สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และวัดสุปัฏนาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี


๏ ประวัติและปฏิปทา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสโส) ๏ 
     วันนี้วันที่ ๒๖ มกราคม​ ๒๕​๖​๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสฺโส) รำลึก ๖๘ ปี อาจาริยบูชาคุณ จึงขอน้อมนำประวัติสมเด็จอ้วน ติสฺโส ผู้เป็น ๑ ในสัทธิวิหาริก ของท่านพระอาจารย์ใหญ่เทวธมฺมี ม้าว พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นกำลังกองทัพธรรมเผยแผ่วงศ์ธรรมยุติภาคอีสาน องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยปรารภว่า “..พระสมเด็จฯ ผู้มีปฏิปทาอย่างนี้ หายากยิ่งนัก เพราะสมัยนี้อย่าหวังว่าจะหาพระสมเด็จที่อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมลดตน ลดทิฏฐิมานะเพื่อธรรมขั้นสูงนั้นเจอ...หาเข็มในมหาสมุทรยังง่ายกว่า เป็นไหน ๆ .."

• #ชีวประวัติ(ย่อ)#สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)
พระบูรพาจารย์​แห่งวัดบรมนิวาส​ กรุงเทพมหานคร
และ​วัดสุปัฏวนาราม จ.อุบลราชธานี

• #ชาติภูมิ 
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) นามเดิมว่า อ้วน นามสกุล แสนทวีสุข สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เกิดวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๑๐ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะโยมบิดาชื่อ เคน แสนทวีสุข เป็นตำแหน่งกรมการเมืองตำแหน่งเมืองกลาง โยมมารดาชื่อ นางบุดสี แสนทวีสุข ณ บ้านแคน ตำบล ดอนมดแดง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

• #ระยะเยาว์วัยและการศึกษาเบื้องต้น
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ท่านเคยเล่าชีวิตเมื่อเยาว์วัยให้มหาไชย จันสุตะ ฟังว่าเมื่อ ยังเด็กท่านชอบมีเพื่อนฝูงมาก เพื่อนฝูงทั้งหลายมักตั้งท่านให้เป็นหัวหน้า และเมื่อท่านทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแล้ว เพื่อนฝูงจะเชื่อฟัง ท่านจัด ท่านแบ่งอะไรทุกคนพอใจ ไม่เคยโต้แย้ง ท่านมีแววของความเป็นผู้นำมาตั้งแต่เยาว์ทีเดียว นอกจากลักษณะของความเป็นผู้นำแล้ว สมเด็จฯ ยังสนใจในทางศาสนาตั้งแต่เด็กท่านจะช่วยแม่ทำบุญตักบาตรทุกๆ เช้าที่หน้าบ้านเสมอ
                        
• #บรรพชาอุปสมบท
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เมื่ออายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบ้านสว่าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วสมเด็จท่านได้ย้ายไปอยู่จำพรรษาที่วัดศรีทอง เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและอักษรสมัยมีพระเทวธัมมี(ม้าว)เป็นเจ้าอาวาส ครั้นสมเด็จอายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดศรีทอง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๐ โดยมีท่านเทวธมฺมี ม้าว เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านโชติปาโล ท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นอุทเทสาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ ติสฺโส”
                        
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ อุปสมบทแล้วเล่าเรียนอยู่ ณ วัดศรีทองนั้นถึงปี พ.ศ.๒๔๓๓ อายุได้ ๒๔ ปี เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์ สิริจนฺโท)ได้พาเข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ ในสำนักของพระสาสนโสภณ(อ่อน อหิสโก) วัดพิชยญาติการาม แต่ครั้งยังเป็นพระเมธาธรรมรส ในโรงเรียนวัดพิชยญาติการาม อันเป็นสาขามหากุฎราชวิทยาลัย ได้รับนิตยภัตบำรุงจากมหามกุฎราชวิทยาลัยเดือนละ ๒ บาท
                        
ปี พ.ศ.๒๔๓๘ ย้ายติดตามเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์มาอยู่วัดเทพศิรินทราวาสและสอบได้เป็นเปรียบตรี ณ สำนักวัดเทพศิรินทราวาส พ.ศ.๒๔๓๙ เมื่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์แต่เมื่อยังเป็นทีj พระครูวิจิตรธรรมภาณี ขึ้นไปตั้งการเล่าเรียน ณ วัดสุปัฎนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้ติดตามขึ้นไปด้วยโดยรับหน้าที่ขนอุปกรณ์การเล่าเรียนออกไปล่วงหน้าใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดอุบลราชธานีกว่า ๕๐ วัน 
                        
เมื่อตั้งโรงเรียนขึ้นแล้วก็ได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาบาลีอยู่ ณ วัดสุปัฏนารามนั้น
                        
ครั้นปี พ.ศ.๒๔๔๒ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์เข้ามากรุงเทพฯ ครั้งนี้ด้วยได้เข้าสอบพระปริยัติธรรมอีกครั้งได้เป็นเปรียญโทได้รับพระราชทานรางวัล แล้วกลับขึ้นไปอุบลราชธานีพร้อมกับเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ในศกนั้นเพื่อทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาบาลีต่อไป และได้รับมอบจากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอีสานอยู่ในขณะนั้นให้ทำหน้าที่แทนเจ้าคณะมณฑลด้วย
                        
พ.ศ.๒๔๔๗ ได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อรับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระศาสนดิลกและได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะมณฑลอีสานสืบต่อจากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ซึ่งขอลาออกแล้วกลับไปประจำอยู่ ณ. วัดสุปัฏนาราม ถึงปี พ.ศ.๒๔๕๕ โปรดให้เลื่อนขึ้นเป็นพระราชมุนี และทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะธรรมยุตภาคอีสานอีกตำแหน่งหนึ่งในปลายชีวิต 
                        
สมเด็จท่านได้กลับมาปฏิบัติธรรมต่อ โดยได้รับอุบายธรรมจากศิษย์ของท่านคือท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์ทอง อโสโก พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และท่านพ่อลี ธมฺมธโร ซึ่งท่านได้รับหลักธรรมอันมั่นคงที่สุด ก็เป็นช่วงที่อาพาธอย่างหนักนี้เอง ท่านพิจารณาตจปัญจกรรมฐาน ยกจิตเจ้าสู่องค์สมาธิได้สามารถพิชิตโรคภัยด้วยธรรมโอสถอย่างสิ้นเชิง

• #หลวงตามหาบัวเล่าเรื่องท่านพ่อลีสอนสมาธิสมเด็จฯ
               
ในเรื่องนี้ขอนำเรื่องท่านพ่อลีสอนสมาธิสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ที่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เล่าไว้มาถ่ายทอดให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบกัน มีความว่า “....พระสมเด็จฯ ผู้มีปฏิปทาอย่างนี้ หายากยิ่งนัก เพราะสมัยนี้อย่าหวังว่าจะหาพระสมเด็จที่อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมลดตน ลดทิฏฐิมานะเพื่อธรรมขั้นสูงนั้นเจอ
               
"..หาเข็มในมหาสมุทรยังง่ายกว่า!! เป็นไหน ๆ .."
               
.....ในสมัยที่ท่านพ่อลีอยู่จำพรรษากับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) วัดบรมนิวาส ปทุมวัน กรุงเทพฯ ท่านได้รับความเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นอย่างมาก
               
.....แต่สมเด็จฯ ท่านไม่ค่อยจะเชื่อน้ำยาพระกรรมฐานสักเท่าไร ท่านเคยออกคำสั่งไล่พระกรรมฐานออกจากป่า แม้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เองก็เคยถูกท่านไล่มาแล้ว....”
               
ท่านพ่อลีจึงคิดหาทางที่จะดัดนิสัยสมเด็จฯ ให้รู้เสียบ้างว่า “.....ธรรมของจริง ผู้รู้จริงเป็นอย่างไร สมเด็จฯ ท่านอ่านตำรามาก ชอบวิจารณ์วิจัย แต่วัน ๆ ผ่านไปโดยไม่ปฏิบัติสมาธิภาวนาพิจารณาสังขาร ทำแต่งานภายนอก
               
คิดดูแล้วก็น่าสงสาร ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อเรา เราต้องปฏิบัติการตอบท่านด้วยธรรมที่รู้เห็นมาตามสติปัญญาที่มี”
               
เมื่อท่านพ่อลีคิดอย่างนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติการเบื้องต้น....ท่านจึงกำหนดจิตเพ่งกสิณน้ำและไฟ  
               
.....ในบางคราวเพ่งกสิณน้ำใส่สมเด็จฯ สมเด็จฯ ก็จะหนาวสะบั้นสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น
               
.....บางคราวเพ่งกสิณไฟ กำหนดเป็นไฟไปเผา สมเด็จฯ ร้อนรนกระวนกระวายผ่าวไปทั้งร่าง
               
แต่การเพ่งกสิณทั้งนี้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ....กลับเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ สมเด็จฯ ท่านจึงเรียกท่านพ่อลีมาถามว่า “เอ...วันนี้มัน มันเป็นอะไรกันนะ เดี๋ยวร้อนเหมือนถูกไฟเผา เดี๋ยวหนาวจนสะบั้น”
               
เมื่อท่านพ่อลีเข้าไปหา ทำทีจับโน่นจับนี่ พูดว่า “ไหน....ไหน....มันเป็นอะไร” อากาศร้อนหนาวมันก็เปลี่ยนแปลงบ้างแหละ....ขอรับเจ้าประคุณ!.
               
เมื่อเป็นหลายครั้งหลายหน สมเด็จฯ ท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดหลักแหลม ช่างสังเกตหาเหตุผลเสมอจึงเอะใจ เป็นที่น่าสงสัยเพราะถ้าท่านพ่อมาเมื่อใดอาการนั้นก็หายทันที ท่านจึงพูดกับพระใกล้ชิดว่า “เหตุที่เป็นดังนี้....ท่านลีคงทำเราแหละ เราเคยดูถูกพ่อของพระกรรมฐานคือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านลี”
               
หลังจากนั้นมา สมเด็จฯ ท่านก็เข้าใจพระป่า อุดหนุนส่งเสริมในการสร้างวัดป่ากรรมฐาน เช่น วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญเป็นกองทัพธรรมกรรมฐานในสมัยนั้น
               
ต่อมาสมเด็จฯ ท่านขอร้องให้ท่านพ่อลีสอนสมาธิให้ทุกวัน ท่านพ่อลีไปอยู่แห่งหนตำบลใด ท่านก็จดหมายไปตามมาทุกครั้ง นับว่าท่านพ่อลีเป็นผู้ที่ท่านโปรดปรานมาก เมื่อสมเด็จฯ ปฏิบัติได้ถึงขั้นจิตลงสู่ความสงบ ท่านถึงกล่าวชมท่านพ่อลีว่า

“....คำพูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่น แม้เราจะทำไม่ได้ไม่ถึง ก็เข้าใจได้ชัดแจ้งไม่สงสัย พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเรา เราก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนคุณมาอยู่กับเรา เพราะเรารู้สึกมีสิ่งแปลกประหลาดใจหลายอย่างในขณะนั่งสมาธิ”
               
แล้วเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็เผยความในใจว่า “.....เราไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า การนั่งสมาธิจะมีประโยชน์มากอย่างนี้ เราก็ได้บวชมานาน ไม่เคยเกิดความรู้สึกอย่างนี้เลย แต่ก่อนเราไม่นึกว่าการทำสมาธิเป็นของจำเป็น แต่บัดนี้เราได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง อันมีผลปรากฏที่ใจแล้ว”
               
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้กล่าวสรุปไว้อย่างน่าฟังว่า “ท่านพ่อลีนี่เองเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะใจสมเด็จฯ ได้ แต่ก่อนนั้นสมเด็จฯ เป็นคนบ้ายศ แล้วเที่ยวขนาบกรรมฐานไปทั่ว เที่ยวไล่ ไล่พระกรรมฐานที่อยู่ในป่าในเขา หลวงปู่มั่นก็เคยถูกไล่”   
               
ต่อมาในงานเผาศพหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล สมเด็จฯ ได้พบกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงเดินเข้าไปหาและพูดว่า.. “เออ! ท่านมั่น เราขอขมาโทษเธอ เราเห็นโทษแล้ว แต่ก่อนเราก็บ้ายศ”
               
หลวงตามหาบัวเล่าพร้อมทั้งหัวเราะ มีรอยยิ้มหน่อย ๆ ที่ริมฝีปาก เป็นกิริยาที่น่ารักเคารพของพระอริยเจ้าผู้สงบระงับ   
               
นี่เองสาระสำคัญในบทนี้ ท่านผู้มีธรรมท่านปฏิบัติต่อกันด้วยความงดงาม ถือธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือยศตำแหน่งอันกิเลสแต่งแต้มให้ลุ่มหลง ผู้รักธรรมจึงยอมตน สละตนจากความยึดมั่นถือมั่น ไปสู่ความว่างเปล่าจากกิเลส แต่เต็มตื้นไปด้วยคุณธรรม
               
เพราะการบรรลุธรรม บรรลุด้วยใจ หาใช่บรรลุด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ เพศภาวะ ชาติตระกูล ญาติพี่น้อง หรือทรัพย์สินเงินทองไม่ หากอยากได้ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ พระกรรมฐาน มีวิชชา มีธรรม มีศีล และมีชีวิตอันอุดมไปด้วยความดีเท่านั้น .....เพียงเท่านั้นจริง ๆ ฯ
               
ขณะที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) กำลังอาพาธหนัก ท่านได้สั่งว่า  
         
“ท่านลี ต้องอยู่กับเราจนตาย ถ้าเรายังไม่ตายจะหนีไปไหนไม่ได้ จะมาเฝ้าหรือไม่เฝ้าอยู่ปฏิบัติก็ตาม ขอให้เรารู้ว่าอยู่กับเราก็พอ”  
               
ท่านพ่อลีจึงรับปากว่าจะอยู่ปฏิบัติ แต่ก็คิดในใจว่า เป็นกรรมอะไรของเราหนอถึงต้องมาอยู่เหมือนถูกกักขังในเมืองพระนครเช่นนี้ ทันใดนั้นท่านได้กำหนดจิตพิจารณาได้ทราบว่า เป็นกรรมเก่าที่เคยขังนกเขาไว้ ก็เลยต้องจำใจอยู่

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสฺโส) ท่านเป็นพระเถรที่น่ารักเคารพยิ่งองค์หนึ่ง สมเด็จท่านอาพาธเนื่องด้วยโรคชราเริ่มกำเริบตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นต้นมา
                        
• #มรณภาพ               
สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(อ้วน ติสฺโส)ได้มรณภาพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๙ เวลา ๑๘.๔๕ น. ณ วัดบรมนิวาส โดยอาการสงบด้วยโรคชรา สิริอายุได้ ๘๙ ปี พรรษาที่ ๖๘ 

นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการบริหาร การปกครอง คณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวจังหวัดอุบลราชธานี

กราบ กราบ กราบ

#บรรณานุกรมอ้างอิง ; คัดลอกจากหนังสือ 
• "พระปรมาจารย์สายพระกัมมัฏฐาน ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร" ; พิมพ์เมื่อ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ; หน้า ๒๕๘- ๒๖๖ 
• ท่านพ่อลี ธมฺมธโร พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า ; พิมพ์เมื่อ เมษายน ๒๕๕๐ ; หน้า ๓๑๓ , ๓๒๔
-------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาบุญที่มา FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco