินผ่านลงมา ก็มาอยู่แถวบ้านสานแว้ บ้านนาหินกอง ก็อยู่กันคนละหมู่บ้าน ก็อยู่แถวบ้านสานแว้นี่ล่ะ
หลวงปู่น้อย : เขามากันกี่คน
พระอาจารย์ทับ : เขาก็มากันเยอะ มากันเรื่อย ๆ เพราะบ้านเป็นถิ่นเขา เขาก็เทียวไป เทียวมาอยู่ มันเป็นบ้านเขาหมด บ้านเขาถิ่นเขา
หลวงปู่ : แล้วเราไปพักอยู่ใกล้ ๆ บ้านเขาหรือยังไง หรือเดินธุดงค์ผ่านมา
พระอาจารย์ทับ : ก็พักอยู่ที่บ้านก่อน ก็ค่อยไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง
หลวงปู่น้อย : พักอยู่ข้างบ้านหรือในหมู่บ้าน
พระอาจารย์ทับ : พักอยู่ข้างหมู่บ้าน อยู่ในป่า หลวงปู่น้อย : พักอยู่กี่วันตรงนั้น
พระอาจารย์ทับ : อยู่ก็ประมาณเกือบเดือนหนึ่ง หลวงปู่น้อย : แล้วที่นี้ก็จะย้ายจากตรงนั้นเหรอ พระอาจารย์ทับ : ก็จากบ้านนาหินกอง ก็ไปบ้านแก้งนาง ไปหลายแห่งหลายหมู่บ้านจะลัดไป บ้านมะนาว บ้านต่างๆ จะลดลงมา เขาก็พากันอาบน้ำอยู่ ๓ ถึง ๔ คน ก็แวะไปถาม ทางเขาว่าไปทางไหน เขาชี้บอกทางแล้วก็เดินไปตามทาง เขาวิ่งตามกันมาเลย
หลวงปู่น้อย : ไปด้วยกัน ๒ องค์
พระอาจารย์ทับ : ๗ องค์ พระ ๔ เณร ๓
หลวงปู่น้อย : เดินตามกันไป ทีแรกเขาอาบน้ำกันอยู่
พระอาจารย์ทับ : ก็แวะถามทางเขา ว่าทางไปทางไหน ตอนนั้นเขาอยู่ในลำห้วย
หลวงปู่น้อย : เขาก็เลยวิ่งตามไป ไปนิมนต์อาราธนา
พระอาจารย์ทับ : ก็เอาปืนจี้เลย แล้วเขาก็เข้ามาขอตรวจค้น มีอะไรบ้างอยู่ในย่าม ในบาตร
หลวงปู่น้อย : เขาว่าอย่างไร ถึงเข้ามาตรวจ
พระอาจารย์ทับ : เขาว่าสงสัยว่าเราเป็นสปาย สายลับอะไรของเขาก็ว่าไป เป็นสายลับการเมืองแอบเข้ามา
หลวงปู่น้อย : ไปค้นไม่เจออะไรเหรอ
พระอาจารย์ทับ : ก็ไม่ได้ล่ะ มีแต่สบง จีวร อยู่ในบาตรนั้น ห่ออยู่ในนั้น
หลวงปู่น้อย : แล้วเขาว่าอย่างไงต่อ
พระอาจารย์ทับ : เขาก็บอกว่าให้หยุดพักก่อนได้ไหมสักคืน
หลวงปู่น้อย : แล้วไปรับนิมนต์เขาเหรอ
พระอาจารย์ทับ : ก็บอกเขาว่าพักได้อยู่ ก็ไม่ได้รีบไปอะไรเท่าไร ตอนนั้นจะมาลัดพบ หลวงปู่ หลวงปู่ฝั้นเพิ่นลงมา ครบรอบเพิ่น ก็ประมาณนี้
หลวงปู่น้อย : เขาจัดที่พักให้พักเหรอ หรือยังไง พระอาจารย์ทับ : ก็นอนตามป่าไม้นี่ล่ะ แล้วเขาก็ทำเชือกเอามาผูกแขนให้พระพร้อม เรียบร้อย กลัวพระวิ่งหนี
หลวงปู่ : สงสัยว่าเป็นด้ายผูกแขนสู่ขวัญ
พระอาจารย์ทับ : ผูกแขนให้ กลัวพระวิ่งหนี
หลวงปู่น้อย : ผูกแขนให้พระทุกองค์เหรอ
พระอาจารย์ทับ : ก็เณรน้อยไม่มีเชือก ก็เอาสายร่มผูกแขนตัวเอง ผูกทุกองค์ ไปด้วยกัน เขากลัวเราวิ่งหนี เขาผูกแล้วก็จูงไป จูงไปเหมือนวัว เหมือนควาย ไปทั้ง ๗ องค์พร้อมกัน เดินไปกลางคืน
หลวงปู่น้อย : เหมือนอีตาพราหมณ์จูง กัณหาชาลีไป
พระอาจารย์ทับ : ไปอย่างนั้นล่ะ
หลวงปู่น้อย : จูงไปแล้ว คุยกันว่าอย่างไง
พระอาจารย์ทับ : เขาก็แยกให้อยู่กันคนละที่ คนละแห่ง แล้วเขาก็ให้หัวหน้าเข้ามาคุย ด้วยทีละองค์ ที่แยกกันอยู่แต่ละแห่งนั้น ก็ไม่ยินเสียงกันเลยละ แยกกันอยู่ก็เพราะเขาไม่เชื่อใจเรา
หลวงปู่น้อย : ก่อนจะไป ก่อนจะขอแยกทางกันไป เขาว่าอย่างไร
พระอาจารย์ทับ : พอตรวจของแล้วไม่มีอะไร เขาก็เอามาสัมภาษณ์กันทีละคน เสร็จแล้ว เขาก็เอามารวมกันไว้ แต่ละองค์ อยู่ในป่าก็ถางป่าออกให้อยู่ แต่ก็แยกอยู่แต่ละองค์ แยกกันอยู่ กระจายกำลังกันเฝ้า ก็มองเห็นกันอยู่ ก็ใบไม้มาปูลาดแล้วก็พักกันอยู่ตรงนั้น
หลวงปู่ : พักอยู่ตรงนั้นกี่วัน
พระอาจารย์ทับ : พักอยู่ ๒ วัน เขาก็เอาหัวหน้ามาสัมภาษณ์ ทางไหนเป็นหน่วยเหนือ ไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาเลย
หลวงปู่น้อย : ไปสัมภาษณ์แล้วหายไปเลย แล้วเอาองค์ไหนไปก่อน องค์ไหนไปหลัง
พระอาจารย์ทับ : อาจารย์ปิ่นไปก่อน ต่อมาก็เอาจารย์ฮวด ต่อมาก็ข้าฯ น้อยนี่ล่ะ
หลวงปู่น้อย : เขาปล่อยมาหรืออย่างไง พระอาจารย์ทับ : เอาไปถามแล้วมันไม่มีอะไร ก็เหมือนเดิม ก็เอามาคืน
หลวงปู่น้อย : เขาถามว่าอย่างไง อะไรบ้าง
พระอาจารย์ทับ : เขาก็ถามว่า เป็นสายให้ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ หรือมีพี่น้องเป็นสาย อะไรให้ทางการไหม แล้วไปต่อต้านเขาหรือไม่
หลวงปู่น้อย : แล้วอยู่ต่อมาอีกกี่วัน เขาถึงปล่อยพวกท่านที่เหลือนี้ออกมา
พระอาจารย์ทับ : อยู่อีกคืนหนึ่ง เขาก็พิมพ์ใบผ่านด่าน พิมพ์เอกสารอะไรให้ รหัสเดินทาง
หลวงปู่น้อย : ที่เขาเอาไปสัมภาษณ์สององค์นั้น ตอนกลางคืนเหรอ
พระอาจารย์ทับ : กลางวัน ก็อยู่ด้วยกันอยู่ เขาสัมภาษณ์แล้วไม่มีอะไร เขาก็พิมพ์ใบผ่านด่านใบอะไรให้ แล้วก็มาส่งที่ด่าน เอกสารเขาก็ออกให้
หลวงปู่ : ฝ้ายผูกแขน เขาก็เอาออกแล้วเหรอ
พระอาจารย์ทับ : ตอนจากเขาก็มาส่งที่หมู่บ้านแล้วก็เอาเชือกผูกมือผูกแขนคนละเส้น ๆ ออกให้ ไม่ใช่ฝ้ายมงคลนะ
หลวงปู่น้อย : ไม่ใช่ฝ้ายมงคล แล้วไม่ถามถึงกันเหรอ ว่าอีกสององค์เพิ่นไปไหน
พระอาจารย์ทับ : ก็ถามอยู่ ว่าไปหน่วยเหนือแล้ว คือไม่มีทางรอด
หลวงปู่น้อย : อ้อ ไปหน่วยเหนือแล้ว
พระอาจารย์ทับ : ก็มาเข้าแถวเป็นแถวไว้ส่วนที่เขาจะมาส่ง แล้วก็จัดกลุ่มพระอยู่กลาง กลุ่ม หัวหน้าอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ห่างกัน ๕๐ เมตร พวกคุ้มครองอยู่ข้างหลังอีก ๕๐ เมตร เวลาเกิดเหตุ พวกนี้ก็จะหนีได้ เขาก็วางแผนไว้ ทหารก็ประมาณ ๑๓ กองร้อย
หลวงปู่น้อย : แล้วไปทำอะไร แถวนั้น
พระอาจารย์ทับ : ก็ไปหาที่ภาวนานี่ละ ก็อยู่ในป่าในดง ไม่มีเรือน ไม่มีชาน กลางดง จริง ๆ บ้านโสก แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจภาษาของเขาหรอก
หลวงปู่น้อย : นานเท่าใด ถึงทราบข่าว
พระอาจารย์ทับ : มาถึงวัดป่าอุดมสมพร แล้วถึงถามกันว่า หายไปไหนอีกสององค์ ก็เลยเล่าความเป็นมาให้ฟัง พวกทหารกองทัพภาคที่สอง ก็เลยมาจับไปอีก เอาไปสัมภาษณ์อีก ก็เลยดังเลย ผู้นั้นก็มาถาม ผู้นี้ก็มาถาม ลูกศิษย์ลูกหา
หลวงปู่น้อย : ไปธุดงค์พระ ๔ เณร ๓ เหลือกลับมา พระ ๒ เณร ๓ ส่วนอีก ๒ องค์นั้นไปเลย แล้วได้ยินข่าวไหม สมัยนั้น ปีไหน
พระอาจารย์ทับ : ก็ปี ๒๕๒๔ อยู่แถวภูพาน
หลวงปู่น้อย : เคยรู้จักกันอยู่อาจารย์ปิ่น เคยไปมาหาสู่กัน เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจารย์ฮวด เพิ่นเป็นคนคุยเก่งมาก อาจารย์ปิ่น เป็นคนลพบุรี อาจารย์ฮวดเป็นคนกาฬสินธุ์ พากันไปธุดงค์ แล้วถูกจับ จับไปฆ่าทั้งสององค์เลย เขาจับโยนลงเหว หรือยังไง
พระอาจารย์ทับ : เขาบอกว่าไปหน่วยเหนือก็แค่นี้
ข้อสังเกต เรื่องผกค.กับ การใช้ยุทโธปกรณ์ และการแต่งกาย
๑. ปืนอาก้าหรือ ปืนเอ็ม ๑๖ หรือ อาร์พีจี เป็นอาวุธประจำกายทุกคน
๒. ลูกระเบิดมีคนละประมาณ ๔-๕ ลูก (ทำจากจีนแดง)
๓. กระติกน้ำ
๔. นาฬิกาข้อมือ
๕. ปืนพก (มีเฉพาะระดับหัวหน้า)
๖. เป้สนาม (มีเฉพาะระดับหัวหน้า)
๗. รองเท้ารัดส้น หรือรองเท้าแตะ
•• ••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••• ••
#บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกจากหนังสือ
• "คู่ธรรม กรรมฐาน" ประวัติและคติธรรม หลวงปู่น้อย(คำพอง ปญฺญาวุโธ) และหลวงปู่อุ่นหล้าฐิตธัมโม ; พิมพ์เมื่อ สิงหาคม ๒๕๖๐ ; หน้า ๓๗๕ - ๓๗๘
• "พระโพธิธรรมาจารย์เถร (สุวัจน์ สุวโจ)" เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ณ วัดป่าเขาน้อย ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
• ประวัติวัดเจดีย์เหลี่ยม คัดลอกมาจาก https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/3321
ลูกหลานศิษยานุศิษย์ขอกราบน้อมระลึกคุณงามความดีของท่านพระอาจารย์ปิ่น ปิยธัมโม และท่านพระอาจารย์ทองฮวด ฐิตวัณโณ บุญใดใดที่ท่านปฏิบัติด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ สั่งสมมาดีแล้วในปัจจุบันชาตินี้ ขอท่านทั้งสองได้ไปสู่เส้นทางแห่งมรรคาของพระบรมศาสดาด้วยเทอญ
--------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณที่มา FB page ท่องถิ่นธรรม พระกรรมมัฏฐาน
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น